เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมา จางเหว่ย สงเป้าและหลิวหยางได้แต่หันมองหน้ากันด้วยความดีใจ ให้สู้รบกับศัตรูนับสิบนับร้อย พวกเขามิคิดที่จะหวั่นเกรง แต่ให้สู้กับชาวบ้านสัตว์แปลงทั้งหลายรวมถึงจาเหมิ่งและอู๋กงที่อยู่ด้านหลัง อย่างไรก็ยากที่จะเอาชนะได้ ยกเว้นก็เพียงแค่กำจัดคนที่ควบคุมมันไว้เท่านั้น แต่ก็ดูแล้วว่ายากที่จะถึงตัวได้ง่าย ๆ“พวกเจ้าปิดหน้าให้หมดนะ”ที่ซูเหอบอกมาเช่นนั้นย่อมมีเหตุผล จางเหว่ยจึงรีบหันไปบอกสองพี่น้องกระทิงให้ทำตามเสียงที่ดังมา จึงมิได้เห็นว่ามีผงสีขาวโปรยปรายไปจนทั่ว ฝูงจ้าเหมิ่งและอู๋กงต่างก็หยุดชะงักก่อนจะเริ่มถอยห่างไปอย่างช้าๆ หากเมื่อเสียงขลุ่ยที่ดังมามีความรุนแรงมากขึ้น อีกครั้งท่วงทำนองก็บีบคั้นและกดดันจนพวกเขาที่ได้ยินต่างก็อึดอัดมิน้อย ในขณะที่ชาวบ้านสัตว์แปลงทั้งหลายต่างก็เหมือนจะถอยห่างแต่ดูเหมือนว่าเสียงขลุ่ยจะทำให้หยุดอยู่กับที่พร้อมกับความเจ็บปวดจนต้องส่งเสียงร้องออกมา“นอกจากพวกฝูงจ้าเหมิ่งกับอู๋กงพวกนี้จะมิยอมถอยไป ชาวบ้านพวกนั้นก็...”“พวกเขาล้วนแล้วแต่ถูกควบคุม”สิ้นเสียงของสงเป้าสองพี่น้องกระทิงก็หันมองหน้ากันแล้วมองไปยังคนที่เป่าขลุ่ยอยู่ “ดูเหมือนว่า
“ข้ากับซูเหอคิดกันว่า หากยังเดินทางมุ่งตรงไปยังที่นัดหมาย ต่อให้มียาดีแค่ไหน แต่ถูกเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าว่าแต่ของที่จะเก็บรักษาเอาไว้มิได้เลย แม้ชีวิตก็มิอาจพากลับมาพบพวกเจ้าเช่นกัน เลยเปลี่ยนเส้นทางเดินจนได้พบกับอี้หานกับซื่อเตาที่ถูกพวกชาวยุทธ์เล่นงานอยู่” “ข้าสองคนก็มิต่างจากเจียวมิ่งกับซูเหอ ทะเลหมอกคือบึงขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นฝั่งที่เต็มไปด้วยหิมะปกคลุมไปจนทั่ว แม้ข้ากับอี้หานจะมีวรยุทธ์สูง แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากหิมะเหล่านั้นมิน้อย เพียงแค่สายลมพัดก็ทำให้มีบาดแผลได้แล้ว ที่ยิ่งต้องระวังคือไอเย็นที่จะทำให้เลือดภายในกายแข็งตัว ยังจะมีระวังชาวยุทธ์ที่คอยลอบโจมตีมิยอมหยุด” “หากมันก็แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ” ซื่อเตาเอ่ยขึ้นอย่างที่พอจะคิดขึ้นมาได้ “ยังไง” ทุกคนไถ่ถามพร้อม ๆ กัน“ชาวยุทธ์ที่ข้ากับอี้หานพบเจอ รวมถึงเจ้าหนุ่มน้อยที่เล่นงานกลุ่มของจางเหว่ย ล้วนแล้วแต่มีอะไรบางอย่างที่คล้ายกัน...หากข้าก็ยังมิอาจบอกให้ได้”“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องวรยุทธ์ที่พวกเรามิรู้จักกับวิธีที่คนเหล่านั้นใช้ มี่เฟิง[1]เล่นงานข้ากับซูเหอ” เจียวมิ่งเอ่ยอย่างที่คิดว่าน่าจะใช่“ข้ากับซื่อเตาก็เจอหวงเฟ
แม้อยากจะปฏิเสธ แต่ทุกคนก็รู้กันดี การมีกระทิงสองพี่น้องร่วมเดินทางไปด้วยเป็นการดีกับพวกเขา แล้วดูเหมือนว่าจางเหว่ยจะอยากให้สองพี่น้องกระทิงร่วมเดินทางไปด้วยเมื่อทุกคนหันมองหน้ากันแล้วอี้หานก็เอ่ยออกไป “ก็แล้วแต่เจ้าละกัน”“ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็ปล่อยให้เฮยต้าเกอกับจวินต้าเกอกินยาของคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์อีกสักเม็ด เดินลมปราณฟื้นฟูร่างกายสักหนึ่งถึงสองชั่วยามแล้วค่อยออกเดินทางกัน พวกเจ้ากับข้าก็เช่นกัน ล้วนแล้วแต่บาดเจ็บด้วยกันทั้งนั้น”“มิดี”“เหตุใดเล่าเฮยต้าเกอ” จางเหว่ยรีบเอ่ยถาม“ที่นี่มิได้ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก หากผู้ที่สั่งการให้เสี่ยวพ่างเล่นงานข้ากับพวกเจ้าเพื่อแย่งชิงสิ่งของที่พวกเจ้าหามาได้ ย่อมจะต้องคิดหาหนทางเล่นงานซ้ำ ที่แห่งนี้เรามิควรอยู่นาน ควรเร่งออกเดินทางไปให้ไกลจากที่นี่เสียก่อน อีกสองสามชั่วยามก็ค่ำแล้ว เราควรหาที่ปลอดภัย...”“มีอยู่แห่งหนึ่งนะพี่ใหญ่ มิไกลจากที่นี่เท่าไหร่ด้วย เหมาะที่เราจะพักกันคืนนี้ ยังจะหาพวกของกินได้ง่ายด้วย” จวินต้าเกอบอกกล่าวเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่ามิไกลจากที่แห่งนี้มีถ้ำเป็นทำเลที่เหมาะกับการหลบซ่อนกาย หากถูกเล่นงานก็ยังจะสามารถหลีกเลี่ยงการปะท
“มีพิษแล้วอย่างไร เจ้าคิดว่าหากเรามินำไปให้คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์แต่โดยดี ลิ่วหลางจะยอมหรือไง...ทั้งหวงทั้งห่วงเสียขนาดนั้น” ใครจะคิดละว่าคนที่เย็นชาไร้หัวใจ มิเคยไยดีสตรีทั้งหลาย ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง คมหอกและคมดาบ ยามจะกินก็ต้องตรวจสอบก่อน มียาพิษอยู่ในนั้นไหม แม้กระทั่งยามนอนก็มิเคยได้หลับสนิท ต้องอยู่กับความหวาดระแวงและระวังตัวทุกฝีก้าวจนไม่กล้าที่จะเปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิต หากบาดเจ็บเจียนสิ้นชีพในครั้งนี้ เมื่อได้สติก็ตามติดคอยดูแลคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์มิยอมห่าง“ข้ามิได้อยากจะคิดในแง่ร้ายหรอกนะอ้ายฉี แต่ถึงตอนนี้นอกจากแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพแล้ว ข้ายังรู้สึกว่าท่านแม่ทัพเปลี่ยนแปลงไป...มากด้วย”หากจะบอกว่าชิงชวนคิดมากไปก็มิถูกต้อง ด้วยอ้ายฉีเองก็ต้องยอมรับ แม้รูปกายที่เห็นจะเหมือนเดิม หากเขาสัมผัสถึงแรงกดดันและความน่ากลัวที่แฝงอยู่ในกายของเสวียนลิ่วหลางเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งสายตาคู่นั้น...จะว่าเหมือนเดิมก็ใช่แต่ก็มีเหมือนกันที่มันเป็นประกายลุกโชนราวกับเพลิงไฟพร้อมที่จะเผาไหม้คนที่อยู่ใกล้ทุกคนจะยกเว้นก็เพียงแค่คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์ผู้นั้นที่ถูกมองด้วยความรักและห่วงใย
อ้ายฉียื่นถุงใส่ผงสีขาวที่เก้าเทียนรุ่ยให้ติดมือมาส่งให้กับชิงชวนที่รับไปอย่างงุนงง เขายังมิทันจะได้ไถ่ถามสิ่งใดอ้ายฉีก็กอดกระชับเอวเขาแล้วพาสองร่างมุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับโปรยผงสีขาวใส่เจ้าแมงมุมตามเส้นทางที่เขาทั้งคู่ต้องเดินทางผ่านไปจนหมด หากด้านหน้าแมงมุมยังคงรวมตัวกันมากมาย ไหนจะด้านหลังที่พวกมันตามติดมาพร้อมกับโจมตีเขาทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว ที่พวกมันช่างเล่นงานกลับยากเหลือเกิน ดาบที่ตวัดไปเพียงทำให้มันแยกตัวออกห่างจากกันก่อนจะรวมตัวกันใหม่เพื่อโจมตีเขาทั้งสองคนอีกครั้งเท่านั้น“ผงที่คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์มอบให้มาก็หมดแล้ว เจ้าคิดออกหรือยังอ้ายฉี เราจะผ่านเจ้าพวกนี้ไปค้นหาของสิ่งนั้นที่เรามิรู้ว่าหน้าตามันเป็นเช่นไร อีกทั้งยังมิรู้ว่าอยู่ที่แห่งใดด้วยพบได้อย่างไร”“หากมองตามแมงมุมกับใยของมัน ข้าคิดว่าน่าจะอยู่ห่างจากเรามิมากแล้ว”เมื่อมองตามที่อ้ายฉีกล่าวมา ชิงชวนก็คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ ด้วยยามนี้แมงมุมกับใยของมันเกาะตัวกันเป็นกำแพงขนาดใหญ่คล้ายกับกำลังปกป้องสิ่งที่สำคัญมาก“อาจจะเป็นหลังกำแพงด้านหน้านี้ก็เป็นไปได้”“แล้วเราจะผ่านมันไปได้ยังไงกัน ข้ามองดูแล้วเหมือนกับว่ามันจะหนาเป็นชุ่น[
“นอกจากชาขาข้างที่ถูกกัดกับปวดศีรษะแล้วก็มิมีอะไร เป็นห่วงแต่เจ้านั่นแหละ มิรู้ว่าเกสรฮวาพวกนั้นจะมีพิษทำให้เจ้าเป็นอันตรายหรือเปล่า”อ้ายฉีอดที่จะยิ้มมิได้เมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่ดังมาจากปากชิงชวน “เจ้าว่าไหมอาชวน หากมิได้เกิดเรื่องร้ายกับลิ่วหลาง ข้ากับเจ้าคงจะมิได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้”ความใกล้ชิดที่มันทำให้เขาได้เห็นถึงความเหนื่อยล้าจากใบหน้าของชิงชวนที่มันทำให้รู้สึกผิดที่คิดน้อยจนเกินไป ที่ปล่อยให้ชิงชวนต้องตรากตรำต่อสู้กับข้าศึกศัตรูโดยมิมีเขาอยู่คอยระวังหลังให้ แต่อ้ายฉีตั้งใจไว้แล้ว ถึงจะต้องบังคับกัน หากเขาก็จะมิปล่อยให้คนในอ้อมแขนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกแล้ว“ข้ามิผิด เป็นเจ้าที่มิยอมกลับมาอยู่เคียงข้างข้า” ท่านแม่ทัพและสหายสำคัญก็จริง หากสิ่งใดจะสำคัญเท่ากับการมีคนที่พึงพอใจอยู่เคียงข้างคอยให้กำลังใจกันเล่า ที่โกรธหนักก็เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วมิเห็นตัวนั่นแหละ พอเจอหน้ากันเขาถึงได้ทำเป็นมิสนใจใส่ใจแล้วยังจะพาลหาเรื่องชวนประฝีมือด้วยเสมอ“ข้าผิดไปแล้ว แต่คนที่ผิดก็เป็นเจ้านะอาชวน” อ้ายฉียิ้มใส่ตาชิงชวนที่อ้าปากค้างคล้ายกำลังจะถามว่าตนเองผิดอันใด “หากข้าอยู่ใกล้เจ้ามา
“มิรู้ว่าบ้านที่เจ้าว่า พอจะมีที่สักเล็กน้อยพอให้ข้าได้ผูกเชือกนอนไหมนะ”“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้า...ก่อกวนโทสะข้ามากน้อยเพียงใด แล้วทำให้เรื่องในครั้งนี้จบลงเร็วมากเพียงใดนั่นแหละ”สายตาและวาจาของชิงชวนทำให้อ้ายฉีรู้สึกเหมือนกับว่าเลือดในกายเขามันไหลราวกับน้ำที่ถูกต้มจนเดือด เต็มไปด้วยกำลังใจและฮึกเหิมที่จะค้นหาใยแมงมุมหิมะและพามันไปให้กับคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์นำไปผสมกับตัวยาอื่น ๆ ปรุงยารักษาเสวียนลิ่วหลางให้หาย จากนั้นก็จะควานหาตัวและจัดการกับผู้ที่ทำให้เสวียนลิ่วหลางเกือบจะต้องไปเดินบนสะพานไน่เหอ[1] “ได้ตามที่เจ้าต้องการ...อาชวน” แต่ถึงจะอย่างนั้นอ้ายฉีก็มิประมาท เขากอดรัดชิงชวนแนบชิดพากันเดินไปตามเส้นทางที่สามารถเห็นทุกอย่างได้ด้วยตา โดยมีกระบี่ที่อาบไปด้วยเลือดพิษจัดการกับสิ่งที่ขวางทางโดยมิสนใจเสียงร้องเรียกให้ช่วยจากผู้ที่ถูกฝังอยู่ด้านหลังของใยแมงมุมและเถาวัลย์ฮวา“เราจะไม่ช่วยพวกเขาเหรอ” ชิงชวนคิดว่าหากช่วยชาวยุทธ์เหล่านี้ไว้ได้บ้าง จะได้มีคนช่วยรับมือเหล่าแมงมุมเหล่านั้นได้บ้าง“อย่าเลย...เจ้าดูร่างพวกนั้นสิ แห้งจนแทบจะจมหายไปในผนังถ้ำแล้ว ดวงตาแต่ละคนก็แดงมิแตกต่างจากแมงมุมพวกนั้
“ฮื่อ” อ้ายฉีตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มือหนาจับลำคอชิงชวนบังคับให้หันมาหาตนเอง“แต่หากยังมีสตรีเหล่านี้กับเรายังมิได้ของที่ต้องการ ข้าก็ให้เจ้ากอด...จูบมิได้นะสิ” “อย่างนั้นหรอกหรือ” อ้ายฉีพึมพำพลางตวัดสายตาเข้มดุมองสตรีที่ร่ายรำพร้อมกับโปรยผงสีทองใส่เขาทั้งสองคนมิยอมหยุดไปจนถึงก้อนแมงมุมหิมะที่ยังคงดื่มด่ำอยู่กับการดูพลังปราณจากเหล่าชาวยุทธ์จำนวนมิน้อยที่มีอยู่ในห้องโถงนี้ “อาชวนมิได้โป้ปดข้าใช่หรือไม่” “ฮื่อ...จะยอมเป็นหมอนให้เจ้ากอดรัดทุกค่ำคืน...มิห่างเลย” เคยคิดว่ายังมีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันอีกนาน หากความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพกับการเดินทางในครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่าควรรักษาสิ่งที่มีค่าไว้กับตัวให้นานที่สุดหากมิอยากเสียใจในภายหลังยามที่คิดได้ก็สายจนเกินไปแล้ว “ถ้าเช่นนั้น...” มุมปากอ้ายฉียกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ดวงตาแวววาวระยับด้วยความสนุกสนานกวาดมองไปทั่วห้องโถงที่มิได้กว้างขวางมากนัก “อาชวนรอข้าก่อนนะ ไม่ถึงหนึ่งจิบชา ข้าจะเอาใยแมงมุมหิมะมาให้เจ้า” ว่าแล้วอ้ายฉีก็ค้นหายาที่คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์มอบให้พร้อมกับบอกเอาไว้ “ในเลือดของท่านยังคงมีพิษหลงเหลืออยู่ ข้าก็
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”
“พวกท่านทุกคนต่างก็ทำกันอย่างดีที่สุดแล้ว นับจากนี้ก็ปล่อยให้ท่านพี่เป็นคนลงมือเถอะขอรับ...ฤทธิ์จากยาที่ท่านพี่กินเข้าไป...พลังที่มากเกินหากมิได้ถ่ายเทออกเพื่อปรับให้เหมาะสมจะทำร้ายเจ้าของร่าง ยามนี้หากท่านพี่ได้โคจรพลังรับมือกับคนพวกนั้น...ย่อมจะเป็นการดีมากขอรับ”เมื่อเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น ชิงชวนก็ปล่อยอาวุธในมือและทรุดกายลงเคียงข้างกับสหายทุกคนที่ต่างก็บาดเจ็บจนยืนมิไหวแต่มิวายเอ่ยกับเสวียนลิ่วหลางไปว่า “แต่หากท่านมิไหว ต้องรีบบอกพวกข้านะขอรับ” เสวียนลิ่วหลางพยักหน้ารับพลางกางอาณาเขตพลังปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลังมิให้ได้รับผลกระทบ ก่อนที่ตนเองจะเข้าห้ำหั่นกับคนที่ถูกควบคุมอย่างรวดเร็วจนแม้กระทั่งซูเหย้าที่กว่าจะรู้ตัวก็ยามที่ได้เห็นลูกน้องฝีมือสูงของตนถูกปราณของเสวียนลิ่วหลางแยกร่างกายออกจากกัน“เจ้า!” ซูเหย้าโกรธจนหน้าเป็นสีเลือด เพราะมิว่าเขาจะสั่งการอย่างไร ลูกน้องของเขาก็มิอาจลุกมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างที่เคยเป็น“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้เจ้าคะนายท่าน” ซิงเยียนที่มั่นใจเสมอมา มิว่าอย่างไรก็จะมิมีผู้ใดจัดการกับคนที่ถูกหนอนพิษเพลิงพิรุณได้ถามอย่างตื่นตระหนก จะเป
“เจ้าสองคนฉลาดมิใช่น้อย หากเป็นสหายกัน งานที่ข้าทำคงจะสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่คนฉลาดเช่นเจ้าสองคนจะต้องสิ้นชีพในวันนี้” ซูเหย้ามองเสวียนลิ่วหลางตาวาว หากเขาดึงเอาหนอนพิษอีกสองตัวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายออกมาได้ ยามนั้นท่านประมุขก็จะต้องแข็งแกร่งจนมิอาจมีใครทำอันตรายได้อีกแล้ว“ผิดแล้วละซูเหย้า วันนี้หากจะมีคนไหนต้องจากไป ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”ยามแรกซูเหย้าจะถกเถียงว่า...เจ้าที่ร่างกายยังอ่อนแอจากการถูกหนอนพิษเล่นงาน กับเจ้าเด็กน้อยที่ถือตนว่าเก่งกล้าแต่ไร้วรยุทธ์จะสู้ข้าได้อย่างไร...หากเมื่อเขาได้เห็นประกายในดวงตาเป็นสีแดงเจิดจ้ากับพลังปราณอย่างรุนแรงที่แผ่ซ่านมาของเสวียนลิ่วหลางทำให้คิดไปว่า...หากมิใช่หนอนพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายเสวียนลิ่วหลางได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็แสดงว่าอีกฝ่ายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน...เป็นไปมิได้!เสวียนลิ่วหลางหัวเราะก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คิดว่าเจ้าก็คงจะพอคาดเดาได้แล้ว...ข้าสามารถบังคับเจ้าหนอนร้ายนั้นได้แล้ว”“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าก็ทำได้เพียงแค่ในยามนี้เท่านั้น อีกประเดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของข้าเช่นเดิม” มิใช่ว่าหนอนพิษของเขาใครจะบัง
“อาซวง!” เสวียนลิ่วหลางร้องเรียกสติเก้าเทียนรุ่ยที่ปล่อยให้เสียงจากภายนอกมามีผลกระทบกับการปรุงยาที่ใกล้จะสำเร็จอยู่มิช้ามินานนี้แล้ว “หากอยากช่วยทุกคนเจ้าจะต้องปรุงยาให้เสร็จนะ อีกมินานแล้ว...เราจะได้ไปดูด้วยอย่างไรเล่า ใครเป็นคนทำเรื่องเลวร้ายนี้”ถึงเขาจะพยายามข่มใจทำตามคำบอกกล่าวของเสวียนลิ่วหลาง เบื้องหน้าเตาปรุงยาลอยอยู่ระดับเดียวกับอก ภายในถูกปราณที่ถูกส่งจากสองกายก่อเกิดเป็นไฟเพื่อหลอมตัวยาทั้งหลายให้รวมเป็นหนึ่ง หากในหัวกลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและขอความช่วยเหลือดังมิยอมหยุด“ด้านนอกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดอยู่ก็ได้นะ ในเมื่อทุกคนทุ่มเทปกป้องเราอย่างเต็มกำลัง…หากอยากช่วยทุกคน อาซวงก็ต้องปรุงโอสถให้สำเร็จ...ข้าเชื่อมั่นในตัวอาซวงนะ” เสวียนลิ่วหลางบีบกระชับมือเล็กดึงเก้าเทียนรุ่ยให้หลุดออกมาจากความกังวล“อาซวงสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ จะเป็นฟูเหรินของข้า หากปรุงยารักษาข้ามิสำเร็จ แล้วจะเป็นฟูเหรินของข้าได้อย่างไรเล่า” เพราะวาจาของเสวียนลิ่วหลางที่ทำให้เก้าเทียนรุ่ยก็คิดขึ้นมาได้ มิใช่เพียงแค่บุรุษที่ยืนเคียงข้างในยามนี้ หากเขายังมีสหายที่ดีและท่านแม่ที่จะต้องดูแลด้ว