“ทำไมกลับดึกจังครับ แล้วนั่นแต่งชุดอะไรมาน่ะ”
เสียงทุ้มที่เอ่ยทักทำเอานีรนาราที่เดินมาตรงโซนหน้าทีวีสะดุ้ง ก่อนจะถอนหายใจและบ่นออกมาเมื่อเห็นตัวต้นเหตุที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดรออยู่
“ไปงานวันเกิดแม่บอส ทำไม เดี๋ยวนี้นั่งรอบ่นเหมือนลุงแก่ๆแล้วเหรอเราอ่ะ”
“เปล่า แค่มารอฉัตรอ่ะไม่กลับสักทีจนพี่นีนมาเนี่ย ได้ข่าวว่าน้องพี่ก็เลิกเรียนพร้อมน่านไม่ใช่เหรอครับ”
คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้แปลกใจเท่าไหร่ พอๆกับการที่อรัณย์มานั่งอยู่กลางห้องของเธอทั้งที่เจ้าตัวอยู่ห้องถัดไป เพราะเป็นน้องชายคนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่ได้ห่างหายกันไปไหน การจะเข้าออกห้องกันและกันถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุดแล้ว
ต่อให้อายุจะห่างกันถึงเจ็ดปีแต่เพราะอรัณย์เกิดปีเดียวกันกับปาริฉัตรน้องสาวเธอ แถมยังเรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกันเลยยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตตลอดเวลาแบบนี้ จนบางทีก็ลืมว่าคนไหนเป็นน้องเธอกันแน่
“เห็นแชทมาบอกว่าจะไปงานวันเกิดเพื่อนต่อนี่นา คงใกล้กลับแล้วมั้ง”
“แล้วพี่นีนไม่โทรไปถามหน่อยเหรอครับ ดึกมากแล้วเนี่ยเดี๋ยวน่านจะได้ไปรับมัน”
“แล้วทำไมน่านไม่โทรไปเองเลยล่ะ”
นีรนารามองค้อนเมื่อถูกต่อว่าราวกับเป็นพี่สาวที่ไม่ใส่ใจน้องตัวเองแบบนั้น ทั้งที่ความจริงไม่ได้มีอะไรน่าห่วงเลยสักนิด ปาริฉัตรเองก็ไม่เคยทำอะไรโดยไม่บอกเธอเลยด้วย มีเพียงอรัณย์นี่แหละที่บ่นเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่เสมอถ้าเกี่ยวกับปาริฉัตร
“ฉัตรมันรับสายน่านที่ไหนล่ะ รู้ว่าจะโดนบ่นอ่ะดิ”
อรัณย์บอกพลางกอดอกแล้วสะบัดหน้าหนีอย่างขัดใจ
“ก็เราขี้บ่นอ่ะน่าน”
“น่านแค่เป็นห่วงมั้ยล่ะ กลับดึกทั้งพี่ทั้งน้องน่านจะฟ้องคุณป้า”
คราวนี้อรัณย์เงยหน้ามาเถียงแถมยังเอาแม่ของนีรนารามาขู่จนคนพี่ต้องรีบเดินไปเคาะหัวทีนึงด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหยิบมือถือออกมาทันที
“ใจเย็นๆเด็กคนนี้นี่ เอะอะเอาแม่พี่มาขู่จะฆ่าพี่รึไง เดี๋ยวโทรตามให้โอเคมั้ย”
“เหอะ เร็วๆเลยครับ”
“จ้า”
นีรนาราลากเสียงยาวประชด ทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆกับอรัณย์จนปาริฉัตรรับสายก็รีบถามท่ามกลางสายตาจับผิดจากคนข้างๆ
“อยู่ไหนคะคุณน้องสาว”
“อยู่บ้านเพื่อนไงคะคุณพี่ พี่นีนถึงห้องแล้วเหรอ”
“อือ มีคนถึงก่อนพี่ด้วย นั่งรอบ่นหน้าตึงอยู่เนี่ย”
นีรนาราบอกก่อนจะหันไปมองค้อนอรัณย์ที่เอาหูมาแนบมือถือราวกับจะคุยซะเอง
“โอ้ย น่านมันผีบ้าโทรมาจิกจนไม่เป็นอันกินแล้วเนี่ยฉัตรละเบื่อ ทำตัวเหมือนลุงแก่ๆไปได้”
ปาริฉัตรโวยวายออกมาจนนีรนาราต้องเอามือถือออกห่างเพื่อความปลอดภัยของหูตัวเอง ก่อนจะเกลี้ยกล่อมน้องสาวด้วยความอ่อนใจ
“ให้เค้าไปรับสักทีเถอะ ก่อนที่พี่จะโดนกินหัวเนี่ย”
“โอเคๆเดี๋ยวฉัตรส่งโลไปให้น่านมันเอง พี่นีนไปอาบน้ำนอนเถอะ”
ปาริฉัตรบอกพลางถอนหายใจ เธอรู้ดีว่าพี่สาวตัวเองนั้นทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ถ้าขืนทำเมินต่อ คนอย่างอรัณย์ไม่มีทางเลิกวอแวพี่เธอแน่
“โอเคจ้า”
นีรนารากดตัดสายก่อนจะหันมาถามอรัณย์ที่รีบเข้าไปเช็คข้อความในมือถือ
“ฉัตรส่งมาให้แล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“พอใจยังคุณลุง”
นีรนาราถามด้วยสีหน้าประชดประชันก่อนจะต้องกรอกตาใส่อรัณย์อีกรอบเมื่อได้ยินคำตอบแสนจะหลงตัวเองแบบนั้น
“คุณลุงอะไรหล่อขนาดนี้ งั้นน่านไปรับฉัตรก่อนนะพี่นีน”
“จ้า ขับรถดีๆนะ”
“ครับ”
นีรนารามองตามอรัณย์ที่เดินออกไปจากห้อง จ้องมองแผ่นหลังกว้างกับส่วนสูงที่เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมของเด็กชายตัวเล็กในวันวานอีกต่อไป
เปลี่ยน…แม้กระทั่งความรู้สึกที่เคยมีให้กันเมื่อตอนเด็ก
ร่างบางหย่อนตัวลงนั่งที่เตียงก่อนจะเปิดลิ้นชักโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆแล้วหยิบเอารูปที่เก็บไว้อย่างดีมาหลายปีออกมาดู รูปภาพที่ดึงเอาความทรงจำในวันวานให้เด่นชัดไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ ราวกับเรื่องราวแสนสวยงามนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นไปเพียงแค่เมื่อวาน
ในรูปภาพที่มีเพียงเด็กสาวแรกรุ่นกับเด็กชายที่สูงเพียงแค่ไหล่ของเธอยืนเคียงข้างกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆและหมอกในฤดูหนาว สวนดอกไม้ที่รายรอบส่งให้บรรยากาศในภาพนั้นทั้งอบอุ่นและสดใสไม่แพ้รอยยิ้มของทั้งคู่ที่ดูมีความสุขจนดวงตาเป็นประกาย
แม้ตอนนี้ดอกไม้ช่อเล็กในมือที่เคยถือ และมงกุฎดอกไม้บนศีรษะจะเหี่ยวเฉาจนกลายเป็นดอกไม้แห้งที่ถูกเก็บไว้ในกล่องมานานหลายปี แต่ความรู้สึกในตอนนั้นก็ยังคงชัดไม่แพ้รูปถ่ายในมือสักนิดเลย
นีรนารากอดรูปนั้นเอาไว้แนบอกก่อนจะหลับตาลงและดำดิ่งลงกับภาพความทรงจำที่ผุดพรายขึ้นมาในหัวอย่างช้าๆ
“พี่นีนๆ”
เสียงเรียกที่แทบจะเป็นตะโกนนั้นดึงสายตานีรนาราที่กำลังเลือกเก็บดอกไม้ในสวนข้างบ้านให้หันกลับมามอง ก่อนจะต้องถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าในมือเล็กๆของเด็กชายถืออะไรมาด้วย
“ครับ ถืออะไรมาน่ะ”
“น่านทำมงกุฎเจ้าสาวมาให้พี่นีนครับ”
อรัณย์ในวัยสิบขวบบอกก่อนจะชูสิ่งที่อยู่ในมือให้พี่สาวคนโปรดดูด้วยความภูมิใจ
“โห สวยจัง นี่น่านทำเองเหรอครับ”
“ช่าย น่านไปขอให้ม๊าสอนมาครับ น่านบอกว่าจะขอพี่นีนแต่งงาน”
อรัณย์บอกก่อนจะเชิดหน้ายิ้มเมื่อได้รับคำชม คำอธิบายต่อหลังเรียกเสียงหัวเราะให้นีรนาราในวัยสิบเจ็ดปีจนแทบหยุดขำไม่ได้ มือขาวยื่นไปขยี้หัวทุยของอรัณย์ด้วยความเอ็นดูก่อนจะถามออกมาด้วยใบหน้าที่แสร้งทำเป็นจริงจัง
“จะขอพี่แต่งงานเลยเหรอ แต่พี่แก่กว่าน่านตั้งเจ็ดปีเลยนะครับ”
“ม๊าบอกว่าขอได้ครับ อายุไม่เกี่ยวเพราะน่านชอบพี่นีนมากๆ”
และอรัณย์ก็ตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจและทำหน้าจริงจังไม่แพ้กันจนนีรนาราขำออกมาอีกรอบ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบแก้มนุ่มของอรัณย์จนมันยืดไปมา
“จริงเหรอ แล้วน่านไม่ขอฉัตรแต่งงานเหรอครับ”
อรัณย์นิ่วหน้าเมื่อนีรนาราพูดถึงเพื่อนที่เล่นด้วยกันทุกวันอย่างปาริฉัตร พอนึกถึงใบหน้าเนื้อตัวมอมแมมแถมยังขี้แกล้งแล้วอรัณย์ก็ส่ายหัวแรงๆปฏิเสธออกมาโดยไม่เสียเวลาคิดสักนิด
“ไม่ครับ ฉัตรตัวมอมแมมขี้แกล้งด้วยน่านไม่ชอบ พี่นีนสวยกว่าน่านจะแต่งงานกับพี่นีนครับ”
“โอเคครับแต่งก็แต่ง”
นีรนาราพยักหน้าตกลงในที่สุดเมื่อหยอกล้อเจ้าเด็กแสบจนพอใจแล้ว ทำเอาอรัณย์ที่ได้ยินยิ้มกว้างก่อนจะรีบหันไปหาม๊าตัวเองที่กำลังเดินตามมา
“รอแป้บนะครับ เราต้องมีรูปวันแต่งงานด้วยม๊ากำลังจะมาถ่ายให้”
“ฮ่าๆ โอเคครับ ถ่ายรูปด้วยเนอะ”
“ตอนนี้จัดแบบเล็กๆก่อนนะครับ ไว้โตแล้วม๊าบอกว่าต้องจัดงานใหญ่พี่นีนรอให้น่านโตก่อนนะครับ”
อรัณย์บอกด้วยสีหน้าจริงจังยามเมื่อนีรนาราก้มลงให้สวมมงกุฎดอกไม้ให้ มือเล็กจับมือนีรนาราก่อนจะเกี่ยวก้อยเพื่อเป็นดั่งคำมั่นสัญญา
“โอเคครับ พี่นีนจะรอนะ”
“มาแล้วเด็กๆ วันนี้ม๊ารับถ่ายรูปงานแต่งค่า ยิ้มกว้างๆเลยนะคะ”
เสียงคนเป็นแม่ตะโกนบอกเมื่อหามุมสวยๆให้เด็กทั้งสองคนได้แล้วพลางสั่งให้ทั้งคู่ยิ้มและกดบันทึกภาพเอาไว้หลายภาพ จนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าส่วนที่เหลือนั้นอยู่กับใครบ้าง และไม่รู้ว่าอรัณย์ที่เคยเก็บภาพเดียวกันนี้ติดตัวอวดคนอื่นไปทั่ว จะยังคงเก็บมันไว้เหมือนเธอรึเปล่า
นีรนาราลืมตาขึ้นช้าๆ หลุดออกมาจากภาพความจำที่แสนอบอุ่นและเก็บซ่อนมันไว้ให้ลึกที่สุดในหัวใจอีกครั้ง ให้มันเป็นเพียงความทรงจำแสนสวยงามที่เอาไว้ใช้หล่อเลี้ยงหัวใจยามที่เหนื่อยล้า หรือถูกความเป็นจริงตอกย้ำจนร้าวไปทั้งใจแบบนี้
“ตอนนี้ คงไม่อยากจัดงานใหญ่ที่บอกแล้วสินะเจ้าเด็กแสบ สุดท้ายก็ไปชอบเด็กตัวมอมแมมคนนั้นอยู่ดีนี่นา”
“นี่มึงทำอะไรลงไปวะกร”อัคคีถามขึ้นหลังจากฟังเรื่องเล่าที่แสนจะน่าปวดหัวจากวิกรจบ เรื่องที่คิดว่าจะจบมาตั้งแต่คืนนั้นตอนนี้วิกรดันสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่จนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม“กูก็อยากถามตัวเองเหมือนกันแหละ”วิกรกุมขมับก่อนจะตอบด้วยสีหน้าสิ้นหวังไม่ต่างจากน้ำเสียง ความมั่นอกมั่นใจที่เคยมีติดตัวมาตลอดเหมือนถูกทำหล่นหายตั้งแต่ที่เผชิญกับเรื่องราวไม่คาดคิดที่ผ่านมา“บ้าบอมาก”“กูแค่คิดว่าถ้าคบใครแล้วแม่ก็น่าจะเลิกวุ่นวายหาคู่ให้กูซะที แล้วคุณนีนดันอยู่ตรงนั้นพอดีไง”“มึงก็เลยเลือกใช้เค้าแบบไร้สติเลยว่างั้น”“มึงเลิกซ้ำเติมกูเถอะ นี่ก็เครียดจะตายห่าแล้ว”วิกรโวยวายก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดเมื่อนึกถึงหน้าเลขาคนสวยสุดเนี้ยบขึ้นมา อัคคีที่เห็นอาการแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของเพื่อนก็ส่ายหัวก่อนจะถามถึงนีรนาราด้วยความสนใจ รู้จักกันมาก็นานไม่คิดว่าจะกลายเป็นคนที่ทำให้วิกรเสียอาการแบบนี้ได้“แล้วคุณนีนว่าไง”“นิ่งๆ กูถามว่าโกรธมั้ยเค้าก็บอกเปล่า กูไม่กล้าคุยอะไรด้วยเลยทุกวันนี้ทำงานด้วยก็เกร็งจะตายละ”วิกรบอกด้วยความอึดอัดใจ ผ่านมาเป็นอาทิตย์สิ่งที่แอบคาดหวังว่าจะผ่อนคลายต่อกันมากขึ้นกลาย
“อ้าว คุณนีน”เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลังของนีรนาราที่กำลังเดินออกมานอกร้านด้วยอาการมึนๆ เธอหันกลับมามองด้วยความแปลกใจที่ความบังเอิญทำให้มาเจอกันตรงนี้ได้“บอส”“มาคนเดียวเหรอครับ”วิกรเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะมองไปรอบๆก็ไม่เห็นใครนอกจากนีรนารา “เปล่าค่ะ มากับเพื่อน”“แล้วจะกลับยังไงครับเนี่ย”“เดี๋ยวเรียกรถค่ะ บอสก็จะกลับแล้วเหรอคะ”“ครับ งั้น…เดี๋ยวผมไปส่งคุณนีนเลยละกันครับ”คนที่แค่ตั้งใจจะเดินมาหยิบของที่รถดันเปลี่ยนใจกลับทันทีที่ถูกถาม เพราะเห็นว่าเวลานี้มันอันตรายเกินไปถ้าจะให้นีรนาราเรียกรถกลับคนเดียว“ไม่เป็นไรค่ะบอส ดึกแล้วบอสจะได้กลับไปพัก อีกอย่างบอสไม่ควรขับรถตอนเมานะคะ”นีรนารารีบห้าม ที่กลัวอีกฝ่ายเมานั่นก็ใช่แต่ความจริงเธอไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับวิกรมากเกินไปต่างหาก ช่วงนี้เธอรู้สึกว่าอะไรๆมันเกินกว่าที่ควรจะเป็นไปเยอะแล้วจริงๆ“ผมไม่ได้เมาครับดื่มไปแค่แก้วเดียวเอง ขึ้นรถไปคนเดียวตอนนี้มันอันตรายให้ผมไปส่งดีกว่าครับ”“เอ่อ งั้นก็ได้ค่ะ”เมื่อเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้นีรนาราก็พยักหน้าอย่างจำใจ ก่อนจะเดินตามวิกรไปขึ้นรถคันที่คุ้นเคยมานานตั้งแต่ทำงานด้วยกันจนถึงตอนนี้ คิด
“พี่นีน”“อ้าว กลับมาแล้วเหรอนึกว่าจะถึงมืดๆซะอีก”นีรนาราที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนมองปาริฉัตรและอรัณย์ที่กำลังขนกระเป๋าเข้าห้อง เพราะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปาริฉัตรไม่มีเรียน เลยได้โอกาสกลับไปหาพ่อแม่ที่จังหวัดน่านพร้อมกับอรัณย์ นีรนารารีบเข้าไปช่วยน้องขนของฝากที่แม่ชอบเตรียมกลับมาให้เสมอทุกครั้งที่ใครได้กลับบ้านราวกับกลัวลูกจะอดอยาก ทั้งที่ความจริงตัวเองก็ส่งมาให้บ่อยๆอยู่แล้วเหมือนกัน “ก็อยากกลับช้ากว่านี้แต่แม่เร่งให้เตรียมกลับตั้งแต่เช้าเลยอ่ะ ไม่ได้บินนานขนาดนั้นซะหน่อย”“ดีแล้วจะได้พัก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปเรียนอีกไม่เหนื่อยเหรอ”นีรนาราบอกเมื่อได้ยินน้องสาวบ่น ปาริฉัตรติดแม่มากๆยิ่งมาเรียนไกลแบบนี้ก็ยิ่งต้องหาเวลากลับไปบ่อยๆเพราะคิดถึงแม่ ต่างจากนีรนาราที่ไม่ค่อยได้สนิทกับพ่อแม่มากนักเนื่องจากไม่ค่อยพูดเหมือนกับน้องสาว“ไม่เหนื่อยหรอกฉัตรมีพลังเยอะแยะ”“แล้วนั่นน่ะลืมเอาปากมารึไง ยืนเงียบอยู่ได้”นีรนาราส่ายหัวให้กับน้องสาวที่ทำท่าทางแข็งแรงให้ดู ก่อนที่จะหันไปแซวอรัณย์ที่ยังคงเงียบทั้งที่ความจริงมักจะพูดไม่หยุด อรัณย์ที่กำลังปรับสภาพตัวเองถึงกับโวยวายออกมาด้วยใบหูที่ยังคงแดงเ
“พี่นีนบอกจะไปไหนนะ พัทยาเหรอ”ปาริฉัตรที่เพิ่งลุกจากที่นอนเดินเข้ามาถามนีรนาราที่กำลังลากกระเป๋าเดินทางใบโตออกจากห้อง “อื้อ บอกมาตั้งหลายวันแล้วลืมอีกล่ะสิ ไปสามวันอยู่ได้ใช่มั้ยเราอ่ะ”นีรนาราหันมาหาน้องก่อนจะถามอย่างเป็นห่วง พอเห็นสภาพหัวยุ่งตาปรือเหมือนนอนไม่พอก็ยิ่งส่ายหัวอ่อนใจ “แน่นอนสิ ทำอย่างกับพี่นีนไม่เคยไปไหนนานๆงั้นแหละ อีกอย่างนะน่านมันก็แทบจะมานั่งเฝ้าหน้าประตูอยู่แล้วพี่นีนก็รู้”“พูดอย่างกับน่านเป็นหมาเลยเรานี่ อย่าลืมกินข้าวเช้าทุกวันด้วยนะรู้มั้ย”“เข้าใจแล้วค่าคุณพี่ ไม่ต้องห่วงนะน่านมันบังคับฉัตรตลอดอยู่แล้วเรื่องนี้อ่ะ”“ดีมากค่ะคุณน้อง งั้นพี่ไปนะ”เมื่อเห็นท่าทางร่าเริงสดใสขัดกับสภาพภายนอกก็เบาใจได้นิดหน่อย เธอเป็นคนดูแลน้องที่นี่คนเดียวเลยไม่อยากให้มีอะไรบกพร่อง แต่อย่างน้อยอรัณย์ก็เป็นคนที่ไว้ใจได้และพึ่งพาได้ตลอดอยู่แล้วเลยไม่ได้ห่วงเท่าไหร่นัก“เดินทางปลอดภัยนะพี่นีน”ปาริฉัตรฉีกยิ้มก่อนจะโบกมือให้นีรนาราที่เดินออกจากห้องไป “จ้า”นีรนาราหันมายิ้มรับและโบกมือตอบน้องสาวก่อนจะรีบไปหาวิกรตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้ การไปทำงานต่างจังหวัดเป็นเรื่องปกติธรรมดามากสำห
“คือ เอ่อ ผม”วิกรยังคงอ้ำๆอึ้งๆ จะนั่งลงก็เกรงใจจะขอตัวกลับก็เป็นห่วงเพราะนีรนารายังไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่นัก และดูเหมือนมีเรื่องที่ไม่สบายใจเอามากๆเพียงแค่ไม่รู้จะถามยังไงให้เจ้าตัวยอมเอ่ยปากระบายออกมาให้ฟัง ส่วนคนเมาที่ยังมึนเบลอก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากการดื่ม พอเห็นว่าบอสตัวเองยังยืนนิ่งก็รีบชวนต่อทันที ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในห้องมีสิ่งที่ต้องการหรือเปล่าอาจจะเพราะความเคยชินที่ว่าถ้าเป็นวิกรเรื่องอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น“อ้อ บอสจะดื่มกับนีนนี่นา เหล้าหรือไวน์ดีคะ”“ผม เอ่อ เดี๋ยวผมไปดูก่อนว่ามีอะไรบ้างรอแป้บนะครับ”วิกรบอกพลางรีบเดินเข้าไปดูในโซนห้องครัว โรงแรมที่มาพักก็เป็นโรงแรมในเครือของบริษัทตัวเองอยู่แล้วเพราะงั้นถึงได้รู้โครงสร้างห้องและการบริการดีว่าห้องแบบนี้จะต้องมีเครื่องดื่มหลายอย่างไว้รองรับ นอกเสียจากว่าจะอยากสั่งนอกเหนือจากนี้เอง“มีแค่นี้ครับ คุณนีนดื่มได้ใช่มั้ย”วิกรเดินกลับมาพร้อมชูขวดไวน์แดงให้นีรนาราดู “ได้หมดค่ะ นั่งด้วยกันสิคะ”“ครับ”วิกรตอบรับก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ พอหันไปมองถึงได้เห็นว่านีรนารานั้นเอาแต่เหม่อมองออกไปที่กระจกระเบียง วิวตอนกลางคืนมีเพียงแ
“คุณนีนครับ”“ตื่นนานแล้วเหรอคะ”นีรนาราไม่ได้ตอบรับแต่ถามกลับวิกรที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องแทน ผ้าห่มผืนหนาถูกดึงมาปกปิดร่างกายที่ยังเปลือยเปล่าก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นมาพิงหัวเตียงช้าๆ ขณะที่วิกรเองก็มองด้วยความเป็นห่วงแอบรู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าเมื่อคืนตัวเองค่อนข้างจะเอาแต่ใจมากไปหน่อย“ครับ คุณลุกไหวมั้ย”“ไหวค่ะ ปวดหัวนิดหน่อยสงสัยดื่มเยอะไป”“คือ ขอโทษนะครับ”วิกรบอกด้วยสีหน้าที่หงอยลง ตอนนี้พอได้สติว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องก็พากันโจมตีจนแทบไม่กล้ามองหน้าคนบนเตียงเลย จะด้วยความเต็มใจหรืออะไรก็ช่างยังไงวิกรก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบนีรนาราอยู่ดีแต่กลับเป็นนีรนาราซะเองที่ไม่ได้ใส่ใจและตอบปัดราวไม่อยากพูดถึงมันอีก“ขอโทษทำไมคะ บอสไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย ขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ”“อ่า ตามสบายครับ”วิกรทำได้เพียงพยักหน้ารับคำและรีบออกมาจากห้องเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับนีรนารา สองเท้าก้าวไปทางห้องครัวและเตรียมจัดโต๊ะอาหารเช้าไว้รออีกคนพลางนึกถึงสิ่งที่ตั้งใจจะพูดให้ได้ในวันนี้ยังไงก็คงปล่อยไปเหมือนคราวก่อนไม่ได้อีกแล้ว “วันนี้มีประชุมกับสาขาย่อยบ่ายสองนีนเตรียมข้อมูลไ
“คุณนีน เย็นนี้ว่างมั้ยครับ”“ก็ ว่างค่ะบอสจะให้ทำอะไรเหรอคะ”นีรนาราตอบพลางมองหน้าวิกรด้วยความสงสัย หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่คิดอะไรนอกจากรับคำสั่งอย่างเดียวด้วยความเคยชิน แต่เพราะตอนนี้มีข้อตกลงต่อกันแล้วอะไรๆก็เลยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป“คือ ผมมีเรื่องจะรบกวนหน่อยครับ คุณแม่ผมอยากให้ชวนคุณไปทานข้าวเย็นที่บ้านคุณนีนจะไปได้มั้ยครับ“ได้ค่ะ”เมื่อเห็นว่าคำขอไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนีรนาราก็รับคำทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรมาก วิกรยิ้มพอใจก่อนจะชวนให้นีรนาราไปด้วยกันเอาไว้ล่วงหน้า “งั้นเดี๋ยวตอนเย็นไปพร้อมผมเลยนะครับ”“ค่ะบอส”—----------------------“คุณแม่ ทำไมทำหน้าแบบนั้นครับ”วิกรที่อึดอัดมานานเอ่ยถามขึ้นอย่างทนไม่ไหว สายตาที่จับจ้องแฝงความกดดันที่มองสลับไปมาระหว่างนีรนาราและตัวเค้าเองนั้นทำให้ไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าแม่ของเค้าไปรู้อะไรมาหรอกใช่ไหมนะ“ก็แม่กำลังจะจับผิดคนน่ะสิ”“จับผิดเหรอครับ เรื่องอะไรครับคุณแม่”วิกรแสร้งถามด้วยสีหน้าใสซื่อ มือก็ยังคงตักอาหารต่ออย่างไม่สะทกสะท้านแม้ในใจจะหวั่นจนแทบเก็บอาการไม่ไหวก็ตาม“ถามจริงๆนะคะ เราสองคนไม่ได้กำลังโกหกแม่ใช่มั้ย”“แค่กๆ”จบค
“พี่นีนจะไปจริงๆเหรอครับ”อรัณย์เดินเข้ามาขวางหน้านีรนาราที่กำลังลากกระเป๋าใบโตออกมาจากห้อง นีรนารามองใบหน้าที่ยังคงมีผลกับหัวใจก่อนจะส่ายหน้าแล้วประชดออกมา ท่าทางอาลัยอาวรณ์นั่นมันทำให้ใจหวั่นไหวไม่รู้บ้างรึไงกัน“ใช่สิ คิดว่าพี่พูดเล่นรึไงกันเรานี่”“น่านจะฟ้องคุณป้า”อรัณย์ที่ไม่รู้จะห้ามยังไงยืนกอดอกหน้าบึ้งตึง ยกเอาคนที่นีรนารากลัวที่สุดมาข่มขู่อย่างหมดหนทาง สนิทกันมานานขนาดนี้นีรนาราแอบไปมีแฟนได้ก็ว่าแปลกใจมากแล้ว นี่ยังจะย้ายไปอยู่ด้วยกันอีกมันออกจะกะทันหันเกินไป เพราะเป็นพี่สาวคนโปรดมาตลอดอรัณย์ก็เลยอดจะหวงไม่ได้จริงๆ“อยากเห็นพี่โดนฆ่ารึไง อย่าทำหน้าแบบนั้นสิพี่จะแก่แล้วนะยังขายไม่ออกเลยไม่เห็นใจกันบ้างรึไง”“ก็อยู่กับน่านกับฉัตรไงครับ ไม่ต้องมีแฟนก็ได้”“ขนาดน่านกับฉัตรยังคบกันเลยแล้วจะมาห้ามพี่ทำไมเนี่ย แล้วฉัตรยังไม่ออกมาจากห้องอีกเหรอ”นีรนาราต่อว่าก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาน้องสาวตัวเองที่ไม่ออกมาจากห้องสักที“ครับ”“เดี๋ยวก็ไปเรียนสายกันพอดี งั้นพี่ไปทำงานก่อนนะเดี๋ยวเย็นพี่ค่อยมาขนของอีกฝากบอกฉัตรด้วย”นีรนาราบ่นก่อนจะบอกลาเพื่อตัดบทสนทนาเพียงเท่านั้น ไม่สนใจใบหน้าที่หง
“ไม่ไปยุโรปกันแน่นะคะลูก”วิภาดาถามย้ำอีกครั้งแม้ลูกจะยืนยันว่าจะเปลี่ยนที่เที่ยวก็ตาม วันครบรอบแต่งงานที่เคยวางแผนกันไว้ว่าจะไปแถวๆยุโรปกลายเป็นต้องเปลี่ยนแผนใหม่เพราะว่านีรนาราท้องขึ้นมาซะก่อน “ไม่ไปครับ ผมกลัวนีนจะลำบากถ้าเดินทางไกลมากเราเลยตกลงจะไปแค่ที่ภูเก็ตครับ”“นั่นสิเนอะกำลังท้องอยู่ด้วย แต่ก็ดีแล้วค่ะไม่ไกลมากแม่ก็ไม่ห่วงเสียดายที่ไปด้วยไม่ได้เพราะแม่ติดไปงานเลี้ยง ยังไงก็ดูแลน้องดีๆนะลูก มีอะไรให้รีบติดต่อแม่เลยนะคะ”วิภาดาสั่งอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่นีรนาราท้องเธอก็คอยดูแลตลอดเวลาไม่ต่างจากวิกรเพราะกลัวจะเกิดอันตรายแม้จะมีคนคอยช่วยดูแลตั้งมากมายก็ตาม“ครับผม ไม่ต้องห่วงนะครับ”“งั้นก็ไปพักผ่อนเถอะพรุ่งนี้จะได้ออกเช้าๆ”วิภาดาพยักหน้าให้ก่อนจะบอกให้ลูกไปพักเพราะเห็นว่าดึกแล้ว “ครับคุณแม่”—----------------------“ไหวมั้ยครับ”วิกรถามนีรนาราพลางประคองร่างบางด้วยความเป็นห่วง จนนีรนาราที่รู้สึกว่าได้รับการดูแลมากไปต้องยืนยันออกมาให้วิกรสบายใจอีกที“สบายมากค่ะพี่กร นีนไม่เป็นไรเลย”“ค่อยๆเดินนะครับ รถที่โรงแรมมารอเราแล้วเดินไปอีกนิดเดียว”“ค่ะ”“พักก่อนมั้ยครับ”“ไม่
“ไม่ไปโรงพยาบาลแน่นะครับ”วิกรถามด้วยความเป็นห่วงเพราะหลายวันมานี้นีรนารามีอาการป่วยบ่อยๆจนวันนี้ถึงกับลุกไปทำงานไม่ไหว แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลอยู่ดี“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่เวียนหัวนิดหน่อยนอนพักไม่นานก็หาย”“ตามใจครับ แต่ว่าถ้าไม่โอเครีบโทรหาพี่เลยนะครับรู้มั้ย”“รู้แล้วค่า พี่กรไม่ต้องห่วงหรอกนีนอยู่ได้คนในบ้านเยอะแยะลืมแล้วเหรอคะ พี่กรนั่นแหละนีนไม่ไปด้วยไหวแน่นะคะ”นีรนาราถามกลับด้วยสีหน้าไม่วางใจ เพราะช่วงนี้งานที่บริษัทเยอะมากๆจนแทบไม่มีเวลาพัก หากไม่มีเธอช่วยอีกคนเกรงว่าวิกรจะทำงานหนักเกินไป“ไหวสิครับ ทำงานแค่นี้พี่สบายมากคุณคิมเค้าเก่งขึ้นเยอะแล้ว”วิกรยืนยันก่อนจะเอ่ยถึงผู้ช่วยเลขาคนใหม่ที่รับเข้ามาได้สักพักเพื่อช่วยนีรนาราทำงานอีกแรง “‘งั้นก็ไปทำงานได้แล้วค่ะเดี๋ยวสาย”“โอเคครับที่รัก”—------------------------“แกแน่ใจนะนีนว่าจะทำแบบนี้อ่ะ ไม่กลัวคุณกรเค้าน้อยใจเหรอวะ”เปรมาถามด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนวางแผนจะทำอยู่ตอนนี้ แถมเธอยังกลายมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดโดยไม่ตั้งใจอีกต่างหาก “อือ พี่กรไม่ใช่คนคิดมากแบบนั้นสักหน่อย”“คิดแทนเค้าละหนึ่ง เอาดีๆนะเ
“หนาวมั้ยครับ”วิกรหันมาถามภรรยาที่เดินข้างๆด้วยความเป็นห่วง ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ญี่ปุ่นนั้นอากาศหนาวมากๆ มือหนาเอื้อมไปกระชับผ้าพันคอให้นีรนาราอีกครั้งแล้วจับมือเล็กมากุมไว้เหมือนเดิม“นิดหน่อยค่ะ พี่กรล่ะคะ”“เหมือนกันครับ แต่ว่าอากาศดีมากเลยไม่ได้เดินสูดอากาศแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ”วิกรบอกพลางยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี มองไปรอบๆที่มีผู้คนมากมายออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลอย่างคึกคักก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยได้สัมผัสกับงานอะไรแบบนี้ ถึงจะเคยไปเที่ยวกับครอบคัวก็ไม่เคยไปเดินเล่นเพราะขี้เกียจจนเอาแต่นอนซะมากกว่า“ก็พี่กรเอาแต่ทำงานไม่ยอมหยุดเลยนี่คะ นีนคิดว่าหยุดยาวนี้จะไม่ได้มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วซะอีก”“ต้องได้มาสิครับ พี่วางแผนไว้แล้วนี่นา”“แต่ความจริงก็ไม่ถึงกับต้องมาหลายวันก็ได้นะคะ เกรงใจคุณอัคคีเค้ามากเลย”นีรนาราอดจะพูดถึงคนที่มาดูแลบริษัทแทนวิกรไม่ได้ เมื่อวิกรขอหยุดยาวแล้วเรียกให้หุ้นส่วนน้อยนิดอย่างอัคคีเข้ามารับภาระไปเต็มๆจนอัคคีโวยวายอยู่นาน“ไม่ต้องไปเกรงใจมันหรอกครับ ยังไงนั่นก็งานมันเหมือนกัน อีกอย่างคนอย่างมันก็ไม่ได้จะไปไหนอยู่แล้วนอกจากอยู่บ้าน”“จริงเ
“ดูอะไรคะ”นีรนาราถามพลางเดินเข้าไปใกล้วิกรที่ดูอะไรบางอย่างในมือถืออยู่ ร่างสูงหันมายิ้มให้เจ้าสาวคนสวยก่อนจะยื่นมือถือให้ดู“ไออุ่นน่ะครับ เค้าส่งข้อความมายินดีแล้วก็ขอโทษที่เคยทำให้ลำบาก”“เค้าสบายดีใช่มั้ยคะ”นีรนาราถามหลังกวาดตาอ่านเพียงคร่าวๆแล้วส่งคืนให้เจ้าของ วิกรพยักหน้าแล้วเล่าถึงอดีตคนรักที่ไปเริ่มต้นใหม่ที่ต่างประเทศเพื่อรักษาจิตใจตัวเอง“ครับ เค้าย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วบอกว่าจะเปิดร้านขนมที่นั่นด้วย”“ถ้าเค้ามีความสุขได้จริงๆก็ดีนะคะ เค้าน่าสงสารมากๆเลย”นีรนาราบอกด้วยความเห็นใจเพราะรู้ว่าอริสาต้องต่อสู้กับการรักษาโรคซึมเศร้าที่เป็นอยู่ด้วย ไหนจะครอบครัวที่กดดันอยู่ตลอด ไหนจะต้องตัดใจจากความรักที่ฝังแน่นในใจมานานอีก เป็นใครก็คงทรมานไม่ต่างกัน“ไม่โกรธเค้าเหรอครับ”“ถามเหมือนไม่รู้จักนีนเลยนะคะ”“ล้อเล่นครับ พี่รู้ว่านีนไม่คิดอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว”วิกรยิ้มออกมาก่อนจะจับมือนีรนารามากดจูบลงที่หลังมือขาวอย่างเอาใจ ถึงจะไม่ได้รู้ใจทุกอย่างแต่ก็มั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองรู้จักว่าที่ภรรยาดีที่สุดกว่าใครทั้งนั้น นีรนาราที่ดูเหมือนเฉยชากับทุกอย่างแต่ในใจกลับอ่อนโยนและเห็นใจคนอื่นอยู่เ
ช่วงเวลายามดึกบนยอดดอยในช่วงเดือนธันวาคมนั้นอากาศค่อนข้างเย็นพอสมควร ยิ่งมีสายลมที่พัดผ่านไปเป็นระยะๆก็ยิ่งสร้างความหนาวให้กับนักท่องเที่ยวที่มาสัมผัสอากาศแบบนี้ไม่น้อย ไม่ต่างจากนีรนารากับวิกรที่พากันมาชมดาวบนดอยแห่งนี้ด้วยเช่นกัน เพราะตกลงกันว่าจะมาก่อนกำหนดแต่งงานเพื่อพากันมาดูดาวที่นี่ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะมากๆทั้งคู่เลยเลือกบ้านพักแทนตั้งเต้นท์เพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า“ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะมาถึงตรงนี้ได้”จู่ๆวิกรที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปจนนีรนาราที่กำลังมองดาวเพลินๆงง ร่างบางที่เอนตัวพิงอกแกร่งผละตัวออกมาก่อนจะมองหน้าวิกรแล้วถามด้วยความสงสัย“หมายถึงอะไรคะ”“ก็พอมองย้อนกลับไปแล้ว เรารู้จักกันทำงานด้วยกันมาตั้งนานไม่เคยนึกถึงภาพอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง ทำไมเราถึงไม่ได้ชอบกันตั้งแต่แรกเจอนะว่ามั้ย”“มันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีรักแรกพบนี่คะ อีกอย่างต่อให้เราเป็นแบบนั้นจริงก็ไม่แน่ว่าจะคบกันจนมาถึงวันนี้ได้นี่นา”นีรนาราตอบตามที่คิด ความรักเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อสำหรับเธอเสมอไม่ว่าจะในสถานะไหน จะแอบรัก รักแรกพบ หรือรักที่มั่นคงตั้งแต่เด็กจนถึงว
“นักธุรกิจที่มีบริษัทใหญ่โตอย่างคุณคงมองว่าที่นี่เล็กไปเลยสินะ”ประดิพัทธ์ถามพลางขำออกมาเบาๆ ในน้ำเสียงไร้ความประชดเพียงแต่พูดตามความเป็นจริงเพราะรู้ดีว่าวิกรนั้นบริหารธุรกิจที่ใหญ่มากขนาดไหน หากเป็นก่อนหน้าจะได้รู้จักกันคงมีแต่อคติเท่านั้น แต่พอได้ฟังเรื่องราวหลายๆอย่างจากวิภาดาคนเป็นแม่มาแล้ว จากที่ไม่ชอบใจก็กลายเป็นชื่นชมแต่ก็ไม่คิดแสดงออกมาให้เห็นง่ายๆวิกรมองใบหน้าคนที่เรียกมาคุยส่วนตัวในยามเย็นแบบนี้ ก่อนจะพยักหน้าและตอบออกมาตามความเป็นจริง“ถ้าถามขนาดก็ใช่ครับ แต่ถ้ามองในมุมนักธุรกิจผมว่ามันสามารถขยายไปได้ไม่ต่างจากของผมเลย”“หึ แค่พูดก็ฟังดูเหมือนจะทำได้นั่นแหละนะ แต่เอาเข้าจริงคุณก็รู้ว่ามันจะโตขนาดนั้นได้ก็ต้องใช้ทั้งเงินทั้งเวลาอีกไม่รู้เท่าไหร่”“ก็จริงครับ แต่ถ้าอยากให้ผมช่วยอะไรบอกได้เลยนะครับผมยินดี”วิกรบอกด้วยความจริงใจ ตั้งแต่มาถึงนี่ก็สังเกตและเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่เห็นผ่านตาตามนิสัยนักธุรกิจ รู้ดีว่าการพัฒนาที่นี่ไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรอย่างที่พ่อของนีรนาราว่า “ไม่รบกวนคุณหรอก ยังไงพวกเราก็แค่ทำเท่าที่ตัวเองยังสบายๆกันอยู่ไม่ได้หวังให้มันเติบโ
“คุณแม่จะไปไหนนะครับ”วิกรถามด้วยความตกใจเมื่อคนเป็นแม่โทรมาบอกว่าจะไปต่างจังหวัดสักพัก แต่ต่างจังหวัดที่ว่าคือบ้านของนีรนาราทำเอาตกใจจนต้องถามย้ำอีกครั้ง“ตกใจอะไรขนาดนั้นล่ะคะลูก แม่จะไปบ้านหนูนีนค่ะ”“ไม่ได้นะครับ ผมบอกแล้วไงว่าเค้ายังไม่ยอมรับที่ผมกับนีนคบกัน”วิกรรีบห้ามไว้ทันทีเมื่อแม่ตอบชัดเจน ที่บอกว่าอยากให้แม่ช่วยก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ไปถึงบ้านขนาดนี้ซักหน่อย“แม่รู้แล้วค่ะไม่ต้องย้ำ แต่แม่มีวิธีของแม่ก็แล้วกันน่าไม่ต้องห่วงหรอก”“แต่คุณแม่ครับ มันจะไม่แย่ลงใช่มั้ย”วิกรถามด้วยความกังวล กลัวว่าแม่จะไปรุกเกินจนอีกฝ่ายยิ่งไม่พอใจมากขึ้นอีก แต่วิภาดากลับถามย้อนลูกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งทันที“เชื่อใจแม่มั้ยคะ”“เชื่อสิครับ แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องจะไปคุยกันง่ายๆซะหน่อยคุณแม่ก็รู้ ไว้ผมหาวิธีเองดีกว่าครับ”วิกรตอบแบ่งรับแบ่งสู้ยังไม่อยากเสี่ยงอะไรมากในตอนนี้ ไม่รู้ว่าต้องรับมือกับพ่อของนีรนาราแบบไหนเพราะไม่เคยได้เจอหรือรู้จักมาก่อน แต่หากได้รู้จักตัวตนอีกนิดคงหาทางรับมือได้ไม่ยาก แต่คำตอบนั้นกลับสร้างความไม่พอใจให้คนเป็นแม่จนโวยวายออกมาอีกรอบ“โอ้ย แม่รอไม่ไหวแล้วค่ะเอาเป็
“มากันไวจังวะ”วิกรยิ้มทักทายเพื่อนสองคนที่นั่งรออยู่ในห้องเดิมที่เคยนัดกันมาดื่มประจำ ก่อนจะได้สายตาเหยียดๆมาจากทั้งพีรวิชญ์และอัคคีราวกับไปทำอะไรไม่ดีมาจนต้องหุบยิ้มทันที“ไม่มีใครไวทั้งนั้นมึงแค่มาเลยเวลานัดเองอย่าเนียน”“แหม่ แกล้งๆทำเหมือนดีใจที่เจอกูบ้างก็ได้เนอะ”วาิกรเบ้ปากใส่ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเพื่อนๆ “ทำไมกูต้องทำ ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”อัคคีว่าพลางมองวิกรแรงกว่าเดิมอย่างไม่คิดถนอมน้ำใจสักนิด หากเป็นคนอื่นมาเห็นคงคิดว่าเป็นศัตรูกันไม่น่าใช่เพื่อนสนิทแน่ๆ“อือ กูก็ไม่น่าเล่นแต่แรกเลย ไงพีนัทช่วงนี้ร้องเพลงจนเสียงแหบเลยเหรอมึงอ่ะ”“ก็นะ คนมันฮ็อตมากกูก็เหนื่อยเหมือนกัน”พีรวิชญ์ยืดอกรับคำชมอย่างไม่คิดจะถ่อมตัวสักนิดจนวิกรส่ายหัวให้กับความมั่นอกมั่นใจเกินเหตุของเพื่อน“พอกูจะชมก็เป็นแบบนี้แหละมึงอ่ะ มั่นหน้า”“ก็มีให้มั่นอ่ะค้าบ มึงเถอะได้ข่าวว่าโดนสกัดขาตั้งแต่นอกสนามเลยเหรอวะ”พีรวิชญ์ยักคิ้วกวนๆใส่เพื่อนก่อนจะถามกลับเชิงหยอก รู้ว่าวันนี้วิกรเรียกมารวมตัวเพราะอยากปรึกษาเรื่องที่บ้านของนีรนาราไม่ยอมรับการคบกันของทั้งคู่ เลยต้องทำหน้าที่เพื่อนที่ดีตัดกำลังใจกันหน่อย“กูไม่ได้ไปเ
“ค่ะพี่เหนือ”นีรนารารับสายจากขุนเขาด้วยความแปลกใจ เพราะปกติอีกฝ่ายแทบไม่เคยโทรมาหาหากไม่มีธุระจำเป็นจริงๆ ขนาดจะแชทคุยกันก็ยังนานๆครั้งเลยด้วยซ้ำ พอเป็นแบบนี้ใจคอก็ไม่ค่อยดีขึ้นมาเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับที่บ้านเธอ‘นีน คือพี่มีเรื่องอยากคุยด้วยตอนนี้สะดวกมั้ยครับ’“ได้ค่ะ พอมีเวลานิดนึงพี่เหนือมีอะไรเหรอคะ”นีรนารามองนาฬิกาที่ยังเหลือเวลาจากช่วงพักอยู่นิดหน่อยก่อนจะตั้งใจฟัง แต่ขุนเขากลับทิ้งช่วงไปสักพักก่อนจะพูดอึกอักจนนีรนาราพลอยลุ้นไปด้วย‘คือ พี่เผลอหลุดปากเรื่องที่นีนมีแฟนกับลุงพัทไปอ่ะครับ แต่พี่ไม่ได้ตั้งใจนะก็ลุงเค้ามาถามเรื่องแต่งงานพี่เลยอธิบายไปแต่พูดละเอียดเกินไปหน่อย พี่ขอโทษนะครับ…’ขุนเขาที่ตั้งใจจะโทรมาขอโทษอธิบายเสียงอ่อยอย่างรู้สึกผิด กลัวเหลือเกินว่านีรนาราจะเข้าใจผิดหลังจากคุยกับพ่อของนีรนาราเสร็จก็รีบโทรมาบอกทันที“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่เหนือ ยังไงวันนึงพ่อก็ต้องรู้อยู่แล้ว นีนเองก็ตั้งใจจะบอกเร็วๆนี้เหมือนกันค่ะ”นีรนารายิ้มออกมาได้เมื่อไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอย่างที่กลัว แต่จะว่าไม่กังวลก็ไม่ใช่เพราะรู้ดีว่าพ่อต้องโทรมาคุยภายในวันนี้แน่ๆ ไอ้ที่ว่าตั้งใจจะบอกก็ไม่