แคว้นต้าถังนับได้ว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันดับต้นๆ ของทุกดินแดนในใต้หล้า
มีเมืองเล็กเมืองน้อยกระจายไปทั่ว ทั้งอาณาเขตห่างไกลระหว่างชายแดนกับเมืองหลวง ทั้งที่มีภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน
ภูเขารายล้อมรอบด้านแห่งหนึ่ง ด้านในมีหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญ ซึ่งถูกเรียกขานว่า ผิงเหยียน
ผู้คนที่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้มีฐานะหลากหลาย ตั้งแต่คหบดีจนถึงยาจกเร่ร่อน
บุรุษกับกิเลสตัณหาเป็นของคู่กัน อยู่ที่ว่าจักสามารถเติมเต็มให้ตนเองได้หรือไม่
แม้เป็นเพียงพ่อค้ามิใช่ขุนนางใหญ่โตอันใด แต่หากพอมีเงินมากสักหน่อย ประเมินตนเองแล้วคิดว่าดูแลได้ไม่ขัดสน ก็มักจะรับสตรีหลังเรือนเพิ่มความสำราญยามค่ำคืน ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนในหมู่บ้านผิงเหยียนที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้
ทางทิศใต้ของหมู่บ้านมีบ้านเรือนหลายหลังตั้งเรียงราย ละแวกนั้นมีบ้านของสกุลหนึ่งอาศัยอยู่ ผู้นำครอบครัวเป็นพ่อค้า มีภรรยาสองคน มีลูกสามคน
ชิงหลิน เป็นบุตรสาวคนโตของบ้าน มีใบหน้าอ่อนหวาน นิสัยอ่อนโยน แม้มิอาจเทียบเคียงกับคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่ระดับหมู่บ้านชาวผิงเหยียนแห่งนี้ก็นับเป็นหญิงสะคราญโฉมผู้หนึ่ง ทว่าน่าเสียดาย ชิงหลินกลับเป็นสตรีอ่อนแอแลดูไร้ค่าเพราะโง่เขลาเบาปัญญาในทุกเรื่องราว เสียงเบา พูดช้า กิริยานุ่มนวลค่อนไปทางเนิบนาบ ท่วงท่าเชื่องช้า พาให้บางคนมองแล้วรู้สึกขัดตา เนื่องจากมารดามีโรครุมเร้ายามตั้งครรภ์
มารดาของชิงหลินมีนามว่าเจียหรู
เมื่อสามีเปรียบดั่งท้องฟ้า
คือทุกอย่างของสตรีผู้เป็นภรรยา
เจียหรูจึงรักสามีมาก เคารพเทิดทูนเหนือทุกสิ่ง ยินยอมสามีทุกอย่าง มองเขาสูงส่งยิ่งกว่าเทพยดาบนสวรรค์
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือไม่รักชิงหลินสักเท่าใด เหตุผลเพราะยามตั้งครรภ์นางได้รับความทรมานมาก เจ็บป่วยเสียจนแทบจะทนไม่ไหว ยามคลอดยังเกือบตาย
บุตรสาวนามชิงหลินทำมารดาอย่างเจียหรูแทบจะเอาชีวิตไม่รอด อีกทั้งยังทำให้สามีที่อยากได้บุตรชายต้องผิดหวัง
ซ้ำร้ายระหว่างที่เจียหรูตั้งครรภ์ชิงหลิน สามียังเอาใจออกห่าง ไม่ดูแลทะนุถนอมเท่าใด ห่วงแต่กิจการวาณิชนอกบ้าน เดินทางค้าขายไม่เว้นวัน
กระทั่งพาอนุเข้าเรือนมาด้วยหนึ่งคน
ยามเจียหรูอยู่ไฟ สามียังขลุกอยู่แต่เรือนอนุนานนับเดือน
สตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา มิได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน มิได้ฝึกสติปัญญาให้ฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งมิได้มีจิตใจอันสูงส่ง จิตสำนึกใดๆ ไม่เคยขัดเกลา สัญชาตญาณที่มีจึงต่ำตม ทั้งชีวิตขึ้นอยู่กับสามี เจียหรูจึงคิดว่าความผิดทั้งหมดล้วนเป็นเพราะชิงหลิน นางช้ำใจยิ่งนัก นึกรักธิดาคนนี้ไม่ลงเลยสักนิด
เพราะนอกจากจะตั้งครรภ์อย่างทรมาน ยังเปิดช่องว่างให้สามีนอกใจ
เจียหรูคิดว่า หากนางตั้งครรภ์แล้วไม่อ่อนแอจนเกินไป กระทั่งร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมหมดความงามหลายส่วนเช่นนี้ สามีคงไม่เบื่อหน่ายกันง่ายๆ เป็นแน่
และที่สำคัญ หากนางคลอดบุตรชาย ชีวิตหลังแต่งงานคงไม่กลายเป็นเช่นนี้
บุตรชายย่อมดีกว่าบุตรสาว...
เมื่อเป็นเช่นนั้น บุตรชายอีกคนของเจียหรูที่คลอดทีหลัง จึงได้รับความรักความใส่ใจไปเต็มเปี่ยม ชิงหลินที่เป็นบุตรสาวซึ่งไร้ความหมายอยู่แล้ว จึงถูกละเลยกลายเป็นส่วนเกินทันที
ทั้งนี้ ตั้งแต่ชิงหลินเกิดมา ครอบครัวมักจะเกิดปัญหาการค้าต่างๆ อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เด็กคนนี้ทำมารดาร่างกายอ่อนแอยังไม่พอ ยังทำให้การเงินบิดาขัดสนไม่คล่องมือ ติดต่อการค้ายังสะดุดไม่ราบรื่น แต่พอมีบุตรชายอีกคน การเงินก็ดีขึ้น
บิดาของชิงหลินมีนามว่าหานอี้ซวน
หานอี้ซวนเป็นบุรุษให้ความสำคัญกับบุตรชายผู้สืบทอด มากกว่าบุตรสาวที่ต้องแต่งงานออกไปคล้ายสาดน้ำ
ครั้งที่เจรจาการค้า บังเกิดการคุยถูกคอกับสหายผู้หนึ่ง จึงเอ่ยปากยกบุตรสาวให้อย่างง่ายดาย
เป้าหมายคือสร้างเส้นสายการค้าที่กว้างขึ้น เพิ่มช่องทางทำเงินให้ตนเอง
สหายผู้นั้นมีบุตรชายนามว่าจางฉวน
หลังจากตกลงกันแล้วจึงอนุญาตให้คู่หมั้นได้เจอหน้าพูดคุยกันบ่อยครั้งตั้งแต่เยาว์วัย
ทั้งชิงหลินและจางฉวนจึงสนิทสนมรักใคร่กัน นัดพบกันทุกวัน รอเพียงถึงเวลาอันเหมาะสมก็แต่งงานสร้างครอบครัว
บ้านสกุลหาน ภายในโถงรับรองของเรือนไผ่หยก
“อ๊ะ! พี่ฉวน” เสียงแผ่วหวานของดรุณีน้อยดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มเมื่อพวงแก้มถูกปลายจมูกโด่งสันฉกด้วยการหอมไปหนึ่งที
สาวน้อยเอียงหน้าหนี “ไม่เอาเจ้าค่ะ มันไม่งาม”
“จะเป็นไรไปเล่า?”
เสียงทุ้มต่ำฟังดูอู้อี้อยู่ริมหู พร้อมลมหายใจร้อนกรุ่น รินรดยามริมฝีปากหยอกเอิน “ขอข้ามองเจ้าใกล้ๆ นะ”
“อ๊ะ!” ชิงหลินหดคอบ่ายเบี่ยง รู้สึกร้อนวูบวาบอับอาย
จางฉวนเอ่ยอย่างเอาแต่ใจกับคู่หมั้นของตน “ในเมื่อภายหน้าเราสองคนต้องแต่งงานกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จะช้าจะเร็ว เจ้าย่อมเป็นของข้า วันนี้หากสมปรารถนา ไยมิใช่สมควรแล้ว”
น้ำเสียงเข้มหนักดังพร้อมกับเสียงขยับริมฝีปากกดจูบที่ลำคอระหง และเสียงเสื้อผ้าเสียดสี
“มาเถิด ข้าต้องการเจ้า...”
บนเก้าอี้ตัวยาวหลังโต๊ะภายในห้องรับรองที่ปลอดผู้คน ชิงหลินพยายามเบี่ยงกายหลบเลี่ยงฝ่ามือร้อนผ่าวที่แสนซุกซน ปลายลิ้นร้อนลวกที่แสนเอาแต่ใจ นางรีบถอยอย่างลนลาน
ฝ่ามือหนึ่งรีบยกขึ้นมาดันแผงอกหนา อีกมือหนึ่งยังพยายามยับยั้งเรียวนิ้วของคนรักที่กำลังจะกระตุกสายคาดเอวของนางเพื่อล้วงเข้ามาหาเนินอกกลมกลึงเพื่อคลึงเล่น
หญิงสาวพยายามเอ่ยเตือนสติคู่หมั้น ด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักว่า “แต่ว่าเรายังมิทันได้แต่งงานกันนะ ท่านควรให้เกียรติข้า จนกว่าจะถึงยามส่งตัวเข้าหอ...”
สิ้นคำนั้น จางฉวนจึงหยุดชะงัก ได้สติกลับคืน
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกจากซอกคอและดึงมือออกจากสาบเสื้ออีกฝ่าย
ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อหยุดอารมณ์ปรารถนา ถอยหลังไปนั่งอย่างสงบ เก็บสายตาร้อนแรงกลับมาแล้วเสมองไปทางอื่น
รอบด้านพลันอึมครึมมัวหม่น มิใช่บรรยากาศของคู่รักอีกต่อไป
“เจ้าพูดมาก็ถูก...”
ระหว่างที่จางฉวนเอ่ยพึมพำเบาๆ ปราศจากคำขอโทษ อันใด ชิงหลินได้แต่ก้มหน้าหลุบตาค้อมศีรษะ บนใบหน้าแดงก่ำแฝงความขลาดอาย รู้สึกกระวนกระวายและลังเลต่อเหตุการณ์ตรงหน้า
หญิงสาวรีบจัดเสื้อผ้าของตนด้วยมืออันสั่นเทา ท่าทางตื่นกลัว ลอบมองหน้าของชายคนรัก ในใจคิดเพียงว่า นางชอบใบหน้าหล่อเหลาของคู่หมั้นเป็นอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งชอบ เพียงแต่นางยังไม่พร้อม ความมั่นใจใดๆ ก็ไม่มี หน้าอกหรือก็ยังไม่ใหญ่เท่าใด กลิ่นกายก็ไม่แน่ว่าจะหมดความหอมไปนานแล้ว มันน่าอายเกินไปจริงๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกขลาดเขลาไม่น้อยเดิมทีชิงหลินมักจะนัดพบกับจางฉวนในศาลากลางสวนที่ไร้ซึ่งกำแพงปิดกั้นสายตาทั้งยังเปิดเผยรอบทิศ มิอาจทำการล่วงล้ำเกินเลยอันใดต่อกันแม้แต่น้อยทว่าวันนี้ยามเดินทอดน่องกลับคุยกันเพลิดเพลินมากนัก รู้ตัวอีกทีก็เข้ามานั่งในห้องรับรองของเรือนตัวเองถัดจากห้องนี้ไม่ไกลก็คือห้องนอน หากนางไม่อาจยับยั้งเกรงว่าคงทำผิดประเพณีอย่างมหันต์แล้วหญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างตระหนก ตบอกตนเองเบาๆ ให้หัวใจเต้นช้าลง สีหน้าเอียงอายมากล้น พวงแก้มทั้งสองแดงก่ำ ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ช้อนสายตาขึ้นมองคู่หมั้นอย่างเชื่องช้า เก็บกดความรู้สึกเสียดายเอาไว้ให้ลึกสุดใจทว่ากลับเห็นเขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วคล้ายโกรธกรุ่น พริบตานั้นจางฉวนก็หันมาก้มหน้ามองด้วยสายตาที่ดูไม่ออกว่ากำลังคิ
พวกเขาเข้าเรือนไปสองต่อสอง มือที่จับกันยังไม่ยอมปล่อยเลยแม้ช่วงเวลาเดียวเนื่องจากชิงหลินทิ้งระยะห่างอยู่หลายก้าว กว่าจะตามมาทันจนถึงตัวเรือนจึงใช้เวลาพอควรหญิงสาวพยายามมองเข้าไปด้านในผ่านช่องเล็กๆ ของประตู ทำท่าจะยกมือขึ้นเคาะเพื่อร้องเรียกคนด้านใน แต่ยังไม่ทันที่มือจะแตะต้องบานประตู หูของนางพลันได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาก่อน“อื้อ...ท่านพี่ฉวน อ๊ะ...”เสียงแว่วหวานนั้นเป็นของชิงลี่ ฟังดูแล้วให้รู้สึกวาบหวิวหวามไหวในอกยิ่งนัก ทำเอามือเล็กๆ ของชิงหลินต้องนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ ไม่อาจเคาะหรือร้องเรียกผู้ใด“อา...ลี่เอ๋อร์”อีกเสียงที่ดังผสานคือจางฉวน ทั้งแหบต่ำทั้งสั่นพร่า“อื้ม...พี่ฉวน ข้าเจ็บเจ้าค่ะ” เสียงของชิงลี่เริ่มสะอื้นไห้จางฉวนยิ่งส่งเสียงทุ้มนุ่มสั่นกระเส่า “ข้าจะทำเบาๆ”“อื้ม...”“เจ้าช่างงดงามนัก ไร้ที่ติยิ่ง”“แต่ข้ายังไม่เติบโตเต็มที่เลยนะ อ๊ะ!”“ข้าจะทำให้เจ้าโตเองกับมือ”เสียงเสียดสีแว่วดังเป็นระลอก ผสานเสียงครางก่อนที่ฝ่ายสตรีจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“อืม...ของลี่เอ๋อร์โตกว่าของพี่หญิงหลินหรือไม่”“ตอนนี้ยัง ...แต่ต่อไปไม่แน่”สิ้นคำนี้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดพลันหยุดช
ม่านราตรีผ่านพ้นร่างของชิงหลินลอยมากับกระแสน้ำที่พัดพา รู้สึกได้ว่าลอยมาไกลแสนไกล สุดท้ายถูกค้นพบโดยชาวบ้านผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังดำน้ำจับปลาอยู่ในลำธารเพื่อทำอาหารประทังชีวิต ทันทีที่รู้สึกตัว ชิงหลินกำลังนอนนิ่งอยู่ริมลำธาร เมื่อปรับสายตาพร่ามัวจนเข้าที่ก็ได้เห็นชายผู้หนึ่งนั่งเอนหลังพิงต้นไม้ ท่าทีเกียจคร้าน ท่าทางน่ากลัว จึงผวาตกใจ แข็งทื่อไปทั้งร่าง เขามีรูปร่างใหญ่โตประหนึ่งวัวตัวผู้ แลดูน่ากลัว ใบหน้าดำคล้ำมีรอยแผลเป็นน่าเกลียดวาดผ่านเต็มไปหมด หนวดเคราเขียวครึ้มน่าครั่นคร้ามเป็นอย่างมาก สายตาที่เย็นชาของเขาเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง คล้ายอำมหิตคิดฆ่าคนเช่นผักปลาถึงแม้ชิงหลินจะพอจำได้เลือนรางยามสติล่องลอย ว่าเขาคือผู้ช่วยนางจากม่านน้ำ ทว่าด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกลียดของเขาต่อให้อยากขอบคุณแต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากสักคำซ้ำยังคิดได้แต่แง่ร้าย...เขาไม่น่าเข้าใกล้สักนิด ไม่น่าเสวนาด้วยเลยชิงหลินนอนนิ่งไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว ท่าทีเต็มไปด้วยความตระหนก หวาดกลัวเป็นที่สุด ร่างบอบบางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หากแต่กลับสั่นเทามากนักเพราะตื่นกลัวอย่างยิ่งเน
หญิงสาวกำลังสับสน คิดการณ์ไม่ทันผู้ใดทั้งนั้น นางมักเป็นสตรีเช่นนี้ อึกอักอ้ำอึ้งไม่มีความมั่นใจ ทำผู้คนรอบข้างนึกรำคาญไม่น้อยชั่วขณะนั้นเสียงของจางฉวนก็ตวาดก้อง ไม่ปล่อยโอกาสให้ชิงหลินได้เอ่ยอันใด“อะไรกัน!? หลินเอ๋อร์!”ชิงหลินพลันผวาเฮือกเนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกต้องฝนนางมิใช่สตรีฉะฉานเหมือนใครเขา จึงทำได้แค่เม้มปากแน่น ก้มหน้ามิกล้าเงยจางฉวนโกรธเกรี้ยวบันดาลโทสะออกมา“เจ้าทำตัวเหลวไหลถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน เสียท่าให้กับชายอัปลักษณ์ที่พิการหลังค่อมเช่นนั้น นับว่าตัวข้าที่เป็นชายปกติได้รับความอัปยศอดสูอย่างที่สุด ข้าจะถอนหมั้นเดี๋ยวนี้”เมื่อได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย หานอี้ซวนและเจียหรูพลันแตกตื่นเบิกตาโพลงเรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ หมายถึงชื่อเสียงของตระกูลย่อมเสื่อมเสีย แค่ธิดาเสียบริสุทธิ์ให้ชายหยาบช้าก็ย่ำแย่มากแล้ว คู่หมั้นยังถอนสัญญาผูกสกุลยิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าใบหน้าของหานอี้ซวนดำคล้ำ ถลึงตามองชิงหลินอย่างคาดโทษ เจี๋ยหรู๋ยกมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจ กลัวแต่ว่าสามีจะพาลโกรธนางไปด้วยจึงไม่กล้าเอ่ยคำใดทั้งนั้น นางส่งสายตามองชิงหลินอย่างผิดหวังที่มีบุตรสาว
คืนวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานแต่งที่ถูกจัดอย่างเร่งรีบก็ใกล้ถึงเวลาเต็มทีจางฉวนโกรธชิงหลินย่อมสมควรแล้ว เพราะนางอยู่กับกงหนิวผู้นั้นทั้งคืนจริงๆ แต่จางฉวนก็ยังยอมแต่งงานเพื่อปกป้องชื่อเสียงของนางชิงหลินจึงคิดว่าเรื่องของเขากับน้องสาว นางพร้อมให้อภัยอีกฝ่ายเช่นกัน ทั้งยังคิดเอาไว้ว่าจะยินยอมให้เขาแต่งชิงลี่เป็นอนุอีกด้วย เพื่อความสุขของสามี นางต้องทนทุกข์ก็ไม่เป็นไรแค่เขาพึงพอใจไม่รังเกียจนาง...ชิงหลินคิดอย่างใจกว้าง เป็นสตรีจิตใจงดงาม มองทุกสิ่งในแง่ดี ไม่มีความคิดเป็นอื่นกับบิดามารดาและน้องสาวตลอดจนชายคนรักพิธีแต่งงานเกิดขึ้นไม่กี่วันถัดมา ชิงหลินในชุดเจ้าสาวคลุมหน้าด้วยผ้ามงคลปกปิดใบหน้าสีชาดอมยิ้มอย่างมีความสุขขบวนงานแต่งไม่ใหญ่มากนัก ผู้คนที่มาร่วมคือชาวบ้านที่พร้อมใจกันมาเป็นพยานชิงหลินมองเห็นรอบทิศไม่ชัดเจน เพราะมีผ้าคลุมหน้าบดบังสายตาตลอดเวลา อีกทั้งหลังจากจิบชาหอมไปหลายถ้วยเพื่อลดอาการตื่นเต้นก็รู้สึกมึนงงไม่น้อยพิธีการดำเนินไป เสียงเซ็งแซ่แสดงความยินดีดังระงมอยู่รอบกายไม่ขาดสาย ชิงหลินรู้สึกสองหูอื้ออึง สมองขาวโพลน รับรู้สิ่งใดไม่ชัดเจนสักเท่าใดกระทั่งถูกมารดาและน้องส
ยามสายวันต่อมาบนเตียงนอนสีแดงที่คลุมทับด้วยผ้าสีขาว มีร่างอรชรเปล่าเปลือยนอนอย่างเดียวดาย ไร้ร่างสามีเคียงข้าง ทั่วเรือนกายนางเต็มไปด้วยริ้วสีแดงเป็นจ้ำและรอยฟันขบกัดชิงหลินตื่นขึ้นมานานแล้วแต่ก็ยังร่ำไห้ไม่หยุด เรือนร่างสั่นสะท้านอย่างสิ้นหวัง สีหน้าซีดเผือดราวกับเลือดในกายถูกน้ำวนในทะเลสาบน้ำแข็งดูดกลืนภาพของชายที่ครอบครองนางอย่างทารุณยังคงติดตา ความเดียดฉันท์ชิงชังยังคงติดตรึงฝังแน่นในจิตใจแทนที่จะได้เข้าหอกับบุรุษหล่อเหลาซึ่งเขาคือคนที่ชอบ แต่กลับต้องเข้าหอกับบุรุษน่าเกลียดปานนั้นนางรังเกียจกงหนิวยิ่งนักขยะแขยงสิ้นดีท้ายที่สุดสิ่งที่ทำให้ความรู้สึกของตนเองย่ำแย่ยิ่งกว่าคือความจริงที่ครอบครัวและชายคนรักกระทำก่อนหน้านี้ทั้งบิดามารดารวมถึงน้องสาวล้วนบอกกล่าวแก่นางว่าให้รอเป็นเจ้าสาวของพี่จางฉวน เขามิได้คิดจะถอนหมั้นแต่อย่างใด ให้นางรออยู่ในเรือนอย่าออกไปไหนเดิมทีนางลองถามถึงความสัมพันธ์อันซ่อนร้อนของคู่หมั้นกับน้องสาวแล้ว ทว่าชิงลี่กลับตอบกลับว่า‘พี่สาวคงตาฝาดไปเองแล้วเจ้าค่ะ’แน่นอนว่านางไม่อาจเชื่อ ทว่าชิงลี่กลับร้องห่มร้องไห้จนเรื่องราวบานปลาย เรียกร้องสายตาตำหนิจากทุกคน
บัดนี้...สตรีท่าทางอ่อนแอ ใบหน้าอ่อนหวานแต่คล้ายกับอมโรคร้ายตลอดเวลาได้เปลี่ยนไปซานซานในร่างของชิงหลินกำลังนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาทอประกายชั่วร้าย ระลึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าของร่างจดจำได้อยู่เงียบๆก่อนหน้านั้นสตรีผู้ชั่วช้าอำมหิตอย่างนาง ถูกท่านอาจารย์ผู้ชั่วร้ายโหดเหี้ยมยิ่งกว่า ลงทัณฑ์ด้วยวิชามารขั้นสูง ชดใช้ความผิดที่คิดแย่งชิงคนรักผู้อื่นหึ! ทั้งๆ ที่ยังทำไม่สำเร็จด้วยซ้ำ วิญญาณของนางก็หลุดจากร่างเดิมแล้วอาจารย์นะอาจารย์ ท่านช่างเห็นแก่วิถีเซียนเหลือเกิน…เรียวนิ้วขาวผ่องถูกยกขึ้นปาดน้ำตาที่หลงเหลืออยู่เต็มสองข้างแก้มซึ่งยังไหลอาบไม่ทันเหือดหายเจ้าของร่างเดิมสิ้นใจตาย แล้วนางก็เข้าร่างมาบัดนี้ซานซานยังคงจดจำความรู้สึกทุกข์ระทมของเจ้าของร่างเดิมได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเจ็บร้าวที่ถูกหญิงแพศยาแย่งชิงชายคนรัก ความรู้สึกเศร้าหนักที่ถูกกระทำอย่างย่ำแย่และความรู้สึกสิ้นหวังที่ถาโถม ทรมานยิ่ง!ซานซานได้รับรู้ความจริงถึงความรู้สึกทุกข์ระทมของการถูกแย่งชิงก็ครานี้ ในใจได้รู้ซึ้งและสำนึกผิดทันทีนางในยามนี้ได้เห็นทุกความทรงจำตั้งแต่ชิงหลินยังเป
คืนนั้นชิงลี่แอบมาหาจางฉวนแล้วบอกกล่าวเรื่องราวทั้งสองจึงแอบตามหาชิงหลินอย่างเงียบเชียบ ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็บังเอิญเห็นไกลๆ ว่าชิงหลินอยู่กับกงหนิวที่ริมธารคู่หมั้นบัดซบกับนังน้องสาวแพศยาจึงสบโอกาสเหมาะที่จะผลักไสชิงหลินให้พ้นตัวอย่างหมดจดงดงามพวกมันว่าจ้างพยานมาบีบคั้นชิงหลินเรื่องกงหนิววันนั้นจางฉวนทำทีเป็นโกรธกรุ่นหึงหวงไม่ฟังความ ทำให้ชิงหลินที่พูดช้าเสียงเบาไม่อาจทัดทาน เพื่อให้หานอี้ซวนเรียกคุย หมายยุติเรื่องราวมิให้ใหญ่โตบานปลายเสื่อมเสียชื่อเสียงเมื่อเข้าห้องหนังสือกับหานอี้ซวน จางฉวนทำทียอมสงบสติอารมณ์เอ่ยปากยินยอมว่าไม่ถอนหมั้น เพื่อเป็นการปกป้องมิให้บ้านหานเสื่อมเกียรติก็ย่อมได้ หากแต่เจ้าสาวของเขาต้องมิใช่สตรีที่ลักลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่นอย่างชิงหลิน นั่นจึงทำให้บิดาลอบเปลี่ยนสถานะคู่หมั้นของคนพี่เป็นของคนน้องทันที เพื่อที่จะได้ไม่กระทบต่อแวดวงการค้าของเขาส่วนมารดาผู้รักสามีเหลือเกินล้วนรู้เห็นเป็นใจมิกล้าขัดในขณะที่ชิงลี่ยังปลอบประโลมชิงหลินไม่ห่างกาย บอกอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานไร้เดียงสาว่าเรื่องเลวร้ายจะผ่านไป จางฉวนย่อมให้อภัย และแต่งงานแน่นอนจากนั้
ค่ำคืนยาวนาน งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปจ้าวเหว่ยนั่งลงมองเพียงปลายนิ้วมือที่ไล้วนจอกเหล้าด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้ง รอเวลาอันเชื่องช้าเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน ในใจคิดถึงแต่ใครบางคนอันเป็นรางวัลแห่งค่ำคืนและแล้วภายใต้ใบหน้าอันแสนจะเย็นชา รัชทายาทหนุ่มพลันได้แผนการใหม่ในการจัดการกับภรรยาในใจปรารถนาให้สิ้นสุดงานเลี้ยงโดยไวการเสวนาโต้ตอบระหว่างฮ่องเต้กับบรรดาขุนนางยังคงมีไม่ขาดสาย พร้อมเชื้อเชิญกึ่งท้าประชันฝีมือระหว่างตระกูลด้วยการนำเสนอความสามารถของบุคคลชั้นสูงคุณหนูแต่ละคนได้รับการสนับสนุนให้ออกมาแสดงฝีมือกลางลานกว้าง เปลี่ยนทุกการแสดงจากการมอบความสำราญเป็นแสดงความสามารถอันหาได้ยากยิ่งแทน มีทั้งการบรรเลงพิณ แต่งโคลงต่อกลอน และร่ายรำเมื่อการแสดงรอบนี้เป็นสตรีชั้นสูง กระทั่งการร่ายรำบิดเอวส่ายสะโพกจึงมิใช่เป็นการแสดงชั้นต่ำ อีกทั้งยังสูงส่งเทียมฟ้าทุกนางล้วนงดงามสะกดสายตา ยิ่งชาติตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งกลายร่างเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้าแต่ละนางอวดโฉมในด้านที่ดีที่สุดให้องค์รัชทายาทได้ยล พยายามดึงดูดเขาด้วยรูปโฉมและฝีมือในศาสตร์ทุกแขนงเวลาแห่งค่ำคืนค่อยๆ ดำเนินไปช้าๆ ระหว่างนั้นซานซานก็กล
บรรดาคุณหนูในงานต่างโล่งใจที่เป็นซานซาน เพราะสตรีผู้นี้ย่อมไม่อาจได้รับสิทธิ์ปีนเตียงรัชทายาท หรือต่อให้ร่วมวสันต์จริง ก็ยังต้องเป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียงไร้ค่า บนแท่นประทับ โอรสสวรรค์ยังคงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระองค์ตรัสแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ ในเมื่อประกาศแล้วว่าจะมอบรางวัลให้บุตรชาย ก็ควรต้องเป็นไป “เช่นนั้น เจ้า...” ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางซานซาน “รั้งอยู่...”เบื้องหน้าคือองค์จักรพรรดิผู้มีอำนาจล้นฟ้า ถัดมายังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง รอบด้านยังมีแต่ชนชั้นสูงศักดิ์ ซานซานที่เป็นสตรีผู้น้อยต้อยต่ำมีหรือจะปฏิเสธได้ หญิงสาวจึงยอบกายแนบพื้นน้อมรับเสียงเบา มิอาจเป็นอื่นสิ้นคำตรัสฮ่องเต้ จ้าวเหว่ยเพียงตอบรับเสียงเรียบ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ครานี้หลี่กุ้ยเฟยคลายหัวคิ้ว ยกยิ้มงาม เพราะเป็นซานซานย่อมดีกว่านางรำแปลกหน้า คนกันเองทั้งนั้น ไว้ใจได้เหตุที่หลี่ฮุ่ยเยี่ยนไว้ใจซานซานมิใช่เพียงแค่นั้น แต่เป็นเพราะซานซานชอบเพียงเงินทอง ไม่ฝักใฝ่อำนาจ ไม่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยแน่นอนปราศจากเสียงคัดค้าน มีเพียงสายตายอมรับได้ รอบด้านมิได้ริษยาซานซานเทียบเท่าหยุนผิงที่งามเลิศล้ำ สายตาคล้าย
บนแท่นประทับมังกร ฮ่องเต้ตรัสกับขันทีด้านหลัง“พาแม่นางฮวาไคไปพำนักในห้อง รอพาตัวเข้าวังบูรพา”ขันทีค้อมกายน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยวาจาเหล่านี้ยังคงเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเหว่ยเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืนประสานมือแล้วเอ่ยกับพระบิดาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพึงใจกับรางวัลในค่ำคืนนี้ เพียงแต่สตรีที่ปรบมือให้ หาใช่แม่นางผู้นั้นไม่ รางวัลก็ควรเปลี่ยนไป เป็นนางผู้นี้”ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ปรายพระเนตรมองบุตรชาย “หืม?”โซวอ๋องชะงักนิ่ง หยุนผิงยอบกายแข็งค้างจ้าวเหว่ยเน้นอีกครั้งปรายสายตาไปทางซานซาน“เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ”ยามนั้นทุกคนถึงได้สังเกตเห็นซานซานที่เดิมทีคล้ายวิญญาณ ประหนึ่งหมอกควันที่เห็นเพียงเลือนลางเวลาก่อนหน้านี้นับว่าเนิ่นนานทีเดียวที่หญิงสาวถูกความงามของหยุนผิงบดบังเอาไว้จนมิดชิดนางแค่อยู่ตามธรรมเนียมเพื่อรอรับรางวัล มิคาดฝันว่าจักกลายเป็นรางวัลเสียเอง...โซวอ๋องให้นึกกังขา จึงปรับสีหน้าตึงเครียดให้ราบเรียบดุจเดิมพลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มเผยแววหยอกเอินว่า“การแสดงชุดใหญ่เพียงนี้ เหตุใดนางถึงได้รับความชอบเพียงผู้เดียวเล่า มีสิ่งใดพิเศษกระนั้
การตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้ราวกับเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก โดยมีซานซานทำตัวคล้ายหมอกมารไอปีศาจไร้ตัวตน นางคอยควบคุมบงการทุกคนได้อย่างเหนือชั้น ไร้ใครสังเกตและต้านทาน เครื่องมือคือหยุนผิงผู้โดดเด่นและนางรำทั้งหลายที่งดงามพร้อมครอบครองดลบันดาลเนิ่นนานผ่านไปเสียงพิณค่อยๆ แผ่วจาง แล้วหยุดลงในที่สุด ทุกคนพลันบังเกิดความรู้สึกนึกคะนึงหา มิอาจแยกจาก หากเพลงพิณรุนแรงกว่านี้เกรงว่าพวกเขาคงน้ำตาไหลพรากทว่าเมื่อได้สติกลับคืนปรากฏว่านางรำสิบกว่าคนกำลังพากันทยอยกรีดกรายจากไปคล้ายหมู่ภมรอิ่มน้ำหวานกลับถิ่น พริบตาคงเหลือเพียงมือพิณสองนางยอบกายแนบพื้นนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นต้าถัง ผู้ดีดพิณย่อมอยู่ต่อเพื่อรอรับรางวัลจากผู้ชมชั่วขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ต้องมนต์จนเงียบงัน ยามนั้นองค์รัชทายาทพลันได้สติกลับมาคนแรกชายหนุ่มคล้ายหลุดจากท่าทีสุขุมนุ่มลึกอันเย็นชาถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วปรบมืออย่างช้าๆ เผยสีหน้าชื่นชมอารมณ์ดี ท่าทางประหนึ่งถูกครอบงำตราตรึงจากบางสิ่งจ้าวเหว่ยผู้ไม่เคยให้ความสนใจในการแสดงครั้งใดกลับแสดงว่าชมชอบการแสดงชุดนี้จนออกนอกหน้า ทุกคนจึงได้รู้ตัวได้สติกลับคืนมา
ยิ่งคิดเรียวคิ้วบุรุษยิ่งขมวดมุ่นจนเป็นปมยากคลายตัว ขัดแย้งกับบรรยากาศอันแช่มชื่นรอบกายเต็มทีหากปล่อยให้ซานซานเข้าใจผิดเรื่องเหย่หนิวต่อไป บางทีอาจจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย อย่างน้อยนางย่อมไม่ถูกเพ่งเล็ง ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จแม่ต่อไปให้อู๋เจี๋ยได้รับผลกรรมเป็นเหย่หนิว ถูกซานซานเกลียดชัง ถูกคนรักเข้าใจผิดมหันต์ไปเช่นนั้น รอจนกว่าซานซานหายโกรธ เขาย่อมปล่อยอู๋เจี๋ยออกมาส่วนตัวเขาก็จะกลายเป็นชายหนุ่มคนใหม่ที่เข้าหานาง เป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อม เหนือชั้นกว่าเหย่หนิวทุกอย่างส่วนหลิ่งเอ๋อร์ก็เป็นองค์หญิงตัวน้อยช่วยกุมหัวใจของเสด็จแม่อยู่อีกทางให้เวลาบ่มเพาะความรักขึ้นมาใหม่แอบคบหากันไปก่อน รอกระทั่งเขาได้ขึ้นครองราชย์ มีอำนาจสิทธิ์ขาดค่อยว่ากันภายใต้สีหน้าราบเรียบเฉยชาไร้อารมณ์ รัชทายาทหนุ่มยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มดังมีไฟสุมอยู่ในทรวงอก จนเลือดเดือดพล่าน เพราะเรื่องแรกที่เขาคิดการณ์ คือต้องจัดการซานซานให้ได้ก่อนดูเถิดว่าเขาจะเกี้ยวนางได้หรือไม่?ขณะที่จ้าวเหว่ยได้ข้อสรุปที่เรียกได้ว่าชั่วร้ายเพื่อภรรยา เสียงปรบมือเปิดงานด้วยการแสดงจากหอนางรำเลื่องชื่อก็เริ่มขึ้นสตรีงดงาม
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่นมีการสนทนาระหว่างฮ่องเต้ องค์ชาย องค์หญิง ขุนนางทั้งหลายฝ่ายบุรุษต่างมีสีหน้ารื่นรมย์เพราะถือเป็นโอกาสได้สำเริงสำราญเต็มที่ มีสตรีงดงามให้ได้ยล ทั้งยังสูงส่งมากความสามารถฝ่ายสตรียิ่งเบิกบานเพราะได้เปิดหูเปิดตาร่วมประชันโฉมและแสดงฝีมือหลังจากที่ต้องอดทนบ่มเพาะตัวตนแค่ในเรือนหัวข้อที่เสวนาล้วนแต่เป็นการสรรเสริญเยินยอประจบสอพลอ ยังมีต่อด้วยการโต้ตอบไปมาระหว่างอริที่เสแสร้งเป็นพันธมิตรนอกจากนั้นเรื่องที่คุยกันก็ไม่พ้นว่าบุตรชายหรือบุตรสาวบ้านใดเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน อายุเท่าไหร่มีความสามารถอันใด พร้อมออกเรือนหรือไม่ท่ามกลางถ้อยวาจาและเสียงหัวเราะที่แลกเปลี่ยนกัน มีเพียงบุรุษชุดม่วงขลิบทองยังคงเก็บอาการเบื่อหน่ายต่องานเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึกใบหน้าหล่อเหลาซ่อนความเย็นชาในดวงตาคู่ดำด้วยการหลุบลงต่ำมองเพียงปลายนิ้วที่ไล้วนบนจอกเหล้าในมือขณะยกขึ้นจรดริมฝีปากเพื่อดื่มลงคอ ในใจของจ้าวเหว่ยที่เคยราบเรียบบัดนี้คล้ายมีระลอกคลื่นบางเบาเมื่อนึกถึงเรื่องราวบางประการภาพภายในห้องขังคุกหลวงอันมืดมิดปราศจากผู้อื่น ยามที่เจี้ยนจื้อห
หญิงสาวนางหนึ่งอายุราวยี่สิบปีค่อยๆ เผยโฉมออกมาจากกลุ่ม แล้วถามว่า “เจ้าคือคนของวังหลวงใช่หรือไม่? คิดใช้อำนาจข่มเหงพวกเราหรือไร?”ซานซานขมวดคิ้ววูบ “ข้ามิใช่คนของใครทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลใดต้องข่มเหงเจ้า แค่มีวิธีดีๆ ให้ได้เงินง่ายๆ แบบทั่วถึงกัน”หญิงสาวคนเดิมจึงเดินมายืนประจันหน้ากับซานซาน นางมีผิวขาวราวหิมะ แต่งกายด้วยผ้าเนื้อบางเผยสัดส่วนชัดเจน ใบหน้ารูปไข่งดงามอ่อนหวานเย้ายวนอย่างที่สุด สะคราญโฉมพิลาศล้ำยิ่งกว่าองค์หญิงต้าถังด้วยซ้ำหญิงงามกล่าวกับซานซานด้วยน้ำเสียงแว่วหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า “ข้านามว่าหยุนผิง มือพิณ ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงฝีมือ ข้าได้รับความโปรดปรานที่สุด เรียกเงินได้มากที่สุด แต่ก็เหน็ดเหนื่อยกับการเอาตัวรอดจากขุนนางบางคนที่คิดจะติดพันเพื่อซื้อตัวเข้าจวนที่สุดเช่นกัน หากเจ้าช่วยให้ข้าลดความเสี่ยงตรงนั้นได้ โดยที่ค่าตอบแทนไม่ลดลงจากที่เคยรับ ข้าก็ยินดีมอบหน้าที่ดูแลน้องสาวทุกคนในที่นี้ของข้าให้เจ้า”“พี่ผิง!” นางรำทุกคนอุทานอย่างตกใจหยุนผิงยกมือห้ามบรรดาน้องสาวมิให้โวยวาย แล้วกล่าวต่ออย่างใจเย็น “แต่หากเจ้าทำมิได้ ด้วยความงามของข้า รวมกับการได้รับเชิญขึ้นแสดงเพลงพิณ
ซึ่งแท้จริงแล้ว ใครสูงใครต่ำ ซานซานมิได้สนใจ เพียงแต่การถูกจัดลำดับให้ขึ้นแสดงต่างหาก ที่ทำให้หงุดหงิดเพราะนักแสดงมืออาชีพในห้องนี้ถูกสั่งให้แสดงหลังจากคุณหนูในงานแสดงจนหมดแล้วทุกคน และที่สำคัญ ลำดับของซานซานยังเป็นลำดับสุดท้ายต่อจากนางรำคนท้ายที่สุดอีกชั้นจะบ้าตาย...คุณหนูมากมายปานนั้น เวลาที่ใช้แสดงความสามารถก็นานเนิ่น ยังมีต่อกลอนหวานเลี่ยน โต้คารมไปมากว่านางจะได้ขึ้นแสดง ทุกคนคงเมาหลับหรือไม่ก็เริ่มทยอยกลับกันหมดซานซานขมวดคิ้วใคร่ครวญโดยละเอียด ในที่สุดก็ลุกขึ้นแล้วเดินมายืนกลางห้อง ยกมือขึ้นตบแรงๆ เพื่อเรียกความสนใจผลที่ได้คือนางรำหันมามองซานซานทุกคน“พี่น้องคนงามทั้งหลาย” เส้นเสียงกังวานที่เรียกขานทำเอาสาวงามขนลุกซู่ “การแสดงศาสตร์ศิลป์แต่ละครั้ง พวกท่านแยกกันแสดงตามลำดับก่อนหลังครั้งละสามสี่คนถูกต้องไหม?”เรื่องนี้ซานซานอ่านระเบียบการแสดงมาก่อนหน้า จึงรู้ได้“ถูกต้อง” นางรำคนหนึ่งตอบคำ “เจ้าสงสัยอันใดหรือ?”ซานซานมิได้ตอบคำถามนั้น แต่ถามกลับว่า “เช่นนั้น ค่าตอบแทนเล่า ได้อย่างไร?”นางรำอีกคนตอบบ้าง “ได้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ละรอบที่ขึ้นแสดง ความโปรดปรานย่อมไม่เท่าเทียม คน
อีกด้านหนึ่งของงานเลี้ยงลู่หลิ่งกับนางกำนัลพี่เลี้ยงและซูเหยาเล่นอยู่ด้วยกันกระทั่งเด็กน้อยหลับใหล ซานซานจึงพาบุตรสาวเข้านอนแต่หัวค่ำหญิงสาวเลือกที่จะดึงสติคืนปัดเรื่องน่ารำคาญใจออกไป แล้วเตรียมตัวบรรเลงพิณตามที่ได้เสนอกับหลี่กุ้ยเฟยเมื่อถึงเวลางานเลี้ยง ซานซานก็เดินทางจากเรือนพักออกมารออยู่เบื้องหลังฉากกั้นในห้องหนึ่งพร้อมกับนางรำคนอื่นๆภายในห้องแห่งนี้มีหญิงสาวแต่งกายยั่วยวนเดินบิดเอวกรีดกรายส่ายบั้นท้ายเต็มไปหมด ชุดที่สวมใส่ทั้งบางทั้งพลิ้วไหวและแนบเนื้อ เปิดเผยลำแขนขาวผ่องลำคอระหงเนินเนื้ออวบอิ่ม ซานซานให้รู้สึกว่าตนเองเข้าผิดห้องเหลือเกิน เพราะคืนนี้นางแต่งกายได้ผิดแผก ด้วยชุดพระราชทานจากหลี่กุ้ยเฟยเนื้อผ้าที่หญิงสาวใส่แม้หรูหราสีอ่อนหวานลวดลายลงตัวและโดดเด่นสะดุดตาไม่น้อย แต่ค่อนข้างมิดชิด หาได้เปิดเปลือยเนื้อหนังไม่ ใบหน้ายังแต้มชาดแค่พอดีไม่ยั่วยวนเกินไปเพราะมีลูกแล้วจึงไม่ต้องการทำตัวเฉิดฉายเกินงาม ปล่อยให้พวกสาวสะพรั่งได้มีโอกาสเจิดจรัสบ้างจะเป็นไรซานซานประคองพิณเข้ามานั่งลงยังมุมหนึ่งของห้อง พลางทำความเข้าใจตามรายละเอียดที่ได้รับจากขันทีผู้ดูแลแท้จริงวังหลวงแห่งนี้