“ฝ่าบาทบรรทมหรือยังเพคะ?” สนมเซียวยกตัวขึ้นเล็กน้อย นิ้วเรียวงามแตะแขนอีกฝ่ายเบาๆ"ยัง" ฮ่องเต้ตอบแต่ไม่ลืมตา"ฝ่าบาท.. เผอิญหม่อมฉันไปได้ยินข่าวลือไม่ดี เกี่ยวกับหยางหมิงอ๋องเพคะ รู้สึกกลุ้มใจเหลือเกิน! เพราะเกรงว่าจะมีผลจะกระทบมาถึงฝ่าบาทไปด้วย”“เล่ามา” เขาพูดอนุญาต แต่ไม่ลืมตาเช่นเคย“หม่อมฉันน่ะ เคารพนับถือท่านอ๋อง มาตั้งแต่หม่อมฉันยังเด็ก ทุกคนในชุมชนต่างรักและบูชา เลื่อมใสเขาราวกับเทพเจ้า ยามนี้เขาต้องมาเดือนร้อนเพราะคนชั่ว หม่อมฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา ซ้ำยังกังวลด้วยว่าฝ่าบาท จะสูญเสียขุนพลมือขวาไป ยิ่งหม่อมฉันรู้ว่านางผู้นั้น...""นางไหน?" สนมเซียวยังพูดไม่จบ ฮ่องเต้ก็ถามขึ้นเสียก่อน"นางผู้ที่กำลังจะมาเป็นหวางเฟยของเขาน่ะสิเพคะ นางมีที่มาไม่ชัดเจน ไม่มีใครรู้ว่านางเป็นใครมาจากที่ใด บางกระแสบอกว่านางเป็นพวกด่านนอก บ้างก็ว่านางมาจากรัฐทางตะวันตก บิดาของหม่อมฉันตามสืบเรื่องนี้อยู่ ก็ไม่พบประวัติภายในแคว้นของเราแต่อย่างใด แต่เผอิญไปได้ยินเขาเล่าลือต่อๆ กันมาว่า นางอาจจะเป็นสายลับที่แคว้นเป่ยเหลียงส่งมาเพคะ!" จากนั้น นางก็เล่าถึงเรื่องที่มีผู้คนพบเห็น หวางเฟยของหยางหมิงอ๋อง
หยางหมิงอวี้เดินเป็นวิ่ง รีบเข้าวังเพื่อสอบถามฮ่องเต้ เรื่องที่อินทุภาหายตัวไปจากที่คุมขัง ฉับพลันเกาทัณฑ์ไม่ทราบแหล่งที่มา พุ่งเสียดสีอากาศมาอย่างรวดเร็วฟิ้วววว! ปึ้ก!ธนูปักเสียบหลังเสาพอดิบพอดีขณะที่เขากำลังจะเดินผ่าน ทำให้ชะงักนิดหนึ่งแล้วเดินออกมาดู จึงเห็นมีกระดาษติดก้านมาด้วย ในข้อความเขียนไว้ว่า “คฤหาสน์นอกเมือง” เขาจึงรีบรุดไปทันทีฮ่องเต้หยางอี้นั่งอยู่ในห้องรับรองแขก ละเลียดดื่มชาอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อหยางหมิงอวี้มาถึง"เจ้ามาได้เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก""กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทตรัสตามความจริง เยว่อิงอยู่ที่ใดกันแน่?""มิใช่ขึ้นลานประหารไปแล้วหรอกหรือ?" ผู้เป็นพี่ตอบเล่นลิ้น พลางจิบชาต่อ"ศพนั้นไม่ใช่เยว่อิง! ทุกอย่างล้วนเป็นฝ่าบาทจัดฉากไว้ตั้งแต่แรก!" ฮ่องเต้นิ่งไปเล็กน้อย แล้วหัวเราะออกมา"บอกก็ได้! นางที่เจ้ารักยังไม่ตาย แต่สำหรับชาวแคว้นฉิวซี สายลับเป่ยเหลียงตามข่าวลือผู้นั้นได้ตายไปแล้ว! ผลลัพธ์เช่นนี้เจ้าพอใจหรือไม่? แต่ก็พูดได้ว่านางเป็นผู้ร้องขอความตายให้ตัวเอง จะเหมาะสมกว่า" ฮ่องเต้หัวเราะอย่างชอบใจ"กระหม่อมไม่เข้าใจ?" หยางหมิงอวี้ทำสีหน้าฉงน ฮ่องเต้จึงเล่าเหตุ
เสวี่ยเจี้ยนขึ้นมานั่งพักบนกิ่งไม้ มองทิวทัศน์ชานเมืองฉิวซี เขามาส่งม้าให้ลูกค้าที่วังหลวง กำลังจะเดินทางต่อไปอีกเมืองใกล้ๆ กัน เลยหยุดพักขบวนปล่อยให้ม้าได้เล็มหญ้าเสียก่อนค่อยเดินทางต่อแต่ขณะนั้นเอง สายตาพลันเห็นรถม้าคันหนึ่ง จอดอยู่ไม่ไกล ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ก็มีรถม้าอีกคันเข้ามาจอดเทียบ รถม้าคันแรกเปิดประตู แล้วอุ้มคนผู้หนึ่งออกมาในสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ช่วงที่กำลังจะยกตัวขึ้นรถม้าอีกคัน ใบหน้าของคนผู้นั้น ก็พลิกมาทางเขาพอดี ทำให้เขาชาวาบไปทั้งตัว เมื่อเห็นใบหน้าคนที่ถูกมัดมือ ไม่ได้สติผู้นั้นถนัดตา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเขาก็ยังจำได้ไม่ลืมเลือน ชายหนุ่มรีบกระโดดลงจากต้นไม้ สั่งให้ลูกน้องออกเดินทางไปก่อน ส่วนตัวเขาก็กระโจนขึ้นหลังม้าแล้วควบไปทางตำแหน่งที่เห็น…ระหว่างที่รถม้าของเป่ยเหลียงกำลังควบวิ่งอยู่นั้น ก็ปรากฎกลุ่มม้าไม่ทราบที่มา ออกมาตามทางแยกที่รถม้าวิ่งผ่าน ซึ่งลักษณะการแต่งตัวเป็นคนละพวกกัน คนของเป่ยเหลียงปิดม่านหลังจากสังเกตสถานการณ์อยู่ชั่วครู่ แล้วก็ต้องหัวทิ่มไปข้างหน้าเล็กน้อยเพราะรถม้าเบรคกะทันหัน เมื่อมีกลุ่มคนชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งขวางทางอยู่เกิดการต่อสู้กันชุลมุน ซึ่ง
ชายลึกลับซ่อนตัวเองตามเงามืดของต้นไม้ ค่อยๆ เร้นกายเข้ามาภายในตำหนักเป้าหมาย เขาแทรกตัวเองเข้าทางประตูระเบียงอย่างเงียบเชียบ จุดหมายคือห้องนอน แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าอยู่หลังม่าน เมื่อได้ยินเสียงครวญครางปานจะขาดใจของเจ้าของตำหนักเสียก่อน"โอ้ว!..ดูดแรงๆ อีก!..ซี้ดดด!..อ่าาา" ชายลึกลับค่อยๆ ขยับเปลี่ยนมุมมาหน้าห้องนอน เห็นหญิงสาวฐานะสูงศักดิ์เจ้าของห้อง เอามือยันพื้นเตียง พร้อมกับเด้งโหนกสวยใส่หน้าชายร่างใหญ่ จนก้นลอยส่ายไปมา"ข้าไม่ไหวแล้ว!..เสียบเลยเถอะ!" ชายหนุ่มร่างกายกำยำลุกยืนขึ้น แล้วจับเอวบางลากให้เข้ามาชิดขอบเตียง จนตัวเขายืนอยู่ตรงระหว่างขาของนาง จับแก่นกายถูวนเนินสวาทฉ่ำน้ำ แล้วค่อยๆ กดหายเข้าไประหว่างกลีบสวรรค์สีแดงสวย ความใหญ่ยาวทำให้นางสูดปากออกมาอย่างเสียวซ่าน"ซี้ดด!..อ๊าาา!..ใหญ่ถึงใจดีเหลือเกิน!" หญิงสาวครวญครางเปี่ยมไปด้วยความสุขสมที่เกิดจากกามารมณ์ สองมือเรียวเล็กเลื่อนขึ้นบีบคลึงเต้าเต่งตูมของตัวเองอยู่ไปมา"ของพระสนมก็แน่นเหลือเกิน!..ตอดจนกระหม่อมเสียวไปทั้งลำแล้ว!..อาาา!" ชายร่างใหญ่ขยับเอวกระแทกแก่นกายลำใหญ่เข้าออกไม่ยั้ง ชายร่างสูงอีกคนยืนจับแก่นกายตัวเอง ขยับสา
"พี่หญิง..อย่าทรงหงุดหงิดไปเลยนะเพคะ จะทรงไปตำหนิหวางกุ้ยเฟยก็ไม่ได้ พระนางจิตใจดีถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังชราภาพแล้วด้วย สมองก็อาจจะมีเลอะเลือนไปบ้าง รู้ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมนังปีศาจจิ้งจอกนั่น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร!" สนมเซียวเอ่ยวาจาเห็นใจหวางกุ้ยเฟย พระมารดาของคนที่นางกำลังปลอบใจอยู่"ข้าไม่เชื่อหรอกว่า มันจะยกกรรมสิทธิ์ให้มี่เอ๋อร์ไปแล้ว กิจการกำไรมหาศาลถึงเพียงนั้น ไม่มีทางที่มันจะไม่อยากได้! ยังดีหรอกนะว่า ได้บ้านตระกูลหวางคืนมาแล้ว ไม่อย่างนั้นคงโดนอิต่างชาติ ที่เกิดในตระกูลต่ำต้อยไม่มีที่มา ปอกลอกไปหมดเนื้อหมดตัวแน่ๆ พูดแล้วเจ็บใจเอ๋อเหนียงจริงๆ!" สนมเซียวตาวาบขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินประโยคกระทบปมภูมิหลัง"พูดไปตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว! เอาอย่างนี้ดีกว่า เราแวะทานอาหารกันก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา ให้จิตใจผ่อนคลายค่อยกลับวัง ดีหรือไม่เพคะ?" สนมเซียวชักชวนเสียงหวาน"ก็ได้! แล้วแต่เจ้าเลย ข้าไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่รู้หรอกว่าร้านไหนจะถูกปากหรือไม่" องค์หญิงหยางหรานไม่ค้าน“นี่ก็ใกล้จะถึงแล้วเพคะ" สนมเซียวเปิดม่านออกดู "แหน่ะ! ถึงพอดี เชิญเสด็จเพคะ” ริมถนนตรงตำแหน่งที่รถม้าจ
อินทุภาอยากไปหาท่านอ๋อง กระวนกระวายใจจนนอนไม่หลับ จึงออกมานั่งเล่นที่ศาลากลางสวน เธอตื่นจากภวังค์เมื่อได้กลิ่นคุ้นเคย จึงหันไปมอง"พี่ซาน!!" หญิงสาวอุทานเสียงเบา อย่างแปลกใจ"ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวมืดๆ ล่ะ?" เขาพูดแล้วนั่งลงตรงข้าม "ดูเจ้าสิ! ผอมลงไปเยอะเลย ทำไมไม่ดูแลตัวเองบ้าง!" หมอซุนพูดด้วยความเป็นห่วง น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย"ข้าไม่รู้มาก่อนว่าท่านเป็นคนแคว้นฉิน!" อินทุภาถามอย่างที่อยากรู้"ย่อมไม่ใช่ ข้ามาหาเจ้า!" "มาหาข้า?""ข้าไม่อยากให้เจ้าปิดหูปิดตา โดนคนที่เจ้ารักหลอกลวง""เขามีเรื่องใดที่ลวงข้า?""เขาทรยศความรักของเจ้า! ทรยศความเชื่อใจของเจ้า! และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก!" อินทุภาวางสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ในใจแอบเต้นระทึกเล็กน้อย บุรุษต่อให้ฉลาดหลักแหลมสักเพียงไหน แต่ก็ไม่พ้นวิสัยเล่ห์มารยาอันแนบเนียนของสตรี ยิ่งในบางคนที่มีปัญญามาก ก็ยิ่งมีความซับซ้อน ในทางเล่ห์มารยามากขึ้น ตามไปด้วยเช่นกัน"ใคร?" หญิงสาวเอ่ยถามทั้งๆ ที่ฟันธงอยู่ในใจแล้วว่าเป็นใคร"คนที่เจ้าเองก็รู้ดีว่านางคือใคร!" เขาหัวเราะ "อาอิง! ครั้งนั้นเจ้าปฏิเสธน้ำใจข้า บัดนี้ประจักษ์ในใจเจ้าหรือยังว่า..ได้เลือกผิดคน!
ลำแขนแข็งแรง โอบรัดร่างโปร่งบางที่ยังคงสั่นสะท้านอยู่นิดๆ ให้ขึ้นมานอนบนตัว เขาลูบไล้แผ่นหลังนวลเนียนชื้นเหงื่ออย่างลุ่มหลง ก่อนจะเลื่อนต่ำลงสู่เบื้องล่าง เกาะกุมสะโพกกลมกลึงไว้เต็มฝ่ามือ ในขณะที่ออกแรงงับกลีบปากบนของริมฝีปากอิ่มเต็มให้เผยอออก และรับลิ้นชื้นเข้าไปแทน อินทุภาหลับตาพริ้มไปกับสัมผัสวาบหวาม แล้วเขาก็ถอนริมฝีปากจุมพิตที่ขมับระเรื่อยมาสูดความหอมตรงซอกคอ"กลิ่นบุปผากี่ร้อยกี่พันดอก ก็มิอาจเทียบได้กับกลิ่นกายของเจ้า..ที่กรุ่นกลิ่นหอมไปทั้งเนื้อทั้งตัว! แล้วก็หวานลึกล้ำยิ่งกว่าน้ำผึ้งรวง!" แล้วเขาก็สูดความหอมของกลิ่นกายสาวที่ยากเกินจะต้านไหวเข้าไปเต็มปอด ไม่มีอะไรที่จะกระตุ้นเร้าความรู้สึกของเขาได้ดีไปกว่านี้อีกแล้วอินทุภาช้อนสายตาอ่อนเชื่อมขึ้นสบตา ริมฝีปากแดงก่ำโค้งขึ้นในอาการยิ้มละมุน หน้านวลเนียนแดงระเรื่อ"ท่านแม่ทัพเอ่ยวาจาดั่งบทกวี ท่านคงเคยพูดเช่นนี้กับสตรีมานับไม่ถ้วน" เธอใช้สำนวนโวหารเดียวกันกับเขาตอบกลับไป"เช่นนั้น..หากพระชายาชื่นชอบ ขอโปรดยั้งมือไว้ไมตรี อย่าได้ลงโทษข้าอีกเลย ช่วยยกโทษให้กับการกระทำความผิดโดยมิได้เจตนานี้ด้วยเถิด!" เขายิ้มอ้อนได้อย่างมีเสน่ห์ ชวนใ
พิธีเคารพพระศพของฮองเฮาเป็นไปอย่างซึมเซา ท่ามกลางกลุ่มควันธูปสีขาวและบรรยากาศที่สงบนิ่ง เสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์ประสานกับเสียงเคาะมู่อวี๋(ปลาไม้) ดังก้องกังวานอย่างต่อเนื่อง ประมุขของแคว้นสีหน้าเรียบเฉย แววตาหม่น นัยน์ตามองหลุบลงพื้นอย่างหดหู่ ไม่ใส่ใจในสิ่งรอบข้าง เขาสวมเสื้อขาวไว้ทุกข์นั่งอยู่บนตั่ง ด้านข้างเป็นป้ายบูชาฮองเฮาแห่งแคว้น เหล่าสนมนางใน เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ข้าราชบริพาร รวมไปถึงตัวแทนจากแคว้นใกล้เคียง ต่างก็ยืนเป็นแถว เพื่อรอแสดงความเคารพเป็นครั้งสุดท้ายขันทีประกาศตำแหน่ง และชื่อผู้ที่มาจุดธูปเคารพป้ายบูชาตามลำดับ เสียงดังแทรกผ่านหูไปมาเป็นระยะๆ จนมาถึงลำดับของผู้แทนต่างแคว้น"ทูตแห่งแคว้นเชี่ย องค์ชายซุนจ่งซาน เข้าเฝ้า!"เสียงขันทีประกาศ ทำให้ประมุขของงานพิธี ต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างอยากรู้ องครักษ์เงาได้เคยรายงานว่า ฮ่องเต้แคว้นเชี่ยได้รับบุตรชายของแม่ทัพซุนผู้เกรียงไกร ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์เองเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อตอบแทนที่เขาได้เสียสละชีวิต เอาตัวเองรับดาบแทนพระองค์ในสนามรบฮ่องเต้ชะงักงันไปเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาในระยะใกล้ เพราะหน้าตาองค์ชายซุนจ่งซานคนนี้ สง่าราศีแล
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ