รอยยิ้มหวานล้ำบนใบหน้างามของเสวียนซือชิงเลือนหาย นางขมวดคิ้วอย่างมิเข้าใจอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มตระหนักอะไรได้บางอย่าง แต่กระนั้นหัวใจก็ยังพร่ำบอกซ้ำ ๆ ว่าตนแค่คิดมากไปนางบอกกับตัวเองว่านอนมากไป เรื่องตรงหน้าจึงมิใช่ความจริง“ว่าอย่างไรเล่า ชิงชิงยอดรัก”หากเขากล่าวเรียกเช่นนี้แล้ว เรื่องที่นางหวาดกลัวย่อมต้องเป็นความจริง ท่านพี่คือตวนอ๋องเฉินฟาหยาง พระสวามีใจร้ายที่ทอดทิ้งนางให้อยู่ตำหนักร้างนานสามปี มิสมกับตำแหน่งพระชายาเลยแม้แต่น้อย“ท่านพี่…”เสวียนซือชิงมิรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ ทั้งยังประมวลความคิดมิได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแน่ รู้แค่เพียงอย่างเดียวว่านางถูกหลอกให้เข้าใจผิดอย่างร้ายกาจโดยบุรุษที่นางรักหมดทั้งหัวใจพระสวามีที่ไม่เคยเห็นหน้าคือคุณชายเฉินหยาง บุรุษที่นางรักหมดหัวใจ ทั้งสองคือคนคนเดียวกัน แต่เพราะเหตุใดเล่า เหตุใดจึงต้องปิดบัง เหตุใดจึงต้องหลอกลวงนาง“ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ถึงอย่างไรเจ้าก็พูดมากจนข้าปวดหัว น่ารำคาญใจเป็นที่สุด เสวียนซือชิง ทีแรกข้าถอดใจไปแล้ว เพราะคิดว่าเจ้าคงไม่ยอมหย่า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะดั้นด้นเดินทางมาหา อำนวยความสะดวกให้พระสวามีเช่นข้าถึงเพียงนี้ เห็นที
แม้มิอยากจากก็จำจะต้องจาก เฉินฟาหยางย้ำหลายคำว่ายังสนทนากันไม่จบ ห้ามมิให้นางหนีไปไหน ทั้งยังสั่งพ่อบ้านชราเฝ้านางไว้ให้ดี และหลังจากเร่งขี่ม้าเกือบสามชั่วยาม ฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บ ทรมานผิวกายจนแทบไร้ความรู้สึก จนกระทั่งดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าได้พักใหญ่ เขาจึงเดินทางมาถึงค่ายทหารนอกเมือง“พบโครงกระดูกแล้วหรือ มั่นใจหรือไม่ว่าเป็นเขา”ตวนอ๋องเฉินฟาหยางผู้ครองตำแหน่งแม่ทัพเลื่องชื่อรีบเร่งสอบถามหลังส่งซวี่หยาม้าตัวโปรดให้กับทหารคนสนิท เขาก้าวยาว ๆ เข้าไปในกระโจมโดยมิรอองค์ชายสามและบุตรชายคนเล็กของเสนาบดีหลี่ที่เดินตามมาติด ๆ ในใจรู้สึกทั้งเสียใจและโล่งใจ แม้ทราบดีว่าองค์ชายรองคงมิรอดแล้ว แต่เมื่อได้เห็นกระดูกจริง ๆ ก็คงอดสะท้อนใจมิได้‘อา เสด็จพี่คงรู้สึกแย่กว่าข้ามาก’ชั่วขณะนั้นเองที่เฉินฟาหยางเข้าใจได้ว่าเหตุใดองค์ฮ่องเต้จึงได้พิโรธนักหากเขาต้องสูญเสียเสวียนซือชิงโดยไม่มีทางหวนกลับคืนมา ความรู้สึกคงย่ำแย่ไม่ต่างกัน นี่ไม่ใช่ว่านางสอนให้เขารู้จักคำว่ารักและห่วงใย จนถึงขั้นเผื่อแผ่มันให้กับผู้อื่นด้วยหรือนี่“เสด็จอา!”เสียงคุ้นหูที่มิได้ยินนานหลายปีดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของรูปร่างผอ
ยามต้องอาวุธของศัตรูจนแทบสิ้นชีวิต เฉินฟาหยางยังมิรู้สึกเจ็บมากถึงเพียงนี้ เพียงแวบแรกที่ตระหนักได้แล้วว่าตนทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เขาก็รีบเหวี่ยงตัวขึ้นม้า เร่งเดินทางกลับจวนด้วยความเร็วที่ทำให้ซวี่หยาเหนื่อยแทบขาดใจ“นางอยู่ที่ใด!” เฉินฟาหยางตะโกนถามพ่อบ้านชราทันทีที่ถึงจวน หัวใจไร้รักยามนี้พองฟูเมื่อนึกได้ว่าเสวียนซือชิงรักเขามากเพียงใดอยากบอกให้เข้าใจว่าท่านพี่ของนางยามหึงหวงมักปากร้าย อยากอธิบายให้เข้าใจว่าเรื่องต้องการหย่าขาดเพื่อแต่งกับสตรีอื่นนั้นเป็นเพียงการประชดประชัน แม้แรกเริ่มคิดทำเช่นนั้นจริง แต่หลังจากรู้จักนางได้ไม่นาน เขาก็มิเคยคิดตีจากหรือทำเรื่องร้ายกาจให้นางต้องขุ่นเคืองใจอีก“นางอยู่ที่เรือนเล็กใช่หรือไม่!”แม้ในใจนึกหวาดกลัวว่าจะมิได้รับการให้อภัยโดยง่าย แต่หากเขายังมิตายก็แปลว่ายังมีความหวัง ขอเพียงได้อยู่ข้าง ๆ มิว่านางอยากจะตบตีหรือด่าทอมากเพียงใด เขาก็จะยอมตามใจทุกอย่าง เสมือนว่าตนคือคุณชายเฉินหยางคนเดิม มิใช่ตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์แต่อย่างใดส่วนหนังสือหย่าเขาจะทำลายมันให้สิ้นซากและจะไม่พลั้งเผลอลงนามเพราะความหึงหวงจนขาดสติอีก“ชิงชิง! ชิงชิงยอดรัก!” เฉิน
สามปีผ่านไป…เหล่าทหารในค่ายต่างพากันโล่งใจยามได้ยินว่าตวนอ๋องเฉินฟาหยางจะมิอยู่ค่ายเป็นเวลาสิบสี่วัน หลายคนรีบจุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรให้บุรุษ ผู้สูงศักดิ์มิเปลี่ยนใจเดินทางกลับมาจนเร็วเกินไปนัก หาไม่แล้วพวกเขาคงได้ฝึกหนักจนหมดแรงตายเป็นแน่หลังจากตามหาพระชายายอดรักอย่างไม่ย่อท้อนานเกือบปี ตวนอ๋อง เฉินฟาหยางก็ยอมลดกำลังทหารลง เปลี่ยนเป็นตรวจสอบเฝ้าระวังการเดินทางเข้าออกเมืองหลวงแทน แต่กระนั้นเขาก็ยังได้ฉายาใหม่อย่างลับ ๆ เปลี่ยนจากตวนอ๋องไร้ใจกลายเป็นตวนอ๋องคลั่งรักไปโดยปริยายท่านหมอหลวงหวงเทาแจ้งว่าพระชายาเสวียนเรียกรถม้าจากสำนักคุ้มภัยของสกุลหลี่ เดินทางออกนอกเมือง ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่เขาจะจัดการธุระเรื่ององค์ชายรองเหวินฉีเสร็จเรียบร้อย หากนับดูให้ดีแล้วนางมีเวลาหลบหนีมากกว่าสามชั่วยาม คิดจะตามหาอย่างไรก็คงตามไม่ทันแล้วโชคยังดีที่สำนักคุ้มภัยคือหนึ่งในกิจการสำคัญของสกุลหลี่ บุตรชายคนโตของท่านเสนาบดีจึงลงแรงตามเรื่องให้ด้วยตนเอง ปรากฏว่ารถม้าขบวนนั้นส่งนางในเมืองเล็ก ๆ ห่างจากเมืองหลวงไปเพียงร้อยลี้เท่านั้นหลังจากตรวจดูจนครบร้อยหลังคาเรือนแล้วไม่พบนาง เฉินฟาหยางจึงย้อนก
ยามอยู่ค่ายทหารนอกเมือง ตวนอ๋องเฉินฟาหยางมักทุ่มเทเวลาไปกับการฝึกกองทหารพิเศษที่ภายหลังมอบให้กับองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝู หลังได้รับตำแหน่งรัชทายาท แต่หากกลับจวนยามใดก็จะเร่งกวดขันและให้ความรู้ต่อ พระราชนัดดาองค์โปรด ถ่ายทอดประสบการณ์ที่ควรรู้ สอนทุกเรื่องผิดพลาดที่ไม่ควรกระทำวันนี้เองก็เช่นกัน หลังจากเคี่ยวกรำองค์ชายรัชทายาทจนสมองรับเรื่องอันใดไม่ไหวแล้ว เฉินฟาหยางก็ไล่ให้อีกฝ่ายกลับวังไปพักผ่อน ใช้เวลาเฉลิมฉลองที่ได้รับตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทกับคนใกล้ชิด ให้สมกับที่เร่งทำผลงานนานกว่าห้าเดือนส่วนตัวเขาเองพอได้อยู่ตามลำพังก็รีบอาบน้ำเตรียมเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะวันพรุ่งนี้ยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกหลายเรื่องรอยยิ้มจางปรากฏขึ้นยามเห็นน้ำชาร้อนตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้อง คงเป็นพ่อบ้านชราที่จัดการชงชาช่วยหลับเอาไว้ หวังให้เขานอนหลับสบายเพื่อที่จะได้ไม่เหนื่อยเกินไปนักเฉินฟาหยางยังจำได้ดีว่าพ่อบ้านหวังอู่ผู้ซื่อสัตย์กล่าวโทษตนเองที่ปล่อยให้พระชายาหายตัวไปอย่างไรบ้าง แม้เขาจะบอกว่านางมีอาการตกเลือดจริง แต่ท่านพ่อบ้านก็มิให้อภัยตนเองอยู่ดี“ชิงชิงยอดรัก เจ้าไปอยู่ที่ใดกัน”เฉินฟาหยางยิ้มหยันให้กับคำ
ภาพตวนอ๋องเฉินฟาหยางนั่งขอพรอยู่ในวัดเล็ก ๆ บริจาคข้าวของให้กับโรงทานจำนวนมากยังคงตรึงความสนใจผู้คนในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี ต่อให้เขาแวะเวียนมาที่นี่ปีละสองครั้ง แต่ก็มิได้ทำให้ผู้คนชินชากับสิ่งที่เห็นชาวเมืองล้วนจำฝังใจว่าตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์มิได้เชื่อในศาสนาหรือพิธีกรรม กระทั่งออกทัพจับศึกก็มิได้สนใจฤกษ์ยาม มั่นใจในฝีมือของตนมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่ที่มิได้เอ่ยขัดก่อนหน้าก็เพราะเบื่อจะเถียงกับเหล่าขุนนางเท่านั้นเองราวสามปีก่อนความเชื่อของตวนอ๋องเปลี่ยนแปลงไป เขาจำได้ดีว่าตนนั่งทอดอาลัยอยู่ไม่ห่างจากวัด โศกเศร้าจากความสูญเสียจนแทบประคองสติไม่อยู่ ยามนั้นไต้ซือชรารูปหนึ่งเดินผ่านมา ถามไถ่อย่างมีเมตตาว่าช่วยอะไรได้บ้าง เฉินฟาหยางจึงกระแทกเสียงตอบ กล่าวว่ามิได้ต้องการลบหลู่ แต่เขามิเชื่อเรื่องพิธีสะเดาะเคราะห์และไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรทั้งสิ้น‘มิเชื่อก็ไม่เป็นไร แต่หากเล่าให้อาตมาฟัง มิแน่ว่าอาจคลายความทุกข์ได้’ตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่มีอะไรต้องเสีย จึงเล่าตามความจริงว่าเพราะขาดสติ กอปรกับคำโกหกมากมายทำให้ภรรยาเสียใจจนตกเลือด ทารกในครรภ์มิทันได้ลืมตาดูโลกก็หมดวาสนา นึกไม่ถึงว่าประโยคสั้น ๆ
ก้อนเมฆสีเทาลอยละล่องบนท้องฟ้ามืดครึ้ม บดบังแสงสว่างจนแทบมองไม่เห็นดวงตะวัน ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็ต่างพากันเก็บข้าวของ เพราะเกรงว่าพายุใหญ่จะทำให้ทุกอย่างเสียหาย แต่สุดท้ายกลับมีเพียงลมกรรโชก หาได้มีสายฝนโปรยปรายแต่อย่างใดไม่ซวี่หยาม้าตัวโปรดของตวนอ๋องร้องออกมาอย่างอารมณ์ดี เพราะการเดินทางในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เจ้านายมิได้เร่งรีบ ทั้งยังหยุดแวะพักในช่วงที่ควรหยุด เร่งเดินทางในช่วงที่ควรเร่ง ยามถึงจุดหมายปลายทางจึงไม่เหนื่อยจนเกินไปนักหากเป็นตวนอ๋องคนก่อนคงรีบเดินทางเพื่อหาความจริง กระชากคอหลี่จินหมิง ลงมือให้หนักจนกว่าจะได้คำตอบที่พอใจ แต่ความริษยาและความหึงหวงทำให้เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนานเกือบสามปีครึ่ง พอได้รับโอกาสอีกครั้งจึงต้องตั้งสติให้มาก มิให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล หรือพูดตรง ๆ ก็คือมิหึงหวงจนกลายร่างเป็นสุนัขบ้าอีกเขาวางแผนมอบหมายงานที่ต้องรับผิดชอบให้กับองค์ชายรัชทายาทอย่างละเอียดถี่ถ้วน พลางพร่ำบอกตนเองว่าอย่าใจร้อน เรียงลำดับให้ถูกต้องว่าสิ่งใดควรต้องทำก่อนหรือหลังรอได้หรือว่ารอไม่ได้ความจริงเรื่องของเสวียนซือชิงย่อมรอไม่ได้ แต่หากเร่งรัดมากเกินไป ทุกอย่างอาจพั
เมื่อวานเฉินฟาหยางได้เข้าไปในบ้านหลังเล็กของนางแล้ว ทว่าได้ช่วยงานอยู่แค่ลานด้านนอก ยกเตาสำหรับย้อมสีด้ายและเปลือกไม้เอาไปเก็บในห้องเก็บฟืน โดยมิได้รับอนุญาตให้เฉียดใกล้เรือนหลังเล็ก หลังจากทำงานท่ามกลางสายฝนเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาก็พาร่างเปียกปอนไปยืนรับฟังคำสั่งของสาวงามที่ยังซ่อนตัวอยู่ในบ้าน มิยอมเปิดเผยตัวตนออกมาให้ได้ยลโฉม‘พี่ชายมีชื่อว่าอะไรหรือเจ้าคะ’เสียงหวานปานน้ำผึ้งเช่นนี้ เป็นเสวียนซือชิงมิผิดแล้ว หัวใจของเขาเต้นโครมคราม หากเลือกได้ก็คงตรงเข้าไปกอดจูบให้หายคิดถึง แต่จะทำเช่นนั้นก็ต้องมั่นใจว่านางให้อภัยเขาเสียก่อน‘ข้าผู้ต่ำต้อยมีนามว่าเสิ่นซือเหยา นายหญิงเรียกว่าอาเหยาเถิดขอรับ’เฉินฟาหยางดัดเสียงตอบ จำได้ว่านางเงียบไปพักใหญ่ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเพราะเสวียนซือเหยาคือชื่อบิดานาง มิใจอ่อนยอมว่าจ้างก็คงแปลกแล้ว‘อีกสามวันเจ้าค่อยมาเริ่มงานเถิด ช่วงนี้ฝนตกแรง ยังไม่มีเรื่องอันใดให้ทำมากนัก’นางกล่าวเรื่องค่าจ้างอีกสองสามประโยค ยังคงไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้า มีเพียงเสียงดังออกมาจากตัวเรือนแผ่วเบา แต่กระนั้นในใจเฉินฟาหยางก็สุขล้นจนแทบกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่ รีบรับคำด้วยน้ำเสียงแหบ
ตวนอ๋องเลื่องชื่อทำอย่างที่กล่าวเอาไว้จริง ๆ เขาไม่ล่วงเกินหรือฉวยโอกาสเพราะต้องการให้พระชายาพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากจะไม่ทำให้นางลำบากใจแล้ว หลายวันที่ผ่านมายังช่วยดูแลเจ้าก้อนแป้งตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน ตกค่ำก็แวะเข้าไปบีบนวด ก่อนกลับไปพักผ่อนในห้องของตนตามลำพังนอกจากทาบจูบลงบนแผ่นหลังบางเบาก่อนจาก ตวนอ๋องเฉินฟาหยางก็มิได้ทำอันใดที่มากไปกว่านั้นอีก“วันนี้อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่”“ไม่ปวดแล้วเจ้าค่ะ”เฉินฟาหยางดูแลนางอย่างดี มิให้หยิบจับอันใดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังหมั่นนวดให้ทุกคืน อาการปวดจึงทุเลาลงอย่างรวดเร็ว“เจ้าจะปักผ้าเลยหรือ” เขาถามเมื่อเห็นสองสาวใช้นำผ้าที่ปักลายค้างอยู่มาวางไว้ในศาลาหลังเล็กในสวน“เจ้าค่ะ กำหนดส่งงานพรุ่งนี้แล้ว”“เช่นนั้นคืนนี้พี่จะเข้าไปนวดให้อีก อาการจะได้ไม่กำเริบ ส่วนหนิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งอุ้มนางเลย”เสวียนซือชิงหุบยิ้มเมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งที่กำลังวิ่งเข้ามากอดนาง ถูกแขนแข็งแกร่งของบุรุษคว้าเอาเสียก่อน นางมองเขาหอมแก้มของร่างนุ่มนิ่มอย่างทะนุถนอมรักใคร่ ได้ยินเสียงกระซิบบอกว่าท่านแม่ยังมิหายดี ช่วงนี้จึงยังมิควรรบกวนให้มากจนเกินไปนัก“
หลายปีที่ผ่านมาชื่อเสียงเรื่องความหยิ่งยโสและโมโหร้ายของตวนอ๋องเฉินฟาหยางลบเลือนลงไปบ้าง ทว่าวันนี้โทสะรุนแรงของเขากลับคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากพระชายาคนงามถูกสตรีใจหยาบเอ่ยวาจาล่วงเกินอย่างมิน่าให้อภัยที่สุด“เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกชายาข้าว่าอย่างไร!”“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ท่านอ๋อง…”“ตอบมิตรงคำถาม!” เฉินฟาหยางตะโกนเสียงดังลั่น เมื่อครู่เขาได้ยินครบถ้วนทุกคำจึงเคียดแค้นแทบคลั่ง แล้วเสวียนซือชิงยอดรักของเขาเล่า นางจะปวดใจมากมายเพียงใด“ท่านอย่าเสียงดังรบกวนผู้อื่น รีบซื้อด้ายปักผ้าแล้วรีบกลับเถิดเจ้าค่ะ”เสวียนซือชิงร้องห้าม คนจำนวนมากเริ่มเข้ามามุงดูเพราะเสียงวิวาท ส่วนคนที่เห็นเหตุการณ์แต่แรกก็กระซิบว่าบุรุษรูปงามคือตวนอ๋องเฉินฟาหยาง ส่วนสาวงามที่ยืนข้าง ๆ คือพระชายาเสวียนอย่างมิต้องสงสัยแล้วความจริงถูกเปิดเผยเช่นนี้ ชีวิตของเสวียนซือชิงคงไม่มีวันสงบได้แน่“นางลบหลู่เจ้าถึงเพียงนี้แล้ว ไยยังคิดปล่อยผ่าน”เมื่อตวนอ๋องกล่าวเช่นนั้น นางจึงขยับไปยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนกระซิบด้วยประโยคที่ทำให้เขารู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าเดิม“ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะท่าน… หากท่านปฏิบัติต่อข้าให้สมกับที่เป็นพระ
เกือบเดือนแล้วที่เสวียนซือชิงพาเจ้าก้อนแป้งย้ายเข้ามาพำนักในตำหนักเยว่ฉี ต่อหน้าลูกนางยิ้มหวานให้เขาอยู่เสมอ แต่หากถึงยามนอนกลางวันของเสวียนหนิงอัน นางก็จะกลับไปนั่งเงียบ ๆ อยู่ในสวนดังเดิม“พี่ช่วย…”เฉินฟาหยางยังไม่ยอมแพ้ ในเมื่อนางให้โอกาสให้เขาได้ทำหน้าที่บิดา หน้าที่ของสามีก็คงยังพอมีความหวังอยู่บ้างมิใช่หรือเขาหยิบด้ายออกมาจากตะกร้า สนเข็มอย่างชำนาญ ซึ่งกว่าจะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องฝึกฝนอยู่หลายคืน ถูกเข็มตำนิ้วอีกนับครั้งไม่ถ้วน“ชิงชิง ด้ายปักผ้าสีแดงหมดเสียแล้ว เจ้าต้องการให้พี่ไปซื้อมาให้ใหม่หรือไม่” เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกบ้านนานกว่าสามปีเพราะต้องซ่อนตัวให้พ้นจากตวนอ๋อง บัดนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว จึงสามารถไปเดินดูของในตลาดได้ โดยมิต้องรบกวนสองสาวใช้อีก ทว่านางก็มิเคยออกไป“คราวก่อนจำได้ว่าเสี่ยวผิงเลือกด้ายมาผิดประเภท ครั้งนี้ชิงชิงต้องการออกไปเลือกที่ตลาดเองหรือไม่”เฉินฟาหยางยืนยันมิให้นางย้อมด้ายด้วยตนเองเพราะกลัวว่าจะเหนื่อยเกินไป อยากได้สิ่งใดก็ให้สาวใช้ไปซื้อหามาแทน แรก ๆ เสวียนซือชิงก็มิพอใจอยู่บ้าง จนกระทั่งเขาอ้างว่าเจ้าซาลาเปาน้อยซนขึ้นทุกวัน อาจไม่ทันระวังและถูกน้ำต้ม
ตำหนักเยว่ฉีครึกครื้นกว่าที่เคย พ่อบ้านชราออกคำสั่งให้สาวใช้จัดเตรียมห้องนอนสำหรับพระชายาและเจ้าก้อนแป้งที่ร่าเริงเสียยิ่งกว่าผู้ใด ส่วนสาวงามผู้เป็นมารดากลับทำสีหน้าคล้ายคิดไม่ตก ด้วยไม่มั่นใจว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ถูกต้องดีแล้วจริงหรือ‘ชิงชิงยอดรัก เจ้าก็เห็นว่าหลี่จินหมิงมักมากจนทำให้ลูกของเราเห็นภาพที่มิสมควรเห็น เจ้าจะกล่าวหาว่าพี่วางแผนลวงอย่างไรก็ได้ แต่ข้อเสนอที่กล่าวออกไปนั้น ล้วนเป็นผลดีต่อเจ้าซาลาเปาน้อยหนิงเอ๋อร์จริง ๆ มิใช่หรือ’‘ข้าจะคอยดูนางมิให้เข้าไปยุ่มย่ามให้ห้องส่วนตัวของเขาอีก’‘คิดว่าห้ามนางได้หรือ หนิงเอ๋อร์ดื้อดึงไม่ผิดกับพี่ในยามเด็ก มองอย่างไรก็คล้ายกับเห็นเงาของตัวเอง หากเจ้ายิ่งเอ่ยปากห้าม นางก็จะยิ่งต่อต้านและลงมือทำ มิได้โทษว่าเจ้าเลี้ยงลูกไม่ดี แต่เรื่องนิสัยนี้สืบทอดจากสายเลือด ยิ่งพี่มิได้อยู่ด้วยแต่แรก...’เหตุผลของเขามีมากมายและล้วนแต่ฟังขึ้น เดิมทีไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสวียนหนิงอันจึงได้ซนเกินเด็กนัก แต่พอได้ฟังวีรกรรมของผู้เป็นบิดาในวัยเด็กสักหลายคำ เสวียนซือชิงก็พอจะเข้าใจได้บ้าง‘ข้าแสร้งเชื่อฟัง ทว่าความจริงแล้วดื้อรั้นอย่างมาก’นางมองบุตรสาวที่ก
เสียงหัวเราะของเจ้าก้อนแป้งดังลั่นเรือนตั้งแต่ยามเช้า เรียกรอยยิ้มของเสวียนซือชิงและสองสาวใช้ได้เป็นอย่างดี วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว คุณหนูตัวเล็กที่หมายใจว่าจะออกไปวิ่งเล่นให้ทั่วจึงอารมณ์ดี มารดาให้กินดื่มอันใดก็มิเอ่ยถ้อยคำต่อรอง ต้องอาบน้ำขัดผิวแสบตัวอย่างไรก็ไม่โอดครวญเลยสักคำเสวียนหนิงอันพร้อมออกไปเล่นนอกเรือนอย่างมาก ทว่ามารดาของนางกลับมิอยากก้าวออกไปเลยแม้แต่น้อยนางยังไม่พร้อมที่จะเจอ...ท่านพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเรียกเขาอย่างไร ควรเรียกท่านพี่อย่างที่เคยเรียกยามเขาหลอกนางว่าเป็นคุณชายเฉินหยาง เรียกท่านอ๋องแทนตำแหน่ง หรือว่าเรียกคุณชายเฉินเพราะเขาคงมิอยากเปิดเผยตัวเอง“เสี่ยวอัน อาเหยาอยู่ที่นี่หรือไม่”เกือบเจ็ดวันแล้วที่เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกเรือนเพื่อตรวจสอบดูการย้อมสีเส้นด้าย มิใช่ว่าไว้ใจในฝีมือของลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะนางไม่ไว้ใจความคิดและการกระทำของตนเองต่างหาก“อยู่เจ้าค่ะ กำลังเก็บด้ายที่เพิ่งแห้ง อีกไม่นานก็คงเสร็จงานแล้วเจ้าค่ะ”“เขากลับไปเมื่อไหร่ก็ให้รีบมาแจ้ง ข้าจะได้พาหนิงเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นในสวน หากคุณชายหลี่กลับมาแล้วนางอยากไปหาเขา พวกเจ้าค่อยพาไป
หากผู้ใดได้ยินประโยคที่ลูกจ้างคนใหม่กล่าวต่อคุณชายสกุลหลี่คงยิ้มอย่างพึงพอใจ ว่าวาจาของเขาไพเราะอ่อนหวานมากมารยาท น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังจนทำให้ลืมเลือนไปว่าใบหน้านั้นซ่อนอยู่ใต้ผ้าพันแผล ทั้งดวงตาข้างหนึ่งยังมืดบอดไม่น่าชมทว่าหลี่จินหมิงทราบดีที่สุดว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นความตาย เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าเฉินฟาหยางมิได้พูดจาเช่นนี้ตั้งแต่ได้รับตำแหน่ง ตวนอ๋อง ยิ่งรั้งตำแหน่งแม่ทัพคนสำคัญด้วยแล้ว ยิ่งมิต้องกล่าวคำหวานเอาใจผู้ใดอีก เว้นเพียงยามอยากได้สตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาอุ่นเตียง แต่อย่างไรเสียคำพูดเหล่านั้นก็มิได้จริงใจ กล่าวออกไปเพียงเพราะต้องการผลประโยชน์ตอบแทนล้วน ๆวันนี้ตวนอ๋องกล่าววาจาน่าฟังหลายคำ หลี่จินหมิงจึงเดาได้ว่ามิใช่เรื่องดี‘หากคุณชายหลี่เสร็จธุระแล้ว ผู้น้อยขอรบกวนเวลาอันมีค่า สนทนาเรื่องสำคัญสักหน่อยจะได้หรือไม่’อันตรายอย่างมาก...เกริ่นมาเช่นนี้อันตรายจริง ๆคุณชายสกุลหลี่ทำอันใดมิได้นอกจากพยักหน้ารับคำ ตอบไปว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบไปหา ทว่าถ่วงเวลาอยู่ได้ไม่นานก็เปลี่ยนใจ เพราะคิดได้ว่ายิ่งพบหน้ากันช้าเท่าไหร่ โทสะของตวนอ๋องก็ยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น“ท่านอ๋อง
หลังจากสนทนากับอาเหยาจนความทรงจำในอดีตปรากฏชัด ย้ำเตือนให้นางคิดถึงความรักครั้งแรก เสวียนซือชิงก็มิได้ออกนอกเรือนอีก มิใช่ว่านางกลัวที่จะพูดคุยลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะต้องเร่งปักผ้าให้ทันตามคำสั่งของลูกค้าที่พี่ชายบุญธรรมรับงานมาให้อีกที“เสี่ยวผิง ฝากผ้าพวกนี้ให้คุณชายหลี่ อย่าลืมบอกให้เขาแวะมาสักหน่อย ข้างในบ้านวุ่นวายอีกแล้ว”เสวียนซือชิงมิลืมกล่าวต่อเสี่ยวอันด้วยว่าให้เข้าไปดูแลเรื่องในบ้าน เพราะนางต้องตรวจดูด้ายที่ตากไว้ครู่ใหญ่จึงจะกลับเข้าไปทำหน้าที่ของตนได้ ทว่าเพียงแวบแรกที่เห็นลูกจ้างที่กำลังยืนกวาดลานบ้าน นางก็พลันนิ่วหน้า ขยี้ตาแรง ๆ ครั้งหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าตนมิได้ตาฝาดไปอาเหยาคล้ายมิใช่บุรุษผู้อาภัพดังเดิม“อาเหยา มิใช่ว่าวันนี้คือวันหยุดของเจ้าหรอกหรือ”สิ่งที่ทำให้เสวียนซือชิงประหลาดใจมิใช่เรื่องลูกจ้างคนใหม่ยืนกวาดบ้านในวันหยุดงานของตน ทว่าเป็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ต่างหากเล่าเสื้อผ้าของอาเหยาสีสันเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด แต่มองไกล ๆ ก็ยังรู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดี ราคาแพงอย่างมาก นอกจากนั้นเขายังมิได้เดินกะเผลกหรือห่อไหล่อย่างที่เคย มองดูแล้วคล้ายกับ...“เป็นวันหยุดขอรับ แต่ข้
ลมหนาวที่พัดมาทำให้สาวงามต้องกระชับเสื้อคลุมตัวโปรดให้แน่น เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกตัวเรือนบ่อยนัก แต่ในเมื่อลูกจ้างใหม่ยังด้อยประสบการณ์เรื่องการย้อมสีเส้นด้าย การสอนงานให้จนกว่าเขาจะชำนาญจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากอาเหยาดูคล้ายมิใช่คนชอบพูดเช่นเดียวกับนาง บทสนทนาที่มีต่อกันจึงสั้นกระชับ เช่นเปลือกไม้ประเภทไหนมีชื่อว่าอะไร ให้สีอะไรบ้าง ดอกไม้ประเภทใดให้สีติดทนทาน ส่วนเรื่องส่วนตัวนั้นแทบมิได้พูดกันเลยสักคำ ยิ่งคืนวันเลยผ่านนานเกือบเดือน นางก็ยิ่งคลายความสงสัยและเชื่อว่าลูกจ้างคนใหม่ คงไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับตวนอ๋องเฉินฟาหยางอย่างแน่นอน“อาเหยาสรุปวิธีการเตรียมสีด้วยเปลือกไม้ให้ฟังหน่อยได้หรือไม่”“ก่อนอื่นต้องตัดเปลือกไม้ให้เป็นชิ้นเล็ก แช่ในน้ำสะอาดราวสี่ชั่วยาม จากนั้นนำมาห่อด้วยผ้าขาว ต้มในน้ำนานครึ่งชั่วยาม แล้วจึงนำเปลือกไม้ออก เติมเกลือเล็กน้อยเพื่อให้สีเข้มและติดทนดียิ่งขึ้น”“แล้วยามย้อมเส้นด้ายเล่า”“ก่อนอื่นต้องต้มเส้นด้ายให้สะอาด จากนั้นแช่ไว้ในน้ำเกลือราวหนึ่งเค่อ เมื่อสีพร้อมแล้วจึงคลี่เส้นด้ายลงต้มด้วยไฟอ่อนนานครึ่งชั่วยาม ความเข้มของการย้อมในแต่ละครั้งอาจแตกต่าง ขึ้น
เมื่อวานเฉินฟาหยางได้เข้าไปในบ้านหลังเล็กของนางแล้ว ทว่าได้ช่วยงานอยู่แค่ลานด้านนอก ยกเตาสำหรับย้อมสีด้ายและเปลือกไม้เอาไปเก็บในห้องเก็บฟืน โดยมิได้รับอนุญาตให้เฉียดใกล้เรือนหลังเล็ก หลังจากทำงานท่ามกลางสายฝนเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาก็พาร่างเปียกปอนไปยืนรับฟังคำสั่งของสาวงามที่ยังซ่อนตัวอยู่ในบ้าน มิยอมเปิดเผยตัวตนออกมาให้ได้ยลโฉม‘พี่ชายมีชื่อว่าอะไรหรือเจ้าคะ’เสียงหวานปานน้ำผึ้งเช่นนี้ เป็นเสวียนซือชิงมิผิดแล้ว หัวใจของเขาเต้นโครมคราม หากเลือกได้ก็คงตรงเข้าไปกอดจูบให้หายคิดถึง แต่จะทำเช่นนั้นก็ต้องมั่นใจว่านางให้อภัยเขาเสียก่อน‘ข้าผู้ต่ำต้อยมีนามว่าเสิ่นซือเหยา นายหญิงเรียกว่าอาเหยาเถิดขอรับ’เฉินฟาหยางดัดเสียงตอบ จำได้ว่านางเงียบไปพักใหญ่ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเพราะเสวียนซือเหยาคือชื่อบิดานาง มิใจอ่อนยอมว่าจ้างก็คงแปลกแล้ว‘อีกสามวันเจ้าค่อยมาเริ่มงานเถิด ช่วงนี้ฝนตกแรง ยังไม่มีเรื่องอันใดให้ทำมากนัก’นางกล่าวเรื่องค่าจ้างอีกสองสามประโยค ยังคงไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้า มีเพียงเสียงดังออกมาจากตัวเรือนแผ่วเบา แต่กระนั้นในใจเฉินฟาหยางก็สุขล้นจนแทบกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่ รีบรับคำด้วยน้ำเสียงแหบ