มานิตาหันมองคนตัวโตที่ทำหน้าตาหงุดหงิดใส่เธอ เขาทำเหมือนเธอไปทำความผิดทั้งๆ ที่ตัวเองจ้องจะปล้ำคนอื่นเขาไม่หยุดหย่อน“เป็นอะไรญาณิน...”(พ่อจะจับฉันแต่งงาน แต่ฉันไม่อยากแต่งเลย ฉันไม่อยากแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ ช่วยฉันด้วย ฮือๆ)“ใจเย็นนะ” ขณะที่พูดอยู่นั้นร่างหนาของเพทายก็โน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นของมานิตาจนเธอต้องมองค้อนที่ชายหนุ่มทำแบบนี้ทั้งๆ ที่เธอกำลังคุยธุระกับเพื่อนอยู่ “อ๊ะ...”(แกเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงดูไม่ดีเลย)“ปะ...เปล่าเมื่อกี้เดินไปเอาของแล้วเกือบลื่นน่ะ” เสียงหวานร้องแก้ตัวแต่สายตาก็จ้องมองคนตัวโตที่กำลังเอามือหนามาเคล้นคลึงอกเปลือยของเธอราวกับมันเป็นของเล่นสุดโปรดปรานของเขา(อ้าวเหรอ งั้นคืนนี้ขอไปนอนที่หอด้วยได้ไหม ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆ)“เอ่อ...”(ฉันนั่งแท็กซี่แล้ว อีกน่าจะครึ่งชั่วโมงถึงหอเธอนะลงมารับด้วยนะ)‘เวรละ’ มานิตาสบถอยู่ในใจเมื่อเพื่อนรักกำลังมาที่หอ แต่ตัวเธอเนี่ยอยู่บ้านเพทายจะทำยังไงล่ะทีนี้ เรื่องนี้จะปล่อยให้ใครรู้ไม่ได้“เอ่อ...งั้นก็ไม่ต้องรีบนะ ฝนตกแล้วถนนมันลื่น”(อืม...ไว้ถ้าถึงจะทักไปนะ ลงมารับด้วยนะ)“อะเค...”“ไม่บอกไปวะว่าไม่อยู่
“ไม่มีใครเห็นหรอก ฟิล์มรถมืดจะตาย ขอจูบปากทีหนึ่งให้หายคิดถึงก่อน เพราะคืนนี้เธอทำให้ฉันต้องนอนคนเดียว” สีหน้าและคำพูดที่แสนจริงจังของเขาทำเอาเธอกลืนน้ำลายลงคออย่างอยากลำบาก“เอ่อ...”“ช้าว่ะ” เมื่อพูดจบเพทายก็คว้าคอของมานิตาเอาไว้จากนั้นเขาก็ประกบปากจูบกับหญิงสาวทันที ปากชื้นทำการดูดดึงขบเม้มปากเล็กอยู่หลายนาทีจนพึงพอใจ แต่คนตัวเล็กกลับรู้สึกว่าปากของเธอมันกำลังบวมเจ๋อเพราะแรงดูดเมื่อครู่นะ“อื้อ”“มัดจำไว้ก่อน จำสัญญาที่ให้ได้ใช่ไหม ห้ามลืม...และสั่งห้ามไปทำอย่างนี้กับใคร เพราะถ้ากูรู้กูเอาทั้งมันและมึงตายแน่” เพทายบอกด้วยเสียงจริงจัง เพราะเขาเป็นคนหวงของรวมถึงผู้หญิงตรงหน้านี้ด้วย“ขู่อยู่ได้ เป็นพ่อไง”“เปล่าแต่เป็นผัว แล้วจะทำไม” เพทายตอบหน้าตายจากนั้นเขาก็เอาลิ้นหนาดุนดันที่กระพุ้งแก้มของตัวเองแล้วมองเธออย่างยียวน“นายแม่งคิดเองเออเองตลอด ไม่คุยด้วยแล้ว”ร่างเล็กเดินลงจากรถอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเอามือบางจับที่แก้มทั้งสองข้างที่มันกำลังเห่อร้อนอย่างชัดเจน“ไอ้คนบ้า...ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย” ร่างเล็กรีบเดินจ้ำอ้าวไปรอเพื่อนรักที่ใต้หอ แต่ใบหน้าหวานเนี่ยสิกำลังแดงก่ำเพราะนึกถึงเรื่องราวข
“เอ้า! แต่แกยังชวนฉันเล่นอยู่เลยนะ ไหงเป็นงี้อะ” มานิตาหน้าเหวอเมื่อเพื่อนทำเหมือนแอปฯ หาเพื่อนอะไรนั่นไม่ดี ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนโหลดมาให้แท้ๆ “ก็ฉันเจอแต่ละคนไม่ดีทั้งนั้น นัดเยบ้าง หม้อไปเรื่อยบ้าง หนักสุดคือมีแฟนอยู่แล้วยังมาชวนฉันไปเดต ดีนะฉันเอาประวัติไปสืบมาก่อน ไม่งั้นนะฉันกลายเป็นมือที่สามอย่างแน่นอน ฉันถึงบอกไงให้แกดูดีๆ ระวังเจอคนไม่ดี ถามว่ามีคนดีไหมมันก็มีนะแต่อาจจะเป็นส่วนน้อย แต่มันมีแหละคนดีๆ อะ” ญาณินสอนเพื่อนเพราะเธอเข้าใจโลกโซเซียลดีว่ามันมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันไป พวกงานดีๆ รูปหล่อบ้านรวยแต่ยังโสดมันแทบหาไม่ได้เลยในสังคมปัจจุบัน “รู้แล้ว...ฉันไม่ได้เชื่อใครง่ายขนาดนั้นสักหน่อย” “เหรอ...แกทำเป็นแข็งกระด้างแต่รู้อะไรไหม แกอะอ่อนแอกว่าฉันอีก ที่ฉันบอกเพราะอยากให้แกได้สติระวังพวกผู้ชาย บางคนทำดีกับเราแต่ในใจนะหวังเคลมเราจะแย่ แต่พอมันได้เรานะมันก็ทิ้งเราอย่างกับของเก่าที่มันไม่ใช้” ญาณินสอนเพื่อนรักเพราะกลัวมานิตาโดนหลอก ซึ่งคำพูดของญาณินทำให้หญิงสาวฉุกคิดเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเพทายทั้งเมื่อวานและวันนี้ หรือชายหนุ่มหวั
บทที่ 5หลีกหนีกันไม่พ้น ตั้งแต่วันที่ญาณินมานอนที่หอมันทำให้เธอได้ฉุกคิดอะไรหลายๆ อย่างว่าไม่ควรเอาตัวเองไปยุ่งกับเพทายอีก หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ได้ตอบกลับหรือคุยอะไรกับเพทายอีกเลย ทั้งๆ ที่ชายหนุ่มก็ส่งข้อความมาหาเธอช่วงสองสามวันแรกที่เธอขาดการติดต่อไป “สรุปแกคุยกับเพให้ไปช่วยพูดกับวาโยให้ฉันหรือยังมิลค์กี้” ญาณินเปิดประเด็นถามเพื่อนเพราะมันผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้ว ช่วงหลังมานี้มานิตาดูแปลกๆ ไป เพื่อนดูซึมอย่างผิดปกติ “ยังเลย แต่เดี๋ยวฉันว่าฉันไปคุยกับวาโยให้เองดีกว่า คุยกันหลายทอดเดี๋ยวจะไม่เข้าใจกันอยู่ดี” มานิตาคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดที่จะเลี่ยงในการเจอเพทายได้ แม้จะต้องเรียนด้วยกันแต่เธอเลือกที่จะนั่งข้างหน้าเพื่อไม่ให้เผชิญกับสายตาที่มองมาและเมื่อเลิกคลาสก็รีบกลับห้องให้เร็วที่สุดเพื่อเลี่ยงกับเจอหน้า ช่วงสองสามวันก่อนเธอเห็นเพทายมาดักรอ แต่สุดท้ายเธอก็หลบเขาจนพ้นแต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะหนีแบบนี้ไปได้ถึงเมื่อไหร่ ขณะที่หญิงสาวกำลังเดินผ่านซอกตึกเพื่อออกจากบริเวณคณะ โดยจุดนี้เป็นทางลัดเพื่อให้ไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุด แต่ในจังหวะนั้นสิ่งที่
ติ๊ด!! เสียงข้อความเด้งแจ้งเตือนทำเอาเธอสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่ข้อความที่เพทายส่งมา แต่เป็นแชตจากแอปฯ หาเพื่อนที่เธอดองเอาไว้นานเป็นอาทิตย์และมีผู้ชายทักมาเต็มไปหมด แต่เธอก็เลือกตอบแค่สองคนคือ ผู้ชายที่ชื่อ ‘เซอร์’ และผู้ชายอีกคนที่ชื่อ ‘ซัน’ ที่ทักข้อความทิ้งเอาไว้เมื่อสองสามวันก่อนและเธอเพิ่งได้เปิดอ่าน แต่ไม่รู้จะตอบใครดีเลยเลือกตอบชายหนุ่มหน้าหวานอย่างตะวันฉายก่อน (ขอโทษนะคะพี่ซัน...พอดีมิลค์กี้ยุ่งๆ เรื่องเรียนเลยไม่ค่อยได้ตอบเลย) มือเล็กพิมพ์ข้อความตอบกลับไป และไม่นานข้อความก็ถูกส่งกลับมา (ไม่เป็นไรเลยครับ พี่เข้าใจ งานพี่ช่วงนี้ก็ยุ่งเหมือนกันเลยครับ) (ว่าแต่พี่ซันทำงานอะไรเหรอคะ ไม่รู้จะละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่าที่ถามออกไปแบบนี้) เพราะอยากจะให้ลืมเรื่องฟุ้งซ่านทำให้มานิตาเลือกที่จะคุยกับคนในโซเชียลเพื่อตัดความคิดถึงที่มีต่อเพทายไป (พี่เป็นหมอครับ) (จริงๆ เหรอคะ) (ครับ...แต่เป็นหมอผิวครับ พี่เปิดคลินิกแถวเอกมัย ถ้ามิลค์กี้อยากทำอะไรมาที่นี่ได้เลยนะ) (ขายคอร์สมิลค์กี้หรือเปล่าคะเนี่ย
(อืม...ก็หล่อดี แต่ไม่เท่าฉันหรอก แต่ไว้ใจแล้วเหรอถึงได้นัดเจอกัน) (แหวะ คนอะไรชมตัวเองก็ได้ด้วยเหรอ ฉันไม่เชื่อหรอก นายเล่นไม่ตั้งเป็นรูปตัวเองใครจะไปเชื่อล่ะ ส่วนที่นัดกับพี่คนนั้นก็ไปกินข้าวที่ห้างฯ แถวๆ นี้แหละ ไม่ได้ไว้ใจอะไรแค่ไม่ได้มีอะไรให้ต้องคิดเยอะ) (มาลองเจอไหมล่ะ รับรองฉันหล่อจริงๆ ใครๆ ก็บอก เธอเจอหมอนั่นได้ แล้วมาเจอฉันด้วยได้ไหม) (ต่อรองเหรอ) (เปล่า...ก็เห็นเธอเจอกับหมอคนนั้นได้ ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์บ้างล่ะ หรือเธอชอบหมอนั่นไปแล้วเลยไม่อยากเดตกับใครอีก) ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดว่าเซอร์ทำเหมือนหึงเธอด้วย (เปล่าสักหน่อย ก็บอกแล้วไงว่าลองคุยๆ เฉยๆ) (งั้นมาเจอกันไหม เอาวันที่เธอว่างก็ได้ ฉันไม่ชอบคุยกับใครในแชต อยากเจอตัวจริงมากกว่า) (เอ่อ...) มานิตากำลังชั่งใจเพราะไม่รู้ว่าควรไปเจอผู้ชายสองคนในเวลาติดๆ กันแบบนี้ดีไหม คนหนึ่งสบายใจที่ได้คุย ส่วนอีกคนก็ดูลึกลับน่าค้นหาดี (ว่ายังไงล่ะ ผับXXX ก็ได้นะเคยไปไหม) (เคย แต่ไม่ค่อยได้ไปแล้วช่วงหลังๆ) (งั้นคืนพรุ่งนี้ไปเจอก
(ฉันว่าฉันกลับดีกว่า ไว้เรานัดกันใหม่) ด้วยความกลัวทำให้มานิตาพิมพ์ตอบกลับไป แต่ไม่ถึงหนึ่งนาทีข้อความก็ถูกตอบกลับมา (เธอกลัวเหรอ) (ก็นิดนึง) (ขึ้นมาเถอะไม่มีอะไรหรอก กลัวไปได้ ห้อง 2208 นะ) (อืม) มานิตาเริ่มทำใจดีสู้เสือและคิดว่าเธอคงไม่โชคร้ายเจอคนไม่ดีหรอกมั้ง และเมื่อมาถึงชั้นสองห้อง 2208 ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะเปิดมันเข้าไปทันที ร่างเล็กเดินเข้าไปพร้อมกับมองผู้ชายที่กำลังนั่งหันหลังให้เธออยู่ จนต้องเอ่ยเรียกเขาทันที “นายชื่อเซอร์หรือเปล่า” ร่างเล็กเดินเข้าไปใกล้แต่ไม่รู้ทำไมขาทั้งสองข้างของเธอมันสั่นไหวเพราะแผ่นหลังของเขาช่างคุ้นเคยเหลือเกิน “คิดว่าไงล่ะมิลค์กี้” เมื่อร่างใหญ่หันกลับมาก็ทำเอามานิตาถึงกับเบิกตากว้าง เพราะใครจะไปคิดว่าคนที่เธอคุยและนัดวันนี้จะเป็นเพทาย ทั้งๆ ที่เธอควรเอะใจตั้งแต่อ่านประโยคที่เขาส่งมาแล้วว่ามันคล้ายกับเพทายมากแค่ไหน “นาย!! นายหลอกฉันเหรอเพ” “ถ้ากูไม่หลอกมึงมา กูจะรู้ไหมว่าที่มึงไม่อยากคุยกับกูเพราะเล่นอีแอปฯ ห่าเหวนี่ นัดผู้ชายแปลกหน้า ง่ายกับคนอื่นแต่
“ก็เดี๋ยวจะให้เป็นอยู่นี่ไง ทำไม...ใจร้อนอยากเป็นเมียฉันจะแย่แล้วใช่ไหม” “ไอ้บ้า” “ขึ้นรถไปได้แล้วมิลค์กี้” มือใหญ่ผลักร่างเล็กเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งข้างคนขับ แต่ก่อนจะปิดประตูนิ้วเรียวของเพทายก็ชี้มาที่หน้าของเธอก่อนเธอจะแทรกตัวลงจากรถ “อย่าคิดหนี เพราะถ้าฉันจับเธอได้อีก เธอเจอหนักแน่! อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ใบหน้าหวานเจื่อนลงนิดหน่อยเพราะสายตาที่แสนจริงจังของชายหนุ่มเริ่มทำให้เธอกลัว ร่างใหญ่รีบเดินมาขึ้นรถจากนั้นก็ปรายตามองสาวข้างกายที่นั่งนิ่งจนเขาพึงพอใจ เพราะถ้ามานิตาหนีอีกเขาก็ต้องเหนื่อยที่จะไล่ตามเธอ “พาฉันกลับหอเดี๋ยวนี้เพ...ฉันจะไม่ไปไหนกับนายทั้งนั้น” เสียงหวานบอกอย่างกระแทกเสียงเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวของตัวเอง “คิดว่าฉันจะโง่ปล่อยเธอเป็นครั้งที่สองเหรอมิลค์กี้” ขณะที่ขับรถเสียงทุ้มก็ตวาดใส่คนตัวเล็กข้างกาย “ฉันไม่ไปไหนกับนายทั้งนั้น เลิกยุ่งกันสักทีได้ไหม” “ต่อให้มึงอยากเลิกยุ่งกับกู แต่ถ้ากูไม่เลิกมึงจะทำอะไรกูได้” เพทายตอบหน้าตายขณะที่เขากำลังเหยียบคันเร่งจนสุดเพื่อให้เดินทางกลับถึงบ้านให้เร็
“ไม่ดีตรงไหน ฉันทำอะไรผิดล่ะ” “นี่นายยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ นายปล้ำฉันนะ นายยังมีหน้ามาบอกตัวเองไม่ผิดอีกเหรอ” ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะไม่เข้าใจคนตัวโตที่ไม่ยอมสำนึกอะไรเลย “ก็บอกจะรับผิดชอบเธอก็เล่นหนีหายหน้าไปเป็นอาทิตย์เนี่ย ตอนงานแต่งเพทายกับมิลค์กี้เธอก็เอาแต่หลบหน้าฉัน” วาโยไม่รู้ใจของผู้หญิงคนหนึ่ง การที่หญิงสาวหลบหน้าเขามันทำให้เขากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้านายแค่อยากรับผิดชอบก็ลืมๆ เรื่องคืนนั้นไปเถอะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแล้ว” หญิงสาวหันไปทางอื่นพร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บลึก เธอไม่ต้องการแค่นั้น มันอาจจะดูโลภเกินไปแต่ใครจะทนอยู่กับผู้ชายที่แค่ต้องการรับผิดชอบเราแค่นั้นล่ะ “แล้วต้องการอะไรอีกหือ” เสียงเข้มบอกอย่างออดอ้อนเมื่อคนตัวเล็กกำลังทำเหมือนงอนเขาเสียนี่ “เปล่า” “ถ้างั้นบอกรักก่อนสิ ละเดี๋ยวจะให้อย่างอื่นด้วย” จู่ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งบางอย่างออกมา ญาณินเลยเงยหน้ามองคนตัวโตอย่างสงสัยกับคำพูดของเขา “อะไรของนาย” “รักฉันไม่ใช่ไง ไม่คิดจะบอกรักผัวตัวเองหน่อยเหรอ” คำพูดของวาโยสร้างคว
“ถ้านายต้องการแค่รับผิดชอบฉันไม่เอาหรอก เพราะฉันไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักฉัน ปล่อยนะ ฉันโทร.ให้ที่บ้านมารับแล้ว ฉันจะไม่รบกวนคนอย่างนายอีกต่อไป!” ก่อนจากวาโยเห็นว่าญาณินมีน้ำตาที่ขอบตาจนอยากจะเอามือหนาไปปาดคราบน้ำตาของคนตัวเล็ก แต่ก็ต้องชะงักมือกลับเพราะถ้าทำอะไรมากกว่านี้เธออาจจะโกรธ วาโยมองญาณินที่เดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่หดหู่ ไม่รู้ทำไมคำพูดของเธอมันฉายเข้ามาในความคิดซ้ำๆ ถ้าเธอไม่ต้องการความรับผิดชอบแล้วต้องการอะไรกันแน่ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้นญาณินก็แทบไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งเพิ่งผ่านพ้นงานแต่งของเพื่อนรักอย่างมานิตายิ่งได้เห็นว่าเพื่อนมีความสุขเธอก็ยินดี แต่สักพักก็รู้สึกหดหู่ใจเมื่อหันมามองความรักของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี ความบริสุทธิ์ก็ถูกวาโยช่วงชิงไปจนไม่เหลือชิ้นดี ถามว่ารู้สึกดีไหมคงตอบว่าใช่ มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางกายแต่มันมากกว่านั้น เธอชอบวาโยมาตั้งนานแล้ว นานจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเริ่มชอบตอนไหน ตลอดระยะเวลาการเป็นเพื่อนกันเธอพยายามไม่สนิทกับชายหนุ่มมากไปกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มเพราะกลัวว่าสักวันความรู้ส
ลำกายหนากระเสือกกระสนเข้ามาในโพรงสาวอย่างรุนแรงจนเขารับรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกรีดร้องเป็นทางยาวที่บ่งบอกถึงความสุข “กรี๊ด” มือน้อยที่จับที่ต้นแขนแกร่งที่เอื้อมมาบีบเคล้นอกอิ่ม “เสร็จแล้วเหรอ ตอดแรงขนาดนี้” วาโยกระหยิ่มยิ้มเมื่อเห็นคนตัวเล็กสุขสมแล้ว ต่อไปถึงตาของเขาบ้าง และคืนนี้มันจะไม่จบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน วาโยเปลี่ยนท่าให้คนตัวเล็กนอนคว่ำ จากนั้นเขาก็จัดการยกสะโพกสวยขึ้นเพื่อรับกับเอ็นร้อนที่เยิ้มไปด้วยคราบน้ำรักของเธอ จากนั้นก็สวนมันเข้าไปในโพรงสาวที่ยังคงแน่นหนึบอย่างแรง “อ๊า...เจ็บ” “ทั้งเจ็บทั้งเสียวเลย” วาโยคุกเข่าแล้วเสยตัวตนร้องเข้าไปอย่างแรงจนใบหน้าหวานลู่แนบกับที่นอนหนานุ่มเพราะหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อไป “อ๊ะ...จะทำอะไรโย” “ท่าหมาไง คราวก่อนเธอบอกฉันปากหมา วันนี้ฉันเลยจะเอาท่าหมาให้เธอดู” วาโยมองเอ็นร้อนที่ผลุบเข้าออกมาโพรงสาวจากทางด้านหลัง มันยิ่งทำให้เขาซาบซ่านอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน การที่ได้กระแทกเข้าไปในกายสาวที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก็เพิ่มความดุ
“หึหึ...ทำตัวน่ายั่วขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะทนได้” “แต่นายเป็นเพื่อนฉัน นายต้องทนได้สิ เพื่อนกันใครเขาทำแบบนี้” “ไอ้เพมันยังทำกับมิลค์กี้ ทำไมฉันจะทำกับเธอไม่ได้วะ เลิกเอาคำว่าเพื่อนมาพูดได้แล้วไหม เข้าไปอยู่ในตัวแบบนี้คำว่าเพื่อนมันขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว” วาโยตะโกนบอกที่คนตัวเล็กชอบย้ำคำว่าเพื่อนกับเขายิ่งนัก อยากเป็นอะไรหนักหนาเพื่อนเนี่ย “อยากเป็นอะไรหนักหนากับคำว่าเพื่อน ให้เป็นผัวเหอะ เดี๋ยวจะเลี้ยงอย่างดีเลย” “ไอ้วาโย” “เปลี่ยนจากเรียกไอ้ไปเรียกผัวแทนได้ไหม นับตั้งแต่นี้เธอเป็นเมียฉันละ ถ้ายังพูดเพื่อนๆ อะไรอีก เดี๋ยวจับปล้ำไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย” วาโยร้องขู่เพราะจะจัดการคนตัวเล็กที่ชอบเอาคำว่าเพื่อนมาอ้างตลอด ตอนนี้หญิงสาวได้สติแล้ว แต่ร่างกายเบื้องล่างตอดขนาดนี้ คำว่าเพื่อนมันก็ไม่ต้องจำเป็นแล้วไหม ญาณินรีบหุบปากของตัวเองทันทีเมื่อเจอคำขู่ของวาโย แถมชายหนุ่มยังกระหน่ำสะโพกสอบเข้ามาอย่างรุนแรง มือบางทั้งสองข้างจิกลงบนที่นอนหนานุ่ม ส่วนใบหน้าหวานหลับพริ้มเมื่อความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านไปทั่วเรือนร่าง
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นจากนั้นปากหยักก็ทำรอยที่ต้นคอหญิงสาวอยู่หลายจุด ก่อนจะมาหยุดที่อกอิ่มชูชันท้าทายปากของเขาเหลือเกิน จ๊วบ!! มือหนาของวาโยรวบอกอิ่มเอาไว้ในมือแล้วใช้ปากหยักเข้าครอบครองป้านสีหวานที่ล่อตาล่อใจของเขาเหลือเกิน เม็ดเล็กแต่ชูชันรับกับปากหนาได้เป็นอย่างดี “อ๊า...อย่ากัดนะ” ญาณินร้องเสียงลงเมื่อวาโยใช้ฟันคมๆ งับลงไปด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยเกินจนคนตัวเล็กที่รับรู้ถึงสัมผัสรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ “แม่งโคตรชอบเลยรู้ไหม เด้งรับปากฉิบหายเลย” ตอนนี้วาโยสลัดความคิดว่าที่เพื่อนไม่ควรเล่นเพื่อน แต่วันนี้มันอดใจไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อญาณินสวยสดเหลือเกิน “อ๊า...อ๊ะ...โย” “หือ อะไรจ๊ะ” วาโยเหลือบตามองคนตัวเล็กที่กำลังร้องครวญครางราวกับกำลังจะขาดใจ “เสียว” “เดี๋ยวได้เสียวกว่านี้แน่ๆ เลยคนสวย” ว่าจบวาโยก็ชันร่างกายสูงของตัวเองขึ้นเพื่อจัดการเผด็จศึกคนตัวเล็กสักที เสียเพื่อนเขาก็เอาถ้ามันทำให้ได้ตัวของหญิงสาวมาไว้ในครอบครอง ถ้ารู้ว่าเธอสวยขนาดนี้ไม่ให้เป็นเพื่อนหรอก
“ไว้ญาณินตื่นขึ้นมากูจะบอกความเลวของพวกมึงให้หมดเลย ให้เลิกคบพวกมึงซะ” ว่าจบวาโยก็พาคนตัวเล็กออกมาจากโต๊ะ จากนั้นก็พาเดินเข้าไปหลังร้านที่มีห้องพักรับรองที่เวลล์สร้างเอาไว้ มีอยู่สามสี่ห้องเพื่อเอาไว้รองรับเพื่อนๆ ที่อาจจะเมาแล้วกลับไม่ไหว “เกิดอะไรขึ้นวะวาโย” เวลล์ที่เพิ่งไปรับลูกค้ามาเดินมาเจอวาโยกำลังโอบญาณินเข้ามาข้างในด้วยสภาพราวกับกำลังละเมอ “ไม่รู้ว่าเพื่อนของญาณินเอาอะไรให้เธอกิน เธอเลยมีสภาพนี้ ผมขอยืมห้องก่อนได้ไหมจะให้ไอ้ตัวเล็กมันเข้าไปพักก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” “เออได้ดิ จัดการเองได้ไหม เฮียมีรับลูกค้าเยอะวันนี้” “ครับไม่เป็นไร แค่ให้ยืมห้องผมก็ซึ้งน้ำใจละ” วาโยกล่าวขอบคุณเวลล์ที่เป็นเพื่อนพี่ชายคนหนึ่ง วาโยลากคนตัวเล็กเข้าไปพักผ่อนในห้องเพราะหวังให้หญิงสาวคืนสติโดยไว ไม่รู้พวกนั้นมันเอาอะไรให้ญาณินกินกันแน่ทำไมอาการของหญิงสาวถึงแปลกๆ อย่างนี้ “นอนก่อนนะญาณิน เดี๋ยวหาผ้ามาเช็ดให้” ร่างกายของหญิงสาวเริ่มร้อนขึ้นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนมือน้อยๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมือทันที “วาโ
ทั้งสองเดินทางมายังคลับของเวลล์ที่ตอนนี้หนาแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ไม่แปลกใจว่าช่วงหลังๆ กิจการของคลับเป็นไปได้อย่างดี “ไหนเพื่อนเธอเหรอ” วาโยมองไปรอบๆ เพื่อหาเพื่อนของญาณินและก็พบกับกลุ่มเพื่อนสามสี่คน และมีผู้ชายอยู่ประมาณสองคน ส่วนที่เหลือเป็นผู้หญิง “ไหนนายบอกจะไปหาพี่เวลล์ จะไปกับฉันทำไม” ญาณินหันมาแว้ดใส่เพื่อนสนิทที่เหมือนจะเดินตามไป “เฮียคงกำลังยุ่งๆ รับลูกค้า ขอไปนั่งด้วยได้ไหม” เวลล์บอกคนตัวเล็กเพราะจากสายตาที่เขาประเมินกลุ่มเพื่อนของญาณินดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ ถ้าปล่อยให้หญิงสาวไปคนเดียวมันคงไม่ดีแน่ “โหย...อะไรของนาย” “ถ้าให้ไปเดี๋ยวเลี้ยงเหล้าด้วย โอเคไหม” ข้อเสนอของวาโยน่าสนใจ จนญาณินคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ มีคนเลี้ยงเหล้าใครบ้างจะไม่สนใจ ทำให้ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มสาวเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เฮ้...ญาณิน” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นเรียกเพื่อนสาว “ดีใจจังได้เจอพวกแก” ญาณินยิ้มให้กับเพื่อนที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์กรึ่มๆ เพราะดื่มกันก่อนท
ตอนพิเศษYanin X Wayoขอเป็นมากกว่าเพื่อน ชีวิตที่แสนเรียบง่ายของญาณินเป็นอันต้องพังทลายลงเมื่อบิดาประกาศกร้าวให้เธอไปดูตัวคู่หมั้นของตัวเอง คู่หมั้นที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร วันนั้นเธอร้องห่มร้องไห้ไปหามานิตาเพื่อให้เพื่อนช่วยคิดแผนการล้มเลิกการดูตัวในครั้งนี้ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่กล้าที่จะไปขอความช่วยเหลือจากวาโย เพราะมันเป็นเรื่องน่าอายที่จะบอกให้วาโยมาแกล้งเป็นแฟน “เฮ้อ...” “เป็นอะไรไปญาณิน” วาโยที่นั่งกินข้าวเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนของตัวเองที่เอาแต่นั่งหน้าเศร้าตีหน้ามึนทำเอาคนที่กำลังกินอาหารอยู่รู้สึกกร่อยขึ้นมาทันที “ไม่มีอะไร” “เอ้า!! ไม่มีอะไรได้ไง แกเอาแต่ทำหน้าซึมแบบนี้” วาโยมองเพื่อนอย่างสงสัย เพราะช่วงหลังๆ มานี่ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นเพราะเพทายกับมานิตาตัวติดกันราวกับปลาท่องโก๋ พวกเขาเลยกลายเป็นส่วนเกินที่ต้องมากอดคอร้องไห้เมื่อโดนเพื่อนทิ้งไปจู๋จี๋กัน “คิดๆ อะไรนิดหน่อย” “คิดอะไรวะ” วาโยที่กำลังคีบเนื้อเข้าปากมองคนตัวเล็กซึ่งกำลังสะบัดผมไปข้างหลัง จนทำให้เขามองเห็นร่องหน้าอกขอ
“รีบเปลี่ยนนะครับ ไว้ถ้ากลับมาจากทะเล เพขอจัดหนักสักน้ำนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างมีเลศนัย จนมานิตาได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “ค่ะ” เมื่อทั้งสี่เปลี่ยนชุดแล้ว พวกเขาก็เดินไปยังทะเลที่อยู่หน้ารีสอร์ต เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยทำเอาพวกเขาต่างมีความสุข “คุณแม่ขา...มาช่วยหนูก่อกองทรายหน่อยค่ะ” เสียงหวานๆ ของลูกสาวบอก จากนั้นมานิตาที่เพิ่งเป็นแบบถ่ายรูปให้กับเพทายต้องละความสนใจแล้วเดินไปหาลูกสาวลูกชายทันที “ไปช่วยลูกก่อกองทรายกันค่ะเพ...” เพทายเดินมากุมมือของมานิตาแล้วพาเดินตรงไปหาลูกสาวที่นั่งที่ทรายทันที “คุณแม่ครับ อันนี้เป็นเครื่องบินน้องมิกซ์วาดเอง” เสียงของลูกชายบอกอย่างเจี๊ยวจ๊าว ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหันไปมอง ก็พบกับภาพเครื่องบินในจินตนาการของลูกชาย “วาดเองเหรอครับ” “ครับ” เพทายและมิลค์กี้มองหน้ากันเมื่อเห็นภาพที่ลูกชายวาด มันสวยเกินกว่าที่เด็ก 5 ขวบจะวาดด้วยซ้ำ แสดงว่าลูกชายของพวกเขาอาจจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ “สวยจังเลย คนเก่งของแม่”มานิตาทำการหอมหัวของลูกชายหนึ่งที พร้อมที่จะมองเพทายแล้วยิ้มอ