หญิงสาวหลับตาลงแล้วยกแขนเสื้อสูทของเขาขึ้นมาดมอยู่อย่างนั้น การกระทำของเธอตกอยู่ในสายตาของหมอหนุ่มตลอดเวลา คิ้วหนาขมวดกันยุ่งอย่างแปลกใจและรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล“คุณจะดมมันอีกนานมั้ย ประหลาดคน”เสียงทุ้มปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์แห่งความเคลิบเคลิ้ม เปลือกตาเล็กเปิดขึ้นอัตโนมัติแล้วหันมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ“คุณจะไปไหนก็ไป” เธอพูดเสียงติดรำคาญ“ห๊ะ” คิ้วที่ขมวดกันยุ่งในตอนแรกยิ่งผูกปมแน่นเพิ่มขึ้น หลังจากเห็นอารมณ์ไม่พอใจของหญิงสาวตรงหน้า“หรืออยากได้เสื้อคืน เอาไปสิ” มิลินลุกขึ้นยืน ดึงเสื้อสูทบนไหล่บางโยนคืนเขา แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าโทรหากอหญ้า ทั้งสองได้แลกเบอร์กันไว้ก่อนหน้านี้“หญ้า ลินกลับก่อนนะ รู้สึกไม่ค่อยสบาย”“ไม่ได้เป็นอะไรมาก โอเค ไว้เจอกันใหม่”มิลิน วางสายจากเพื่อนสาวเสร็จก็เดินออกไปจะโบกแท็กซี่หน้าคลับ ชายหนุ่มที่ยืนงงอยู่ในตอนแรกรีบเดินตามเธอไปแล้วกระชากแขนเล็กเพื่อให้หันมาคุยกับเขาก่อน“คุณเป็นอะไร อย่าบอกนะว่าโกรธที่ผมพูดเมื่อกี้” เขามองหน้าเธออย่างต้องการคำตอบ“ปล่อย” มิลินดึงแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาอย่างแรงจนเกิดรอยแดง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ปล่อยให้เ
แอร์โฮสเตสสาวสวยบินกลับมาในช่วงบ่ายหลัง จากไปประจำการอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็ม เมื่อมาถึงเธอรีบอาบน้ำแต่งตัว สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนรัดรูปสบายๆ เครื่องสำอางที่เคยจัดเต็มบนใบหน้า ตอนนี้ถูกแต่งแต้มอย่างเป็นธรรมชาติ ขาเรียวยาวก้าวลงจากแท็กซี่หลังจากรถจอดสนิทหน้าร้านอาหารชื่อดังเท้าก้าวฉับๆ บนรองเท้าส้นสูงสีครีมหยุดยืนอยู่หน้าร้าน Anytime ร้านอาหารหลากหลายสัญชาติสาขาแรกของเพื่อนสาว ในร้านมีทั้งอาหารคาว-หวานให้เลือกมากมายตามต้องการ ด้านหน้าเป็นโซนห้องแอร์เหมาะสำหรับการนั่งรับประทานอาหารแบบสบายๆ ส่วนด้านหลังจัดเป็นสวนสวยๆ ไว้ให้ลูกค้าถ่ายรูป สามารถนั่งรับประทานอาหารได้เช่นเดียวกันแต่จะเหมาะแค่ช่วงเย็นไปจนถึงค่ำเท่านั้นมือเล็กผลักประตูเข้าไปในร้านก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายและกลุ่มลูกค้ากำลังมองไปยังจุดเดียวกันนั่นก็คือโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดของร้าน มิลินรีบเดินเข้าไปเมื่อเห็นกอหญ้ากำลังยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของเธอเหมือนกำลังพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถมิลินเดินไปหยุดยืนข้างเพื่อนสาวแล้วถามขึ้นโดยไม่ได้หันมองว่าใครเป็นคนทำให้เธอมีท่าทางแบบนี้“มีอะไรรึเปล่าหญ้า” มิลิน
เพนต์เฮาส์ รามิล“จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดีวะ” รามิลปรายตามองชายหนุ่มผมสีควันบุหรี่ที่ตอนนี้มีสีหน้าเครียดจัดอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องนี้มึงผิด”ทิวากรพูดเสียงเรียบ“กูไปกินข้าวกับแจนมาก็จริง แต่กูไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลยซะหน่อย” ขุนทศยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกอึกใหญ่ชายหนุ่มสองคนหรี่ตามองเพื่อนพร้อมกันอย่างจับผิด ขุนทศเห็นสายตาของพวกเขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง“เออๆ เกือบได้กัน แต่กูรู้สึกผิดก่อนเลยไม่ทำต่อ” ขุนทศสารภาพความจริงออกมาในที่สุด“ไอ้เหี้ย!!” เพื่อนสนิททั้งสองตะโกนด่าอย่างเหลืออด“ขนาดพวกกูยังไม่เชื่อคนอย่างมึงเลย แล้วคิดว่าเมียมึงจะเชื่อเหรอ” รามิลส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ“กูสาบานว่าไม่ได้เอากันจริงๆ” คนถูกว่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วมองใบหน้าเพื่อนสองคนสลับกันเพื่อยืนยันว่าเขาพูดความจริง“ไปบอกเมียมึงโน่น” หนุ่มลูกครึ่งมองหน้าเพื่อนนิ่ง“จะเอาหรือไม่เอา แต่มึงทำในสิ่งที่เคยได้รับโอกาสไปแล้วว่ะ” ทิวากรพูดถึงความเป็นจริงรามิลพยักหน้าเห็นด้วยแล้วถอนหายใจออกมากับปัญหาที่เพื่อนกำลังเจอ ขุนทศนั่งมองแก้วที่อยู่ในมือนิ่งอย่างใช้ความคิด ทิวากรเห็นดังนั้นก็พูดต่อ“กอหญ้าคงไม่เชื่อใจมึงอีก แ
ชายหนุ่มในชุดกาวน์สีขาวสะอาด ผมสีดำจัดทรงเล็กน้อยดูเป็นธรรมชาติรับกับใบหน้าหล่อเหลา ตอนนี้ภายในใจของเขากลับรู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก ร่างสูงหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยนานหลายนาที กระทั่งตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้รบกวนคนที่นอนพักผ่อนอยู่ในห้องหญิงสาวในชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายชั่วโมง เนื่องจากสภาพร่างกายอ่อนเพลียมากเกินไป มือข้างซ้ายถูกเจาะมีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ หมอหนุ่มเดินไปหยุดยืนข้างๆ เตียง สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากเล็กแห้งผาก เขาอยู่เฝ้าเธอทั้งคืนจนกระทั่งเช้าจึงอาบน้ำแต่งตัวแล้วเข้างานทันที และเวลานี้เป็นช่วงพักกลางวัน เขาจึงแวะมาดูหญิงสาวอีกครั้งเพราะมีเรื่องสำคัญมากอยากจะคุยกับเธอกว่าสิบนาทีที่เขายืนมองใบหน้าของคนที่นอนหลับอยู่ เปลือกตาเล็กค่อยๆ เปิดขึ้นพร้อมปรับสายตาสู้กับแสงไฟ หลังจากปรับสายตาเต็มที่แล้วคนแรกที่เธอเห็นก็คือ หมอหนุ่มอย่างทิวากรเขาปรับเตียงให้เธอสบายตัวมากขึ้น หลังจากนอนมาเป็นเวลานานแล้วเทน้ำใส่แก้วยื่นให้โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมา มิลินรับน้ำมาดื่มและยังรู้สึกสะลึมสะลือเพราะฤทธิ
“พูดอะไรน่าเกลียด” เธอตำหนิคนตรงหน้าเบาๆ“เรื่องน่าเกลียดที่คุณว่า ดันสร้างเด็กคนนั้นขึ้นมาซะด้วยสิ” หมอหนุ่มพูดแล้วมองไปที่หน้าท้องของเธอ จากนั้นเงยมองสีหน้าเคร่งเครียดที่ปิดไม่มิดของหญิงสาวแล้วพูดต่อ“เอาเป็นว่า เราสองคนมีส่วนทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น”“คุณมั่นใจได้ยังไงว่าเป็นลูกของคุณ”“คุณไปมั่วกับคนอื่นหลังจากเอากับผมเหรอ” เขาถามด้วยคำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวใจ“จะบ้าเหรอ” เธอแหวใส่เขาแล้วรีบเช็ดน้ำตาลวกๆ“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล”“ฉันจะเป็นแม่คนได้เหรอ” มิลินพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ไม่รอดหูชายหนุ่ม“สัญชาตญาณความเป็นแม่จะสอนคุณเอง”“แล้วเราจะเอายังไงต่อ ฉันไม่แต่งงานและไม่อยู่กับคุณ” ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วเธอจึงบอกความต้องการของตัวเองไป“เรื่องไม่แต่งงานผมเห็นด้วย แต่เรื่องหลังผมไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้นเราจะอยู่ด้วยกัน...เพื่อลูก”“ฉันไม่อยู่” เธอปฏิเสธน้ำเสียงหนักแน่น“เพราะ?” เขาขมวดคิ้วถามเธออย่างไม่เข้าใจ ใครๆ ก็อยากอยู่กับเขาด้วยกันทั้งนั้น“ฉันไม่อยากผูกพันกับใครอีกแล้ว” เธอกลัวความผูกพันมากหลังจากต้องเลิกรากับวายุไป“กลัวจะหลงรักผม?”“หลงต
“อะ..แฮ่ม”เสียงกระแอมดังอยู่ไม่ไกลปลุกหมอหนุ่มให้ลืมตาตื่นขึ้นมาอัตโนมัติ หลังจากเผลอหลับไปพร้อมกับคนข้างกายโดยไม่รู้ตัว โชคดีว่าวันนี้เขาตรวจคนไข้ที่นัดไว้เสร็จแล้วและไม่ต้องอยู่เวรจึงมีเวลามาดูแลเธอได้สายตาของเขามองไปที่เจ้าของเสียงก็เห็นว่าเป็นเพื่อนชายคนสนิททั้งสองกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ภายในห้อง สายตาสองคู่จับจ้องมาที่เขาและหญิงสาวในอ้อมแขนสลับกัน ทิวากรเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นเบาๆ มองหญิงสาวที่ยังคงหลับสบายพร้อมจัดท่านอนให้ แล้วเดินนำเพื่อนออกจากห้องเพราะเกรงว่าจะเสียงดังรบกวนคนที่นอนหลับอยู่ระหว่างทางเดินไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่รามิลกับขุนทศที่มองหน้ากันแล้วอมยิ้ม หลังจากทิวากรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สองหนุ่มฟัง พวกเขาก็รีบมาหาทันทีที่ว่าง จนมาถึงห้องพักของหมอหนุ่ม รามิลที่คันปากตั้งแต่ตอนแรกรีบพูดขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ“ไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนั้น กูตาฝาดรึเปล่าวะ” รามิลแสร้งหันไปถามขุนทศ จนหมอหนุ่มที่ยืนฟังอยู่นึกหมั่นไส้คนพวกนี้“ไม่ฝาดหรอก กูก็เห็น กอดซะแน่นเชียว” ขุนทศยิ้มบางๆ แล้วมองไปยังคนที่พวกเขากำลังกล่าวถึง“ไอ้พวกเหี้ยนี่! เยี่ยมเสร็จแล้วก็กลับ
หญิงสาวพยุงตัวลุกออกจากเตียงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ หลังจากตื่นขึ้นมาสักพักแล้ว พอดีกับที่ทิวากรเปิดประตูเข้ามา เขาจึงรีบเดินเข้าไปประคองเธอไว้แล้วถามขึ้น“จะไปไหน”“ปวดฉี่”“เดี๋ยวพาไป”“ฉันเดินเองได้” มิลินหันไปบอกเขาเสียงเบาชายหนุ่มได้ยินแต่เขาไม่ได้สนใจคำพูดของเธอ แล้วประคองเข้าไปในห้องน้ำจากนั้นก็ยืนหันหลังให้“ออกไปก่อนสิ”เธอออกปากไล่“ก็ฉี่ไปสิ จะอายอะไรนักหนา” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อเห็นกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว“ใครจะหน้าด้านเหมือนคุณกัน ฉันฉี่ไม่ออก”“เออ เสร็จแล้วก็เรียก”เขากระแทกเสียงแล้วเดินออกไปรอหน้าประตู เขาแค่เป็นห่วงว่าจะวูบเพราะเธอไม่ได้ลุกออกจากเตียงมาหลายชั่วโมงแล้วหลังจากเธอทำธุระส่วนตัวเสร็จ เขาเข้าประคองเธออีกครั้งแล้วพาไปนั่งบนเตียงตามเดิม“คุณยังไม่กินยานี่ ทีหลังก็กินให้มันตรงเวลา” ทิวากรยื่นยาหลายเม็ดส่งให้เธอ หญิงสาวรับมันมาแล้วดื่มน้ำตามอย่างว่าง่าย“เตียงที่นี่นอนสบายดีเหมือนกันนะ ว่าแต่ทำไมชุดคุณยับขนาดนั้น” มิลินหันไปมองเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำของเขาที่มีสภาพยับยู่ยี่ทิวากรมองเธอแล้วยกยิ้มมุมปากโดยไม่พูดอะไร“คุณ ฉันหิว”จู่ๆเธอก็พูดออกมาเสียงอ่
คนที่โดนสวมกอดจากทางด้านหลังนอนเคลื่อนไหวอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายนาที เธอพยายามข่มตาหลับก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลับแม้แต่น้อย จึงลองเอ่ยถามคนที่นอนสวมกอดเธอเสียงแผ่วเพราะรู้สึกว่าเขาแน่นิ่งไปสักพักแล้ว“คุณ หลับแล้วเหรอ”“ยัง” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ ก็จะให้เขานอนหลับได้ยังไง ในเมื่อเธอนอนไม่นิ่งแม้แต่วินาทีเดียวชายหนุ่มบอกกับเธอก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาจะนอนกอดลูก แต่เมื่อลูกยังอยู่ในท้องเธอ เขาก็ต้องกอดผ่านเธอ แม้หญิงสาวจะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกันแต่เธอก็เหนื่อยที่จะเถียงจึงยอมๆ ไป“คุณมานอนกับฉันแบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอ” เธอถามอีกครั้งเพราะเกรงว่าหากใครมาเห็นเข้าจะส่งผลเสียต่อตัวเขาเอง“จะเป็นอะไรล่ะ แล้วตอนนี้ผมก็ไม่ได้ทำหน้าที่หมอ แต่ผมทำหน้าที่ผัว” เขาเอ่ยเน้นคำนั้นอย่างชัดเจน“พูดอะไรไม่อายปาก” เธอตำหนิเขาหลังจากได้ยินคำแสลงหู“ก็ไม่อายนะสิ ถึงกล้าพูด ทำไม? หรือพอเป็นผมนอนใกล้ๆ แล้วอึดอัด” เขาถามเธอน้ำเสียงเริ่มขุ่นมัว“ฉันแค่ไม่ชิน” “ไม่เคยโดนกอดบ้างรึไง ผมบอกไว้ก่อนนะว่าผมเสพติดการกอดมาก” ชายหนุ่มพูดพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น“แต่ฉันอึดอัด” เธอตอบเขาแล้วหายใจออกมาอย่างแรง“เอาน่า เดี๋
หนึ่งปีต่อมา...“จ๊ะเอ๋!”ลูกพีชยกมือขึ้นปิดตาตัวเองแล้วแยกออกในเวลาต่อมาเป็นการเล่นซ่อนแอบกับหนูน้อยวัยหนึ่งขวบที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจอยู่สักพักแล้ว“เอิ๊กๆ เอิ๊กๆ”หลังจากหนูน้อยลูกพลัมหัวเราะจนหมดพลังงานก็เริ่มเบะปากทำสีหน้างอแงเพราะหิวนม ลูกพีชเห็นอาการของน้องชายก็รีบลุกขึ้นไปหยิบขวดนมที่วางอยู่ไม่ไกลมา พร้อมกับให้น้องนอนลงแล้วถือขวดนมป้อนลูกพลัมอยู่อย่างนั้น แม้ว่าความเป็นจริงน้องชายของเธอจะถือขวดนมได้แล้วก็ตาม แต่ลูกพีชชอบป้อนนมให้เองมากกว่ามิลินเดินออกมาจากห้องครัว หลังจากเข้าไปต้มน้ำร้อนไว้ชงนมให้ลูกเสร็จ โดยฝากลูกพีชช่วยดูแลน้องให้สักครู่ ทว่าเมื่อเดินออกมาก็ต้องยิ้มแป้นกับภาพที่เห็น ลูกสาวกำลังถือขวดนมป้อนน้อง ใบหน้าจิ้มลิ้มส่งรอยยิ้มหวานให้ลูกพลัมตลอดเวลาเด็กตัวน้อยดูดนมอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย มองใบหน้าพี่สาวตาใสแจ๋วอย่างไร้เดียงสา“ป้อนนมให้น้องเหรอคะลูก”“ค่ะ น้องหิวนม”“ให้น้องถือเองก็ได้นะคะ ลูกพีชจะได้ไม่เมื่อย”“ลูกพีชยังไม่เมื่อยค่ะ อยากถือให้น้อง”หญิงสาวนั่งลงบนเบาะข้างลูกทั้งสองแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง ลูกพลัมที่ดูดนมจนอิ่มหนำสำราญแล้วลุกขึ้นนั่งพร้อมกับปรบมือแ
คิก คิก~ หนูน้อยลูกพีชหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ขณะกำลังวิ่งไล่จับฟองสบู่กลมๆ ที่มารดายิงออกมาจากปืนเป่าฟองมิลินกับลูกพีชเข้ามานั่งบริเวณสวนหลังบ้านในช่วงบ่ายคล้อยของวัน เธอมักจะหากิจกรรมให้ลูกน้อยทำในช่วงวันหยุด อย่างวันนี้หลังจากลูกพีช วาดภาพระบายสีสร้างสรรค์ผลงานตามประสาเสร็จ เธอก็จะให้ลูกสาวเล่นอย่างอิสระ“ของกินเล่นมาแล้วจ้ะ” ละอองดาวที่เข้าครัวไปเตรียมอาหารทานเล่นให้หลานสาวสุดที่รัก เดินออกมาพร้อมตะกร้าใส่อาหารแล้วหยุดยืนบริเวณเสื่อผืนใหญ่ที่มีลูกสะใภ้นั่งอยู่ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามเธอหนูน้อยที่กำลังวิ่งอย่างสนุกสนานในตอนแรก เมื่อเห็นผู้เป็นย่าก็รีบเดินเข้ามาหาแล้วนั่งลงข้างๆ พร้อมกับยกแก้วน้ำหวานของตัวเองขึ้นดื่มเข้าไปอึกใหญ่ด้วยความรู้สึกเหนื่อย แก้มป่องๆขึ้นสีแดงระเรื่อ“ค่อยๆ ดื่มค่ะ เดี๋ยวจะสำลัก” มิลิน บอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วมองดูอยู่อย่างนั้นลูกพีชทำตามผู้เป็นมารดาอย่างว่าง่ายแล้ววางแก้วลงไว้ที่เดิม พร้อมกับหันไปฉีกยิ้มกว้างมองผู้ใหญ่สองคนตรงหน้า“ย่า ทอดเฟรนช์ฟรายส์มาให้จ้ะ” ละอองดาวเอ่ยบอกหลานด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุงค่า” หนูน้อยยกมือป้อมๆ ขึ้นไหว้ขอบคุณผู้เป็น
สองสามีภรรยาที่อยู่ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ภายในห้องน้ำกำลังพูดคุยถึงเรื่องราวของลูกสาวตัวน้อย ร่างอวบอิ่มของผู้เป็นภรรยาแทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของสามีหนุ่ม พร้อมกับเอนแผ่นหลังพิงกับหน้าอกแกร่ง โดยมีเรียวแขนโอบกอดเธอไว้จากด้านหลังภายใต้น้ำอุ่นที่มีฟองสบู่นุ่มละมุนส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนรู้สึกผ่อนคลายมือใหญ่ลูบสัมผัสไปมาบริเวณหน้าท้องนูนของภรรยาสาว หูของเขายังคงตั้งใจฟังคำพูดที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากเล็กที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซึ่งเป็นคำพูดที่เขามักจะได้ยินเป็นประจำจนแทบจะจดจำได้ทุกคำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ หลุดลอดออกมาจากปากเขา เนื่องจากอยากให้หญิงสาวพูดให้จบก่อน“คุณนะชอบตามใจลูก จนแกเริ่มเคยตัวและคิดว่าถ้าอ้อนแบบนั้นแล้วจะได้ทุกอย่างที่อยากได้ เพราะยังไงคุณซื้อให้แทบจะทันที จนของเล่นบางอย่างที่ได้มาไม่ได้เล่นด้วยซ้ำ แล้วแกก็ขอของเล่นชิ้นใหม่อีกเรื่อยๆ คุณต้องปล่อยให้รู้จักรอเสียบ้าง ไม่ใช่พออยากได้อะไรก็ประเคนหาให้แทบทุกอย่าง”“ก็ผมชอบใจอ่อนนี่”“คุณก็ต้องใจแข็งให้เป็น ไม่อย่างนั้นลูกจะเคยตัว”“ถึงผมไม่ให้ คุณแม่ก็ซื้อให้อยู่ดี เพราะรายนั้นตามใจหลานหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น”“ฉ
(Flowers of love)ร้านดอกไม้สไตล์มินิมอลสีขาวสะอาดตัดกับสีของดอกไม้นานาพันธุ์ดูสวยสบายตา ร้านแห่งนี้เปิดมาได้เกือบสองปีและมักจะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตกหลุมรักหนูน้อยผู้มีเสียงเจื้อยแจ้วคนนี้“ฉวยค่า”แปะ แปะ!ริมฝีปากบางอมชมพูของหนูน้อยวัยเกือบสามขวบเอ่ยปากชมเปาะ พร้อมกับยกมืออวบขึ้นมาปรบมืออย่างชอบใจ เมื่อผู้เป็นมารดาปักก้านดอกกุหลาบสีแดงสดลงในแจกันเป็นดอกสุดท้ายหนูน้อยลูกพีช ในชุดกระโปรงเจ้าหญิงสีขาวฟูฟ่อง ขับผิวอมชมพูให้ดูโดดเด่น ดวงตากลมโตมีแพขนตางอนสวย ปากนิดจมูกหน่อยดูน่ารัก ผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดขึ้นเป็นทรงโดนัทไว้กลางหัว เผยให้เห็นแก้มกลมๆ มีเลือดฝาด ที่ไม่ว่าใครเห็นก็อยากฝังจมูกลงบนแก้มสองข้างนั้นอย่างรู้สึกมันเขี้ยว ใบหน้าจิ้มลิ้มของหนูน้อยมีความคล้ายคลึงกับผู้เป็นมารดามากกว่า ทว่านิสัยกลับได้บิดามาเต็มๆร่างอวบอิ่มมีน้ำมีนวลในชุดสีครีมตัวยาวซึ่งมีอายุครรภ์ห้าเดือนเศษกำลังนั่งช่วยกันจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่บริเวณโซฟาภายในร้านกับลูกสาว เพื่อรอให้สามีหนุ่มอย่างทิวากรแวะมารับกลับบ้านพร้อมกันและอีกสักพักก็คงมาถึง เนื่องจากร้านของเธอไม่ไกลจากโรงพยาบา
สามเดือนต่อมา...“เป็นยังไงบ้างลูก” ละอองดาวหันไปถามลูกสะใภ้ที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ ใบหน้าหวานเหยเกเล็กน้อย มือเล็กลูบไปมาบริเวณหน้าท้องกลมโตที่อีกไม่กี่วันก็จะมีอายุครรภ์ครบเก้าเดือนพอดี“มันปวดๆ หายๆ นะคะ” ร่างอวบอิ่มในชุดนอนกระโปรงสีขาวบอกกับแม่สามี ช่องท้องบีบกันเป็นระยะๆ จนรู้สึกเจ็บไม่น้อยวันนี้ละอองดาวเข้ามานอนเป็นเพื่อนลูกสะใภ้เพราะทิวากรต้องไปอยู่เวรที่โรงพยาบาล เธอกังวลว่าหญิงสาวอาจจะปวดท้องคลอดในช่วงเวลากลางคืนและช่วงนี้เธอท้องแก่มากแล้ว ถึงแม้กำหนดคลอดจริงๆ จะเป็นอีกสี่วันข้างหน้าก็ตาม แต่ระหว่างนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้จึงคอยเฝ้าดูอาการไม่ห่าง สองสามวันมานี้ หญิงสาวมักจะมีอาการปวดท้องเตือนหลายครั้ง แต่วันนี้กลับดูเหมือนว่าจะปวดถี่เป็นพิเศษจึงไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวน้อยอยากออกมาแล้วหรือเปล่าและคิดว่าจะรอดูอาการอีกสักพัก“ดีขึ้นแล้วค่ะ” มิลินพูดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วพ่นออกมาสุดแรง ละอองดาวที่คอยมาดูแลมองหน้าลูกสะใภ้อย่างให้กำลังใจ เธอรู้ดีว่าอาการพวกนี้ทรมานขนาดไหนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก สีหน้าของเธอ เริ่มแสดงความเจ็บปวดออกมาอีกครั้งพร้อมกับใช้มือเล็กกุมท้องไว้แน่น
ร่างเล็กที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านในช่วงสายของวัน มุ่งหน้าไปทางห้องครัวทันทีเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกะทิลอยมาเตะจมูก ครั้นพอไปถึงก็เห็นลูกสะใภ้ยืนอยู่หน้าเตาแก๊ส มือเล็กของเธอกำลังกดปุ่มปิดเตาพอดี ละอองดาวจึงเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“หนูลิน ทำอะไรอยู่ลูก”มิลินตรวจดูความเรียบร้อยตรงหน้าเสร็จก็หันไปมองแม่สามี แล้วเริ่มนำเสนอขนมหวานฝีมือเธอด้วยน้ำเสียงสดใส จนคนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับยิ้มตามด้วยความเอ็นดู“ทำขนมบัวลอยค่ะ พี่ทิวบอกว่าคุณแม่ชอบทาน หนูเลยอยากลองทำให้ชิม รับรองว่าอร่อยและไม่หวานเกินไปค่ะ”“ไม่เห็นต้องลำบากเลย”“ไม่ลำบากเลยค่ะ หนูอยากทำให้” หญิงสาวคิดว่าตัวเองว่างเกินไปจนรู้สึกไม่ค่อยดีและรู้มาจากทิวากรว่าผู้เป็นแม่ชอบรับประทานขนมบัวลอยมาก จึงอยากทำให้ท่านได้ชิม“ขอบใจจ้ะ โชคดีของเจ้าทิวกับแม่จริงๆ ที่ได้หนูลินมาอยู่ด้วย” รอยยิ้มกว้างฉายชัดบนใบหน้างาม สายตาบ่งบอกว่าคนที่พูดรู้สึกแบบนั้นจริงๆ“หนูก็โชคดีเหมือนกันค่ะ”มิลินเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะเจอกับความโชคดีแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาเธอมักจะพบกับการที่ต้องพยายามอย่างมากมายเพ
ร่างอวบอิ่มของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงในห้องตรวจรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย วันนี้เธอมีนัดอัลตราซาวด์เพื่อดูลูกน้อยในครรภ์วัยหกเดือนเศษ แววตาตื่นเต้นฉายชัดบนใบหน้าหวานที่มองไปยังจอภาพด้านหน้าอย่างตั้งใจข้างๆ มีคุณหมอหนุ่มซึ่งพ่วงตำแหน่งสามีและว่าที่คุณพ่อกำลังใช้เครื่องมือตรวจวนไปมาบริเวณหน้าท้องนูนเป็นเวลาหลายนาที คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันยุ่ง สีหน้าไม่ต่างจากเดือนก่อนเท่าใดนักเพราะเคยทำการตรวจแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากเจ้าตัวน้อยในท้องหนีบขาไว้ไม่ให้รู้เพศของเขา“ขี้อายแบบนี้ สงสัยจะเป็นผู้หญิง” มิลินเอ่ยขึ้นสายตายังคงจดจ่ออยู่กับจอภาพที่ปรากฏรูปร่างของลูกตัวน้อย“ที่แน่ๆ จมูกโด่งเชียว” คุณหมอหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม มือยังคงจับเครื่องตรวจวนไปมาอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะหวังว่าลูกจะยอมเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รู้เสียที“ถ้าเขายังไม่อยากให้รู้ ก็คงต้องรอตอนคลอดแล้วละค่ะ” ว่าที่คุณแม่เอ่ยกับคนข้างกายที่ดูจะผิดหวังเล็กน้อย เธอเองก็อยากรู้ไม่ต่างกัน แต่ดูเหมือนว่าลูกตัวน้อยอาจจะอยากเซอร์ไพรส์พวกเขามากกว่า“งั้นขอฟังเสียงหัวใจหน่อยแล้วกัน”คุณหมอหนุ่มพยักหน้าเข้าใจแล้วเลื่อนมือไปกดปุ่มเปิดเสียงจังหวะก
สองสามีภรรยาร่างกายเปล่าเปลือย ที่อยู่บริเวณเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ามีกระจกบานใหญ่สะท้อนร่างของทั้งสอง กำลังเจรจาเรื่องก่อนหน้าอย่างไม่จริงจังนัก คนตัวสูงยืนแทรกตัวอยู่ระหว่างเรียวขาทั้งสองข้างของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนขอบเคาน์เตอร์อ่าง มือใหญ่ล็อกท้ายทอยให้เงยหน้าสบตาเขา ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่าย“ที่รัก จะหาผัวใหม่เหรอครับ”"แค่ล้อเองเองนะคะ อื้อ”หลังพูดจบ ทิวากรรีบตะปบริมฝีปากบาง สอดแทรกลิ้นร้อนเข้าไปกระหวัดเกี่ยวอย่างดูดดื่ม มิลินยกเรียวแขนโอบคอเขาแล้วตอบสนองสัมผัสนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ ศึกที่สุดแสนจะวาบหวามนี้ดูเหมือนว่าฝ่ายไหนถอนริมฝีปากออกก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ไปหญิงสาวที่กำลังส่งสัมผัสสุดเร่าร้อนนึกอยากแกล้งสามีหนุ่ม รีบฉวยโอกาสใช้มือเล็กกอบกุมความเป็นชายของเขาที่กำลังพองตัวเต็มที่แล้วรูดมันสองสามครั้งพร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือถูวนบนหัวหยักสีชมพูที่มีน้ำปริ่มออกมา จนชายหนุ่มที่กำลังจดจ่ออยู่กับรสสัมผัสอันดูดดื่มถึงกับต้องผละริมฝีปากออกมาครางเสียงกระเส่าด้วยความเสียวซ่านอย่างทนไม่ไหว“อ่าส์ ซี๊ด แสบนักนะ”หญิงสาวเห็นฝีมือตัวเองก็เกิดความพึงพอใจพร้อมกับส่ง
เสร็จจากการรับประทานอาหาร ทิวากรปลีกตัวออกไปรับสายโทรศัพท์ด้านนอก มิลินจึงเดินไปนั่งในห้องนั่งเล่นเพื่อรอชายหนุ่มจะได้ขึ้นไปบนห้องพร้อมกัน เธอเดินเข้าไปก็เห็นแม่สามีกำลังนั่งแกะกล่องของแบรนด์เนมที่ซื้อมาจากต่างประเทศอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับต่างๆ หญิงสาวเดินไปหย่อนตัวลงบนโซฟาโดยรักษาระยะห่างกับละอองดาวพอสมควร“ตอนนี้ยังทำงานอยู่รึเปล่า” ละอองดาวเอ่ยถามเสียงเรียบ หลังจากเห็นลูกสะใภ้เดินเข้ามา“ไม่ได้ทำแล้วค่ะ” มิลินตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอค่อนข้างที่จะเกร็งเล็กน้อยเมื่อต้องพูดคุยกับละอองดาว“แล้วคิดจะทำงานมั้ย” ใบหน้ายังคงง่วนอยู่กับกระเป๋าแบรนด์เนมที่พึ่งแกะออกมา หูก็รอฟังคำตอบ“รอให้คลอดก่อนค่ะ แล้วจะกลับไปทำงาน”“ไม่อยากเลี้ยงลูกเองเหรอ”“ก็อยากเลี้ยงเองนะคะ แต่หนูอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้พี่ทิวด้วย” อย่างน้อยๆ หาเงินสองคนก็ย่อมดีกว่าหาอยู่คนเดียว เธอคิดแบบนั้น“ไม่อยากอยู่แบบสบายๆ เหรอ ถ้าอยากได้ทรัพย์สินของลูกชายฉัน เธอแค่เซ็นใบหย่าก็จบแล้ว” คำพูดของละอองดาวทำให้มิลินถึงกับชะงัก“หนูไม่ได้ต้องการทรัพย์สินเงินทองนะคะ” น้ำเสียงจริงจังเปล่งออกจากริมฝีปากบาง ละอองดา