“สาครับพูดกับพี่หน่อยเร็วว่าเป็นอะไร”ผู้กองปราบพูดขึ้นหลังขับรถมาถึงบ้านพักครูของเธอแล้ว ส่วนเจ้าของชื่อก็ยังนั่งนิ่งไม่พูดจา“สาโกรธพี่เหรอครับที่พี่ผิดสัญญา” ผู้กองหนุ่มเอ่ยถามซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวผู้กองปราบถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดต่อว่า“ที่พี่ติดต่อสาไม่ได้ ไม่ได้โทรหาตามสัญญาที่พี่ได้บอกเอาไว้ เพราะว่าเมื่อพี่เข้าป่าสัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดหายไปเลย พี่ไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญา พี่อยากโทรหาสาใจแทบขาดแต่พี่ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่เร่งทำภารกิจให้เสร็จโดยเร็วแล้วรีบกลับมาหาสาอย่างนี้ไงครับ”ผู้กองปราบอธิบายอย่างใจเย็น แค่เขามองหน้าหญิงสาวก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้โกรธเขา เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรถึงได้นั่งเงียบแบบนี้“สา”“สาไม่ได้โกรธ สาแค่เป็นห่วงพี่ปราบเฉย ๆ กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้วค่ะ” สามินีตอบกลับเขาส่งยิ้มบาง ๆ ชายหนุ่มรู้สึกผิดสังเกตจึงลุกขึ้นและเดินไปหาเธอก่อนจะคว้าตัวเธอเข้ามากอด“เป็นอะไรไปครับ ไหนบอกพี่สิคนดี”สามินีเม้มริมฝีปากไม่ยอมพูด เธอเลือกที่จะกอดเขาไว้แน่นซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้ของเขาให้มากที่สุด ผู้กองปราบก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงนั่งกอดและลูบหลังเธอไปมาเ
3 เดือนต่อมางานแต่งงานระหว่างร้อยเอกปราบดากับสามินีก็ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตามความต้องการของเจ้าบ่าวเจ้าสาวบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่นอบอวลเต็มไปหมด แขกที่มาร่วมงานและอวยพรแสดงความยินดีให้คู่บ่าวสาวล้วนมีแต่คนสนิทและเพื่อนเจ้าของงานทั้งสิ้น“เหนื่อยไหมครับ” ผู้กองปราบเอ่ยถามเจ้าสาวของเขา เพราะเธอยืนบนรองเท้าส้นสูงมานานแล้ว“นิดหน่อยค่ะ พี่ปราบล่ะคะเหนื่อยไหม” สามินีตอบก่อนจะถามเขากลับ“ไม่ครับพี่ไม่เหนื่อย สาทนหน่อยนะเดี๋ยวอีกไม่นานก็ถึงฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาวเจ้าบ่าวแล้ว ถึงตอนนั้นพี่จะนวดให้สาเอง” ผู้กองปราบพูดส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้จนสามินีต้องส่งค้อนวงโตให้เขา เสียงหัวเราะของสองหนุ่มสาวทำให้แขกในงานเดินเข้ามาหา ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนผู้กองของปราบดาและเพลิงนั่นเองที่มีชื่อว่า ชาติชาย“หัวเราะอะไรเสียงดังเลยครับคุณเพื่อน” เขาเอ่ยทักผู้กองปราบด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งส่งยิ้มล้อเลียนไปให้“คนมีความสุขก็ต้องหัวเราะสิวะ” ผู้กองปราบไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาเขาตอบกลับไปตามปกติ“เดี๋ยวอีกสักพักจะถึงเวลาส่งตัวเข้าหอ หวังว่าเพื่อนปราบจะลงมาปาร์ตีกับพวกเรานะครับ”“เหอะ”“อ๊ะ อ๊
ณ บ้านไม้หลังขนาดกลางในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย ได้มีกลุ่มชายในเครื่องแบบ 4-5 คนกำลังสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน“ผู้กองดื่มน้อยไปแล้วครับ เอานี่ครับผมรินให้” จ่าแสนลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชารินเหล้าที่ชาวบ้านหมักเองให้ผู้กองหนุ่มได้ดื่ม“ขอบคุณมากจ่าแสน แต่ผมพอแล้วดีกว่า พวกจ่าตามสบายเลย” เสียงของผู้กองหนุ่มตอบปฏิเสธเพราะวันนี้เขาดื่มไปหลายแก้วแล้ว ด้วยความที่ไม่ใช่คนชอบดื่มจึงไม่สามารถฝืนทนดื่มต่อไปได้อีก แม้ว่าเหล้าที่ชาวบ้านหมักดองเองจะรสชาติถูกปากก็ตาม“โธ่... ผู้กองปราบอีกแก้วเถอะครับ” จ่าแสนยังคะยั้นคะยอไม่เลิก คนที่ร่วมวงด้วยก็รบเร้าผู้กองหนุ่มด้วยเช่นกัน แต่ผู้กองหนุ่มที่เป็นเจ้านายของพวกเขาก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี“พอแล้วจริง ๆ ครับ ตามสบายเลยผมขอตัวก่อน อ้อ! อย่าดื่มกันจนเมาล่ะ อย่าลืมนะที่เรามาที่นี่เป็นเพราะอะไร”“รับทราบครับผู้กอง” เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาตอบรับคำผู้กองหนุ่มก็เดินแยกจากไปอีกทาง เขาไม่ได้เข้าบ้านไปนอนพัก แต่มายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แทนสายตาของผู้กองหนุ่มเหม่อมองออกไปไกล แม้ว่าตอนนี้ตะวันจะลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ว่าความสวยงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้
“เอาละค่ะบอกครูสาหน่อยว่า ถ้าวันนี้เด็กชายมีได้เงินมาโรงเรียน 20 บาท ฝากเงินไว้กับครู 5 บาท แบ่งไปซื้อขนมอีก 10 บาท เด็กชายมีจะเหลือเงินกี่บาท”“...”“ว่าไงคะ มีใครตอบครูสาได้ไหมเอ่ย” ครูสาวที่เป็นคนตั้งโจทย์ให้กับนักเรียนถามขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“เด็กชายมีจะเหลือเงิน 5 บาทครับ”“เก่งมากค่ะ ปรบมือให้เพื่อนด้วยค่ะ”แปะ แปะ แปะเสียงปรบมือของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีนักเรียน 15 คนดังไปทั่วห้อง ครูสาวที่เรียกตัวเองว่าครูสา มองไปยังนักเรียนของเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนครูสาวมีชื่อว่า สามินี ธรรมโชติ หรือ ครูสา ที่เด็ก ๆ หลายคนเรียกกัน เธอเป็นครูที่สอนประจำที่นี่ เดิมทีเธอไม่ได้เรียนสายอาชีพครู แต่ระหว่างเรียนมีโอกาสเข้าร่วมโครงการครูจิตอาสามาแล้วหลายครั้งและนานถึงสามปีเมื่อเรียนจบจากสายที่เรียนอยู่ เธอจึงตัดสินใจเรียนครูอีกหนึ่งปี เมื่อเรียนจบจึงได้ตัดสินใจสอบเข้ารับราชการและบรรจุครูอยู่ที่นี่นั่นเองย้อนไปก่อนที่สามินีจะมาทำอาชีพนี้ เธอก็เป็นเพียงนักศึกษาที่ชอบความสะดวกสบาย ครั้งเมื่อได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการครูจิตอาสาบอกตามตรงเลยว่าครั้งแรกเธอไม่ได้ต้องการไปทำหน้าที่ในฐานะค
“ผู้กองครับได้เรื่องแล้วครับ” จ่าแสนวิ่งเข้ามารายงานผู้บังคับบัญชาหลังได้รับคำสั่งให้ไปตรวจตราพื้นที่ของชุมชนแห่งนี้“รายงานมา”“สัมปทานป่าไม้ของเถ้าแก่ฮวงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ครับ ห่างออกไปจากพื้นที่ชุมชนเพียงแค่สิบกิโลเมตรเท่านั้น ปกติพื้นที่ของชุมชนแห่งนี้ก็ติดป่าและมีบางส่วนติดภูเขาอยู่แล้ว เมื่อผมลองไปตรวจสอบดูก็พบว่ามันอยู่ไม่ไกลจากที่หัวหน้าคมได้บอกเราไว้จริง ๆ ครับ”“ที่นั่นเป็นยังไง มีอะไรน่าสงสัยไหม”“มีครับ ปางไม้ของเถ้าแก่ฮวงหากดูผิวเผินก็เหมือนจะปกติ ทว่าหากได้ลงพื้นที่และมีการตรวจสอบที่ละเอียดจะเห็นได้ว่า มีคนงานตัดไม้บางส่วนใช้เส้นทางเดินออกมาจากป่าลึก ทั้งยังมีท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ นอกจากนี้ผมยังเห็นว่าปางไม้นั้นมีการลักลอบตัดไม้หวงห้ามรวมไปถึงไม้หายากด้วยครับ เช่นพวกไม้ชิงชัน ไม้พะยูงครับ” คำรายงานของจ่าแสนลูกน้องใต้บังคับบัญชา ทำให้ผู้กองปราบพยักหน้ารับด้วยความพอใจ“งั้นแสดงว่าที่พวกหัวหน้าคมสงสัยก็เป็นความจริง มีคนให้ความช่วยเหลือเถ้าแก่ฮวงอย่างลับ ๆ คนที่มีไม้ชิงชังและไม้พะยูงอยู่ในครอบครองแต่กลับไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง หรือตรวจสอบแล้วไม่เจอ เรื่องนี้ก็บ่งช
“มองอะไรอยู่เหรอครับครูสา” นายจอมพลเอ่ยปากถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับ วันนี้เขาขับรถมารับเธอด้วยตัวเองเพื่อตรงไปที่โกดังเก็บไม้ของปางไม้ตีตราที่ชายหนุ่มพาเธอไปที่ปางไม้นั่นก็เพราะว่า เธอค่อนข้างจะเป็นขวัญใจของชาวบ้านในพื้นที่ ด้วยความที่อัธยาศัยดีจึงทำให้ชาวบ้านชอบเธอได้ไม่ยาก และด้วยเหตุนี้เขาถึงได้พาเธอไปที่ปางไม้ตีตรานั่นเองหนึ่งเพราะต้องการให้หญิงสาวเห็นถึงความใหญ่โตและความร่ำรวยของเขา เธอจะได้รับรักเขาเสียที ตามจีบมาเกือบปีตั้งแต่หญิงสาวมาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะคืบหน้าเลยสองก็เพื่อจะใช้เธอเป็นเครื่องมือเป็นสะพานให้ชาวบ้านที่เคยต่อต้านปางไม้ของลุงเขาเข้ามาทำงานให้กับปางไม้ที่เขารับผิดชอบนั่นเอง ชายหนุ่มเชื่อว่าถ้าหญิงสาวได้มาเห็นการทำงานที่นี่ และไปบอกชาวบ้านที่ว่างงานหรือตกงาน ชาวบ้านจะต้องเลิกอคติและมาทำงานกับเขาแน่ ๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจพาหญิงสาวมาส่วนไม้ที่ถูกทางการสงวนไว้ไม่ให้ตัดเขาก็ทำการจัดเก็บไว้อย่างดีแล้ว รับรองว่าเธอจะไม่พบเห็นอะไรที่น่าสงสัยหรือสิ่งผิดกฎหมายแน่นอน นอกจากนี้เขายังหวังว่าเมื่อเธอไปเห็นความใหญ่โตของปางไม้แล้ว บางทีเธออาจจะใจอ่อ
“ทำยังไงดี จะทำยังไงดี”“โอ๊ย ไม่น่าเลยยายสา แกไม่น่าอยากรู้อยากเห็นเลย แล้วทีนี้จะทำยังไง”สามินีพูดออกมาด้วยความกังวล ตั้งแต่กลับมาจากปางไม้เถ้าแก่ฮวงหญิงสาวก็นอนไม่หลับ เธอรู้สึกกลัวและระแวงไปหมดว่าจะมีใครมาทำร้ายเธอหรือเปล่า“ฮือ... แล้วทีนี้จะทำยังไง” หญิงสาวโอดครวญ นั่งซบหน้ากับมือตัวเอง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันแน่นเพราะกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนที่จะนึกถึงคนที่เธอคิดว่าจะให้ความช่วยเหลือและทำให้เธอลดความกังวลและความหวาดกลัวได้บ้างตืด... ตืด...สามินีโทรไปหาคนที่คิดว่าจะช่วยเธอได้ เธอเฝ้ารออย่างมีความหวัง ใจก็ภาวนาขอให้เขารับสายเธอด้วย แล้วคำขอของเธอก็เป็นจริง“สวัสดีครับน้องสามีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่าครับ”“พี่คมช่วยสาด้วยค่ะ” ใช่แล้วคนที่เธอโทรหาคือคมสัน ญาติผู้พี่ของเธอ ซึ่งเป็นคนแนะนำให้เธอมาสอบบรรจุครูที่นี่ เนื่องจากเธอเคยบอกเขาว่าอยากไปใช้ชีวิตห่างไกลผู้คนหน่อย เพราะต้องการความเรียบง่ายอีกอย่างที่เธอตัดสินใจโทรหาเขาเพราะนอกจากจะเป็นญาติของเธอแล้ว เขายังเป็นถึงหัวหน้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้อีกด้วย เรื่องนี้คนแรกที่เธอควรบอกถึงสิ่งที่รู้มาก็ควรจะเป็นเขา!“มีอะไรครับ”“คือเรื่อง
“สานี่ผู้กองปราบ ผู้กองครับนี่สาน้องสาวผมที่ผมเล่าให้ฟัง”“นี่คุณ!” สามินีเงยหน้าฉีกยิ้มหวังจะทักทายให้คนที่จะมาอยู่กับเธอในฐานะพี่ชายด้วยรอยยิ้ม ทว่าเมื่อเห็นหน้าของคนตรงหน้าแล้ว หญิงสาวก็ต้องตกใจจนร้องออกมา เพราะเขาคือคนเดียวกับที่เฝ้ามองและตามเธออยู่บ่อย ๆ“ไง”“รู้จักกันด้วยเหรอครับ” คมสันถามด้วยความสงสัย“เปล่าหรอกค่ะพี่คม สาแค่คุ้นหน้าของผู้กองเฉย ๆ ค่ะ ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว” สามินีเอ่ยตอบ“เอาละต่อไปนี้ผู้กองจะมาอยู่กับสาในฐานะพี่ชายที่มาที่นี่เพราะต้องการมาดูความเป็นอยู่ของน้องสาวอย่างสานะครับ”“ค่ะ”“เอาละยังไงก็ทำความรู้จักกันเองนะครับ พี่กลับก่อน อ้อ อย่าให้ใครจับได้ล่ะว่าไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ สาอย่าดื้อกับผู้กองนะ ผู้กองครับผมกลับก่อนนะครับ ฝากด้วยนะ”“ครับ” ผู้กองปราบรับคำง่าย ๆ แล้วมองเจ้าหน้าที่คมสันเดินจากไป ก่อนจะหันหน้ามามองสบตากับคนที่กอดอกยืนมองเขาอยู่ ชายหนุ่มเลิกคิ้วหนึ่งข้างเป็นการถามว่ามีอะไร“ตามมาค่ะ เข้าไปในบ้านกันก่อนแล้วค่อยพูด” สามินีตอบก่อนจะเดินนำเข้าบ้านพักครูไป โชคดีที่บ้านพักครูมีสองห้องนอนไม่อย่างนั้นทั้งเธอและเขาคงต้องอึดอัดกันแน่ ๆเมื่อเข้า
3 เดือนต่อมางานแต่งงานระหว่างร้อยเอกปราบดากับสามินีก็ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตามความต้องการของเจ้าบ่าวเจ้าสาวบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่นอบอวลเต็มไปหมด แขกที่มาร่วมงานและอวยพรแสดงความยินดีให้คู่บ่าวสาวล้วนมีแต่คนสนิทและเพื่อนเจ้าของงานทั้งสิ้น“เหนื่อยไหมครับ” ผู้กองปราบเอ่ยถามเจ้าสาวของเขา เพราะเธอยืนบนรองเท้าส้นสูงมานานแล้ว“นิดหน่อยค่ะ พี่ปราบล่ะคะเหนื่อยไหม” สามินีตอบก่อนจะถามเขากลับ“ไม่ครับพี่ไม่เหนื่อย สาทนหน่อยนะเดี๋ยวอีกไม่นานก็ถึงฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาวเจ้าบ่าวแล้ว ถึงตอนนั้นพี่จะนวดให้สาเอง” ผู้กองปราบพูดส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้จนสามินีต้องส่งค้อนวงโตให้เขา เสียงหัวเราะของสองหนุ่มสาวทำให้แขกในงานเดินเข้ามาหา ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนผู้กองของปราบดาและเพลิงนั่นเองที่มีชื่อว่า ชาติชาย“หัวเราะอะไรเสียงดังเลยครับคุณเพื่อน” เขาเอ่ยทักผู้กองปราบด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งส่งยิ้มล้อเลียนไปให้“คนมีความสุขก็ต้องหัวเราะสิวะ” ผู้กองปราบไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาเขาตอบกลับไปตามปกติ“เดี๋ยวอีกสักพักจะถึงเวลาส่งตัวเข้าหอ หวังว่าเพื่อนปราบจะลงมาปาร์ตีกับพวกเรานะครับ”“เหอะ”“อ๊ะ อ๊
“สาครับพูดกับพี่หน่อยเร็วว่าเป็นอะไร”ผู้กองปราบพูดขึ้นหลังขับรถมาถึงบ้านพักครูของเธอแล้ว ส่วนเจ้าของชื่อก็ยังนั่งนิ่งไม่พูดจา“สาโกรธพี่เหรอครับที่พี่ผิดสัญญา” ผู้กองหนุ่มเอ่ยถามซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวผู้กองปราบถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดต่อว่า“ที่พี่ติดต่อสาไม่ได้ ไม่ได้โทรหาตามสัญญาที่พี่ได้บอกเอาไว้ เพราะว่าเมื่อพี่เข้าป่าสัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดหายไปเลย พี่ไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญา พี่อยากโทรหาสาใจแทบขาดแต่พี่ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่เร่งทำภารกิจให้เสร็จโดยเร็วแล้วรีบกลับมาหาสาอย่างนี้ไงครับ”ผู้กองปราบอธิบายอย่างใจเย็น แค่เขามองหน้าหญิงสาวก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้โกรธเขา เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรถึงได้นั่งเงียบแบบนี้“สา”“สาไม่ได้โกรธ สาแค่เป็นห่วงพี่ปราบเฉย ๆ กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้วค่ะ” สามินีตอบกลับเขาส่งยิ้มบาง ๆ ชายหนุ่มรู้สึกผิดสังเกตจึงลุกขึ้นและเดินไปหาเธอก่อนจะคว้าตัวเธอเข้ามากอด“เป็นอะไรไปครับ ไหนบอกพี่สิคนดี”สามินีเม้มริมฝีปากไม่ยอมพูด เธอเลือกที่จะกอดเขาไว้แน่นซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้ของเขาให้มากที่สุด ผู้กองปราบก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงนั่งกอดและลูบหลังเธอไปมาเ
13:00 น.ร้อยเอกปราบดาก็ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพนักข่าวที่พยายามวิ่งกรูเข้ามาหาเขาหลังจากที่เขาพากองกำลังทหารและผู้ต้องหาทั้งหมดออกมาจากป่าได้ และได้ส่งคนเจ็บทั้งหมดขึ้นรถไปรักษาตัวรวมถึงส่งผู้ต้องหาทั้งหมดขึ้นรถไปยังเรือนจำรอการดำเนินคดีทันทีที่ร้อยเอกปราบดานายทหารหนุ่มเดินแยกตัวออกมาจากกลุ่มรถหลังจากที่สั่งงานต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว กองทัพนักข่าวก็พุ่งเข้าหาเขาทันที“ไม่ทราบว่าเรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไรคะผู้กอง” นักข่าวสาวคนหนึ่งเอ่ยปากถาม“ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมตัวในครั้งนี้จะดำเนินการต่อไปอย่างไรครับ” ไม่ทันที่ผู้กองปราบจะตอบคำถามแรกคำถามที่สองสามสี่ก็ตามมา จนผู้กองหนุ่มต้องยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำถามที่จะออกมาจากปากนักข่าวทั้งหลาย เมื่อเห็นทุกคนเงียบผู้กองหนุ่มจึงได้พูดออกมา“ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจข่าวนี้นะครับแต่ผมยังพูดอะไรมากไม่ได้เนื่องจากมีผลต่อรูปคดี เอาเป็นว่าที่ผมบอกได้ก็คือ ทั้งหลักฐานและพยานเรามีพร้อมเอาผิดแน่นอนครับ จากนี้ก็ให้เป็นเรื่องของกฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ผมทำหน้าที่ของผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอตัวก่อนครับ”พูดจบผู้กองปราบก็เดินหนีออกจากกองทัพนักข่าวทั
“ปิดล้อม!”“หยุด!”“แย่แล้วครับนาย ทหารครับ”“ว่าไงนะ!” นายจอมพลถามเสียงหลงเมื่อลูกน้องของเขาบอกว่ามีทหารล้อมพวกเขาอยู่“ทหารล้อมพวกเราอยู่ครับ”“อะไรวะเนี่ย ฉันไม่สน ยังไงเราต้องฝ่าออกไปให้ได้” นายจอมพลพูดในขณะที่ตัวเขาก็เอนหลังพิงต้นไม้ไว้“ถ้าอย่างนั้นพร้อมนะครับนาย”“อืม ไป!”ปัง ปัง ปังปัง ปัง ปังเสียงปืนดังลั่นสนั่นบริเวณพื้นที่ป่า ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายนายจอมพล อีกฝ่ายคือกองกำลังทหารของร้อยเอกปราบดา“บุก บุก บุก”ปัง ปัง ปังยิ่งได้ฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย เหล่าทหารกล้าทั้งหลายก็โจมตีเข้าไปไม่มีหยุด ทำให้นายจอมพลต้องล่าถอยหลบอยู่หลังเนินดิน ในหัวก็พยายามขบคิดว่า สามารถหนีไปทางไหนได้บ้าง“บ้าเอ๊ย! พวกทหารมันมากันได้ยังไงวะ” นายจอมพลพูดด้วยเสียงที่ไม่พอใจ และกำลังโกรธ“ทางเส้นนี้คือหนึ่งในทางลับที่พวกเราใช้ขนไม้เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบไม่ใช่เหรอ ทำไมมีทหารเข้ามาได้” นายจอมพลพูด ในขณะที่เสียงกระสุนปืนก็ยังสาดใส่กันไม่หยุด“เอายังไงต่อดีครับนายขืนเราอยู่แบบนี้เราไม่รอดแน่” หนึ่งในลูกน้องของนายจอมพลเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด ซึ่งนายจอมพลก็เครียดไม่แพ้กันวันนี้นายจอมพลเข้ามาในป่าเพื่อมาดูไม้ที
“ไม่สบายใจเหรอคะ” หนูนิดมองหญิงสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอที่มีท่าทางเหม่อลอยอย่างเห็นใจ ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปทัก“เอ่อ ค่ะ” สามินีหันไปตอบคนที่เข้ามาทักเธอ ก่อนที่จะยิ้มให้บาง ๆ“เป็นห่วงพี่ปราบเหรอคะ”“!.. ค่ะ” สามินีนิ่งไปก่อนจะยอมรับออกมา เธอเป็นห่วงเขามาก ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงเกิดอะไรขึ้นบ้างเขาจะปลอดภัยไหม“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พี่ปราบต้องปลอดภัยแน่นอน”“แต่นี่มันสามวันแล้วนะคะ” สามินีแย้งแม้ว่าเธอจะย้ำกับตัวเองว่ายังไงซะเขาก็ปลอดภัย แต่ว่าก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้อยู่ดี ยิ่งเขาหายไปสามวันติดต่อไม่ได้แบบนี้เธอยิ่งเป็นห่วงตั้งแต่วันที่ชายหนุ่มพาเธอมาบ้านเดชอนันต์ ตอนนี้ก็ล่วงเข้าสู่วันที่สามแล้ว ที่ชายหนุ่มไปปฏิบัติการจับกุมนายจอมพล เป็นสามวันที่เธอติดต่อเขาไม่ได้เลย!“ใจเย็นก่อนเถอะค่ะ หนูนิดเชื่อว่าพี่ปราบต้องกลับมาอย่างปลอดภัยในเร็ววันนี้แน่นอน” หนูนิดปลอบแม้ว่าเธอจะไม่รู้สถานการณ์ของผู้กองปราบแต่จะให้เธออยู่เฉย ๆ ไม่พูดอะไรกับสามินีเลยก็ไม่ได้สามินีเข้าใจคำพูดของหนูนิด แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดเป็นห่วงเขาได้ ทุกวันทุกคืนเธอได้แต่มองหน้าจอว่าเมื่อไหร่เขาจะโทรเข้ามา จากความ
“เป็นไงครับ อร่อยไหม อาหารถูกปากหรือเปล่า” ผู้กองปราบถามพร้อมมองหญิงสาวด้วยสายตาคาดหวัง“อร่อยค่ะ สาเพิ่งรู้ว่าพี่ปราบทำอาหารอร่อยขนาดนี้ จากนี้ทำให้ทานทุกวันเลยได้ไหมคะ” หญิงสาวตอบในขณะที่ปากยังคงเคี้ยวอาหารที่ชายหนุ่มเป็นคนทำไม่ได้หยุด“ได้จ้ะได้ ขอแค่สาอารมณ์ดีก็พอ” ผู้กองปราบพูดพร้อมยิ้มเอาใจหญิงสาวหลังจากที่สามินีอารมณ์ดีขึ้นไม่โวยวายทุบตีเขาแล้ว ผู้กองปราบก็รีบลงมาทำอาหารให้เธอทานทันที ด้วยรสมือทำอาหารที่ค่อนข้างอร่อยบวกกับความเอาใจใส่ที่เขาแสดงออกมา ทำให้ตอนนี้สามินีหายโกรธชายหนุ่มแล้วหลังจากทานข้าวเสร็จหญิงสาวก็มานั่งลูบท้องที่นูนออกมาของเธอที่โซฟา รอให้ชายหนุ่มเข้ามาพูดคุยถึงสิ่งที่จะทำต่อไป“จุกมากเหรอครับ”“ค่ะ จุกมาก”“จุกเท่าถูกพี่กินหรือเปล่า”“พี่ปราบ!”“ขอโทษครับขอโทษ ไม่โกรธนะครับ ไม่โกรธ พี่แค่ล้อเล่นเองครับ ใจเย็น ๆ นะจ๊ะสาจ๋า” ผู้กองปราบรีบพูดเมื่อถูกหญิงสาวมองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ พร้อมกับยิ้มเอาใจเธอไปด้วย สามินีคร้านจะใส่ใจคนทะลึ่งอย่างเขาจึงได้เปลี่ยนเรื่องคุย“แล้วพี่ปราบจะทำอะไรต่อไปคะ”“ก่อนอื่นพี่ต้องพาสาไปอยู่บ้านเพื่อนพี่ก่อน สาอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย กล
“ว่าไง” ผู้กองปราบถามปลายสายถึงเรื่องที่เขาให้จัดการ“นายจอมพลตอนนี้ฟื้นแล้วครับ เอาผิดใครไม่ได้เพราะพวกผมจัดการตัวเองจนหน้าตาเขียว ทั้งยังสลบกับการถูกลอบทำร้าย ทำให้นายจอมพลเชื่อสนิทว่าเป็นคนอื่นที่ให้ความช่วยเหลือผู้กอง ไม่ใช่พวกเรา” หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารายงาน“อืม ดีแล้ว แล้วยังไงต่อ”“ผมคิดว่าจากนี้ไปครูสาไม่น่าจะปลอดภัยครับ ส่วนข้อมูลและทุกอย่างที่ผู้กองให้จัดการก็เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ตอนนี้รอแค่คำสั่งบุกจับกุมเท่านั้นครับ”“ดี ส่วนเรื่องของครูสาไม่ต้องห่วงผมจัดการเอง แค่นี้นะ” ผู้กองปราบพูดก่อนจะวางสายไปชายหนุ่มเอี้ยวตัวเอาโทรศัพท์วางไว้บนหัวเตียงของหญิงสาว ส่วนตัวเองก็นอนตะแคงยกมือเท้าศีรษะไว้ สายตาอ่อนโยนถูกทอดมองออกไปยังเจ้าของชื่อที่ถูกพูดถึง สามินี!ร่างของหญิงสาวหลับสนิทลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอนั่นทำให้ชายหนุ่มอย่างผู้กองปราบไม่อยากรบกวน แต่แล้วเมื่อเลื่อนสายตาไปยังซอกคอรวมถึงเนินอกที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาก็จะปรากฏร่องรอยรสรักของเมื่อคืนให้เห็นว่าเขาและเธอร้อนแรงแค่ไหนชายหนุ่มใช้สายตาโลมเลียจ้องมองหญิงสาวก่อนจะตัดใจโน้มหน้าไปหอมแก้มเธอช้า ๆ จากที่คิดว่าจะแค่ห
“อื้อ อื้อ” ผู้กองปราบครางต่ำมอบสัมผัสแสนหวามไหวให้กับหญิงสาว“พะ พี่ปราบ” สามินีครางเรียกชื่อผู้กองปราบด้วยน้ำเสียงหวานหยดจนชายหนุ่มต้องให้รางวัลโดยการมอบจูบที่หวานกว่าครั้งไหน ๆ ให้เธอก่อนจะยกตัวขึ้นมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนโยนจากนั้นก็ก้มลงครอบริมฝีปากไปยังทรวงอกข้างซ้ายที่เขาหมายตาไว้ก่อนหน้าด้วยความรวดเร็ว“อาส์... อื้ม อื้อ พี่ปราบ”สามินีสั่นสะท้านร้องครางด้วยความเสียวซ่าน แอ่นหน้าอกให้เขาดูดดึงบีบขยำอย่างถนัดถนี่“หวานดีจัง” คำชมที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มยิ่งทำให้หญิงสาวเสียวซ่าน ก่อนจะตัดสินใจทำบางอย่างทำเอาทหารหนุ่มอย่างผู้กองปราบครางลั่น!“อาส์... อย่าดื้อ!” แต่มีหรือที่สามินีจะฟังเสียงดุของเขา มือเล็ก ๆ ของเธอข้างหนึ่งลูบไล้ที่แผงอกกว้าง อีกข้างเคลื่อนลงไปกอบกุมความแข็งขืน พร้อมทั้งลูบไล้ไปมาตามที่เธอเคยเห็นในหนังโป๊ที่เพื่อนสมัยเรียนเอามาให้ดู“ฮึ่ม! แล้วอย่ามาร้องทีหลังก็แล้วกัน” พูดจบผู้กองปราบก้มหน้าลงฟัดเต้างามทั้งสองต่อทันที เขาไม่คิดปรานีหญิงสาว เมื่อเธอดื้อไม่ยอมเชื่อฟังเขาก็พร้อมที่จะกำราบเธอ หากแต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความดุดัน แต่ก็วาบหวาน รุนแรงแต่ก็เสียวซ่าน
หลังจากเห็นรอยแดงที่อยู่บริเวณลำคอของหญิงสาวแล้ว ชายหนุ่มก็เงียบไปทั้งยังรู้สึกโกรธที่รอยนี้ผู้ชายคนอื่นเป็นคนทำขึ้นมา“ฮึก! พี่ปราบรังเกียจสาใช่ไหม สาสกปรก” สามินีร้องทักเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป หญิงสาวรู้สึกใจหายมากและพยายามสะบัดตัวหนีเขา“สาใจเย็น ๆ พี่ไม่ได้รังเกียจ” เมื่อหญิงสาวดิ้นออกจากอ้อมกอด ผู้กองปราบก็ยิ่งกอดรัดเธอไว้แน่นกว่าเดิม อะไรที่พยายามหลีกหนีในตอนแรกตอนนี้กลับบดเบียดกับแขนแกร่งของเขาเต็ม ๆ“ฮึก พี่ปราบโกหก พี่ปราบเงียบไป”“ที่พี่เงียบเพราะกำลังคิดว่าจะทำยังไงให้เราหยุดร้องดี แล้วพี่ก็คิดขึ้นมาได้ ถ้าสารังเกียจรอยนั้นให้พี่รักษาให้ไหมครับ” ผู้กองปราบถามอย่างเจ้าเล่ห์ เขาไม่ได้คิดจะเอาเปรียบเธอ ทว่าเมื่อหญิงสาวเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าถ้าเขาไม่เกิดอารมณ์คงจะเป็นไปไม่ได้ อย่าลืมนะว่าเขาก็คือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะได้ไม่รู้สึกอะไรหญิงสาวหยุดร้องไห้ คิ้วเรียวสวยของเธอย่นเข้าหากันด้วยความสงสัย ก่อนจะถามออกไปว่า “รักษายังไงคะ”“พี่จะลบรอยให้”“!!!” เพียงเขาพูดแค่นี้ สามินีก็เข้าใจได้ทันที คำว่า ‘ลบรอย’ เพื่อนของเธอเคยพูดให้ฟังตอนที่ยังเรียนกันอยู่ในมหาวิทยา