“นอกจากชาขาข้างที่ถูกกัดกับปวดศีรษะแล้วก็มิมีอะไร เป็นห่วงแต่เจ้านั่นแหละ มิรู้ว่าเกสรฮวาพวกนั้นจะมีพิษทำให้เจ้าเป็นอันตรายหรือเปล่า”อ้ายฉีอดที่จะยิ้มมิได้เมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่ดังมาจากปากชิงชวน “เจ้าว่าไหมอาชวน หากมิได้เกิดเรื่องร้ายกับลิ่วหลาง ข้ากับเจ้าคงจะมิได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้”ความใกล้ชิดที่มันทำให้เขาได้เห็นถึงความเหนื่อยล้าจากใบหน้าของชิงชวนที่มันทำให้รู้สึกผิดที่คิดน้อยจนเกินไป ที่ปล่อยให้ชิงชวนต้องตรากตรำต่อสู้กับข้าศึกศัตรูโดยมิมีเขาอยู่คอยระวังหลังให้ แต่อ้ายฉีตั้งใจไว้แล้ว ถึงจะต้องบังคับกัน หากเขาก็จะมิปล่อยให้คนในอ้อมแขนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกแล้ว“ข้ามิผิด เป็นเจ้าที่มิยอมกลับมาอยู่เคียงข้างข้า” ท่านแม่ทัพและสหายสำคัญก็จริง หากสิ่งใดจะสำคัญเท่ากับการมีคนที่พึงพอใจอยู่เคียงข้างคอยให้กำลังใจกันเล่า ที่โกรธหนักก็เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วมิเห็นตัวนั่นแหละ พอเจอหน้ากันเขาถึงได้ทำเป็นมิสนใจใส่ใจแล้วยังจะพาลหาเรื่องชวนประฝีมือด้วยเสมอ“ข้าผิดไปแล้ว แต่คนที่ผิดก็เป็นเจ้านะอาชวน” อ้ายฉียิ้มใส่ตาชิงชวนที่อ้าปากค้างคล้ายกำลังจะถามว่าตนเองผิดอันใด “หากข้าอยู่ใกล้เจ้ามา
“มิรู้ว่าบ้านที่เจ้าว่า พอจะมีที่สักเล็กน้อยพอให้ข้าได้ผูกเชือกนอนไหมนะ”“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้า...ก่อกวนโทสะข้ามากน้อยเพียงใด แล้วทำให้เรื่องในครั้งนี้จบลงเร็วมากเพียงใดนั่นแหละ”สายตาและวาจาของชิงชวนทำให้อ้ายฉีรู้สึกเหมือนกับว่าเลือดในกายเขามันไหลราวกับน้ำที่ถูกต้มจนเดือด เต็มไปด้วยกำลังใจและฮึกเหิมที่จะค้นหาใยแมงมุมหิมะและพามันไปให้กับคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์นำไปผสมกับตัวยาอื่น ๆ ปรุงยารักษาเสวียนลิ่วหลางให้หาย จากนั้นก็จะควานหาตัวและจัดการกับผู้ที่ทำให้เสวียนลิ่วหลางเกือบจะต้องไปเดินบนสะพานไน่เหอ[1] “ได้ตามที่เจ้าต้องการ...อาชวน” แต่ถึงจะอย่างนั้นอ้ายฉีก็มิประมาท เขากอดรัดชิงชวนแนบชิดพากันเดินไปตามเส้นทางที่สามารถเห็นทุกอย่างได้ด้วยตา โดยมีกระบี่ที่อาบไปด้วยเลือดพิษจัดการกับสิ่งที่ขวางทางโดยมิสนใจเสียงร้องเรียกให้ช่วยจากผู้ที่ถูกฝังอยู่ด้านหลังของใยแมงมุมและเถาวัลย์ฮวา“เราจะไม่ช่วยพวกเขาเหรอ” ชิงชวนคิดว่าหากช่วยชาวยุทธ์เหล่านี้ไว้ได้บ้าง จะได้มีคนช่วยรับมือเหล่าแมงมุมเหล่านั้นได้บ้าง“อย่าเลย...เจ้าดูร่างพวกนั้นสิ แห้งจนแทบจะจมหายไปในผนังถ้ำแล้ว ดวงตาแต่ละคนก็แดงมิแตกต่างจากแมงมุมพวกนั้
“ฮื่อ” อ้ายฉีตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มือหนาจับลำคอชิงชวนบังคับให้หันมาหาตนเอง“แต่หากยังมีสตรีเหล่านี้กับเรายังมิได้ของที่ต้องการ ข้าก็ให้เจ้ากอด...จูบมิได้นะสิ” “อย่างนั้นหรอกหรือ” อ้ายฉีพึมพำพลางตวัดสายตาเข้มดุมองสตรีที่ร่ายรำพร้อมกับโปรยผงสีทองใส่เขาทั้งสองคนมิยอมหยุดไปจนถึงก้อนแมงมุมหิมะที่ยังคงดื่มด่ำอยู่กับการดูพลังปราณจากเหล่าชาวยุทธ์จำนวนมิน้อยที่มีอยู่ในห้องโถงนี้ “อาชวนมิได้โป้ปดข้าใช่หรือไม่” “ฮื่อ...จะยอมเป็นหมอนให้เจ้ากอดรัดทุกค่ำคืน...มิห่างเลย” เคยคิดว่ายังมีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันอีกนาน หากความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพกับการเดินทางในครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่าควรรักษาสิ่งที่มีค่าไว้กับตัวให้นานที่สุดหากมิอยากเสียใจในภายหลังยามที่คิดได้ก็สายจนเกินไปแล้ว “ถ้าเช่นนั้น...” มุมปากอ้ายฉียกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ดวงตาแวววาวระยับด้วยความสนุกสนานกวาดมองไปทั่วห้องโถงที่มิได้กว้างขวางมากนัก “อาชวนรอข้าก่อนนะ ไม่ถึงหนึ่งจิบชา ข้าจะเอาใยแมงมุมหิมะมาให้เจ้า” ว่าแล้วอ้ายฉีก็ค้นหายาที่คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์มอบให้พร้อมกับบอกเอาไว้ “ในเลือดของท่านยังคงมีพิษหลงเหลืออยู่ ข้าก็
ไม่มี...ไม่ว่าจะที่ใด ๆ ก็มิเห็นจะมีนางพญาที่อ้ายฉีบอกให้หาเลย จะมีก็แต่ก้อนใยแมงมุมหิมะนั่นแหละที่ยามนี้มันเคลื่อนไหวอยู่ แล้วมิรู้ว่าเขาจะคิดไปเองหรือเปล่า หากรู้สึกเหมือนกับว่าเจ้าก้อนนั่นคือนางพญาที่สั่งการสตรีทุกนางให้รุมโจมตีเขาทั้งสองคนจนเขาคิดว่า เจ้าก้อนนั่นแหละคือนางพญาที่ตามหาอยู่“อ้ายฉี เป็นก้อนนั่น...ก้อนใยแมงมุมหิมะนั่นหรือเปล่า”ตอนแรกเขาก็มิคิดที่จะสงสัยหากเมื่อฟังชิงชวนเอ่ยออกมาก็ทำให้เขาสะกิดใจจนต้องเร่งเหลียวหน้าไปดูแล้วก็เห็นว่าเจ้าก้อนที่เชื่อว่าเป็นใยแมงมุมหิมะเคลื่อนขึ้นและลงสลับกันไปซ้ายบ้างขวาบ้างเป็นเช่นนี้เองสินะ...แม้จะยังมิรู้ว่าเขาจะใช้วิธีการใดเพื่อจัดการเก็บเอาเจ้าก้อนใยแมงมุมหิมะมาครอบครอง หากเมื่อค้นพบนางพญาแล้วก็คิดว่าจะต้องมีวิธีการอยู่แล้ว คิดไปและรับมือไปมินานคงจะค้นพบวิธีการ เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นอ้ายฉีจึงบอกให้ชิงชวนเตรียมรับมือกับเหล่าสตรีที่ยามนี้ได้กลายเป็นหุ่นคอยทำตามคำสั่ง“ข้าไหว เจ้าจัดการกับเจ้านั่นเถอะ เอามันไปให้คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์ให้ได้นะ”“ฮื่อ” อ้ายฉีรับปากชิงชวนขณะหันไปตั้งหน้าตั้งตารับมือกับเจ้าก้อนใยแมงมุมหิมะที่สาดเส้นใยใส่มาราว
อ้ายฉีก้มลงดูในมือตนเองแล้วยื่นไปให้กับชิงชวน เพราะถุงที่ชิงชวนยื่นมาให้เขานั้นเป็นเม็ดที่เขาจำได้ว่าถุงสีดำสำหรับบาดแผลร้ายแรง ซึ่งยามนี้เขาคิดว่าเขาควรจะใช้มัน หากเมื่อเขากินเข้าไปแล้วกลับรู้สึกว่าร้อนไปหมดทั้งตัว หากเขาจำต้องกดยับยั้งมันไว้เพื่อมิให้ชิงชวนกังวลใจ เพราะตอนนี้แม้รอบกายจะมิเห็นแมงมุมเลยสักตัว หากเขาก็ยังคิดว่ามิปลอดภัย ควรเร่งเดินทางออกจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุดจะเป็นการดีกว่า“จะอะไรก็ตาม เราควรออกจากที่แห่งนี้ก่อน...เจ้าเดินไหวใช่ไหมชิงชวน” เอ่ยถามชิงชวนเพราะคิดว่าเขาคงจะเดินเองไปได้มิไกล ต้องหวังพึ่งชิงชวนแล้ว“พอไหว”เมื่ออีกฝ่ายตอบมาเช่นนั้น อ้ายฉีก็รีบสอดแขนกอดกระชับร่างเพรียวบางกว่ามาแนบชิด เรียกได้ว่าสองร่างที่บาดเจ็บต่างก็ช่วยประคองกันเดินไปในเส้นทางที่คิดว่าจะไม่พบเจอกับผู้คน...แม้จะลำบากไปสักหน่อย แต่คิดว่าปลอดภัยเอาไว้ก่อนเป็นการดี หากเมื่อเดินไปได้มิไกลมากนัก อ้ายฉีก็รู้ว่าตนเองมิไหวแล้ว ร่างกายมันร้อนราวกับจะเผาไหม้ เหงื่อออกจนเสื้อเปียกชุ่ม สติก็มีน้อยเสียจนไม่รู้ตัวเลยว่าเอนไปซบกับบ่าของชิงชวนตั้งแต่เมื่อไหร่“อ้ายฉี” ชิงชวนรีบร้องเรียก หากอ้ายฉีกลับมิ
แรกเมื่อพบเจอเขาก็สัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้แฝงความน่ากลัวบางอย่างเอาไว้ ที่ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งอยากจะรีบอยู่ให้ห่าง หากแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้หลายอย่างจะชี้ชัดว่าที่เขาคิดนะใช่แต่ก็มิแน่ใจว่ามันจะเป็นไปได้ ทว่าเมื่อร่วมเดินทางด้วยกัน สิ่งที่ได้เห็นได้สัมผัสได้ทำให้อานฉวนมั่นใจ เสวียนลิ่วหลางคนก่อนหน้าที่จะถูกพิษเพลิงพิรุณกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ผู้ที่ได้รับการรักษาจนเท้าที่เหยียบย่างเข้าสู่ปรโลกไปเกือบจะทั้งตัวแล้วนั้น...มิเหมือนกันอีกแล้วแม้ยามนี้จะยังมิได้รับยาถอนพิษเพลิงพิรุณ หากใบหน้านิ่งเรียบกับดวงตาสีออกแดงของเสวียนลิ่วหลางก็ทำให้ผู้ที่พบเจอออกอาการหวาดผวา ทำให้การเดินทางราบรื่นขึ้นมามิน้อย ด้วยไม่ว่าจะผ่านไปที่แห่งใด ยามเมื่อเอ่ยปากไถ่ถามก็มักจะได้รับคำตอบที่ต้องการในทันที ยิ่งยามนี้ใกล้ป่าที่เป็นที่อยู่ของผลกวางเถา อานฉวนก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกดดัน พลังความน่ากลัวที่ออกมาจากกายเสวียนลิ่วหลาง จนเขาเผลอมองเก้าเทียนรุ่ยด้วยความหวัง หากเมื่อใดที่เสวียนลิ่วหลางกินยาถอนพิษแล้วกลายเป็นปีศาจทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ เมื่อนั้นเขาก็หวังว่าบุรุษหนุ่มน้อยผู้ที่ความสามารถมากล้นจะสามารถดูแล...ควบค
“ท่านพี่...”“ข้ามิได้เป็นอันใด แค่ยามนั้นมันหงุดหงิดรำคาญใจมิน้อยเท่านั้นเอง แต่เพียงแค่ได้อยู่ใกล้กับอาซวง...” เสวียนลิ่วหลางหันไปมองหน้าคนตัวเล็กพลางยกนิ้วขึ้นสัมผัสแก้มนุ่มที่แดงระเรื่อ “ก็มิมีสิ่งใดทำให้ข้าเจ็บปวดได้เลย”เก้าเทียนรุ่ยยกมือขึ้นทับบนมือเสวียนลิ่วหลางพลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ตอนนี้ท่านพี่ยังหงุดหงิดรำคาญใจอีกหรือไม่ขอรับ” เมื่อเห็นว่าเสวียนลิ่วหลางส่ายศีรษะก็ค่อยโล่งอกขึ้น “แต่หากเป็นอีก ท่านพี่จะต้องรีบบอกข้านะขอรับ ข้าได้ตรวจดู”ฮื่อ...เสวียนลิ่วหลางรับคำ “ในเมื่อเรารู้ว่าป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยผลกวางเถา...ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรจะต้องค้นหาว่าต้นไหนจะมีผลที่เราต้องการ”เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ ในเมื่อผลกวางเถาเป็นตัวยาที่สำคัญ อีกทั้งร้อยปีออกผลหนึ่งครั้ง ต้นและผลของมันจะต้องมีลักษณะพิเศษ อีกทั้งจะต้องอยู่ในที่มิดชิดที่เขาคิดว่าตรงจุดที่ยืนอยู่ ย่อมจะไม่พบเจอสิ่งที่ต้องการแน่นอน“ข้าคิดว่า...”หากเก้าเทียนรุ่ยยังกล่าวมิทันจะจบเขาก็ถูกเสวียนลิ่วหลางดึงให้มาประจันหน้าด้วย จากนั้นก็จับเอาสองแขนเล็กขึ้นมาพาดบนบ่า พร้อมจับสองขาเก้าเทียนรุ่ยให้ขึ้นมาพำนักบนเอวของตนเองก่อน
สองรอบก็ยังไม่พบว่ามันจะมีอะไรให้สะกิดใจว่าเป็นผลกวางเถาที่ต้องการ...กระทั่งรอบที่สามเก้าเทียนรุ่ยใช้สัมผัสพิเศษที่ตนเองพอจะมีอยู่อย่างคาดหวังว่าจะทำให้ค้นพบผลกวางเถา หากดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยังคงนิ่งเงียบ...“ข้า...” เก้าเทียนรุ่ยหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าตรงหน้ามีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เขาคิดว่านั้นคือสิ่งที่ต้องการ ที่ทำให้เขาต้องรีบเดินเข้าไปดู ทว่า… "ข้าคิดว่านั่นคือสิ่งที่เรากำลังค้นหาอยู่ เหตุใดท่านพี่ถึงได้ห้ามข้าล่ะ” "รอบกายมัน...มิมีแมลงหรือสัตว์ใด ๆ มาทำรังเช่นนี้ อีกทั้งไม้ใหญ่ก็มิอยู่ใกล้ มีเพียงแค่ต้นหญ้าต้นเล็ก ๆ จนอดคิดมิได้ว่านี่คือวิธีปกป้องตนเองของเจ้าต้นนี้ ที่คงมิดีหากว่าอาซวงจะเร่งรีบเข้าไปหามันโดยมิระมัดระวังตนเองเช่นนี้” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยด้วยเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันและสายตาที่มุ่งร้ายที่อยู่รายรอบได้“ข้าขอโทษที่รีบมากเกินไป” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างรู้สึกผิด หากเสวียนลิ่วหลางมิตักเตือนให้คิด...อันตรายคงอยากที่จะคาดเดาได้ เพียงคิดไปเช่นนั้นเขาก็ใจหายวาบขึ้นมาทันที“ข้ามิได้โกรธ หากรู้สึกดีที่อาซวงเป็นห่วง หากข้าก็เป็นห่วงอาซวงเช่นกัน” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”
“พวกท่านทุกคนต่างก็ทำกันอย่างดีที่สุดแล้ว นับจากนี้ก็ปล่อยให้ท่านพี่เป็นคนลงมือเถอะขอรับ...ฤทธิ์จากยาที่ท่านพี่กินเข้าไป...พลังที่มากเกินหากมิได้ถ่ายเทออกเพื่อปรับให้เหมาะสมจะทำร้ายเจ้าของร่าง ยามนี้หากท่านพี่ได้โคจรพลังรับมือกับคนพวกนั้น...ย่อมจะเป็นการดีมากขอรับ”เมื่อเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น ชิงชวนก็ปล่อยอาวุธในมือและทรุดกายลงเคียงข้างกับสหายทุกคนที่ต่างก็บาดเจ็บจนยืนมิไหวแต่มิวายเอ่ยกับเสวียนลิ่วหลางไปว่า “แต่หากท่านมิไหว ต้องรีบบอกพวกข้านะขอรับ” เสวียนลิ่วหลางพยักหน้ารับพลางกางอาณาเขตพลังปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลังมิให้ได้รับผลกระทบ ก่อนที่ตนเองจะเข้าห้ำหั่นกับคนที่ถูกควบคุมอย่างรวดเร็วจนแม้กระทั่งซูเหย้าที่กว่าจะรู้ตัวก็ยามที่ได้เห็นลูกน้องฝีมือสูงของตนถูกปราณของเสวียนลิ่วหลางแยกร่างกายออกจากกัน“เจ้า!” ซูเหย้าโกรธจนหน้าเป็นสีเลือด เพราะมิว่าเขาจะสั่งการอย่างไร ลูกน้องของเขาก็มิอาจลุกมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างที่เคยเป็น“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้เจ้าคะนายท่าน” ซิงเยียนที่มั่นใจเสมอมา มิว่าอย่างไรก็จะมิมีผู้ใดจัดการกับคนที่ถูกหนอนพิษเพลิงพิรุณได้ถามอย่างตื่นตระหนก จะเป
“เจ้าสองคนฉลาดมิใช่น้อย หากเป็นสหายกัน งานที่ข้าทำคงจะสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่คนฉลาดเช่นเจ้าสองคนจะต้องสิ้นชีพในวันนี้” ซูเหย้ามองเสวียนลิ่วหลางตาวาว หากเขาดึงเอาหนอนพิษอีกสองตัวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายออกมาได้ ยามนั้นท่านประมุขก็จะต้องแข็งแกร่งจนมิอาจมีใครทำอันตรายได้อีกแล้ว“ผิดแล้วละซูเหย้า วันนี้หากจะมีคนไหนต้องจากไป ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”ยามแรกซูเหย้าจะถกเถียงว่า...เจ้าที่ร่างกายยังอ่อนแอจากการถูกหนอนพิษเล่นงาน กับเจ้าเด็กน้อยที่ถือตนว่าเก่งกล้าแต่ไร้วรยุทธ์จะสู้ข้าได้อย่างไร...หากเมื่อเขาได้เห็นประกายในดวงตาเป็นสีแดงเจิดจ้ากับพลังปราณอย่างรุนแรงที่แผ่ซ่านมาของเสวียนลิ่วหลางทำให้คิดไปว่า...หากมิใช่หนอนพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายเสวียนลิ่วหลางได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็แสดงว่าอีกฝ่ายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน...เป็นไปมิได้!เสวียนลิ่วหลางหัวเราะก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คิดว่าเจ้าก็คงจะพอคาดเดาได้แล้ว...ข้าสามารถบังคับเจ้าหนอนร้ายนั้นได้แล้ว”“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าก็ทำได้เพียงแค่ในยามนี้เท่านั้น อีกประเดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของข้าเช่นเดิม” มิใช่ว่าหนอนพิษของเขาใครจะบัง
“อาซวง!” เสวียนลิ่วหลางร้องเรียกสติเก้าเทียนรุ่ยที่ปล่อยให้เสียงจากภายนอกมามีผลกระทบกับการปรุงยาที่ใกล้จะสำเร็จอยู่มิช้ามินานนี้แล้ว “หากอยากช่วยทุกคนเจ้าจะต้องปรุงยาให้เสร็จนะ อีกมินานแล้ว...เราจะได้ไปดูด้วยอย่างไรเล่า ใครเป็นคนทำเรื่องเลวร้ายนี้”ถึงเขาจะพยายามข่มใจทำตามคำบอกกล่าวของเสวียนลิ่วหลาง เบื้องหน้าเตาปรุงยาลอยอยู่ระดับเดียวกับอก ภายในถูกปราณที่ถูกส่งจากสองกายก่อเกิดเป็นไฟเพื่อหลอมตัวยาทั้งหลายให้รวมเป็นหนึ่ง หากในหัวกลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและขอความช่วยเหลือดังมิยอมหยุด“ด้านนอกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดอยู่ก็ได้นะ ในเมื่อทุกคนทุ่มเทปกป้องเราอย่างเต็มกำลัง…หากอยากช่วยทุกคน อาซวงก็ต้องปรุงโอสถให้สำเร็จ...ข้าเชื่อมั่นในตัวอาซวงนะ” เสวียนลิ่วหลางบีบกระชับมือเล็กดึงเก้าเทียนรุ่ยให้หลุดออกมาจากความกังวล“อาซวงสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ จะเป็นฟูเหรินของข้า หากปรุงยารักษาข้ามิสำเร็จ แล้วจะเป็นฟูเหรินของข้าได้อย่างไรเล่า” เพราะวาจาของเสวียนลิ่วหลางที่ทำให้เก้าเทียนรุ่ยก็คิดขึ้นมาได้ มิใช่เพียงแค่บุรุษที่ยืนเคียงข้างในยามนี้ หากเขายังมีสหายที่ดีและท่านแม่ที่จะต้องดูแลด้ว