ลำแขนแข็งแรง โอบรัดร่างโปร่งบางที่ยังคงสั่นสะท้านอยู่นิดๆ ให้ขึ้นมานอนบนตัว เขาลูบไล้แผ่นหลังนวลเนียนชื้นเหงื่ออย่างลุ่มหลง ก่อนจะเลื่อนต่ำลงสู่เบื้องล่าง เกาะกุมสะโพกกลมกลึงไว้เต็มฝ่ามือ ในขณะที่ออกแรงงับกลีบปากบนของริมฝีปากอิ่มเต็มให้เผยอออก และรับลิ้นชื้นเข้าไปแทน อินทุภาหลับตาพริ้มไปกับสัมผัสวาบหวาม แล้วเขาก็ถอนริมฝีปากจุมพิตที่ขมับระเรื่อยมาสูดความหอมตรงซอกคอ"กลิ่นบุปผากี่ร้อยกี่พันดอก ก็มิอาจเทียบได้กับกลิ่นกายของเจ้า..ที่กรุ่นกลิ่นหอมไปทั้งเนื้อทั้งตัว! แล้วก็หวานลึกล้ำยิ่งกว่าน้ำผึ้งรวง!" แล้วเขาก็สูดความหอมของกลิ่นกายสาวที่ยากเกินจะต้านไหวเข้าไปเต็มปอด ไม่มีอะไรที่จะกระตุ้นเร้าความรู้สึกของเขาได้ดีไปกว่านี้อีกแล้วอินทุภาช้อนสายตาอ่อนเชื่อมขึ้นสบตา ริมฝีปากแดงก่ำโค้งขึ้นในอาการยิ้มละมุน หน้านวลเนียนแดงระเรื่อ"ท่านแม่ทัพเอ่ยวาจาดั่งบทกวี ท่านคงเคยพูดเช่นนี้กับสตรีมานับไม่ถ้วน" เธอใช้สำนวนโวหารเดียวกันกับเขาตอบกลับไป"เช่นนั้น..หากพระชายาชื่นชอบ ขอโปรดยั้งมือไว้ไมตรี อย่าได้ลงโทษข้าอีกเลย ช่วยยกโทษให้กับการกระทำความผิดโดยมิได้เจตนานี้ด้วยเถิด!" เขายิ้มอ้อนได้อย่างมีเสน่ห์ ชวน
พิธีเคารพพระศพของฮองเฮาเป็นไปอย่างซึมเซา ท่ามกลางกลุ่มควันธูปสีขาวและบรรยากาศที่สงบนิ่ง เสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์ประสานกับเสียงเคาะมู่อวี๋(ปลาไม้) ดังก้องกังวานอย่างต่อเนื่อง ประมุขของแคว้นสีหน้าเรียบเฉย แววตาหม่น นัยน์ตามองหลุบลงพื้นอย่างหดหู่ ไม่ใส่ใจในสิ่งรอบข้าง เขาสวมเสื้อขาวไว้ทุกข์นั่งอยู่บนตั่ง ด้านข้างเป็นป้ายบูชาฮองเฮาแห่งแคว้น เหล่าสนมนางใน เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ข้าราชบริพาร รวมไปถึงตัวแทนจากแคว้นใกล้เคียง ต่างก็ยืนเป็นแถว เพื่อรอแสดงความเคารพเป็นครั้งสุดท้ายขันทีประกาศตำแหน่ง และชื่อผู้ที่มาจุดธูปเคารพป้ายบูชาตามลำดับ เสียงดังแทรกผ่านหูไปมาเป็นระยะๆ จนมาถึงลำดับของผู้แทนต่างแคว้น"ทูตแห่งแคว้นเชี่ย องค์ชายซุนจ่งซาน เข้าเฝ้า!"เสียงขันทีประกาศ ทำให้ประมุขของงานพิธี ต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างอยากรู้ องครักษ์เงาได้เคยรายงานว่า ฮ่องเต้แคว้นเชี่ยได้รับบุตรชายของแม่ทัพซุนผู้เกรียงไกร ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์เองเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อตอบแทนที่เขาได้เสียสละชีวิต เอาตัวเองรับดาบแทนพระองค์ในสนามรบฮ่องเต้ชะงักงันไปเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาในระยะใกล้ เพราะหน้าตาองค์ชายซุนจ่งซานคนนี้ สง่าราศีแ
ภายในท้องพระโรง องค์จักรพรรดินั่งอยู่เหนือแท่นมังกร สายพระเนตรคมกริบกวาดมองไปยังเหล่าขุนนาง ที่ยืนเรียงรายอย่างเคร่งขรึม กลิ่นน้ำมันไม้จันทน์จากกระถางกำยานลอยอบอวล ทว่าไม่อาจกลบกลิ่นแห่งอำนาจ ที่แฝงอยู่ในทุกอณูอากาศ "ข้าเห็นว่าต้าฉิวซี ควรแสดงศักยภาพให้แคว้นฉินยำเกรง บีบบังคับให้เปิดเสรีทางการค้า ตามแนวเขตชายแดน เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดของแคว้นเรา พวกท่านคิดเห็นอย่างไร?" พระสุรเสียงหนักแน่นของฮ่องเต้ดังขึ้น ดึงทุกสายตาให้จับจ้องด้วยความเคารพ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวารีบก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ประสานมือคารวะก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "กระหม่อมเห็นด้วยอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!" ราชเลขาที่อยู่ถัดมาแค่นหัวเราะเย็นชา ก่อนจะกล่าวเสริม "กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ที่ผ่านมาฮ่องเต้ฉินเหิมเกริมเกินไปนัก! เรื่องเก่ายังไม่จบ ก็ริสร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก!" ขุนนางคนอื่นๆ พากันค้อมศีรษะแสดงความเห็นพ้อง "กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" เสียงตอบรับเป็นไปอย่างเป็นเอกฉันท์ ฮ่องเต้พยักพระพักตร์อย่างพึงพอใจ ดวงเนตรเปล่งประกายแฝงแผนการลึกล้ำ ก่อนตรัสออกมาเสียงเรียบแต่ทรงอำนาจ "ในเมื่อพวกท่านล้วนเห็นตร
ขณะที่หยางหมิงอวี้ กำลังปรึกษาแผนการกับแม่ทัพอยู่นั้น ทหารก็เข้ามารายงานว่า มีกลุ่มทหารของฉิวซีมุ่งหน้ามาที่ค่าย เขาจึงรีบออกไปนอกกระโจมทันที เห็นเหลียงอินชงกำลังกระโดดลงจากหลังม้า"เหลียงอินชง! คารวะท่านแม่ทัพ!"หยางหมิงอี้มองอย่างไม่เชื่อตา จับแขนให้เหลียงอินชงที่คุกเข่าทำความเคารพให้ลุกขึ้น แล้วมองอีกคน"หยางเยว่อิง! คารวะท่านแม่ทัพ!" หญิงสาวคุกเข่าคำนับแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน เขาเข้ามากอดไว้หลวมๆ"พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่! เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามอย่างสงสัย"พอพระองค์ออกเดินทาง..เรือนป่าสนก็โดนลอบโจมตี พวกเราได้ข่าวว่าพระองค์ได้รับบาดเจ็บและสูญหาย เลยรวบรวมกำลังพลจะมาช่วย แต่เจอองครักษ์เงาเสียก่อน จึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นอุบายลวงของฝ่าบาทกับฮ่องเต้มาตั้งแต่ต้น พวกเราจึงตามมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ!" หยางหมิงอวี้พยักหน้าเข้าใจ อินทุภารีบสั่งการเหลียงอินชงทันที"อินชง! ทนเหนื่อยอีกหน่อยเถอะ! ท่านรีบเร่งกลับไปคุ้มครองบ้านตระกูลหวาง ไปรับจือซาด้วย ข้าเชื่อว่าเร็วๆ นี้ เมืองหลวงต้องวุ่นวายแน่ๆ!" อินทุภาวิเคราะห์สถานการณ์"ขอรับ!" เหลียงอินชงรับคำสั่ง แล้วขึ้นม้าควบออกไป"หมอซุนมาเปิดเผยตัวตนกับข้าแล้
ขณะที่หยางหมิงอวี้ กำลังปรึกษาแผนการกับแม่ทัพอยู่นั้น ทหารก็เข้ามารายงานว่า มีกลุ่มทหารของฉิวซีมุ่งหน้ามาที่ค่าย เขาจึงรีบออกไปนอกกระโจมทันที เห็นเหลียงอินชงกำลังกระโดดลงจากหลังม้า"เหลียงอินชง! คารวะท่านแม่ทัพ!"หยางหมิงอี้มองอย่างไม่เชื่อตา จับแขนให้เหลียงอินชงที่คุกเข่าทำความเคารพให้ลุกขึ้น แล้วมองอีกคน"หยางเยว่อิง! คารวะท่านแม่ทัพ!" หญิงสาวคุกเข่าคำนับแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน เขาเข้ามากอดไว้หลวมๆ"พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่! เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามอย่างสงสัย"พอพระองค์ออกเดินทาง..เรือนป่าสนก็โดนลอบโจมตี พวกเราได้ข่าวว่าพระองค์ได้รับบาดเจ็บและสูญหาย เลยรวบรวมกำลังพลจะมาช่วย แต่เจอองครักษ์เงาเสียก่อน จึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นอุบายลวงของฝ่าบาทกับฮ่องเต้มาตั้งแต่ต้น พวกเราจึงตามมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ!" หยางหมิงอวี้พยักหน้าเข้าใจ อินทุภารีบสั่งการเหลียงอินชงทันที"อินชง! ทนเหนื่อยอีกหน่อยเถอะ! ท่านรีบเร่งกลับไปคุ้มครองบ้านตระกูลหวาง ไปรับจือซาด้วย ข้าเชื่อว่าเร็วๆ นี้ เมืองหลวงต้องวุ่นวายแน่ๆ!" อินทุภาวิเคราะห์สถานการณ์"ขอรับ!" เหลียงอินชงรับคำสั่ง แล้วขึ้นม้าควบออกไป"หมอซุนมาเปิดเผยตัวตนกับข้าแล้
"ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?" หยางหมิงอวี้เอ่ยถามเสียงเครียด ขณะก้าวเข้ามาในห้องบรรทม จือซาเงยหน้าขึ้นจากตำรับยา ก่อนประสานมือคารวะแล้วตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง "พระวรกายของฝ่าบาทอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อธาตุเย็นแทรกซึม จึงทำให้ปอดติดเชื้อ ยังนับว่าโชคดีที่สามารถรักษาได้ทันท่วงที ตอนนี้หม่อมฉันกำลังฝังเข็มล้างเลือดในอวัยวะตันทั้งห้า และขจัดพิษออกจากอวัยวะกลวงทั้งหก เพื่อถอนพิษของยาหยินหยางออกมา" "แต่เจ้าก็เคยบอกมิใช่หรือว่า... หากจะถอนพิษของยานี้ ร่างกายฝ่าบาทต้องทนทรมานอย่างแสนสาหัส?" หยางหมิงอวี้ขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้น จือซาพยักหน้า"เพคะ แต่ขณะนี้ฝ่าบาททรงพระประชวร ไม่ค่อยได้สติ นับเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรักษา หากไร้สิ่งรบกวน หม่อมฉันน่าจะสามารถล้างพิษได้ถึงเจ็ดหรือแปดส่วน เมื่อพระอาการทุเลา เสวยยาตามตำรับที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้เป็นประจำ พระองค์ก็จะทรงฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังแข็งแรงขึ้นกว่าที่เคยเป็นเสียอีก!" ถ้อยคำของนางมั่นคงฉะฉาน สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการแพทย์โดยแท้"ขอบใจเจ้ามาก""ไม่เป็นไรเพคะ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของหม่อมฉันอยู่แล้ว!""รายงาน!! ท
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวหันไปมอง แล้วก็เบิกตาโตกว้างอย่างประหลาดใจ เพราะคนที่เดินเข้ามาคือองค์หญิงหยางหราน "หึ! ใครๆ เขาก็ว่าเจ้าฉลาดนักฉลาดหนา แล้วทำไมถึงได้โง่ให้เขาจับมาได้ซะล่ะ!" นางเปิดฉากถากถาง"แคว้นฉินเกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ! ราชเลขาก่อกบฏ ฝ่าบาทเกิดประชวรกะทันหัน ประชาชนถูกสังหาร หม่อมฉันกำลังต่อสู้กับกองโจรที่ดักซุ่มโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส! แล้วก็ถูกเขาพาตัวมาที่นี่!" องค์หญิงหยางหรานชะงัก"แล้วฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง?" องค์หญิงถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เบื้องหลังความหยิ่งพยองเย็นชา คือสายใยของความเป็นพี่น้อง และรักในเกียรติภูมิของชาวแคว้นฉิน"หม่อมฉันไม่ทราบ! จำได้แต่เพียงว่า พอสังหารศัตรูสิ้นหม่อมฉันก็หมดแรง คงเพราะสลบไป จึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วฝ่าบาทมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเพคะ?" "เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องรู้!" เธอถอนใจ นั่งลงปลายเตียง "อีกสามวันเขาจะแต่งงานกับเจ้า ประกาศงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ไปทั่วทั้งแคว้น เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?""เขาวางยาในอาหารให้หม่อมฉันอ่อนแรง แต่ถึงจะมีแรง หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปได้อย่างไร ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
ท่ามกลางม่านอวกาศอันมืดมิด ดวงดาวสุกสกาวแข่งกันส่องแสง สลับกับความว่างเปล่าของจักรวาล เบื้องหลังเสียงสะท้อนของกาลเวลา แสงสีดำหม่นค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ราชาดาวนิลได้ลงมือแล้วตูมมมมมม!!!เสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายยาน คลื่นพลังมหาศาลซัดกระแทกยาน จนสะเทือนรุนแรง แทบจะฉีกทุกสิ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ควันและเปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านกระจกห้องควบคุม ภายในห้อง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเละเทะ ไฟลุกไหม้ตามแผงควบคุม ตัวเลขสีแดงกะพริบแจ้งเตือนระดับพลังงานที่ลดฮวบ “เรากำลังจะตกแล้ว!” เอกิลตะโกนลั่น พยายามกดแป้นควบคุม เพื่อรักษาสมดุลของยาน แต่มันไม่ตอบสนอง “ถ้ายานชนพื้นโลกในสภาพนี้ พวกเราคงไม่มีใครรอดแน่ๆ!” มูลาหันไปมองลูน่า ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลูน่ากัดฟันแน่น ขณะเอื้อมมือที่สั่นระริก กดปุ่มปลดล็อกกลไกฉุกเฉิน กริ๊ก!แคปซูลหลบหนีสี่ลูกค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากพื้น ม่านพลังสีทองเริ่มก่อตัวรอบแคปซูล เรกิที่แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา“ลูน่า! อย่าคิดจะทำแบบนี้นะ!” เรกิรู้ดีว่า ลูน่ากำลังตัดสินใจจะทำอะไร “มีคนหนึ่งต้องอยู่คุมยาน” ลูน่ากล่าวเสียงแข็ง “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเราต้องตายไปพร้อม
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!