ผมลากไล้ปลายนิ้วบนขอบแก้วที่ภายในมีน้ำสีอำพันอยู่เกือบจะครึ่งด้วยสับสนระคนปวดร้าวใจ
กี่แก้วแล้วที่ผมดื่มเจ้าน้ำนี่เข้าไป...ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะคืนนี้ผมแค่อยากจะดื่มให้เมา...จะได้ลืมความเจ็บปวด ดื่มเพื่อให้ลืมเรื่องที่มันยังคงดังก้องอยู่ในหู
ฮึ! ผมหัวเราะเยาะเย้ยตนเองที่มองคนไม่ออก ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกับเธอคนนั้นมาได้ถึงเจ็ดปีด้วยกัน คบกันตั้งแต่เรียนมัธยมห้า จวบจนเรียนจบมหาวิทยาลัย เริ่มต้นทำงานเก็บเงินเพื่อจะได้สร้างครอบครัวกับเธอ แต่สุดท้ายแล้วเธอกลับมาบอกผมว่า...
“สอง...เราเลิกกันเถอะ”
เธอบอกเลิกผมในวันที่ผมจะขอเธอแต่งงาน...
“ทำไมละแพรว...ผมทำอะไรผิดเหรอ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไหนเราสัญญากันไว้แล้วไง หลังเรียนจบ ทำงานเก็บเงินสักระยะ แล้วเราจะแต่งงานกันไง”
ความจริงผมก็พอจะรู้มาสักระยะ...อ๋อ ไม่ใช่สิ น่าจะรู้ระแคะระคายเรื่องที่แฟนสาวเริ่มมีทางทีที่เปลี่ยนไปตั้งแต่ขึ้นปีสามแล้วล่ะ ตอนนั้นผมยังพยายามคิดในแง่ดีอยู่ เป็นเพราะเราเรียนกันหนัก เลยไม่ค่อยมีเวลาได้พบกัน อีกทั้งเราทั้งคู่ต่างก็ต้องวางแผนเรื่องอนาคตที่มันจะต้องดีและเต็มไปด้วยความสุข ผมยังคงพยายามเชื่อแบบนั้นมาตลอด ทั้งที่เพื่อน ๆ ของผมต่างก็พยายามบอกให้รู้...
แพรวไปกับผู้ชายคนอื่นอยู่เสมอและผู้ชายคนนั้นก็มิใช่คนอื่นคนไกล เป็นคนที่ผมรู้จักดี เป็นคนที่ผมรู้และเชื่อว่า เขาพร้อมที่จะแทงข้างหลังผมได้เสมอ ทั้งที่เราเป็น...พี่น้องกัน!
รอยยิ้มของแพรวเต็มไปด้วยความหยามหยัน เหยียดหยาม ความหมายจากดวงตาที่มองมา...เหมือนกับว่าผมเป็นหมาวัดแต่หมายปองดอกฟ้า ไม่เจียมตัวเองเอาเสียเลย
“เพราะไม่ว่าทำยังไง สองจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งไง สองไม่เคยกระตือรือร้นที่จะสร้างบริษัทของตัวเองอย่างที่เคยบอกกับแพรว เพราะสองต้องทำงานที่บริษัทของพ่ออย่างเดียว แล้วยังจะเป็นได้แค่พนักงานกระจอก ๆ ที่อย่าว่าแต่จะได้ขึ้นเงินเดือนเลย แค่โอกาสที่จะได้เป็นผู้จัดการอย่างคนอื่นที่เงินเดือนขึ้นแล้วขึ้นอีกก็ไม่มี”
ก็จะมีได้ยังไงล่ะ ในเมื่อทุกคนคอยแต่กดไม่ให้เขาโง่หัวนะ ให้ผมทำดีแค่ไหนก็แค่เสมอตัว แต่เมื่อไหร่ที่ทำได้ไม่ดี ทำผิดพลาดไป ก็จะมีคนพูดจาเหยียดหยามกระแทกแดกดันใส่ เป็นแค่คนโง่ที่ริอาจทำตัวว่าเก่ง หน้าตาก็ไม่ดีแล้วยังไม่มีสมองอีก
“แล้วอย่างนี้จะให้แพรวเชื่อได้ยังไงว่าสองสามารถเลี้ยงดูแพรวกับลูกให้อยู่สุขสบาย มีรถไว้ขับไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องกังวลว่าถ้าดึกดื่นแล้วจะไม่มีรถกลับบ้าน มีเงินมีทองให้ใช้โดยไม่ต้องเดือนเนื้อร้อนใจ ไม่ต้องกังวลว่าต้นเดือนมีเงินแต่พอปลายเดือนต้องประหยัด เพราะเงินไม่พอจะซื้อของดี ๆ กิน”
ใครว่าเขาไม่เคยคิด แต่เพราะความสามารถผมไม่ถึงไง ผมถึงต้องทนให้พี่ชายโขกสับ ทำงานในตำแหน่งเล็ก ๆ ในบริษัทของพ่อ รับเงินเดือนที่พอจ่ายค่าอาหารกลางวันและค่ารถไปกลับก็แทบจะไม่เหลือแล้ว
“มันหมดยุคที่จะกัดก้อนเกลือกินแล้วล่ะสอง ถ้าไม่คิดทำอะไรให้ดีกว่านี้ เราก็เลิกกันเถอะ ถ้ายังรักกันอยู่ ก็ปล่อยแพรวไปเถอะ อย่าเป็นตัวถ่วงของแพรวเลยค่ะ”
“นั่นสินะ...” ผมพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ขณะมองคนรักด้วยสายตาเจ็บปวดและผิดหวัง “สองจะไปสู้พี่...คุณเป็นหนึ่งได้ยังไงกันล่ะ ทั้งหน้าตาดี เป็นถึงลูกคุณหญิงที่แต่งงานกันอย่างสมเกียรติ ฐานะการงานก็ดีไปหมด ส่วนสองก็เป็นเพียงแค่ลูกเมียน้อยที่พ่อไม่ได้อยากจะให้เกิดมาสักหน่อยนี่เนอะ”
ที่ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมคุณเป็นหนึ่งถึงได้จองล้างจองผลาญผมไม่ยอมหยุดเสียที ทั้งที่เขาดีกว่าผมมากมาย เป็นลูกคุณหญิงที่ร่ำรวยมีหน้ามีตา มีทั้งพ่อและแม่ที่รักจนแทบจะทูนหัวทูลเกล้าให้ทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้เสมอ ผิดกับผมที่เป็นเพียงแค่ลูกที่พ่อไม่ได้ต้องการจะให้เกิดมา แต่ไม่ใช่แม่ที่กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรก็เมื่อมีผมอยู่ในท้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่รู้ว่าพ่อไม่ได้ต้องการทั้งผมและแม่ แต่แม่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายผม ไม่คิดทอดทิ้งและไม่ได้คิดจะให้ผมไปอยู่กับพ่อ เพียงแค่...อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดมาพรากแม่ไปจากผม ทำให้ผมต้องมาอยู่เป็นคนในบ้านของพ่อ
เขารับว่าผมเป็นลูกนะ...ให้การศึกษา แต่ไม่ให้ความรักและไม่ยอมให้ใช้นามสกุล นอกจากเพื่อนที่สนิทจริง ๆ สองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นพ่อผมและผมเป็นน้องชายคนละแม่กับคุณเป็นหนึ่ง ซึ่งแรก ๆ ผมก็ไม่เข้าใจอะไร แต่เมื่อโตขึ้น ก็เริ่มรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและรับได้ในบางส่วน ยกเว้นเรื่องงานที่ความจริงแล้วผมอยากจะเรียนทำอาหาร อยากมีร้านอาหารเล็ก ๆ เป็นของตัวเองสักร้าน แต่พ่อบอกผมต้องเรียนการเงิน ต้องเรียนบัญชี เพื่อทำงานในบริษัท ซึ่งผมก็ขัดอะไรไม่ได้ ต้องทำตามที่เขาสั่ง ในขณะที่คุณเป็นหนึ่งอยากทำอะไรก็ได้ทำ คงเป็นอย่างที่ผมได้ยินมาเสมอจริง ๆ นั่นแหละ...
ลูกคนโตมักเป็นที่รักของพ่อแม่ ของปู่ย่าตายาย ไม่ว่าจะทำเหี้ยอะไร ก็ยังมีคนคิดว่าดี ยังคงมีแต่คนชื่นชมชื่นชอบเสมอ ไม่ว่าจะทำผิดแค่ไหน ไม่ต้องถูกทำโทษ ได้รับโอกาสให้แก้ตัว เพราะพี่คนโตต้องเสียสละคอยดูแลน้อง
ลูกคนสุดท้อง น้องน้อยที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ ต้องเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม ทำราวกับว่าถ้าไม่ยอมจับเอาไว้ให้ดี เผลอปล่อยมือไปแล้วจะล้มจนเจ็บกาย อยากได้อะไรก็ต้องได้!
“สองอย่ามาพูดดูถูกเราแบบนี้นะ เราไม่ได้คิดจะจับพี่เป็นหนึ่งเลย”
ผมหัวเราะอย่างขมขื่น “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ แพรวร้อนตัวไปเองมากกว่า แต่เอาเถอะ จะเลิกก็เลิก สองก็ไม่อยากจะดึงรั้งคนที่หมดใจไว้เหมือนกัน หวังว่าแพรวจะจับคุณเป็นหนึ่งได้อยู่หมัดนะ ไม่ใช่ว่าพอบอกเลิกกับผมแล้ว ก็ถูกคุณเป็นหนึ่งทิ้งไปด้วยล่ะ” ผมเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริง เพราะคุณเป็นหนึ่งเพียงแค่อยากจะเหยียบย่ำทำร้ายผม แย่งชิงทุกอย่างที่คิดว่านั่นคือของที่ผมรัก ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมอยู่อย่างไม่เป็นสุข คุณเป็นหนึ่งพร้อมที่จะทำ!
“สองจะเอาเรื่องที่แพรวเคยเป็นแฟนสองไปบอกกับพี่หนึ่งหรือไง คิดว่าพี่หนึ่งจะเชื่อสองหรือไง”
“ไม่จำเป็นหรอกแพรว ผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย เพราะอย่างคุณเป็นหนึ่งนะ ถ้าอยากรู้อะไร ก็สามารถรู้ได้เสมอแหละ เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น ในเมื่อเราสองคนเคยมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน ผมก็ขออวยพรให้แพรวได้ในสิ่งที่หวังละกัน”ผมปล่อยมือจากแพรวและมองหญิงที่คิดว่าจะสร้างครอบครัวด้วยกันเดินจากไปด้วยความผิดหวังและเจ็บปวด แม้อยากจะไขว่คว้าให้เธอยังคงอยู่ข้างกาย แต่ผมก็รู้ เมื่อเขาหมดใจแล้ว ไม่ว่าจะรั้งยังไงสุดท้ายก็ต้องจากลากันอยู่ดี ถ้าผมยังไม่ยอมปล่อยวาง ก็เป็นตัวผมนั่นแหละที่จะเจ็บที่สุด“ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”ผมเหลือบมองคนที่มานั่งใกล้ ๆ อย่างไม่สนใจเพียงแค่แวบหนึ่ง ก่อนดวงตาจะจับจ้องมองแก้วที่มีน้ำสีอำพันอยู่ข้างใน“ดูเหมือนว่าคุณคงจะเพิ่งอกหักมา ถึงได้มาดื่มคนเดียวแบบนี้ ให้ผมนั่งดื่มเป็นเพื่อนดีกว่านะครับ”ก็แค่อยากดื่มคนเดียว เจอคนมากวนแบบนี้ ผมว่า...ผมกลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปเป็นเบ้ให้เขาใช้งานอีก! แต่ผมกลับถูกเขาจับมือเอาไว้“เดี๋ยวสิครับ จะรีบไปไหนละ คุยกันก่อนไหม ผมกำลังคิดว่ามีข้อเสนอดี ๆ ที่คุณน่าจะสนใจอยู่นะ”“ปล่อย”“อยากได้ความรักแท้ไหม”“รักแท้!” ผมอยากจะหัวเราะ
สามีปีผ่านไปความต้องการของซิงเยียนฮูหยินก็ประสบผลสำเร็จ นางตั้งครรภ์และคราวนี้ก็ได้บุตรชายสมใจ และนั่นก็ยิ่งทำให้นางเกิดความคิดที่ว่า...ต้องรีบกำจัดเก้าเทียนรุ่ยและท่านแม่ให้พ้นทาง เพื่อที่บุตรชายของนางจะได้เป็นผู้นำตระกูลเก้า แต่เหมือนกับว่าเก้าเทียนรุ่ยจะเป็นคนที่มีเทพคอยปกปักคุ้มครอง ทำให้คลาดแคล้วจากเรื่องร้ายได้เสมอแต่จะเป็นไปได้หรือที่คนเราจะแคล้วคลาดจากเรื่องร้ายได้ตลอดไป สุดท้ายแล้วก็มิรู้ว่าซิงเยียนฮูหยินใช้วิธีการใด ท่านย่าจึงบอกกล่าวให้ท่านแม่พาเก้าเทียนรุ่ยไปขอพรให้กับท่านพ่อ นั่นทำให้เก้าเทียนรุ่ยกับท่านแม่ต้องประสบกับเรื่องร้ายแรง!พวกเราเจอกับโจรร้ายที่ดูเหมือนจะมิอยากได้ข้าวของ หากอยากได้ชีวิตของเก้าเทียนรุ่ยกับท่านแม่เสียมากกว่า เก้าเทียนรุ่ยปกป้องท่านแม่จนตัวตาย ขณะที่ท่านแม่กำลังจะถูกทำร้ายก็กลายเป็นเขาที่ฟื้นขึ้นมาอย่างงุนงงและสับสน ในตอนนั้นเขามิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง รู้เพียงแค่ว่าตนเองสามารถขอความช่วยเหลือจากเหล่าต้นไม้ใบหญ้าให้ช่วยกันปกป้องและยังจะช่วยพาเราสองคนหนีจนปลอดภัยด้วยเราสองแม่ลูกหลบซ่อนกายอยู่ในป่าอยู่หลายวัน จนแน่ใจว่ารอดพ้นจากน้ำมือโจรร้ายพวกนั้
“ท่านแม่มายืนใกล้ ๆ ข้านะขอรับ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าสามารถมาพาท่านหนีได้ทันที” ถึงจะกล่าวออกไปเช่นนั้น หากเก้าเทียนรุ่ยก็มิมั่นใจเลยสักนิด ด้วยพลังและความสามารถของรองแม่ทัพผู้นั้น...คิดว่าอย่างไรก็คงจะต้องเก่งมิน้อย ฝีมือเล็กน้อยของเขาคงจะหนีรอดได้ยาก“ข้าทราบมาว่าคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์มีฝีมือด้านรักษาผู้คน”น้ำเสียงเยือกเย็นและเต็มไปด้วยอำนาจ ทำให้เก้าเทียนรุ่ยรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา “ไม่...ไม่ใช่หรอกขอรับ ข้าคิดว่าท่านคงจะเข้าใจอันใดผิดไปเสียแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาที่ปลูกผักปลูกหญ้าไปขาย คนที่ได้กินก็รู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองแข็งแรงขึ้นเท่านั้นเอง” เขาเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับฉีกยิ้มแหย ๆ“คุณชายช่างถ่อมตนยิ่งนัก แต่หากข้ามิมั่นใจ ก็คงจะมิมารบกวนคุณชายหรอกนะ”“ข้ามิได้ถ่อมตัวนะขอรับ แต่ท่านเข้าใจผิดไปไกลแล้ว เพราะพวกเขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ได้กินอาหารอร่อย ๆ ที่ปรุงจากพืชสด ๆ ที่ข้านำไปขายให้ ก็เลยทำให้มีสุขภาพดีขึ้นเท่านั้นเอง”“จะต้องให้ข้านำผู้ที่ได้รับการรักษาจากท่านมายืนยันหรือไม่เล่าคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์”จริงแหละ...มากันเช่นนี้ ถามหาคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์อย่างมิติดขัดเช่นนี้ เป็นไ
“คือ...ต้องหาผ้าชิ้นใหญ่ ๆ มาใช้ห่อผักพวกนี้ให้สดชื่นให้มากที่สุดนะ ข้าทำคนเดียวคงจะต้องใช้เวลานาน หากพวกท่านต้องการให้รีบไป ก็ต้องช่วย”รองแม่ทัพพยักหน้า นายทหารสองคนก็รีบตามเก้าเทียนรุ่ยไปที่หลังบ้าน“ท่านรอข้าตรงนี้ก่อนนะ ข้าขอไปหาท่านแม่ ขอผ้าชิ้นใหญ่ ๆ มาใช้ก่อน อ๋อ...ข้าลืมไปเลย ท่านช่วยไปเอารถที่ข้าใส่ผักที่ยังอยู่หน้าบ้านมาให้ด้วยนะขอรับ”สั่งความเสร็จเก้าเทียนรุ่ยก็รีบเดินไปหาท่านแม่เพื่อค้นหาสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ก่อนจะออกมาจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็วไวและมิลืมที่จะไปบอกกล่าวเจ้าของบ้านที่ให้เขากับท่านแม่เช่าอยู่ด้วยอัตราค่าเช่าที่ถูกมากเพื่อให้มาเก็บผักที่เหลือไปกินและแจกจ่ายเพื่อนบ้าน เพราะเขามิรู้เลยว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า...มิได้คิดไปเอง แต่โอกาสที่ได้กลับมาที่นี่มีน้อยมาก เมื่อคิดดูแล้ว ถึงอยู่ห่างไกลเช่นนี้ยังมีคนตามหาตัวจนเจอ มินานคนพวกนั้นก็อาจจะล่วงรู้ก็เป็นไปได้ เสร็จเรื่องนี้แล้วเก้าเทียนรุ่ยคิดว่าจะต้องปรึกษากับท่านแม่เรื่องหาที่อยู่ใหม่ให้ห่างไกลจากคนพวกนั้น...มากเท่าไหร่ยิ่งดี“เจ้ายังมีสิ่งใดที่ต้องนำไปอีกไหม”“มิ...มิมีแล้วขอรับท่ารองแม่ทัพ” เก้
เก้าเทียนรุ่ยตบมือผู้เป็นมารดาเบา ๆ ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้าไปหาท่านรองแม่ทัพหน้าตายที่ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องมิขาดฝัน เขากวาดตามองไปยังทหารผู้ติดตามที่หากจำมิได้ เมื่อแรกเริ่มเดินทางกันมีประมาณห้าคน หากตอนนี้เหลือเพียงแค่สี่ เขายังมิทันจะได้ไถ่ถามสิ่งใดต่อก็ได้ยินเสียงร้องที่จับทิศทางมิได้ดังมา“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านรองแม่ทัพ”“ลงมาทำไม กลับขึ้นไปบนรถม้าเดี๋ยวนี้”“ลงมาดู เผื่อจะช่วยท่านได้บ้างไงขอรับ” ดูเหมือนว่าใบหน้าและสายตาของท่านแม่ทัพจะมิเกรงกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากมิใช่เหล่าทหารผู้ติดตามที่ออกอาการละล้าละลัง หันรีหันขวางคล้ายจะหวาดกลัวกับบางสิ่งบางอย่างเป็นอย่างมาก“กลับไปอยู่บนรถม้า อย่าให้ข้าต้องจับเจ้าขึ้นไป!”หากรองแม่ทัพก็มิทันจะได้ทำอย่างที่กล่าวออกมา เสียงร้องจากนายทหารผู้ติดตามก็ดังมาอีกครั้ง คราวนี้ได้เห็นว่ามีเถาวัลย์ซึ่งมีหนามแหลมคมเคลื่อนตัวมาอย่างเร็วและรัดเข้าที่ข้อเท้าของนายทหารผู้โชคร้ายพร้อมกับดึงไปอย่างรวดเร็วเกินที่ว่าใครจะช่วยเหลือได้ทันและยังจะมาจากอีกหลายทิศทาง พุ่งตรงมาจุดมุ่งหมายคือทุกคนที่อยู่ในที่นี้ หากเมื่อมาถึงตัวเขากลับหยุดชะงักและรี
แต่ก็คงจะไม่มีอะไรให้แปลกใจแล้วล่ะ ก็อยู่ดี ๆ เขาเกิดรู้ว่าผักที่ปลูกไว้หลังเรือน ผลไม้ รวมถึงต้นไม้ใบหญ้าที่พบเห็นได้ทั่วไปสามารถนำมาปรุงตัวยาที่สามารถรักษาผู้คนให้หายได้ หากนั้นก็ยังมิเท่ากับความกล้าที่มิรู้ว่ามันมาจากที่ใด ไม่กลัวว่าจะถูกทำร้ายยามที่เอ่ยปากออกไปว่า สามารถรักษาผู้คนที่ป่วยไข้ให้หายได้ ยังดีที่ทุกคนกินเข้าไปแล้วหายจริง ๆ มิตายอย่างที่ปากพาหาเรื่องให้หัวกับตัวขาดจากกันเมื่อได้ยาที่ต้องการแล้วเก้าเทียนรุ่ยก็นำไปมอบให้กับท่านรองแม่ทัพและนายทหารที่เหลืออยู่อีกสองคน “หากอยากพาข้าไปทำการปรุงอาหารให้กับนายของท่าน ก็กินยานี่พร้อมกับผักในรถสักสองสามต้น...มินานเลือดก็หยุด พลังก็จะฟื้นคืนด้วยเช่นกัน ส่วนบุรุษผู้นั้น ข้าจะเป็นคนจัดการเอง...กล้าจับท่านแม่ของข้าไป ฮึ...ต่อให้ร้องอ้อนวอนจนเสียงขาดหาย ก็อย่าหวังว่าข้าจะปรานี”“ประมาณตนหน่อยคุณชายเอ้อร์ อย่าให้ข้าต้องเป็นคนฝังท่านก่อนจะได้ไปทำการรักษานายของข้า”หากเก้าเทียนรุ่ยกลับส่งยิ้มหวาน...เพียงแค่ปากมิใช่ดวงตาที่มันร้อนผ่าวไปให้กับท่านรองแม่ทัพ“ท่านนั่นแหละ เงียบปากไปเลย เอาตัวเองให้รอดก่อนจะมาดูแลผู้อื่นเถอะ”เก้าเทียนรุ่ยเอ
“ตื่นแล้วหรือเอ้อร์เออร์” “ขอรับ...” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ พลางยกสองมือชูขึ้นก่อนจะนำข้างหนึ่งมาปิดปากเอาไว้ แม้จะได้นอนหลับพักผ่อนที่น่าจะนานอยู่ หากเขาก็ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียจนอยากที่จะนอนพักอีกสักหน่อย ทว่า...“ถึงที่หมายแล้วหรือขอรับท่านแม่” มิน่าจะใช่ เขายังรู้สึกเหมือนกับว่ารถม้าที่นั่งอยู่เคลื่อนไหวอยู่เลย อีกทั้งเหมือนกับจะได้ยินเสียงของผู้คนที่อยู่นอกรถม้าด้วย ดูเหมือนว่าการเดินทางและเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้ท่านแม่เองก็เหนื่อยมิใช่น้อย ตอนนี้ถึงได้มีท่าทางอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เก้าเทียนรุ่ยจึงยื่นมือออกไปและปิดผ้ายื่นหน้าออกไปด้านนอกเพื่อไถ่ถามรองแม่ทัพที่น่าจะเร่งรีบเดินทางจนมิยอมหยุดพัก เมื่อรวมเข้ากับอาการบาดเจ็บที่ได้รับมา ตอนนี้ถึงได้ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าอย่างที่เห็นได้ชัด“เจ้าหลับไปนาน ข้านึกว่าจะมิตื่นขึ้นมาเสียแล้ว”“ปากเสีย...เป็นท่านมากกว่าที่ข้านึกว่าจะมิไหว แต่เห็นแล้วว่ายังแข็งแรงดีอยู่ แสดงว่ายาที่ข้าให้ท่านกินพร้อมกับผักพวกนั้นใช้รักษาแผลบาดเจ็บได้ดีจริง ๆ ด้วย เนี่ยนะเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าใช้ยานั่น นับถือความใจกล้าของท่านที่ยอมกินยานั่น เป็นหนูท
“ที่เจ้าทำอยู่ คงมิได้คิดจะบ่ายเบี่ยงมิยอมไปรักษานายของข้าหรอกนะ”ถามอย่างกับว่าเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างนั้นแหละ ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง...เขากับท่านแม่อยากจะหนีไปตั้งแต่ได้เห็นประตูทางเข้าที่นี่แล้ว ตอนที่ถูกบังคับให้มาด้วย ก็คิดอยู่แล้วล่ะ ผู้ที่เก้าเทียนรุ่ยต้องมาดูแลและปรุงอาหารให้ จะต้องเป็นคนสำคัญมาก หากใครจะคิดเล่าว่าคนผู้นั้นจะเป็นถึง...พลาดแล้ว...เขาพลาดไปแล้ว หากชวนท่านแม่หนีไปตั้งแต่เจอกับบุรุษชุดขาวนั่นตั้งแต่อยู่ในป่า ตอนนี้เขาก็คงมิต้องลำบากใจระคนขลาดกลัวเช่นนี้หรอกขอห้องให้ท่านแม่ได้พักผ่อน...ความจริงคือพาท่านให้ห่างไกลจากความวิตกกังวลและหวาดกลัวหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาต้องทำการดูแลปรุงอาหารให้ใครนั่นแหละ ส่วนตัวเขาเองก็ได้อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ให้สะอาดขึ้น ยามเมื่อเข้าไปหาคนผู้นั้น จะได้มิต้องกังวลว่าตนเองจะมีกลิ่นมิพึงประสงค์และเชื้อโรคติดไป“ท่านจะเอาอันใดกับข้า...ตอนที่ข้าอาบน้ำ ท่านก็คอยให้คนไปจับตามองแทบจะทุกหนึ่งจิบชา[1] กลัวข้าจะหนี...คิดว่าข้าทำได้หรือไง ทุกที่...มีแต่คนของท่านเต็มไปหมด แค่มดก็ยังแทบจะหลุดรอดสายตาไปไม่ได้ นี่ข้าเป็นคนนะ จะหลุดรอดสายตาคนของท่านไปไ
“ท่านแม่” “เอ้อร์เอ๋อร์”เรียกได้ว่า เมื่อเห็นเขาเปิดประตูห้องเข้าไปและร้องเรียก ท่านแม่ก็รีบพาร่างบอบบางพุ่งตรงมาหาในทันที สองมือเล็กเหี่ยวนุ่มเย็นจัดเช่นเดียวกับใบหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนวิตกกังวลมิแพ้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ มันทำให้เขารู้สึกมิค่อยดี หรือว่าท่านแม่...“ท่านแม่เจอ...แล้วหรือขอรับ” หากเจอกันแล้ว ยามที่เขาเจอกับบุรุษผู้นั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่บอกให้รู้บ้างสิ แต่เท่าที่เห็น...จากความคิดของเขาเอง แม้จะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเพียงใด แต่การได้เจอกับบุตรชายที่ได้ตายไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตกใจ...สงสัยและบังคับเอาคำตอบแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบุรุษผู้นั้นมิได้สนใจในตัวเก้าเทียนรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แทบจะมิปรายตามองด้วยซ้ำไป“แม้จะเห็นเพียงแค่ไกล ๆ ถึงการอยู่ด้วยกันจะมิได้รับการเอาใจใส่ แต่อย่างไรก็สามีภรรยากัน มีหรือที่แม่จะจดจำคนผู้นั้นมิได้ แม่รีบหลบมาอยู่แต่ในห้อง อยากจะไหว้วานนายทหารให้ส่งข่าวให้เอ้อร์เอ๋อร์รู้ แต่ก็กลัวจะถูกสงสัย เลยได้แต่รอด้วยความร้อนใจเช่นนี้”“ท่านแม่ไว้วางใจได้ขอรับ นอกจากเขาจะจำข้ามิได้แล้ว เขายังไม่
นิ้วยาวลากไล้บนท่อนแขนกำยำอย่างแผ่วเบาพลางพึมพำออกมาว่า “แผลที่แขนสมานกันดีจนแทบมิเห็นรอยบาดแผลแล้ว ยาใส่แผลของข้าช่างได้ผลดียิ่งนัก” มิน่าเชื่อว่ายาเหล่านั้นจะทำให้บาดแผลหายเร็วเช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดเหลือที่จะกล่าว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการดียิ่งเก้าเทียนรุ่ยลุกขึ้นเพื่อไปตรวจดูแขนอีกข้างของท่านแม่ทัพอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ แต่นอกจากบาดแผลจากการสู้รบและฝึกฝนฝีมือที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วก็มิเห็นว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติไปเลยแม้แต่นิดเดียว“เจ้าหนอนแดงนั่นมันหลบซ่อนอยู่ตรงไหนกันนะ มันต้องมีร่องรอยบ้างสิ ข้าต้องหาเจอสิน่า” เก้าเทียนรุ่ยบ่นพึมพำพลางกวาดสายตามองแขนท่านแม่ทัพอย่างมิให้คลาดสายตาแม้สักจุดเดียว ก่อนจะเลยไปถึงแผงอกกว้างกำยำที่ดูอย่างไรก็เห็นจะมีเพียงแค่ร่องรอยของบาดแผลทั้งเก่าและใหม่มิมีร่องรอยของสิ่งที่ค้นหาอยู่เลย“คิดว่ามันจะยอมให้หาเจอง่าย ๆ หรือไง กระทั่งตัวข้าเองที่มีมันอยู่ในร่างกายยังมิรู้เลยนะ”“จะซ่อนให้ดียังไง มันก็หนอนที่ไร้ความคิดนะขอรับ จะปกปิดซุกซ่อนอย่างความคิดของคนได้ยังไงกันล่ะ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยออกไปขณะเดียวกันสำรวจร่างกายคนตรงหน้าอย่างละเอียด
แย่เข้าไปใหญ่ ทำอย่างนี้จะมีแต่จะทำให้คนเกลียดเขาเพิ่มมากขึ้นนะสิ หากเทียนรุ่ยก็มิอาจกล่าวสิ่งใดออกไปได้ นอกจาก“ใจเย็นก่อนนะขอรับท่านพี่ ที่ข้ากล่าวออกไปเพราะอยากให้ท่านคิดไตร่ตรองให้ดี อย่าทำสิ่งใดให้ศัตรูที่ยังหลบซ่อนกายอยู่ล่วงรู้”“ข้าคงเร่งรีบมากจนเกินไปจึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ขอบใจที่เตือนข้านะอาซวง นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้อาซวงกังวลใจอยู่อีก ใช่หรือไม่”หากจะบอกว่ามิใช่...ย่อมเป็นไปมิได้ “เพราะเรามิรู้ว่าศัตรูอยู่ไกลหรือวางคนอยู่ใกล้ตัวเพียงใด การฟื้นมาของท่าน คนเหล่านั้นอาจจะล่วงรู้และเตรียมตัวรับมือไว้แล้วก็เป็นไปได้ การเดินทางรอนแรมทั้งที่ร่างกายเพิ่งจะฟื้นได้มินาน อาจจะทำให้หนอนแดงที่ข้าคิดว่ายังคงถูกฝังอยู่ในตัวท่านตื่นขึ้นมาเล่นงานอีกนะขอรับ ข้ากลัวท่านจะรับมือมันมิไหว” หากครั้งนี้ล้มหมดสติไปอีก ดูท่าว่าการจะทำให้ฟื้นขึ้นมาคงเป็นไปได้ยาก“หากมีอาซวงอยู่ด้วย ข้าย่อมมิกลัวสิ่งใด”“เอ่อ...” สายตาคู่นั้นมันช่างทำให้เขารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวและหัวใจก็เต้นไหวอย่างรุนแรงด้วย นี่เขาเป็นอันใดไป“แม้ว่าเราจะเพิ่งพบเจอกัน หากข้าเชื่อว่าอาซวงจะมิทำร้ายข้า”สง
“ใช่แล้วลิ่วหลาง นับตั้งแต่เจ้าล้มป่วย เต่าน้อยเองก็ล้มป่วยเช่นกัน หากทั้งหมอหลวงจางและราชครูเหลิ่งกลับมิยอมบอกเรื่องนี้กับผู้ใด นี่หากว่ามิแอบได้ยินหมอหลวงจากกล่าวเรื่องเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านเรื่องยาที่ให้ไปหามา ข้าก็คงมิล่วงรู้ ข้าร้อนใจมากด้วยมิรู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้บ้าง”“ในราชสำนักน่าจะมีผู้ที่อยู่ฝั่งหมอหลวงจางและเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านอยู่มิน้อย”“มิต้องสนใจเรื่องใด กลับไปทำหน้าที่ของเจ้า...สุขภาพข้ายามนี้พอจะเดินทางไกลได้ไหมอาซวง”“ท่านเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเองนะขอรับ หากเดินทางไกล ข้ากลัวว่า...”“หากอาซวงจะร่วมเดินทางไปด้วย”เรื่องที่ได้รู้คงทำให้ท่านแม่ทัพร้อนใจมิใช่น้อย หากว่า...ยามนี้ยังเดินทางไกลมิได้จริง ๆ หากการรักษามิต่อเนื่อง อาจจะทำให้ร่างกายที่ดีขึ้นแล้วทรุดลงอย่างรวดเร็วจนอาจจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้“จะยังไงมันก็ยังมิควรนะขอรับ”“มิมีหนทางอื่นใดช่วยได้เลยหรือท่านหมอ”ซูเหย้าน่าจะพอรู้แล้วว่าท่านแม่ทัพจะเดินทางไปที่ใด“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาอย่างไรเล่า แค่นี้ก็แก้ไขมิได้”ท่านแม่ทัพมองโหยวเจียนด้วยสายตาเยียบเย็น แต่กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า“ข้ารู้ว่าอาซว
“ลิ่วหลาง! ในที่สุด เจ้าก็ฟื้นแล้ว”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่นั่งอยู่ โหยวเจียนก็เอ่ยเสียงดังราวกับจะให้ได้ยินไปทั่วจวน พร้อมกันนั้นก็รีบเดินตรงลิ่วไปหาท่านแม่ทัพราวกับลมพัด หากกำลังจะยื่นมือไปจับกายแกร่งที่ยามนี้ผอมจนแทบจะมีเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก แต่ท่านแม่ทัพกลับเบี่ยงกายหนีและยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด“หากเจ้ายังทำเสียงดังเช่นนี้อีก ก็กลับไปเสีย มิต้องมาให้เห็นหน้า”ก็พอจะคาดเดาได้ว่าท่านแม่ทัพเป็นผู้ที่มิสนใจผู้ใด ยกเว้นก็เพียงแค่ชิงชวน อ้ายฉีและน่าจะมีผู้ที่ถูกเรียกว่าเต่าน้อย แต่คิดมิถึงว่าจะกล่าวกับโหยวเจียนเช่นนี้ด้วยคนถูกไล่ตอนแรกก็มีสีหน้ามิค่อยดีสักเท่าไหร่ คงจะอับอายด้วยว่ามีผู้อื่นเช่นเขาและซูเหย้าที่เดินตามหลังมาอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น ใบหน้าที่แดงด้วยโทสะก็คลี่ยิ้มเช่นเดิม ทำราวกับเมื่อครู่มิได้ยินสิ่งใด“ก็ข้าดีใจที่เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าหมอผู้นี้ทำหน้าที่ของตนได้สมกับที่รับปากไว้ มิเสียแรงที่ข้ายอมเสียงเงินถึงหนึ่งกำปั่นเพื่อให้นำมาซื้อยารักษาเจ้า”ยามได้ยิน เขาคิดว่าโหยวเจียนจะโอ้อวดว่าตนเองมั่งมีเงินทองและอาศัยการจ่ายเงินในครั้งนี้ทวงบุญ
‘ดีมากอาซวง...เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียยิ่งนัก’ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ เขาจะต้องคิดหาวิธีไล่สองคนนี้ออกไปจากห้องก่อนจะทนมิไหว ทำแผนของอาซวงพังมิเป็นท่าเอ๊ะ...ดูเหมือนอาซวงจะส่งสัญญาณบอกมาแล้ว เขาก็เลยรีบส่งเสียงที่คำราม พร้อมกับยกแขนและขาฟาดไปฟาดมาหวังว่าจะทำให้ทั้งสองคนที่บุกรุกมาสร้างความรำคาญใจให้เจ็บตัวสักหน่อย หากก็มิสำเร็จอย่างต้องการ ด้วยว่าโหยวเจียนแม้จะอ้วนพี แต่ก็ช่างเป็นคนที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วอย่างคาดมิถึง...เพียงแค่เขายกเท้าขึ้นจะถีบ อีกฝ่ายก็เผ่นไปถึงประตูห้องเสียแล้ว“เสียดาย”“ท่านพี่ว่าอะไรนะขอรับ”“ข้าว่าเสียดายที่ยังมิทันจะได้ถีบโหยวเจียนเลย”อาซวงหัวเราะ “ซูเหย้าผู้นั้นก็ไปเร็วเช่นกัน แต่กว่าจะไปก็ทำเอาข้าถึงกับเหนื่อยเหมือนกัน”“ขอโทษที่ทำให้อาซวงเหนื่อยนะ”มิรู้ว่าเขาจะคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนว่าสายตาของอาซวงที่มองโหยวเจียนและซูเหย้าบ่งบอกว่า...มิไว้วางใจและน่าจะแฝงไว้ด้วยความสงสัยอยู่มิน้อย หากก็ยังคงปกปิดมิยอมเอ่ยปากบอกให้เขารู้ หากนั่นยังมิเท่าสิ่งที่อาซวงบอกมา...‘ในตัวเขา...มีบางสิ่งฝังอยู่!’แม้มิอยากเชื่อ หากเมื่อก้มลงมองแขนที่ได้
“ข้าจะรีบทำให้เสร็จโดยเร็วและจะรีบกลับมา” เก้าเทียนรุ่ยจับแขนแกร่งออกจากกายแล้วดันร่างของท่านแม่ทัพให้ล้มตัวลงนอน ถึงจะมิง่วงเพราะนอนมายาวนานแล้ว แต่อย่างไรร่างกายนี้ก็ยังอ่อนเพลียอยู่ ยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อจะได้มีแรงสู้กับสิ่งที่ฝังอยู่ภายในร่าง“เดี๋ยวสิ”เก้าเทียนรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อท่านแม่ทัพจับมือไว้มิยอมปล่อย “มีอะไรอีกหรือขอรับ”อย่างรวดเร็วจนเขามิทันจะได้ตั้งตัว กายแกร่งก็ผุดลุกขึ้นมาพร้อมกับปากหนาที่แนบลงมาบนแก้ม“รีบไปรีบกลับนะ...อาซวง”ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยร้อนผ่าว ขณะที่ดวงตาก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แม้กระทั่งเดินออกมาแล้วสติก็ยังมิครบครัน ก่อนจะคิดได้ว่า เพราะเขาน่ารัก ท่านแม่ทัพที่เพิ่งจะพบหน้าถึงได้รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดู ถึงได้บอกด้วยการกระทำว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ที่เขาควรจะต้องเร่งหาทางรักษาอีกฝ่ายให้หายให้เร็วที่สุดเป็นการตอบแทน...ใช่! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนจะกล่าวถึงฝีมือทำอาหารของอาซวง แม้รสชาติจะจัดจ้านไป…มิน้อย บางครั้งก็แทบจะกลืนมิลง หากรวม ๆ แล้วก็อร่อยอยู่นะ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายต้องคอยเอาอกเอาใจ ป้อนด้วยท่าทางหงุดหงิดที่ทำใ
ช่างกล่าวได้อย่างโหดร้ายมาก นี่นะหรือที่ท่านอ้ายฉีกับชิงชวนกล่าว บุรุษผู้นี้มิอาจจะทำร้ายท่านแม่ทัพได้ จนกว่าจะได้เจอกับผู้ที่หลบซ่อนกายอยู่ ทำอย่างไรเขาก็ยังมิปักใจเชื่อแน่ว่าสองคนนี้จะมิเกี่ยวข้อง“ใจเย็นก่อนท่านโหยวเจียน กล่าวเช่นนี้ไปจะทำให้ท่านหมอขลาดกลัวจนอาจจะทำสิ่งใดผิดพลาดไปได้นะ”“ถ้ามิขู่ให้กลัว แล้วจะรักษาลิ่วหลางอย่างดีหรือไง” โหยวเจียนสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดเก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตากับความคิดของคนผู้นี้เสียจริง “ข้าจะดูแลรักษาท่านแม่ทัพให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าผู้น้อยจะทำได้ขอรับท่านโหยวเจียน หากตอนนี้ข้าต้องขออภัยที่จำเป็นต้องให้ท่านทั้งสองคนออกไปจากห้องนี้ก่อน”“นี่เจ้า! เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาไล่ข้า”“หากท่านทั้งสองจะอยู่ ข้าก็มิว่าอันใด แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น...ท่านจะกล่าวโทษข้ามิได้นะขอรับ”“หมายความว่าอย่างไรหรือหมอ”“คือ...ด้วยยาที่ข้าให้ท่านแม่ทัพกินเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จากที่เคยนอนเป็นผักเน่าก็เคลื่อนไหวได้ แต่การเคลื่อนไหวนี่แหละขอรับที่ทำให้ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพวกท่าน” ดูเหมือนว่าวาจาของเขาจะทำให้ท่านแม่ทัพรู้ว่าควรจะต้องทำเช่
“ข้ากำลังจะรายงานนายท่านโหยวเจียนอยู่เลยขอรับ แต่ก่อนนั้นข้าจะต้องไถ่ถามท่านเสียก่อน” คิดจะเล่นงานเขาใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นเขาเล่นงานท่านก่อนละกัน จะเอาให้หมดเนื้อหมดตัวเลย“อะไร”“ท่านมาเยี่ยมท่านแม่ทัพครั้งล่าสุด...นานหรือยังขอรับ”“ก็หลายวันอยู่นะท่านหมอ” เป็นซูเหย้าที่ตอบแทนโหยวเจียนที่ตอนนี้ยังโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ เดี๋ยวจากแดงจะกลายเป็นคล้ำจนดำเพราะต้องเสียเงินให้เขาเป็นกำปั่น“ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้ท่านทั้งสองดูบางสิ่งที่ทำให้ข้ามั่นใจในวาจาที่เคยกล่าวมาตั้งแต่แรก...มิเกินสามวันท่านแม่ทัพจะต้องฟื้นแน่นอน” เพื่อให้ความมั่นใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่เขาจะเรียกเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุด เก้าเทียนรุ่ยก็รีบกล่าวออกไป“ท่านทั้งสองสังเกตใบหน้าของท่านแม่ทัพสิขอรับ ระหว่างวันนี้กับก่อนหน้านั้นแตกต่างกันหรือไม่” หากมิแตกต่างก็คงจะเกินไปแล้วล่ะ กินอาหารเผ็ดร้อนเข้าไปเสียขนาดนั้น ใบหน้าและริมฝีปากย่อมยังมีสีสันอยู่แล้ว“ท่านว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่”“เจ้าอาจจะเอาสีมาป้ายไว้ก็ได้นี่”“ข้าหรือจะกล้าทำเช่นนั้น หากท่านโหยวเจียนยังมิเชื่อ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องดูผิวกายขอรับ...ครั้งแรกที่ข้าเห็น ก็ยังคิด