อินทุภามองตัวเองในกระจกยาวติดผนัง มือลูบเสื้อผ้าไหมปักที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่สอบได้จอหงวน วันนี้เธอจะได้เข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่งพร้อมบัณฑิตคนอื่นๆ เพื่อรับการแต่งตั้ง หญิงสาวรู้สึกภูมิใจกับความมุ่งมั่น และความพยายามของตัวเองจนมีวันนี้จนได้อินทุภาได้รับสิทธิพิเศษ ในการสอบย้อนหลังในสองระดับแรก คือระดับภูมิภาคหรือเซียงซื่อ ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับนี้เรียกว่าจี่ว์เหริน หรือมักเรียกกันทั่วไปว่าจ้งจี่ว์ การสอบระดับสองคือระดับประเทศหรือฮุ่ยซื่อ ผู้ที่สอบผ่านในระดับนี้เรียกว่าก้งเซิง ซึ่งบัณฑิตที่สอบได้ก้งเซิงนี้ จะมีสิทธิได้รับคัดเลือกให้ถวายการรับใช้จากฮ่องเต้ ดังนั้นการสอบได้ก้งเซิง จึงถือว่าได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนางแล้วซึ่งอินทุภาก็ทำคะแนนได้สูงสุด มากกว่าผู้ที่เคยสอบไปก่อนหน้านี้เสียอีก แต่ก็อาจนำมาซึ่งคำครหาได้อยู่ดีว่า เป็นเพราะสอบทีหลัง จึงทำคะแนนได้ดีกว่าและในการสอบระดับสามคือเตี่ยนซื่อ หรือการสอบในพระราชวัง ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกจะเรียกว่าจิ้นซื่อ ซึ่งการสอบในระดับนี้ ฮ่องเต้จะทรงเป็นผู้ออกข้อสอบด้วยพระองค์เอง ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง จะได้รับตำแหน่งจอหงวน(จ้วงเยว
“เป็นไปได้รึ! เป็นข่าวโคมลอยหรือเปล่า!” องค์หญิงหยางหรานถามเพื่อความแน่ใจ“หม่อมฉันก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงประการใด แต่ถ้าไม่มีไฟก็ไม่มีควันนะเพคะ” นางพูดทิ้งท้าย“ถ้าเป็นจริงดังนั้น ก็เป็นหญิงที่เจ้าเล่ห์เพทุบายมากๆ น้องชายของข้าเป็นบุรุษ คงไม่รู้หรอกว่า จริตมารยาหญิงนั้น มีมากมายตั้งเท่าไหร่!”“ยังมีเรื่องงามหน้ามากกว่านั้นอีกเพคะ!”“เรื่องอะไร? เล่ามาซิ!”“มีข่าวลือกระจายไปทั่วเมืองหยางซื่อ ว่านางมีสัมพันธ์ลับกับคุณชายตระกูลเสวี่ย มีพยานรู้เห็นเป็นบ่าวของที่นั่นพูดว่า นางแต่งตัวยั่วยวนจนคุณชายหลงใหล ใส่เสื้อผ้าบางพลิ้วจนเห็นเนื้อใน คุณชายเกิดความกระสัน จึงพาอุ้มขึ้นม้านำตัวกลับไปด้วย แล้วก็มัวเมาพิศวาส เสพสังวาสกันสามวันสามคืน ไม่ได้เยื้องกรายออกจากห้องเลยเพคะ แต่ไม่นานคุณชายคนนั้นก็เบื่อ ได้เฉดหัวออกจากบ้าน นางไม่มีที่ไป จึงหวนกลับมาหาท่านอ๋องอีกเพคะ”“งามหน้านัก! อยากจะเห็นหน้านักเชียว! เป็นนางฟ้านางสวรรค์มาจากชั้นไหน ทำไมถึงทำให้ผู้ชายหลงใหลกันได้ง่ายดายนัก!” องค์หญิงหยางหราน ตบโต๊ะรับแขกที่นั่งอยู่ ด้วยความโมโห“ตอนนี้ก็อาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลหวาง!” เซียวซุ่ยเหลียนใส่ไฟเข้าไปอีก กลอก
ฮ่องเต้ให้คนมาส่งข่าว ให้อินทุภากับหยางหมิงอวี้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ สองสามีภรรยาจึงรีบเดินทางมาโดยเร่งด่วน เมื่อมาถึงก็เรียกให้เข้าเฝ้าทันที“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าสองคน นั่งก่อนสิ”ฮ่องเต้รอจนเหวยกงกงรินน้ำชาเสร็จ ก็พูดต่อ“พวกเจ้าคิดอย่างไรกับตำแหน่งรัชทายาท?” ฮ่องเต้ตั้งคำถามปริศนาที่ทั้งเธอ และหยางหมิงอวี้เคยสนทนากันหัวข้อนี้ เมื่อนานมาแล้ว“กระหม่อมขอพระราชทานอนุญาตทูลตามตรง” หยางหมิงอวี้ขออนุญาต“พูดมาเถอะ” “โดยตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว พี่สองมีคุณสมบัติที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ซึ่งกระหม่อมก็เห็นด้วยกับฝ่าบาททุกประการ กระหม่อมเป็นทหาร มีหน้าที่ค้ำจุนราชบัลลังก์ไม่ใช่แย่งชิง และการมีชีวิตอิสระที่เมืองหยางซื่อเท่านั้น ที่กระหม่อมและหวางเฟยปรารถนา”“เยว่อิง! เจ้าล่ะ คิดอย่างไร?”“จากที่หม่อมฉันเคยสนทนากับฟูจวิน เมื่อนานมาแล้ว พระองค์เคยตรัสว่า ยินดีสนับสนุนพระเชษฐาด้วยพระทัยจริง เนื่องด้วยองค์ชายสอง มีพระสติปัญญาและปรีชาสามารถ ด้อยอยู่อย่างเดียวคือเรื่องสุขภาพ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาในการบริหารบ้านเมือง เพราะท่านอ๋อง พร้อมที่จะเป็นหูเป็นตาแทนพระองค์ท่าน แล้วยังมีหม่อมฉัน ที่จะขอทำงานดังเ
“เอ๋อเหนียงทำใจมาอยู่ร่วมบ้าน กับผู้หญิงชั้นต่ำพรรค์นั้นได้อย่างไรเพคะ?” องค์หญิงหยางหรานเอ่ยออกมาอย่างสุดจะทน“หรานเอ๋อร์! หยุดพูดแบบนี้นะ! เจ้ากำลังพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า? แม่ไม่เคยสอนลูกๆ ให้ดูถูกคน แล้วนี่เจ้าไปเอานิสัยเยี่ยงนี้มาจากที่ใด?”“ทำไมต้องหยุด! ในเมื่อเป็นเรื่องจริง เอ๋อเหนียงคงไม่รู้ว่าประวัติของนางโชกโชนเพียงใด ลูกได้ยินคนเขาเล่าลือมายังรู้สึก..ขยะแขยง!” แล้วเธอก็ทำท่าขนลุกจนตัวสั่นประกอบคำพูด“เราอยู่แต่ในรั้วในวัง ไปเอาคำนินทามาได้อย่างไร? แล้วตัวเองก็ไม่ได้เห็นกับตา ไม่เคยรู้จักตัวตนของเขา ทำไมถึงได้ปักใจเชื่อว่าคำเล่าลือเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง?” หวางกุ้ยเฟยปรามลูกสาว“โธ่! เอ๋อเหนียงเพคะ ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น เรื่องเล่าฉาวโฉ่แบบนี้ จะถูกคนยกขึ้นมากล่าวอ้างลอยๆ ได้อย่างไร?” นางอย่างมั่นใจราวกับเป็นคนวงใน“เราน่ะ ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าเอาไปพูดต่อให้เขาเสียหาย! อยากรู้อะไรให้ไปถามเขาตรงๆ ระวังจะถูกคนอื่นหลอกใช้เป็นเครื่องมือ! แม่ขอเตือน!”“ทำไมเอ๋องเหนียงต้องเข้าข้างมันด้วยล่ะเพคะ!” เธอเห็นมารดาอ้าปากจะพูดเลยตัดบท “ไม่เอาดีกว่าไม่พูดเรื่องมันแล้ว! ลูกอยาก
นิ้วเรียวบางเลิกม่านหน้าต่างรถม้าออก ดูภาพอันคึกคักบนท้องถนน เสียงตะโกนขายของ เสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน เสียงต่อราคาของดังมาไม่ได้ขาดระยะ นัยน์ตาคมหวานจ้องมองไปยังโลกด้านนอกรถม้าอย่างคิดถึง“ตลาดตะวันตกแห่งนี้ ยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนเหมือนเดิมเลยนะเพคะ จากไปนานคิดถึงจังเลย” อินทุภาเปิดม่านดูบรรยากาศคึกคักข้างทาง“ทีนี้ก็ได้กลับมาอยู่บ้านเสียที วางแผนหรือยังว่าจะทำอะไร?”“อย่างแรกก็คงไปรับตำแหน่งก่อน แล้วก็อยู่ช่วยงานฝ่าบาท หม่อมฉันจะรับผิดชอบ ดูแลพวกงานบัญชี และเอกสารทั้งหมดด้วย จะได้แบ่งเบาภาระ”“ก็ดีนะ ช่วยตรวจสอบบัญชีย้อนหลังให้ด้วย แล้วก็พวกอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลาย ตรวจสอบหน่อยก็ดี เตรียมพร้อมเอาไว้”“เพคะ แล้วหม่อมฉันจะทำเป็นรายงาน ลงรายละเอียดทั้งหมดให้ทรงตรวจสอบอีกที”“อ้อ! ที่สำคัญ..เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคัญบัญชา ก็ให้เกียรติผัวด้วย อย่าให้เหล่าทหารรู้เชียวว่า แม่ทัพของเขากลัวเมียแค่ไหน!!” เขาพูดสีหน้าเรียบนิ่ง แต่นัยน์ตาระยิบระยับ อินทุภาตาโต“ฝ่าบาท! พูดได้หน้าตาเฉย กำลังพูดเรื่องงานอยู่ไม่ใช่หรือไง?” อินทุภาค้อนขวับ ดูเขาจะรู้สึกสนุก ที่ชอบทำให้เธอวางสีหน้าไม่ถูกอยู่บ่อยๆ เห็น
วันนี้พระจันทร์เต็มดวง อินทุภานั่งซบไหล่สามีเงยหน้าดูแสงจันทร์นวล พลางนึกถึงวันที่เจอเขาครั้งแรก แล้วเธอก็สะดุ้งเล็กน้อย เพราะหยางหมิงอวี้บีบมือเธอแรง หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมองตามสายตาของเขา ที่กำลังจ้องฝ่าความมืดตรงด้านหน้าอย่างเขม็งหญิงสาวขมวดคิ้ว เมื่อเริ่มมองเห็นชัดขึ้น ลูน่ายืนอยู่ตรงนั้นกำลังมองตรงมา“ลูน่า! ทำไมคราวนี้ปรากฏตัวได้แล้วล่ะ?” อินทุภาอุทานอย่างดีใจ ลุกขึ้นไปหา“ฉันมีอะไรจะให้เธอดู เขย่ากระดิ่งที่คอฉันสิ”ลูน่ายืดตัวขึ้น อินทุภาเลยจับกระดิ่งเขย่า เสียงดังกังวานไปทั่วบริเวณ จากนั้นปรากฏม่านแสงโรยตัวลงมาระยิบระยับ ปรากฏเห็นร่างผู้หญิงคนหนึ่งรางๆ ไม่ค่อยชัดเจนนัก“ทางฝั่งนั้นจะมองไม่เห็นเรา เพราะไม่มีสิ่งที่ยืนยันตัวตน” ลูน่าอธิบายภาพค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ อินทุภาเบิกตากว้าง ตะลึงงันไปชั่วขณะ หยางหมิงอวี้ลุกมาคุกเข่าอยู่ข้างๆ โอบไหล่เธอไว้มองตรงไปที่ภาพตรงหน้าเช่นกัน“คุณแม่!” อินทุภาน้ำตาไหลพรากอย่างกลั้นไม่อยู่ “คุณแม่ขา..หนูคิดถึงเหลือเกิน!” หยางหมิงอวี้ตะลึงไปเหมือนกัน ที่รู้ว่าเป็นมารดาของภรรยา ซึ่งพอเพ่งมองจึงเห็นได้ชัดว่า ความงดงามน่ารักและนัยน์ตาแววหวานนั้น อิน
“หลังจากได้ตรวจสอบบัญชีย้อนหลังไปสองปี ไม่มีปัญหาอะไร และได้ทำการตรวจสอบสภาพอาวุธทั้งหมด ทั้งที่อยู่ในคลัง และที่ใช้อยู่ปัจจุบันปรากฏว่าสภาพเก่าเก็บมาก ได้สั่งให้นำออกมาเช็ดทำความสะอาด หลังจากนั้นนำมาตรวจสอบสภาพ ปรากฏว่าใช้งานได้แค่สองในสาม แสดงให้เห็นว่ามีการปะปน สอดไส้อาวุธไม่ได้มาตรฐานเข้ามาด้วย หม่อมฉันได้คัดแยกไว้แล้วตรงนั้น” หญิงสาวชี้ให้ดูกองอาวุธที่วางทับถมกันเป็นกองใหญ่ ซึ่งถ้าไม่หักสองท่อนก็บิ่นจนใช้งานไม่ได้อีก“จากนั้นหม่อมฉันได้แบ่งงาน ให้ทหารตรวจสอบตามกำแพงเมือง ปรากฏว่าเสื่อมสภาพ บางจุดผนังด้านนอกหลุดกร่อนตามกาลเวลา บางจุดหญ้าขึ้นรกสูงเกือบครึ่งกำแพง ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้ศัตรูพรางตัว” เธอชี้ให้ดูที่แผนที่"จึงได้สั่งการให้ทหารที่ว่างจากการฝึก ไปช่วยกันจัดการถางพงหญ้าตลอดแนว ทั้งด้านนอกและด้านใน และทำการตรวจสอบสภาพกำแพงหาจุดที่ล่อแหลมที่สุดก่อน ลดหลั่นตามสี ที่หม่อมฉันทำสัญลักษณ์ไว้ ส่วนอันนี้เป็นโครงการนำเสนอให้ปรับปรุง และซ่อมกำแพงเมืองหยางซื่อตลอดแนวเขต" อินทุภาส่งแฟ้มงานที่มีรายละเอียดทั้งหมด ให้เขาได้อ่านไปด้วยขณะฟังรายงาน“หม่อมฉันเสนอให้สร้างหอสังเกตการณ์ทุกๆ สิบลี้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากเปิดหอจินไผสาขาสองที่นี่ ฝ่าบาทเห็นเป็นอย่างไรเพคะ? อินทุภาเอ่ยถาม ขณะที่เขานั่งครึ่งเอนอ่านเอกสารในมือ อยู่บนเตียงระหว่างรออินทุภาหวีผมก่อนนอน“ก็ดีนะ เพราะตอนนี้เราควบคุมชุมชนเหมืองไว้ได้แล้ว จะได้สร้างงานสร้างอาชีพอย่างถูกกฎหมายเสียที”“อยากรู้จัง คนที่อยู่เบื้องหลังตาหงส์เฒ่า จะทำอย่างไรต่อไป ไม่ใช่แค่คนจากราชสำนักนะเพคะ ตาหงส์ยังสมคบกับคนต่างแคว้น และพวกตะวันตกอีกด้วย รู้สึกหม่อมฉันจะมีค่าหัวนะเพคะ พวกเขาใช้หม่อมฉันเป็นข้อแลกเปลี่ยน” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ แต่หยางหมิงอวี้เงยหน้าขึ้น คิ้วขมวดทันที “ไหนเล่าซิ” อินทุภาเลยบอกเล่าเงื่อนไขที่ตาหงส์จับตัวเธอ“ก็ไม่รู้ว่าคนที่อยากได้สูตรผสมทอง กับคนที่อยากได้ตำราพิชัยสงครามเป็นคนคนเดียวกันหรือเปล่า?” เธอตั้งข้อสังเกต“อาจจะใช่ และอาจจะไม่ใช่” อินทุภามองหน้า เขาเลยอธิบายเพิ่มเติม “ก็อาจจะมีคนที่อยากได้คนละอย่าง และคนที่อยากได้ทั้งสองอย่าง” อินทุภาห่อไหล่“ตายล่ะ! ชะตาชีวิตคงจะถูกตามล่ายิ่งกว่านักโทษมีค่าหัวอีกนะนี่!”“ข้ากำลังสังหรณ์ว่า เราอาจจะไม่มีเวลาที่จะสงบสุขได้อีก ปัญหาความอยากได้อยากมีพวกนี้ จะตามรังควานพวกเราไม่จบ
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ