ผมกลับมาถึงคอนโด เปิดประตูเข้ามาก็ไม่เห็นยัยแว่นแล้ว เธอหายไป พร้อมกับโน้ตหนึ่งใบวางไว้ตรงหมอนนี่คือสาเหตุที่กลับมาสินะ คิดว่าฉันง่าย ได้สมใจแล้วก็ไป ไอ้หมา! อะ ไร วะ เนี่ย! กูขับรถไปซื้อยาให้ ไม่ได้ความดีความชอบอะไร แถมหาว่ากูได้แล้วทิ้งอีก ผมโยนถุงสีขาวขุ่นลงบนเตียงอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินวน ๆ รอบเตียงกดโทรหายัยแว่น แต่เธอไม่รับโทรศัพท์ผม! แถมยังกดตัดสายปิดเครื่องอีก ผมจึงตัดสินใจไปหาเธอที่ห้องริมสุด ยืนกดกริ่งรอบที่ล้านเธอก็ไม่เปิดไม่สนใจ ไปไหนวะ? หรือไม่อยู่ห้อง? ผมไม่แน่ใจ ลองยื่นเท้าอัง ๆ ใต้ประตูเอาหูแนบ แต่ก็ไม่มีไอเย็นของแอร์ ไม่มีเสียงกุกกักอะไรในห้องเลย มันเงียบจนผมเริ่มกระวนกระวาย ผมเดินไปเดินมาอยู่พักใหญ่ก่อนจะหยุดมองประตูสีดำตรงหน้า จากนั้นผมก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา สี่ทุ่มกว่า ไม่อยู่ห้องแล้วจะไปไหน? กลับบ้านรึเปล่า? เฮ้อ! คุณแม่นอนยังวะ ผมต้องรบกวนท่านอีกแล้ว CALLING | แม่แว่น (ไงลูก มีอะไรโทรมาดึกเชียว)
“เอ่อ มาติดต่ออะไรคะ มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ” ผมหลุดจากภวังค์ที่คิดจะถลุงตังค์ญาติทันที ก่อนที่จะรีบหันกลับไปยิ้ม ให้พนักงานคนสวยคนนั้น “ไม่มีอะไรไปทำงานเถอะครับ อีกหนึ่งเดือนค่อยมาถามผมใหม่นะ” พนักงานสาวมองผมงุนงงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เธอยิ้ม ๆ แล้วรีบเดินก้มหน้าไปทำงานของเธอต่อ ผมจึงเดินไปกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนและเดินสำรวจรอบ ๆ อยากคุ้นเคยกับบริษัทก่อนเข้ามาทำงานจริงจัง จนผมเจอของดีเข้า! “โผล่หัวมาถึงบริษัท มีธุระอะไร? ที่นี่ไม่มีใครให้กัดด้วยนะอิกล้า ที่นี่คือที่ทำงาน!” เจ๊ใบไม้ทักผมดี ๆ ไม่ได้ เจ๊แกถนัดพูดตรง ๆ กับด่าแซกหน้าเท่านั้น นี่ขนาดแต่งงานมีเด็กอยู่ในท้องนะ ยังขู่ผมฟอด ๆ เหมือนแมว “ผมมาดูที่ทำงาน อีกหนึ่งเดือนก็จะมาสานต่อเจ๊แล้ว” เจ๊ใบเบะปากเดินนำผมเข้าห้องทำงานตัวเอง ซึ่งผมก็เดินตามไป ติด ๆ เพราะไม่รู้จะไปสิงสถิตอยู่ที่ไหน อดทนอยู่กับเจ๊แกก็ได้วะ “ใครให้แกทำ? ไม่แน่ฉันอาจจะให้แกเป็นยามสักสองปี พนักงานซอฟต์แวร์เอนจิเนียร์ห้าปี” ล้อเล่นน่า! เงินร้อยล้านที่ผมจะไปขอเมียล่ะ! ผมจ
ฉันกลอกตากับความรั้นของเขา วันแรกที่ฉันนัดทานมื้อเที่ยงกับพี่พีมก็มีมารมาผจญซะแล้ว! อยากอธิบายว่าเมื่อคืนไปไหน ทำไมต้องอธิบายตอนนี้ เลือกอธิบายต่อหน้าผู้ชายที่ฉันกำลังจะจีบเขาเนี่ยนะ ต้นกล้าต้องการสื่ออะไร อยากให้พี่พีมรู้ใช่ไหมว่าเมื่อคืนฉันกับเขาอยู่ด้วยกัน! “งั้นก็ขอบใจ” พูดจบฉันก็ควงแขนพี่พีมต่อ จนสายตาที่ต้นกล้ามอง มันหมองและคับแค้นใจมาก จะบอกอะไรให้ตั้งแต่รู้จักผู้ชายชื่อต้นกล้ามา ฉันไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้เลย นัยน์ตาที่มองฉันมันทั้งเจ็บและแค้นในคราวเดียวกัน ฉันแอบรู้สึกแย่ที่เห็นสายตาแบบนั้น แต่จะทำยังไงได้ มันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะใจแข็ง และกล้าควงแขนผู้ชายคนอื่นแบบนี้ “ไม่ต้องขอบใจ เต็มใจ” ‘ฟุบ’ เสียงดอกไม้ช่อใหญ่ถูกโยนลงถังขยะทันทีที่เขาพูดจบ นี่คือต้นกล้าเวอร์ชั่นงอน งอนตุ๊บป่องชนิดที่มีอะไรในมือก็โยนทิ้ง ฉันหลับตาลงพยายามควบคุมสติ พร้อม ๆ กับเขาที่เดินผ่านฉันกับพี่พีมออกไป บรรยากาศตึงเครียด และฉันรู้สึกปวดหัว ‘ตุบ ๆ’ ขึ้นมาทันที ฉันเข้าใจผิดเองเรื่องเมื่อคืน แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะใจอ่อนยอม
ผมจะไปไหนได้ ได้แต่ยืนมองลงไปจากชั้นสองจากห้องสมุด ผมรู้ว่ายังไงยัยแว่นต้องพามันมากินข้าวที่นี่เพราะครั้งแรกที่เราเดทกันเธอก็พาผมมา เธอจีบผมแรมปี ผมระดับป๊อปปูล่าอปป้าประจำโรงเรียน ไม่อยากจะเหลียวแลยัยแว่นหนาเตอะคนนี้ด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมยอมกินคุกกี้เธอทุกวัน รอเธอแกล้งทำเป็นเดินผ่านหน้าห้องเรียนอยู่แบบนั้น จนสุดท้ายติดกับ ตกหลุมรักเธอ แต่กับไอ้พีมนั่นใครจีบใครผมไม่รู้ ทั้งคู่ดูเข้าหากัน ซึ่งผมเห็นและเครียดมาก มะรืนผมก็กลับอเมริกาแล้ว ผมจะเตะตัดขาไอ้พีมยังไงดีวะ ไม่ให้มันคะแนนนำผม! ผมเดินกลับไปหาหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา ระหว่างนั้นก็ชำเลืองลงไปข้างล่างเป็นระยะ ๆ รอว่าเมื่อไหร่สองคนนั้นจะคุยกันเสร็จ จนผมเห็นยัยแว่นยิ้มแล้วเอื้อมมือจับกับไอ้พีม มองกันตาเป็นประกายวิบวับเหมือนตกลงอะไรบางอย่าง อย่าบอกนะว่าตกลงคบกัน? กูจะเผาที่ทำมาหากินไอ้พีมให้หมดเลยคอยดู กูพาล! ผมเริ่มหายใจฟึดฟัด เดินวนไปมามองลงไปข้างล่างอย่างหัวเสีย จนใกล้บ่ายโมงทั้งสองก็เช็คบิลออกไป เดินควงแขนหัวเราะคิกคักเหมือนโลกทั้งใบ
“ผมขอโทษครับ ที่ทำให้คุณพ่อลำบากใจ” “เออลำบากใจ มีลูกสาวเหมือนมีส้วมไว้หน้าบ้าน คนพี่ก็คน คนน้องก็คน ดีที่เรื่องคุณผมทำใจไว้นานแล้ว และรู้ว่าคุณจัดการได้” ผมมองคุณพ่อสงสัย และฉุกคิดในใจทันที ท่านรู้ได้ยังไงวะ? ที่ผมยอมขนาดนี้เพราะเห็นแก่หน้าท่านนะ แต่ท่านรู้ทุกอย่าง! “เอ่อ... คุณพ่อรู้ได้ยังไงครับ?” ผมตัดสินใจถามตรง ๆ ตาก็แอบชำเลืองมองคุณแม่ที่อยู่หลังเสาด้วย “มีอะไรบ้างที่ผมไม่รู้ ผมรู้ก่อนแม่กาแฟสารภาพอีก เริ่มจากผมเช็คโทรศัพท์เมีย สงสัยว่าคุยกับใครทุกวี่ทุกวันลูกก็อยู่นี่ผัวก็อยู่นี่ จนเห็นว่าคุยกับคุณนั่นแหละ ส่วนเรื่องคุณตอนมอห้า กาแฟไม่ให้คนขับรถไปรับที่โรงเรียน ผมก็ให้คนขับรถขับตามไปดูว่าลูกสาวผมไปไหน หึ! ถึงได้รู้ว่าเข้าไปโรงแรม แต่พวกคุณก็เนียนนะ เข้าไปทีละคนและแยกกันออกมา ถ้าผมไม่ให้คนขับรถจอดรอผมก็ไม่รู้” ผมนั่งเงียบและพยักหน้ารับอย่างสำนึก คุณพ่อรู้เรื่องเรานานแล้ว รู้ทุก ๆ อย่างว่าผมพากาแฟไปไหนต่อไหนบ้าง แต่ทำไมท่านเงียบไม่พูดอะไรสักคำ “ผมขอโทษครับ ตอนนั้นผมยังเด็กอยากรู้อยากลอ
“ไม่” เธอตอบทันทีทันใด และไม่ลังเลเลยสักนิด จนผมโน้มเข้าไปใกล้ ๆ เธออีก และขบเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่างแสนอวบอิ่มนั้น “ถ้าตอบไม่ จะโดนอะไรรู้มั้ย?” ยัยแว่นเบือนหน้าหลบผม ก่อนเธอจะเม้มปากที่แวววับที่ผ่านการจูบเมื่อกี้และหลับตาลง เมื่อผมเอียงหูรอคำตอบ “ฉันจะเริ่มต้นใหม่กับพี่พีม ฉันตกลงคุยกับพี่พีมแล้ว” คำว่าตกลงคุย ที่ยัยแว่นพูดมันอาจจะเป็นคำทั่วไปที่คนอื่นใช้ศึกษากัน แต่กับผม... ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ศึกษากันไม่ต่างจากคบ เธอต้องคุยกับมัน ไปไหนกับมัน อยู่ใกล้มันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้น เจ็บว่ะ เหมือนหินก้อนใหญ่ทุบที่ท้ายทอย ผมหนักอึ้งไปทั้งม่านตาและสมอง และตอนนี้ผมก็มองคนตรงหน้าน้ำตาคลอ ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยมือที่รวบข้อมือเธอออก และถอยออกมา แต่เมื่อยัยแว่นหลุดพันธการได้ เธอก็ไม่วิ่งหนีไปไหน เธอหยุดมองหน้าผมผ่านม่านน้ำตาที่ปริ่มเต็มสองข้าง เหมือนกับผมที่มองเธออยู่ตอนนี้ จนผมไม่ไหวนั่งลงคุกเข่าต่อหน้าเธอทันที ผมไม่มีแรงแล้วว่ะ ผมมันหมาหวงก้าง ผมมันคนเลวระยำที่เคยทิ้งผู้หญิงน่ารักคนนี้ ผู้หญิงที่ผมรอมาห
ผมไล่มองขึ้นไปช้า ๆ ผ่านชุดนอนสายเดี่ยวสีชมพูบางกับเสื้อคลุมหลวม ๆ แล้วหยุดที่หน้ายัยแว่น ที่ตอนนี้ตาเธอบวมแดงจนกลายเป็นดอลลี่อาย เธอมองผมสุดเซ็กซี่และเผยอริมฝีปากกระจับอวบอิ่มขึ้น กวาดตามองต่ำไปที่แผงอกผมจนจรดขอบกางเกงขายาวที่ผมใส่ “ยังไม่นอนเหรอ?” ผมถามแต่สายตาหยุดมองเรือนร่างเธอไม่ได้เลย ผมพึ่งรู้ว่ายัยแว่นมีชุดนอนแบบนี้ด้วย มันขัดกับบุคลิกสดใสของเธอชะมัด “ยัง เข้ามาก่อนสิ ฉันมีอะไรให้ดู” พูดจบก็หันหลังเข้าห้อง แถมยังเอียงหน้าหันมองผมด้วยหางตา ทำไมผมรู้สึกแปลก ๆ วะ? แววตาท่าทางการแต่งตัวมันไม่เหมือนยัยแว่นเลย มันเหมือนนังแมวยั่วสวาทยังไงไม่รู้ เท่าที่ผมสังเกตจากการเดินช้า ๆ เดินบิดสะโพกไปมา และปล่อยเสื้อคลุมโชว์หัวไหล่มน ๆ ขาว ๆ พระเจ้า มันน่านัก และแล้ว ยัยแว่นก็เดินนำผมมาถึงห้องนอน ก่อนเธอจะปิดประตูใส่กลอนอย่างแน่นหนา จากนั้นเธอก็ปลดเสื้อคลุมตัวนอกออกให้มันหล่นลงพื้นช้า ๆ แล้วก้าวเข้ามา ชิดตัวผม “ทำไมต้องทำหน้ากลัว ชอบไม่ใช่เหรอ?” ผมกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ก้มมองมือเล็กที่ค่อย ๆ ล้วงเข้าม
หลังจากเสร็จกิจเมื่อคืนฉันก็หมดแรง แต่ไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกแหกขี้ตาตื่นเจ็ดโมงเช้า เพื่อรีบอาบน้ำแต่งตัวหยิบเสื้อกาวน์หนีออกมา เหตุการณ์เมื่อคืนจะไม่เกิดขึ้นถ้าฉันไม่โทรไปโวยวายแม่ และแม่ฉันโยนความผิดทุกอย่างให้ตัวเอง แม่บอกว่ามันเป็นความคิดของแม่ แม่ขอโทษ แม่รู้สึกผิด แม่แค่อยากให้เขาพร้อมและมีวุฒิภาวะกว่านี้ ต้นกล้าเขาเป็นคนดีรักฉันมาก เขาไม่เคยหายไปเลยเขาถามไถ่ถึงฉันทุกวัน! สรุปสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง แต่รู้แล้วฉันไม่รู้สึกดีขึ้นเลย หนำซ้ำฉันยังเครียดกว่าเดิม ที่ฉันเสียใจจะเป็นจะตายมาหกปี มันมาจากการตัดสินใจง่าย ๆ ของเขากับแม่แค่นี้เหรอ? ฉันเป็นคนเจ็บสาหัส ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย? เหมือนจอดรถอยู่นิ่ง ๆ แล้วถูกรถคันอื่นชนแล้วหนีโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันรักษาตัวเองนานหกปีไม่มีใครรับผิดชอบไม่มีใครเห็นใจ ทางกายภาพยังพอเยี่ยวยาได้ แต่สภาพจิตใจฉันมันแย่ไปหมด พอรู้ความจริงฉันก็โทรไปปรึกษาคานะกับน้ำแข็ง เล่าทุกอย่างให้ฟังจนคานะยืนยันกับฉันว่า วันก่อนเขาไปซื้อยาที่ร้านเธอและซื้อยาคุมฉุกเฉินด้วย แต่คานะไม่รู้ว่าเขาซื้อให้ฉัน เลยแขวะเขา
เสียงกรี๊ดดีใจของฉันวันนั้น มันคือความจริงมาจนถึงทุกวันนี้ และที่ฉันคิดว่าพี่ชายฝาแฝดจะหวงน้องสาวเป็นเรื่องดี ตอนนี้ไม่ใช่เลย! สิบห้าปีผ่านไปในขณะที่พี่ชายแฝดทั้งสองอยู่มอหก น้องสาวคนเล็กอยู่มอสาม ต้นข้าวก็เป็นสาวเต็มตัว ชนิดที่ว่าหนุ่ม ๆ หมายตากันทั้งโรงเรียน และนั่นก็ทำให้พี่ชายเธอหวงมาก หวงชนิดที่ว่าเดินไปสอดส่องน้องสาวที่ห้องเรียนทุกชั่วโมง จนคุณครูประจำชั้นของต้นข้าวต้องโทรมารายงานกับฉัน! (คุณแม่คะ พี่ชายฝาแฝดของต้นข้าว มณชญาภร มาหาเธอที่ห้องทุกคาบเรียน อยากรบกวนคุณแม่ปราม ๆ สองหนุ่มหน่อยค่ะ มาทีไรสาว ๆ ในห้องไม่เป็นอันเรียนหนังสือกันเลย) “คะ? ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะคะ?” (มาทีไรเด็กสาว ๆ ก็หันมองกันให้ควั่กเลยค่ะ) ฉันจะบ้า ช่วงนี้ฉันปวดหัวกับลูกอันดับหนึ่งเลย ต้นหนาวที่ดูนิ่งคิดว่าจะห้ามปราบแฝดน้องได้ แต่รายนั้นหนักกว่าใคร คุณครูบอกว่าเขาน่ะ ไปที่ห้องต้นข้าวบ่อยที่สุด! “พี่ถามว่าใครมาจีบ” นั่นไงพูดถึงก็มากันพอดี ตอนนี้เดินตามต้นข้าวต้อย ๆ เข้ามาในบ้านแล้ว “วัน ๆ หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ พี่หนาวพี่เหนือเอาแต่ถามและจ้องจับผิด มันอึดอัดอ่ะ! พี่ติณห์ไม่เห็นจะวุ่นวายกับพี่อันต
“เป็นไงคุณแม่ลูกสอง อายุลูกห่างกันประมาณนี้ไม่เหนื่อยเลยใช่มั้ย” กาแฟเดินเข้ามาหาฉัน เมื่อพวกหนุ่ม ๆ ของเธอเดินไปนั่งสมทบกับคุณเต้ “ห่างกี่ปีก็เหนื่อยทั้งนั้นล่ะวัยกำลังซน ว่าแต่เธอ ไม่ติดเลยเหรอ” กาแฟถอนหายใจและส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะคีบเส้นสปาเก็ตตี้ราดซอสมะเขือเตรียมให้ลูกชายทีละจาน “ไม่ จะบำรุงก็ไม่มีเวลา ต้นกล้าทำงานหนักฉันก็ทำงานหนัก หาเวลาปั๊มยังยากเลย” “ไม่ทำเลยล่ะ ปรึกษาลุงนายปรึกษาหมอสูติเจ้าของไข้เธอก็ได้ แต่จะมีลูกสาวคนเล็กแบบนี้ไม่กลัวพี่ชายแฝดกับพ่อหวงรึไง” กาแฟอมยิ้มและก้มมองจานสปาเก็ตตี้ของลูก ๆ เธอ “อยากมีไว้ให้หวงไง สองหนุ่มกับพ่อจะได้ไม่เถลไถล” พิลึก คงวุ่นวายน่าดู หลังจากนั้นฉันกับกาแฟก็ไปนั่งรวมกับหนุ่ม ๆ ซึ่งติณห์เป็นพี่ที่ดีมาก พอฉันยกจานยกถาดขนมมาวาง เขาก็ดันจานให้ต้นหนาวต้นเหนือทันที “กินสิหนาวเหนือ อร่อย” ต้นหนาวมองจานสปาเก็ตตี้ที่พี่ดันมาและพยักหน้า ส่วนต้นเหนือเทขนมกรุบกรอบในซองใส่ลงไป ก่อนเขาจะชี้โชว์พ่อที่นั่งขมวดคิ้วใส่ และชิงอ
“อุแว้ อุแว้~” “อุแว้~” ฉันจะบ้าตาย ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน ดิ้นสายตื๊ดในท้องยังไง กลางคืนตกดึกก็อย่างงั้น ลูกตื่นทุกชั่วโมง กินนมทุกสองชั่วโมง และนอนยากมาก! ฉันสภาพเหมือนศพ ระหว่างพักฟื้นน้ำหนักลดฮวบฮาบ เพราะทั้งปั๊มนมทั้งให้เข้าเต้า ส่วนสามีเขาก็เหนื่อย เผลอ ๆ เหนื่อยกว่าฉันด้วยซ้ำ เขาเอาต้นหนาวที่ไม่ติดเต้าฉันไปทำงานด้วย ส่วนฉันเลี้ยงต้นเหนือคนเดียวอยู่ที่บ้าน จะว่าไปก็ไม่คนเดียว เพื่อน ๆ เขาก็อยู่หมู่บ้านนี้ เจฟ เค ขับรถผ่านพวกนั้นก็ซื้อขนมซื้อของกินให้ และญาติ ๆ คุณชายก็มาช่วยฉันเลี้ยงบางเวลา พี่ใบไม้ เจแปน ต้นไม้ และน้องโซลมาหาน้องก็ซนเหลือเกิน พูดภาษาอังกฤษคล่องกว่าภาษาไทย บางวันพูดจีนด้วยนะ เจแปนบอกว่าเธอเป็นคนสอนเอง อยากให้รู้ไว้หลาย ๆ ภาษา และเธอก็ปล่อยลูกเล่นไม่ค่อยดุด้วย โซลอาจจะเหมือนเด็กซนแต่เขารู้มาก ฉลาด แม่ปล่อยไว้ไหนก็เล่นได้หมด คลุกฝุ่นคลุกโคลนพร้อมชุบแป้งทอดเลยก็ว่าได้ ฉันฟัง ๆ พี่สาวกับพี่สะใภ้สามี ก็จำ ๆ วิธีเลี้ยงลูกมาใช้บ้าง และว่างก็พาลูกไปหาพ่อกับแม่ คือฉันกับต้นเหนือตัวติด
“คุณพ่อใจเย็น ๆ นะคะ” ฉันเงยขึ้นมองหน้าคุณชายทันที เมื่อเห็นพยาบาลกุลีกุจอวิ่งมาจับตัวเขา ตอนนี้หน้าเขาซีดและเขาก็ไม่ได้ปลื้มอกปลื้มใจที่เห็นลูกชายสภาพนี้เท่าไหร่ จนลูกร้องไห้เสียงดังขึ้น! “อุแว้ อุแว้~” เท่านั้นแหละ คุณพ่อผู้กลัวเลือดก็เผลอหันขมับมอง หวั่นว่าลูกจะเป็นอะไร แต่เมื่อเห็นเลือดสีแดง ๆ ที่เขาเกลียดนักหนาเป็นครั้งที่สอง เขาก็รีบปิดตาและกวักมือเรียกพยาบาลทันที “พยาบาล ๆ เอาลูกผมไปอาบน้ำเถอะ ขอร้องล่ะ” “คุณพ่อไม่ตัดสายสะดือก่อนเหรอคะ? รอหน่อยนะคะ จะออกมาอีกคนแล้วค่ะ!” “อุแว้ อุแว้~” พอได้ยินเสียงร้องอีกเสียงร้องดังขึ้น ฉันก็ไม่สนใจสามีรีบก้มมองตาม ก่อนที่จะเห็นหมอสูติอุ้มลูกชายคนเล็กออกมาวางบนอกฉัน และดูดน้ำคร่ำคราบเมือกต่าง ๆ ให้ “คุณพ่อตัดสายสะดือไหมครับ?” หมอสูติถามเมื่อคุณชายเขาเงียบไป แถมตอนนี้เขายังปิดตาไว้อีกด้วย “มะ ไม่เป็นไรครับ หมอตัดเลย” “ทำไมไม่ตัดล่ะคุณชาย” “เค้าจะเป็นลมแล้วแว่น ถ้าเค้าตัด เค้าเป็นลมไม่ได้ถ่ายรูปแน่ ๆ” ฉันยิ้มให้เขาแ
“จะเป็นอะไร ให้เขาเลือกเองเถอะคุณชาย ขอแค่มันเป็นอาชีพสุดจริตก็พอ แต่เอ๊ะ ลูกไม่ทันคลอดเลยเราจะคิดมากเรื่องนั้นทำไม อีกตั้งนานโข” คุณชายหัวเราะเบา ๆ แล้วหอมแก้มฉัน ถ้าเป็นโรงพยาบาลอื่น เห็นเราเล่นนอนกันกลมดิกแบบนี้ โดนด่าแล้วล่ะ แต่เหลือเชื่อนะพอคุณชายขึ้นมานอนกอดและลูบท้องฉัน เจ้าสองแฝดก็เงียบกริบไม่ถีบท้องฉันอีกเลย จนนั่นแหละฉันเคลิ้มผล็อยหลับไปจนเช้า และงัวเงียตื่นเพราะสองเท้าลูกถีบตุบตับ ๆ “อื้อ ลูก หิวแล้วเหรอ?” “หิวก็ตื่นขึ้นมากิน ยายทำกับข้าวมาให้แล้ว” เสียงพ่อ? ตายแล้ว ๆ พ่อเห็นพ่อว่าแน่ ๆ ที่ฉันให้คุณชายขึ้นมานอนด้วยแบบนี้ ฉันจึงรีบเปิดตาพรึบ และดึงผ้าห่มคลุมอกทันที ก่อนจะเห็นพ่อกับแม่ยืนยิ้มข้าง ๆ เตียง แล้วมองมาที่ฉัน พ่อหล่ออีกแล้ว ยิ่งยิ้มยิ่งหล่อ ลูกสักคนในท้องหน้าเหมือนตานะลูก ส่วนอีกคนหน้าเหมือนพ่อไปเลย เอ๊ะพูดถึงพ่อ คุณชายเขาหายไปไหน? “แฮ่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” “สักพักแล้วล่ะ” แม่ตอบและมองตามฉัน ที่กดเตียงขึ้นนั่งและเอียงซ้ายทีขวาทีหาคุณชายข้างหลัง
ได้ยินแค่นี้คนเป็นแม่ก็มีความสุขสุด ๆ แล้ว สำหรับฉัน บอกรอบที่ล้านก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่าสองแฝด ที่ฉันรู้มาตั้งนานแล้วว่าเขาเป็นผู้ชาย ก็แค่อุบอิบสามีไว้อยากเซอร์ไพร์สเขา ที่ฉันรู้เพราะฉันเป็นหมอ พ่อฉันเป็นหมอ โรงพยาบาลนี้ก็ของครอบครัวฉัน ถ้าผลตรวจเลือดออกมาปุ๊บ แน่นอนว่าพ่อแม่ฉันไม่ยอมรอจนท้องป่องอัลตร้าซาวด์หรอก ท่านรีบโทรมาบอกฉันทันทีที่รู้ บอกว่าเจ้าติณห์จะมีน้องชายแล้วนะ และแม่ก็พูดต่อว่า หลานผู้ชายหมดเลย พ่อกับแม่วิ่งจับกันสนุกล่ะคราวนี้! ใช่!ยินดีด้วยค่ะ กับคุณชายต้นกล้าและปู่ย่าตายายทั้งสองบ้าน หลังจากอัลตร้าซาวด์กลับจากโรงพยาบาล คุณพ่อต้นกล้าก็ขับรถดิ่งกลับบ้าน ไปเปล่าประกาศกลางโต๊ะอาหารทันที ว่า! “เชื้อผมแรงป่ะ ลูกชายสองคน! โคตรเท่อ่ะ แน่นอนไอ้ไม้มันทำไม่ได้ แค่แฝดยังยากเลย ฮ่า ๆ” ฉันกับเจแปนมองหน้ากันแล้วถอนหายใจเบา ๆ แน่ ๆ ต้องมีการโต้วาทีเกิดขึ้นแน่ ๆ และโซลลูกต้นไม้ก็ไม่เข้าข้างพ่อด้วยนะ พอเห็นว่าอาเกทับ ก็หัวเราะคิกคักใส่พ่อตัวเองทันที “คิก คิก” “เจแปนจัด
สรุปนะ ตั้งแต่มีเมียมาเนี่ย ผมได้เงินไปทำงานวันละห้าร้อย! แม่งพี่ยามที่เป่านกหวีดโบกรถที่บริษัท เขาน่าจะได้มากกว่าผมอีกมั้ง ยัยแว่นไม่ประนีประนอมและไม่สงสารผมเลย เอะอะหักเงิน แล้วไม่มีใครช่วยผมด้วยนะ พ่อไม่ช่วยแม่หัวเราะใส่หน้า ส่วนเจ๊ใบกับไอ้ไม้ผมไม่บอกให้เสียหมาหรอก ถ้าพวกนั้นรู้ล้อผมยันลูกบวชแน่ ๆ “เมียให้เงินมาทำงานเท่าไหร่?” พอผมเซ็นเอกสารเสร็จ ก็ยื่นมันคืนให้พนักงานฝ่ายซอฟต์แวร์ ก่อนจะถามคำถามเดิม ๆ ที่ผมถามพวกผู้ชายที่มีเมียทุกแผนก เพื่อจะทำเป็นสถิติเอาไปเสนอยัยแว่นเพิ่มวงเงิน “ยังไงเหรอครับ?” “ฉันถามว่าเมียให้เงินมาทำงานวันละเท่าไหร่? ตอบมาเถอะน่า อย่าให้ต้องถามหลายรอบ” “อ๋อ ผมได้วันละห้าร้อยครับ แต่บางวันก็พันนะครับ แล้วแต่อารมณ์เมีย” ผมนั่งนิ่ง เพราะคิดน้อยเนื้อต่ำใจขนาดหนัก แม่งขนาดพนักงานระดับล่างยังได้เงินมาทำงานเท่ากู แล้วหัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ของบริษัท ฝ่ายเอนจิเนียร์จะขนาดไหนวะ “เอ่อ คุณต้นกล้าถามแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าครับ?” “ไม่มี ไปเถอะ” พอพ
“เหรอ? บอกแบบนั้นถ้าผู้หญิงคนอื่นเข้ามาจีบคุณชายจะทำไง ชอบเหรอไอ้ความรุงรัง? จะกลับมาง้อเค้าแต่ไปประกาศโสด ทำเพื่ออะไร?” “เรื่องมันผ่านมาแล้วแว่น เค้าเมา โอ๋ ๆ ไม่งอนกันนะ” “ไม่รู้ล่ะ วันนี้ห้ามแตะแอลกอฮอล์เลยนะ ถ้าเมาแล้วเลื้อยเป็นงูแบบนั้น” “ค่ะ ๆ เค้าไม่แตะอยู่แล้วเค้าแพ้ท้องอยู่” ผมพูดจบก็จับมือยัยแว่นขึ้นมาจุ๊บเบา ๆ ที่หลังมือ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นแสงสปอร์ตไลท์สีขาวส่องมาที่เรา พิธีกร: จะหวานกันไปถึงไหนคะเนี่ย ถึงเวลาขึ้นเวทีทักทายแขกผู้มีเกียรติแล้วค่ะ เท่านั้นแหละ หน้าบึ้ง ๆ ของยัยแว่นก็หายวับไปกับตา เธอยิ้มเขิน ๆ และหันมองแขกในงานสองฝั่งช้า ๆ จนแม่ผมเดินถือช่อดอกไม้มาให้ และสวมกอดเธอ “หนูกาแฟ ดีใจที่ได้หนูเป็นสะใภ้วรพงศ์กุลนะลูก” “ขอบคุณที่เอ็นดูหนูค่ะคุณแม่” ได้ยินแบบนั้นผมก็ยกแขนให้ยัยแว่นควงทันที ก่อนที่จะก้มหัวลง นิด ๆ ขอบคุณแม่และเดินเข้างาน ตอนนี้แสงสปอร์ตไลท์ส่องมาที่ผมกับยัยแว่นสว่างมาก สาดเข้าเวลส์ยาว ๆ ลากพื้นของเธอ จนเจ้าสาวผมโดดเด่น
และแล้วฉันก็ได้ยินเสียงโห่ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเพื่อนเจ้าสาวเพื่อนเจ้าบ่าว ที่ถกเถียงกันเรื่องซองและเรื่องตะโกนบอกรัก “เจ้าบ่าวไม่บอกรักเจ้าสาวหน่อยเหรอค๊า?” เสียงพี่ปลายฟ้า ดังดี๊ด๊าหน้าห้องและแซวลูกพี่ลูกน้องตัวเอง “บอกทุกวันล่ะเจ๊ แต่นิยมบอกแค่ในห้อง” พอต้นกล้าตอบมาแบบนั้น เสียงแซวของเหล่าเพื่อนเจ้าบ่าวก็โฮฮิ้วขึ้นเสียงดัง “ไม่รู้ล่ะบอกเลย ๆ ให้เขารู้ ว่ารักมากแค่ไหน หวาน ๆ ไม่งั้นไม่ให้เข้านะ” “บอกเลย! บอกเลย! บอกเลย!” ฉันนั่งอมยิ้ม กับเสียงคนโห่กดดันต้นกล้า ก่อนจะหันไปหาพ่อแม่และน้ำแข็ง ที่นั่งมองตรงไปที่ประตู ทุกคนไม่ได้ลุ้นหรอกว่าต้นกล้าจะบอกรักฉันรึเปล่า แต่คงลุ้น ว่าเพื่อนเจ้าสาวจะไถเงินเขาไปเท่าไหร่ “รักแว่นน้า” “กาแฟ ๆ ได้ยินมั้ย?” พอได้ยินเสียงเพื่อนเจ้าสาวถามข้างนอก ฉันก็เอามือป้องปากตะโกนตอบไป “ไม่ได้ยิน!” “รักแว่น! รักกาแฟ! รักหม่าม้านะค้าบ” รักหม่าม้านะครับ โอ้ยน่ารักจังเลย อยากวิ่งออกไปหอมหัว “ยิ้มแก้มจะแตกแล้วนั่น” อยู่ ๆ น้ำแ