“เราเลิกกันเถอะ”
หนุ่มหน้าตาดีวัยยี่สิบแปดปีพูดน้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ราวกับสิ่งที่เปล่งออกมาจากปากเป็นแค่เพียงคำพูดปกติ ทว่าคนที่ได้ยินกลับรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงตรงหน้า
“ยุ กำลังจะแต่งงานเดือนหน้า”
วายุ ชายหนุ่มที่คบหาดูใจกับหญิงสาวมาเป็นเวลาเกือบห้าปี วางการ์ดแต่งงานสีครีมเรียบหรูที่มีชื่อของเขากับผู้หญิงคนหนึ่งตรงหน้าเธอ
หญิงสาวมองไปที่การ์ดใบนั้น การออกแบบเหมือนที่เขาและเธอเคยเลือกกันไว้เล่นๆ ว่าอยากจะใช้ในงานแต่งของทั้งสอง แต่เขากลับใช้มันในงานของเขากับผู้หญิงคนอื่น
มิลิน แอร์โฮสเตสสาวของสายการบินชื่อดังวัยยี่สิบแปดปี นั่งมองการ์ดใบนั้นนิ่ง ไม่มีเสียงใดเปล่งออกมาจากปากเธอ ตั้งแต่โดนชายหนุ่มบอกเลิก
หญิงสาวคิดว่าวันนี้เขานัดเธอมาดินเนอร์ปกติอย่างที่เคยทำ แต่เธอคิดผิด ‘ไม่สิ ไม่คาดคิดต่างหาก ว่าคนที่เธอรักจะกล้าทำเรื่องใหญ่แบบนี้ ’ มือเล็กกุมเข้าหากันแน่นจนอุ้งมือเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
ที่เธอนั่งเงียบไม่ใช่ว่าไม่มีคำพูด แต่มันกลับพูดไม่ออก เธอรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ รอบกายหยุดนิ่งราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บ หนาวไปถึงขั้วหัวใจ เธอพยายามประมวลทุกอย่างในสมองแล้วกลืนน้ำลายหนืดลงคอ พลางเงยหน้ามองชายหนุ่มที่กลายเป็นอดีตคนรักของเธอไปเมื่อหลายนาทีก่อน
“ทำแบบนี้ได้ยังไง” ประโยคที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเปล่งออกมาจากริมฝีปากบาง เธอพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะบังคับเสียงให้สั่นน้อยที่สุด
เธอมีคำถามมากมายที่อยากจะถามเขา แต่แค่ประโยคแรกที่เปล่งออกมามันช่างยากลำบากและเจ็บปวดเหลือเกิน เธอกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาไม่ให้ไหลลงมา มิลินไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายเลวๆ คนนี้
ชายหนุ่มได้ยินคำถามของเธอก็เป็นฝ่ายเงียบบ้าง กระทั่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เขาแล้วมองไปที่มิลินด้วยแววตาเยาะเย้ย
มิลินมองชายหนุ่มที่นั่งนิ่งกับหญิงสาวที่ยืนอยู่สลับกัน วายุตัดสินใจยืนขึ้นแล้วแนะนำผู้หญิงข้างกาย
“นี่ไลลา คนที่ยุกำลังจะแต่งงานด้วย”
“สวัสดีค่ะ คุณมิลิน อย่าลืมไปแสดงความยินดีกับเราทั้งสองนะคะ”
ไลลาเอ่ยเสียงหวาน แต่สายตาที่มองมิลินเต็มไปด้วยความเกลียดชัง จนมิลินยังสงสัยว่าเธอไปทำอะไรให้ผู้หญิงคนนี้
หลังจากเห็นสายตาที่เหนือกว่าของไลลา ทำให้หญิงสาวรวบรวมความกล้าลุกขึ้นประจันหน้ากับคนทั้งสองบ้าง
แอร์โฮสเตสสาวยืนขึ้นเต็มความสูงพร้อมแสยะยิ้มร้ายแล้วเดินเข้าไปใกล้ว่าที่เจ้าสาวของวายุ
“ทำไม จะตบฉันเหรอ” ไลลาถามเสียงดังอย่างท้าทาย
ผู้คนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ปกติแล้วหันมามองพวกเขาทั้งสามคนเป็นสายตาเดียวกัน
“ไม่หรอก เดี๋ยวอะไรสกปรกๆ จะติดมือ” มิลินส่งยิ้มหวานหลังจากพูดจบ
“แก!” ไลลาชี้หน้ามิลินอย่างโกรธจัด
“ทำไมเหรอ ฉันพูดผิดตรงไหน” มิลินมองคนทั้งสองแล้วทำสีหน้ารังเกียจ
“ถ้าฉันสกปรก แกก็สกปรกไม่ต่างกัน ก็เรามีผัวคนเดียวกันนี่” ไลลาพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“ไลลา พอได้แล้ว” วายุหันไปปรามว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจนะ ที่เอาของสกปรกออกไปไกลๆ ฉันจะได้ไม่ต้องกินมันร่วมกับแกอีก”
“กรี๊ด” ไลลากรีดร้องดังสนั่นอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้
“จุ๊ๆ อย่าพึ่งอกแตกตายสิ ยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ” มิลินเห็นท่าทางของไลลาก็รู้สึกสะใจไม่น้อย
“ลิน พอเถอะ” วายุหันมาปรามเธอบ้าง
“คนอย่างแกมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน เคยสำนึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำหรือเปล่า แม้แต่คำขอโทษสักคำฉันยังไม่ได้ยิน”
มิลินหันไปเล่นงานชายหนุ่มบ้าง แววตาที่เธอมองเขามันเต็มไปด้วยความขยะแขยงและสะอิดสะเอียนเต็มที
“ส่วนวันงานศพ ไม่ใช่สิ! งานแต่งของพวกแก ฉันคงไม่ว่างไป งั้นขอแสดงความยินดีตรงนี้เลยแล้วกัน”
หญิงสาวหันไปเห็นขวดแชมเปญจากโต๊ะข้างๆ เธอหยิบมันมาเขย่า จากนั้นเปิดฝาฉีดไปยังคนทั้งสองที่ยืนอยู่จนเปียกปอน
“ลิน!"
"แก!”
ทั้งสองตะโกนใส่มิลินอย่างพร้อมเพรียง แต่มาถึงขั้นนี้แล้วมีหรือที่เธอจะสนใจ หันไปกรีดยิ้มร้ายพร้อมพูดอวยพรคนทั้งสอง
“ฉันขอให้ชีวิตพวกแก หาความสุขไม่เจอ ไปลงนรกซะ!!”
หญิงสาวพูดจบรีบเดินออกมาจากบริเวณนั้น เสียงปรบมือชอบใจดังสนั่น ตามด้วยเสียงกรีดร้องของไลลาไล่ตามหลังเธอมา
มิลินเปิดประตูเข้าไปยังบันไดหนีไฟแล้วนั่งลงชิดกับผนังอย่างหมดแรง น้ำตามากมายไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่และเธอสุดจะห้ามมันแล้ว
หญิงสาวนั่งหันหน้าเข้าหาผนังแล้วใช้หน้าผากพิงมันอย่างต้องการที่ยึดเหนี่ยว มืออีกข้างกำเข้าหากันแน่นพร้อมกับทุบผนังอย่างแรงเพื่อระบายความเจ็บปวดที่อยู่ภายในจิตใจ เผื่อว่าความเจ็บปวดนอกกายจะทำให้ความเจ็บปวดที่อยู่ในใจทุเลาลงบ้าง แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย
ข้อนิ้วเล็กๆ ของเธอมีเลือดซึมออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำ จนมารู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกว่าผนังที่เธอทุบมันนิ่มขึ้นจนน่าแปลกใจ จึงเงยหน้าแดงก่ำที่เปรอะไปด้วยน้ำมูกน้ำตามองมือตนเอง เห็นมือใหญ่ของใครบางคนมารองรับไว้
หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาทว่าดูเจ้าชู้อย่างมึงงง
ชายคนนั้นเห็นสายตาของเธอก็พูดขึ้น
“เดี๋ยวกระดูกก็แตกหรอก”
“คุณเป็นใคร อย่ามายุ่งกับฉัน”
“ผมเป็นหมอ ผมสามารถรักษาแผลที่มือคุณได้นะ แต่แผลที่ใจคุณต้องรักษาเอง”
“ฉันไม่รักษาอะไรทั้งนั้น อย่ามายุ่ง! ฮึก” มิลินยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“แต่คุณทำให้ผมไม่ได้ดื่มแชมเปญขวดนั้น” หญิงสาวนึกถึงแชมเปญที่เธอใช้สาดสองคนนั้น ก็รู้ว่าเป็นของชายหนุ่ม
“หยิบเงินไปสิ” เธอโยนกระเป๋าใส่เขาแล้วพูดต่อด้วยเสียงกลั้นสะอื้น
“คุณก็ไปโทษพวกมันสองตัวด้วยสิ ฮึก”
“แต่คุณเป็นคนเอาไปสาดพวกเขาเองนะ” เขามองหน้าเธอนิ่ง
“ก็พวกมันทำฉันก่อนนี่” เธอใช้มือเล็กปาดน้ำตาลวกๆ มองคนตรงหน้า
“ในเมื่อพวกเขาทำร้ายหัวใจคุณ คุณยังจะมาซ้ำเติมตัวเองแบบนี้อีกเหรอ”
เขาปรายตามองนิ้วเรียวที่มีเลือดซึมออกมาของเธอ
“ฉันบอกว่าอย่ามายุ่งไง!” เธอตวาดเสียงดังด้วยความรำคาญใจ
ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเองก็ไม่ได้อยากยุ่ง แต่เธอดันทำสร้อยข้อมือหล่นข้างเก้าอี้เขา จึงเก็บมาคืนก็เท่านั้น
ครืด ครืด ~
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงยีนของเขาสั่นอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มรีบกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป
“ไปรอที่ร้านก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไป”
“เออๆ ไม่นาน”ชายหนุ่มวางสายแล้วหันไปมองเธอ เขาหยิบสร้อยข้อมือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีดำของตัวเองออกมาแล้วใส่มันลงไปในกระเป๋าสะพายของหญิงสาว แต่ก่อนออกไปเขาไม่ลืมที่จะถามเธออีกครั้ง
“จะให้ผมพาไปส่งที่รถหรือเปล่า”
“ฉันไม่มีรถ รถคันนั้นฉันซื้อให้เขา”เธอพึมพำอย่างรู้สึกสมเพชตัวเอง
มิลิน ซื้อรถยนต์คันนั้นให้วายุเป็นของขวัญวันเกิดของเขาเมื่อสองปีก่อน ส่วนบ้านที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็นชื่อของวายุ เพราะเขาเป็นคนซื้อและบอกว่าจะยกให้เป็นชื่อเธอในวันครบรอบห้าปีที่คบกัน แต่ดันเกิดเรื่องเสียก่อน
หญิงสาวลุกขึ้นเดินออกจากตรงนั้นแล้วไปขึ้นแท็กซี่ โดยไม่สนใจชายหนุ่มที่เดินตามหลังมา สายตาของเขามองตามรถคันนั้นไปจนพ้นสายตาโดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเธอคือที่ไหนกัน
L.B. Bar“เฮ้ย! ไอ้หมอ ทางนี้”นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของคนถูกเรียกหันไปทางเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ในมุมอับของร้านทิวากรหรือหมอทิว หมอหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดปีที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมลงมาจนเห็นแผงอกกับกางเกงยีนขายาวสีซีด เดินมานั่งลงบนโซฟานุ่มตรงข้ามเพื่อน ใบหน้าหล่อเหลา ทว่าเรียบเฉยกลับดูมีเสน่ห์น่าค้นหา จมูกโด่งเป็นสันดูโดดเด่น ริมฝีปากหนาอมชมพู ผิวพรรณขาวสะอาดดูสุขภาพดี เขาเป็นหมอผู้ชำนาญการอยู่แผนกสูตินรีเวชของโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง และเพื่อนๆ มักจะเอ่ยแซวว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องผู้หญิงทั้งภายนอกและภายใน“ไปไหนมา พวกกูรอตั้งนาน” รามิล หันไปถามคุณหมอหนุ่มรามิล ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เขาเกิดและโตที่ประเทศไทย ผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ผมสีทองขับผิวขาวๆ ของเขาให้ดูมีออร่า ชายหนุ่มเป็นทายาทเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งที่เอาแต่ ดื่ม เที่ยว สนุกกับพวกผู้หญิง เปลี่ยนคู่นอนเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า และมีคติที่ว่ากินแล้วไม่กินซ้ำ“นานเหี้ยไร ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง” หมอหนุ่มหันไปแหวใส่หนุ่มลูกครึ่งที่กำลังนั่งกระดกเหล้าเข้าปาก“คุณหมอพูดไม่เพราะเลยนะครับ” ขุนทศตำหนิเพื่อนขุนทศ ชาย
“พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า” ชายหนุ่มแกะแขนที่กอดเขาไว้แล้วหันกลับมามองใบหน้าแดงก่ำของเธอ ไล่ลงมาผ่านลำคอระหงหยุดอยู่ตรงเนินเนื้อที่โผล่ขึ้นมาพ้นบราลูกไม้สีขาวด้วยความรู้สึกวูบวาบมิลินไม่ตอบคำถามแต่กลับประกบริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว โดยชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัวแล้วสอดแทรกลิ้นร้อนที่มีความเฝื่อนของน้ำเมาเข้าไปควานหาความหอมหวานในโพรงปากนุ่มทิวากรไม่ขัดขืนการกระทำของเธอแม้แต่น้อยแต่กลับตอบรับมันได้อย่างดีโดยการจูบอย่างดูดดื่ม ลิ้นกระหวัดเกี่ยวแล้วดูดดึงกันจนอุ้งปากเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลาย ชายหนุ่มมิใช่พระอิฐพระปูน เมื่อมีผู้หญิงสวยๆ มาเสนอเขาก็ย่อมสนองชายหนุ่มผลักเธอลงบนเตียงอย่างแรงแล้วขึ้นคร่อม พร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกแล้วโยนมันลงพื้นราวกับเป็นสิ่งไร้ค่า ใบหน้าก้มลงซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่นสลับกับจูบอย่างดูดดื่มอีกครั้ง การจูบที่ช่ำชองของคนใต้ร่างทำให้เขารู้สึกร่างกายปั่นป่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและไม่เคยได้รับจากผู้หญิงคนไหน มันหอมหวาน ละมุนและร้อนแรงในเวลาเดียวกันราวกับกำลังมอมเมาเขาอยู่และดูว่าจะได้ผล ผมยาวสีน้ำตาลของเธอแผ่สยายบนเตียงขาว แสงไฟสลัวสีส้มจากโคมไฟหัวเตียงยิ่งส
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังเข้าสู่โสตประสาท จึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างรีบเร่ง เนื่องจากเขามีนัดตรวจคนไข้ในเช้านี้ ทิวากรรีบหยิบเสื้อผ้าที่ตกอยู่ตามพื้นขึ้นมาสวมใส่แล้วหันไปมองหญิงสาวที่ยังคงหลับใหลอยู่ ก่อนจะออกไปเขาไม่ลืมที่จะปลุกเธอเพื่อบอกสิ่งสำคัญที่เธอต้องไปจัดการ“คุณ อย่าลืมกินยาคุมฉุกเฉินด้วยนะ” ชายหนุ่มพูดออกมาเสียงดัง เขารู้ดีว่าการรับประทานยาชนิดนั้นอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของฝ่ายหญิง แต่ในเมื่อมันเป็นเหตุสุดวิสัยจึงจำเป็นที่จะต้องป้องกันไว้ก่อน“อื้อ” หญิงสาวรู้สึกรำคาญเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนพูดอยู่ข้างหู“เฮ้ อย่าลืมนะ” เขาย้ำเตือนเธออีกครั้ง“อือ” มิลินตอบรับส่งๆ“ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อน” เขาพูดเสร็จรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปทันทีช่วงบ่ายของวัน...หญิงสาวลืมตาขึ้นมาอัตโนมัติแล้วหันไปมองรอบๆ ด้วยความตกใจ เมื่อตั้งสติได้รีบพยุงร่างกายที่รู้สึกร้าวระบมไปทั้งตัวขึ้นนั่ง เธอไล่สายตาก้มมองสภาพตัวเองพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูจากสภาพก็รู้ว่าเมื่อคืนเธอทำอะไรลงไป แถมยังจำใบหน้าคนที่เธอนอนด้วยไม่ได้อีก พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออกจึงนั่งทึ้งผมแล้วตำหนิตัวเองอย่างหัวเ
สามอาทิตย์ต่อมา...“ตัดสั้นค่ะ”หญิงสาวนั่งบนเก้าอี้ตัวนิ่มในร้านทำผมแล้วบอกกับช่างอย่างหนักแน่น“น่าเสียดายผมนะคะ” ช่างสาวสวยมองผมลอนยาวสลวยของเธอแล้วนึกเสียดายแทน“อยากเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ นะคะ” มิลินสบตากับช่างผ่านกระจก “ได้ค่ะ พี่จะจัดให้สวย แซ่บ จะได้หาผู้ใหม่เอาให้ใหญ่กว่าเดิมไปเลย”มิลินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขำออกมาแล้วพูดขึ้น“อย่างกับรู้นะคะว่าหนูพึ่งโดนเทมา”“มองตาคุณน้องก็รู้แล้วค่ะ สายตามันไม่โกหกหรอก”มิลินส่งยิ้มแห้งให้ช่างผ่านกระจกอีกครั้ง แล้วช่างคนนั้นก็ลงมือจัดการผมเธอทันที อันที่จริงหญิงสาวเคยตัดผมสั้นไปครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน แต่อดีตคนรักอย่างวายุบอกว่าชอบให้เธอไว้ผมยาวมากกว่า เธอจึงทำตามความต้องการของเขามาตลอด ตอนนี้เธอไม่มีใครก็ถึงเวลาที่จะได้ทำอะไรตามใจตัวเองเสียทีL.CLUB 21.00 p.m.ร่างระหงในชุดสายเดี่ยวตัวสั้นสีแดงสด ด้านหลังแหวกลงมาถึงเอวโชว์แผ่นหลังเนียนใสน่าสัมผัส เท้าเรียวบนรองเท้าส้นสูงสีดำเดินนวยนาดเข้าไปในคลับที่มีเสียงเพลงดังสนั่นหูผมสั้นทรงบ็อบเทที่เธอพึ่งตัดยิ่งเพิ่มความโดดเด่น แพขนตางอนสวยรับกับดวงตากลมโต ปากเล็กทาลิปสติกสีแดงสดเพิ่มความแซ่บ ทุกอย่างบน
หญิงสาวหลับตาลงแล้วยกแขนเสื้อสูทของเขาขึ้นมาดมอยู่อย่างนั้น การกระทำของเธอตกอยู่ในสายตาของหมอหนุ่มตลอดเวลา คิ้วหนาขมวดกันยุ่งอย่างแปลกใจและรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล“คุณจะดมมันอีกนานมั้ย ประหลาดคน”เสียงทุ้มปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์แห่งความเคลิบเคลิ้ม เปลือกตาเล็กเปิดขึ้นอัตโนมัติแล้วหันมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ“คุณจะไปไหนก็ไป” เธอพูดเสียงติดรำคาญ“ห๊ะ” คิ้วที่ขมวดกันยุ่งในตอนแรกยิ่งผูกปมแน่นเพิ่มขึ้น หลังจากเห็นอารมณ์ไม่พอใจของหญิงสาวตรงหน้า“หรืออยากได้เสื้อคืน เอาไปสิ” มิลินลุกขึ้นยืน ดึงเสื้อสูทบนไหล่บางโยนคืนเขา แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าโทรหากอหญ้า ทั้งสองได้แลกเบอร์กันไว้ก่อนหน้านี้“หญ้า ลินกลับก่อนนะ รู้สึกไม่ค่อยสบาย”“ไม่ได้เป็นอะไรมาก โอเค ไว้เจอกันใหม่”มิลิน วางสายจากเพื่อนสาวเสร็จก็เดินออกไปจะโบกแท็กซี่หน้าคลับ ชายหนุ่มที่ยืนงงอยู่ในตอนแรกรีบเดินตามเธอไปแล้วกระชากแขนเล็กเพื่อให้หันมาคุยกับเขาก่อน“คุณเป็นอะไร อย่าบอกนะว่าโกรธที่ผมพูดเมื่อกี้” เขามองหน้าเธออย่างต้องการคำตอบ“ปล่อย” มิลินดึงแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาอย่างแรงจนเกิดรอยแดง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ปล่อยให้เ
แอร์โฮสเตสสาวสวยบินกลับมาในช่วงบ่ายหลัง จากไปประจำการอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็ม เมื่อมาถึงเธอรีบอาบน้ำแต่งตัว สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนรัดรูปสบายๆ เครื่องสำอางที่เคยจัดเต็มบนใบหน้า ตอนนี้ถูกแต่งแต้มอย่างเป็นธรรมชาติ ขาเรียวยาวก้าวลงจากแท็กซี่หลังจากรถจอดสนิทหน้าร้านอาหารชื่อดังเท้าก้าวฉับๆ บนรองเท้าส้นสูงสีครีมหยุดยืนอยู่หน้าร้าน Anytime ร้านอาหารหลากหลายสัญชาติสาขาแรกของเพื่อนสาว ในร้านมีทั้งอาหารคาว-หวานให้เลือกมากมายตามต้องการ ด้านหน้าเป็นโซนห้องแอร์เหมาะสำหรับการนั่งรับประทานอาหารแบบสบายๆ ส่วนด้านหลังจัดเป็นสวนสวยๆ ไว้ให้ลูกค้าถ่ายรูป สามารถนั่งรับประทานอาหารได้เช่นเดียวกันแต่จะเหมาะแค่ช่วงเย็นไปจนถึงค่ำเท่านั้นมือเล็กผลักประตูเข้าไปในร้านก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายและกลุ่มลูกค้ากำลังมองไปยังจุดเดียวกันนั่นก็คือโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดของร้าน มิลินรีบเดินเข้าไปเมื่อเห็นกอหญ้ากำลังยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของเธอเหมือนกำลังพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถมิลินเดินไปหยุดยืนข้างเพื่อนสาวแล้วถามขึ้นโดยไม่ได้หันมองว่าใครเป็นคนทำให้เธอมีท่าทางแบบนี้“มีอะไรรึเปล่าหญ้า” มิลิน
เพนต์เฮาส์ รามิล“จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดีวะ” รามิลปรายตามองชายหนุ่มผมสีควันบุหรี่ที่ตอนนี้มีสีหน้าเครียดจัดอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องนี้มึงผิด”ทิวากรพูดเสียงเรียบ“กูไปกินข้าวกับแจนมาก็จริง แต่กูไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลยซะหน่อย” ขุนทศยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกอึกใหญ่ชายหนุ่มสองคนหรี่ตามองเพื่อนพร้อมกันอย่างจับผิด ขุนทศเห็นสายตาของพวกเขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง“เออๆ เกือบได้กัน แต่กูรู้สึกผิดก่อนเลยไม่ทำต่อ” ขุนทศสารภาพความจริงออกมาในที่สุด“ไอ้เหี้ย!!” เพื่อนสนิททั้งสองตะโกนด่าอย่างเหลืออด“ขนาดพวกกูยังไม่เชื่อคนอย่างมึงเลย แล้วคิดว่าเมียมึงจะเชื่อเหรอ” รามิลส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ“กูสาบานว่าไม่ได้เอากันจริงๆ” คนถูกว่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วมองใบหน้าเพื่อนสองคนสลับกันเพื่อยืนยันว่าเขาพูดความจริง“ไปบอกเมียมึงโน่น” หนุ่มลูกครึ่งมองหน้าเพื่อนนิ่ง“จะเอาหรือไม่เอา แต่มึงทำในสิ่งที่เคยได้รับโอกาสไปแล้วว่ะ” ทิวากรพูดถึงความเป็นจริงรามิลพยักหน้าเห็นด้วยแล้วถอนหายใจออกมากับปัญหาที่เพื่อนกำลังเจอ ขุนทศนั่งมองแก้วที่อยู่ในมือนิ่งอย่างใช้ความคิด ทิวากรเห็นดังนั้นก็พูดต่อ“กอหญ้าคงไม่เชื่อใจมึงอีก แ
ชายหนุ่มในชุดกาวน์สีขาวสะอาด ผมสีดำจัดทรงเล็กน้อยดูเป็นธรรมชาติรับกับใบหน้าหล่อเหลา ตอนนี้ภายในใจของเขากลับรู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก ร่างสูงหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยนานหลายนาที กระทั่งตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้รบกวนคนที่นอนพักผ่อนอยู่ในห้องหญิงสาวในชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายชั่วโมง เนื่องจากสภาพร่างกายอ่อนเพลียมากเกินไป มือข้างซ้ายถูกเจาะมีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ หมอหนุ่มเดินไปหยุดยืนข้างๆ เตียง สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากเล็กแห้งผาก เขาอยู่เฝ้าเธอทั้งคืนจนกระทั่งเช้าจึงอาบน้ำแต่งตัวแล้วเข้างานทันที และเวลานี้เป็นช่วงพักกลางวัน เขาจึงแวะมาดูหญิงสาวอีกครั้งเพราะมีเรื่องสำคัญมากอยากจะคุยกับเธอกว่าสิบนาทีที่เขายืนมองใบหน้าของคนที่นอนหลับอยู่ เปลือกตาเล็กค่อยๆ เปิดขึ้นพร้อมปรับสายตาสู้กับแสงไฟ หลังจากปรับสายตาเต็มที่แล้วคนแรกที่เธอเห็นก็คือ หมอหนุ่มอย่างทิวากรเขาปรับเตียงให้เธอสบายตัวมากขึ้น หลังจากนอนมาเป็นเวลานานแล้วเทน้ำใส่แก้วยื่นให้โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมา มิลินรับน้ำมาดื่มและยังรู้สึกสะลึมสะลือเพราะฤทธิ
หนึ่งปีต่อมา...“จ๊ะเอ๋!”ลูกพีชยกมือขึ้นปิดตาตัวเองแล้วแยกออกในเวลาต่อมาเป็นการเล่นซ่อนแอบกับหนูน้อยวัยหนึ่งขวบที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจอยู่สักพักแล้ว“เอิ๊กๆ เอิ๊กๆ”หลังจากหนูน้อยลูกพลัมหัวเราะจนหมดพลังงานก็เริ่มเบะปากทำสีหน้างอแงเพราะหิวนม ลูกพีชเห็นอาการของน้องชายก็รีบลุกขึ้นไปหยิบขวดนมที่วางอยู่ไม่ไกลมา พร้อมกับให้น้องนอนลงแล้วถือขวดนมป้อนลูกพลัมอยู่อย่างนั้น แม้ว่าความเป็นจริงน้องชายของเธอจะถือขวดนมได้แล้วก็ตาม แต่ลูกพีชชอบป้อนนมให้เองมากกว่ามิลินเดินออกมาจากห้องครัว หลังจากเข้าไปต้มน้ำร้อนไว้ชงนมให้ลูกเสร็จ โดยฝากลูกพีชช่วยดูแลน้องให้สักครู่ ทว่าเมื่อเดินออกมาก็ต้องยิ้มแป้นกับภาพที่เห็น ลูกสาวกำลังถือขวดนมป้อนน้อง ใบหน้าจิ้มลิ้มส่งรอยยิ้มหวานให้ลูกพลัมตลอดเวลาเด็กตัวน้อยดูดนมอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย มองใบหน้าพี่สาวตาใสแจ๋วอย่างไร้เดียงสา“ป้อนนมให้น้องเหรอคะลูก”“ค่ะ น้องหิวนม”“ให้น้องถือเองก็ได้นะคะ ลูกพีชจะได้ไม่เมื่อย”“ลูกพีชยังไม่เมื่อยค่ะ อยากถือให้น้อง”หญิงสาวนั่งลงบนเบาะข้างลูกทั้งสองแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง ลูกพลัมที่ดูดนมจนอิ่มหนำสำราญแล้วลุกขึ้นนั่งพร้อมกับปรบมือแ
คิก คิก~ หนูน้อยลูกพีชหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ขณะกำลังวิ่งไล่จับฟองสบู่กลมๆ ที่มารดายิงออกมาจากปืนเป่าฟองมิลินกับลูกพีชเข้ามานั่งบริเวณสวนหลังบ้านในช่วงบ่ายคล้อยของวัน เธอมักจะหากิจกรรมให้ลูกน้อยทำในช่วงวันหยุด อย่างวันนี้หลังจากลูกพีช วาดภาพระบายสีสร้างสรรค์ผลงานตามประสาเสร็จ เธอก็จะให้ลูกสาวเล่นอย่างอิสระ“ของกินเล่นมาแล้วจ้ะ” ละอองดาวที่เข้าครัวไปเตรียมอาหารทานเล่นให้หลานสาวสุดที่รัก เดินออกมาพร้อมตะกร้าใส่อาหารแล้วหยุดยืนบริเวณเสื่อผืนใหญ่ที่มีลูกสะใภ้นั่งอยู่ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามเธอหนูน้อยที่กำลังวิ่งอย่างสนุกสนานในตอนแรก เมื่อเห็นผู้เป็นย่าก็รีบเดินเข้ามาหาแล้วนั่งลงข้างๆ พร้อมกับยกแก้วน้ำหวานของตัวเองขึ้นดื่มเข้าไปอึกใหญ่ด้วยความรู้สึกเหนื่อย แก้มป่องๆขึ้นสีแดงระเรื่อ“ค่อยๆ ดื่มค่ะ เดี๋ยวจะสำลัก” มิลิน บอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วมองดูอยู่อย่างนั้นลูกพีชทำตามผู้เป็นมารดาอย่างว่าง่ายแล้ววางแก้วลงไว้ที่เดิม พร้อมกับหันไปฉีกยิ้มกว้างมองผู้ใหญ่สองคนตรงหน้า“ย่า ทอดเฟรนช์ฟรายส์มาให้จ้ะ” ละอองดาวเอ่ยบอกหลานด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุงค่า” หนูน้อยยกมือป้อมๆ ขึ้นไหว้ขอบคุณผู้เป็น
สองสามีภรรยาที่อยู่ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ภายในห้องน้ำกำลังพูดคุยถึงเรื่องราวของลูกสาวตัวน้อย ร่างอวบอิ่มของผู้เป็นภรรยาแทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของสามีหนุ่ม พร้อมกับเอนแผ่นหลังพิงกับหน้าอกแกร่ง โดยมีเรียวแขนโอบกอดเธอไว้จากด้านหลังภายใต้น้ำอุ่นที่มีฟองสบู่นุ่มละมุนส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนรู้สึกผ่อนคลายมือใหญ่ลูบสัมผัสไปมาบริเวณหน้าท้องนูนของภรรยาสาว หูของเขายังคงตั้งใจฟังคำพูดที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากเล็กที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซึ่งเป็นคำพูดที่เขามักจะได้ยินเป็นประจำจนแทบจะจดจำได้ทุกคำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ หลุดลอดออกมาจากปากเขา เนื่องจากอยากให้หญิงสาวพูดให้จบก่อน“คุณนะชอบตามใจลูก จนแกเริ่มเคยตัวและคิดว่าถ้าอ้อนแบบนั้นแล้วจะได้ทุกอย่างที่อยากได้ เพราะยังไงคุณซื้อให้แทบจะทันที จนของเล่นบางอย่างที่ได้มาไม่ได้เล่นด้วยซ้ำ แล้วแกก็ขอของเล่นชิ้นใหม่อีกเรื่อยๆ คุณต้องปล่อยให้รู้จักรอเสียบ้าง ไม่ใช่พออยากได้อะไรก็ประเคนหาให้แทบทุกอย่าง”“ก็ผมชอบใจอ่อนนี่”“คุณก็ต้องใจแข็งให้เป็น ไม่อย่างนั้นลูกจะเคยตัว”“ถึงผมไม่ให้ คุณแม่ก็ซื้อให้อยู่ดี เพราะรายนั้นตามใจหลานหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น”“ฉ
(Flowers of love)ร้านดอกไม้สไตล์มินิมอลสีขาวสะอาดตัดกับสีของดอกไม้นานาพันธุ์ดูสวยสบายตา ร้านแห่งนี้เปิดมาได้เกือบสองปีและมักจะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตกหลุมรักหนูน้อยผู้มีเสียงเจื้อยแจ้วคนนี้“ฉวยค่า”แปะ แปะ!ริมฝีปากบางอมชมพูของหนูน้อยวัยเกือบสามขวบเอ่ยปากชมเปาะ พร้อมกับยกมืออวบขึ้นมาปรบมืออย่างชอบใจ เมื่อผู้เป็นมารดาปักก้านดอกกุหลาบสีแดงสดลงในแจกันเป็นดอกสุดท้ายหนูน้อยลูกพีช ในชุดกระโปรงเจ้าหญิงสีขาวฟูฟ่อง ขับผิวอมชมพูให้ดูโดดเด่น ดวงตากลมโตมีแพขนตางอนสวย ปากนิดจมูกหน่อยดูน่ารัก ผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดขึ้นเป็นทรงโดนัทไว้กลางหัว เผยให้เห็นแก้มกลมๆ มีเลือดฝาด ที่ไม่ว่าใครเห็นก็อยากฝังจมูกลงบนแก้มสองข้างนั้นอย่างรู้สึกมันเขี้ยว ใบหน้าจิ้มลิ้มของหนูน้อยมีความคล้ายคลึงกับผู้เป็นมารดามากกว่า ทว่านิสัยกลับได้บิดามาเต็มๆร่างอวบอิ่มมีน้ำมีนวลในชุดสีครีมตัวยาวซึ่งมีอายุครรภ์ห้าเดือนเศษกำลังนั่งช่วยกันจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่บริเวณโซฟาภายในร้านกับลูกสาว เพื่อรอให้สามีหนุ่มอย่างทิวากรแวะมารับกลับบ้านพร้อมกันและอีกสักพักก็คงมาถึง เนื่องจากร้านของเธอไม่ไกลจากโรงพยาบา
สามเดือนต่อมา...“เป็นยังไงบ้างลูก” ละอองดาวหันไปถามลูกสะใภ้ที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ ใบหน้าหวานเหยเกเล็กน้อย มือเล็กลูบไปมาบริเวณหน้าท้องกลมโตที่อีกไม่กี่วันก็จะมีอายุครรภ์ครบเก้าเดือนพอดี“มันปวดๆ หายๆ นะคะ” ร่างอวบอิ่มในชุดนอนกระโปรงสีขาวบอกกับแม่สามี ช่องท้องบีบกันเป็นระยะๆ จนรู้สึกเจ็บไม่น้อยวันนี้ละอองดาวเข้ามานอนเป็นเพื่อนลูกสะใภ้เพราะทิวากรต้องไปอยู่เวรที่โรงพยาบาล เธอกังวลว่าหญิงสาวอาจจะปวดท้องคลอดในช่วงเวลากลางคืนและช่วงนี้เธอท้องแก่มากแล้ว ถึงแม้กำหนดคลอดจริงๆ จะเป็นอีกสี่วันข้างหน้าก็ตาม แต่ระหว่างนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้จึงคอยเฝ้าดูอาการไม่ห่าง สองสามวันมานี้ หญิงสาวมักจะมีอาการปวดท้องเตือนหลายครั้ง แต่วันนี้กลับดูเหมือนว่าจะปวดถี่เป็นพิเศษจึงไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวน้อยอยากออกมาแล้วหรือเปล่าและคิดว่าจะรอดูอาการอีกสักพัก“ดีขึ้นแล้วค่ะ” มิลินพูดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วพ่นออกมาสุดแรง ละอองดาวที่คอยมาดูแลมองหน้าลูกสะใภ้อย่างให้กำลังใจ เธอรู้ดีว่าอาการพวกนี้ทรมานขนาดไหนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก สีหน้าของเธอ เริ่มแสดงความเจ็บปวดออกมาอีกครั้งพร้อมกับใช้มือเล็กกุมท้องไว้แน่น
ร่างเล็กที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านในช่วงสายของวัน มุ่งหน้าไปทางห้องครัวทันทีเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกะทิลอยมาเตะจมูก ครั้นพอไปถึงก็เห็นลูกสะใภ้ยืนอยู่หน้าเตาแก๊ส มือเล็กของเธอกำลังกดปุ่มปิดเตาพอดี ละอองดาวจึงเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“หนูลิน ทำอะไรอยู่ลูก”มิลินตรวจดูความเรียบร้อยตรงหน้าเสร็จก็หันไปมองแม่สามี แล้วเริ่มนำเสนอขนมหวานฝีมือเธอด้วยน้ำเสียงสดใส จนคนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับยิ้มตามด้วยความเอ็นดู“ทำขนมบัวลอยค่ะ พี่ทิวบอกว่าคุณแม่ชอบทาน หนูเลยอยากลองทำให้ชิม รับรองว่าอร่อยและไม่หวานเกินไปค่ะ”“ไม่เห็นต้องลำบากเลย”“ไม่ลำบากเลยค่ะ หนูอยากทำให้” หญิงสาวคิดว่าตัวเองว่างเกินไปจนรู้สึกไม่ค่อยดีและรู้มาจากทิวากรว่าผู้เป็นแม่ชอบรับประทานขนมบัวลอยมาก จึงอยากทำให้ท่านได้ชิม“ขอบใจจ้ะ โชคดีของเจ้าทิวกับแม่จริงๆ ที่ได้หนูลินมาอยู่ด้วย” รอยยิ้มกว้างฉายชัดบนใบหน้างาม สายตาบ่งบอกว่าคนที่พูดรู้สึกแบบนั้นจริงๆ“หนูก็โชคดีเหมือนกันค่ะ”มิลินเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะเจอกับความโชคดีแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาเธอมักจะพบกับการที่ต้องพยายามอย่างมากมายเพ
ร่างอวบอิ่มของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงในห้องตรวจรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย วันนี้เธอมีนัดอัลตราซาวด์เพื่อดูลูกน้อยในครรภ์วัยหกเดือนเศษ แววตาตื่นเต้นฉายชัดบนใบหน้าหวานที่มองไปยังจอภาพด้านหน้าอย่างตั้งใจข้างๆ มีคุณหมอหนุ่มซึ่งพ่วงตำแหน่งสามีและว่าที่คุณพ่อกำลังใช้เครื่องมือตรวจวนไปมาบริเวณหน้าท้องนูนเป็นเวลาหลายนาที คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันยุ่ง สีหน้าไม่ต่างจากเดือนก่อนเท่าใดนักเพราะเคยทำการตรวจแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากเจ้าตัวน้อยในท้องหนีบขาไว้ไม่ให้รู้เพศของเขา“ขี้อายแบบนี้ สงสัยจะเป็นผู้หญิง” มิลินเอ่ยขึ้นสายตายังคงจดจ่ออยู่กับจอภาพที่ปรากฏรูปร่างของลูกตัวน้อย“ที่แน่ๆ จมูกโด่งเชียว” คุณหมอหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม มือยังคงจับเครื่องตรวจวนไปมาอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะหวังว่าลูกจะยอมเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รู้เสียที“ถ้าเขายังไม่อยากให้รู้ ก็คงต้องรอตอนคลอดแล้วละค่ะ” ว่าที่คุณแม่เอ่ยกับคนข้างกายที่ดูจะผิดหวังเล็กน้อย เธอเองก็อยากรู้ไม่ต่างกัน แต่ดูเหมือนว่าลูกตัวน้อยอาจจะอยากเซอร์ไพรส์พวกเขามากกว่า“งั้นขอฟังเสียงหัวใจหน่อยแล้วกัน”คุณหมอหนุ่มพยักหน้าเข้าใจแล้วเลื่อนมือไปกดปุ่มเปิดเสียงจังหวะก
สองสามีภรรยาร่างกายเปล่าเปลือย ที่อยู่บริเวณเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ามีกระจกบานใหญ่สะท้อนร่างของทั้งสอง กำลังเจรจาเรื่องก่อนหน้าอย่างไม่จริงจังนัก คนตัวสูงยืนแทรกตัวอยู่ระหว่างเรียวขาทั้งสองข้างของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนขอบเคาน์เตอร์อ่าง มือใหญ่ล็อกท้ายทอยให้เงยหน้าสบตาเขา ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่าย“ที่รัก จะหาผัวใหม่เหรอครับ”"แค่ล้อเองเองนะคะ อื้อ”หลังพูดจบ ทิวากรรีบตะปบริมฝีปากบาง สอดแทรกลิ้นร้อนเข้าไปกระหวัดเกี่ยวอย่างดูดดื่ม มิลินยกเรียวแขนโอบคอเขาแล้วตอบสนองสัมผัสนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ ศึกที่สุดแสนจะวาบหวามนี้ดูเหมือนว่าฝ่ายไหนถอนริมฝีปากออกก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ไปหญิงสาวที่กำลังส่งสัมผัสสุดเร่าร้อนนึกอยากแกล้งสามีหนุ่ม รีบฉวยโอกาสใช้มือเล็กกอบกุมความเป็นชายของเขาที่กำลังพองตัวเต็มที่แล้วรูดมันสองสามครั้งพร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือถูวนบนหัวหยักสีชมพูที่มีน้ำปริ่มออกมา จนชายหนุ่มที่กำลังจดจ่ออยู่กับรสสัมผัสอันดูดดื่มถึงกับต้องผละริมฝีปากออกมาครางเสียงกระเส่าด้วยความเสียวซ่านอย่างทนไม่ไหว“อ่าส์ ซี๊ด แสบนักนะ”หญิงสาวเห็นฝีมือตัวเองก็เกิดความพึงพอใจพร้อมกับส่ง
เสร็จจากการรับประทานอาหาร ทิวากรปลีกตัวออกไปรับสายโทรศัพท์ด้านนอก มิลินจึงเดินไปนั่งในห้องนั่งเล่นเพื่อรอชายหนุ่มจะได้ขึ้นไปบนห้องพร้อมกัน เธอเดินเข้าไปก็เห็นแม่สามีกำลังนั่งแกะกล่องของแบรนด์เนมที่ซื้อมาจากต่างประเทศอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับต่างๆ หญิงสาวเดินไปหย่อนตัวลงบนโซฟาโดยรักษาระยะห่างกับละอองดาวพอสมควร“ตอนนี้ยังทำงานอยู่รึเปล่า” ละอองดาวเอ่ยถามเสียงเรียบ หลังจากเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามา“ไม่ได้ทำแล้วค่ะ” มิลินตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอค่อนข้างที่จะเกร็งเล็กน้อยเมื่อต้องพูดคุยกับละอองดาว“แล้วคิดจะทำงานมั้ย” ใบหน้ายังคงง่วนอยู่กับกระเป๋าแบรนด์เนมที่พึ่งแกะออกมา หูก็รอฟังคำตอบ“รอให้คลอดก่อนค่ะ แล้วจะกลับไปทำงาน”“ไม่อยากเลี้ยงลูกเองเหรอ”“ก็อยากเลี้ยงเองนะคะ แต่หนูอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้พี่ทิวด้วย” อย่างน้อยๆ หาเงินสองคนก็ย่อมดีกว่าหาอยู่คนเดียว เธอคิดแบบนั้น“ไม่อยากอยู่แบบสบายๆ เหรอ ถ้าอยากได้ทรัพย์สินของลูกชายฉัน เธอแค่เซ็นใบหย่าก็จบแล้ว” คำพูดของละอองดาวทำให้มิลินถึงกับชะงัก“หนูไม่ได้ต้องการทรัพย์สินเงินทองนะคะ” น้ำเสียงจริงจังเปล่งออกจากริมฝีปากบาง ละอองดา