“ปกติไม่ใส่ แต่นายมานอนด้วยไงเลยใส่ จะให้เดินโท่งๆ ออกมาไง”
“คราวหลังไม่ต้องใส่หรอก ฉันขี้เกียจถอด”
กึก!!
เสียงตะขอชั้นในหลุดออกจากกันจนเธอใจหายวาบ ไม่รู้ว่าฝ่ามือของเขาเลื่อนไปปลดตอนไหน แต่รู้ว่ามันเร็วมาก ขนาดเธอที่ใส่ทุกวันยังปลดตะขอออกช้ากว่าเขาอีก
“เพ”
“นมใหญ่จังวะมิลค์กี้” มือหนาจับหมับที่หนาอกอิ่ม มันเต็มมือของเขา ขนาดฝ่ามือหนาใหญ่หน้าอกของเธอกลับใหญ่กว่ามือเขาอีก ทั้งปลิ้นไปตามร่องนิ้วยามที่กำลังบีบเคล้น
“อ๊ะ...อย่าบีบอย่างนั้นสิเจ็บ” เสียงหวานร้องครางออกมาเมื่อมือหนาทำการเคล้นคลึงอย่างแรงจนหน้าอกสวยบดบี้ไปตามแรงบีบ
“นมโคตรใหญ่ เหี้xเหอะ ไม่มีผัวมาถึงตอนนี้ได้ไงวะ” เสียงเข้มสบถออกมาอย่างแหบพร่า
“เจ็บ...บีบแรงเกินไปแล้ว”
“ขอเลียนะ”
“ฮะ” ไม่ทันได้พูดอะไรต่อมือหนาของเพทายก็จัดการถอดเสื้อยืดตัวเล็กของมานิตาออกทันที จนเผยให้เห็นอกอิ่มที่ลอยเด่นชูชันท้ากับแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
“ขอเลียหน่อย ฉันหิวนม”
ว่าจบใบหน้าหล่อเหลาของเพทายก็โน้มลงมาใกล้กับหน้าอกสวยจนเธอรับรู้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของเขาที่เป่ารดอยู่เหนือร่าง มันร้อนจนร่างกายของเธอวูบวาบไปหมด
ไม่ทันขาดคำปากหยักก็จัดการครอบครองยอดอกอิ่มที่ตอนนี้กำลังแข็งชูชันสู้กับปากของเขาอยู่ สีหวานๆ กับรสชาติหวานๆ มันยิ่งทำให้เพทายอดใจไม่ไหวที่จะใช้ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดไปทั่ว
“อ๊ะ...เพ...หยุดเถอะ”
ความร้อนเร่านี้มันคืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงได้เสียวซ่านเกินห้ามใจขนาดนี้ เธอรู้สึกว่าตัวเองใจง่ายที่ยอมให้เพทายทำแบบนี้ทั้งๆ ที่เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน ทว่าจิตใต้สำนึกมันกลับบอกว่าอยากให้เขาทำอย่างนี้มานานแล้ว
“เสียวเหรอ” เสียงเข้มร้องถามอีกครั้งเมื่อเขาถอนปากออกจากยอดปทุมถันที่ตอนนี้เปียกชื้นเพราะคราบน้ำลายจากปากของเพทาย
“ไม่เอา...พอแล้ว...ไม่ไหว”
“ไม่ไหวอะไร บอกสิมิลค์กี้ บอกฉันสิ” เพทายเร่งเร้า อยากให้เธอพูดบางอย่างใจจะขาด แต่มานิตาพยายามควบคุมสติของตัวเองไม่ให้เตลิดไปกับคำพูดของคนตัวโตที่กำลังเคล้นคลึงและดูดดึงยอดถันของเธอราวกับกำลังหิวกระหาย
“ไม่เอาเพ...อย่าทำอย่างนี้”
“มิลค์กี้...เธอไม่อยากเหรอ”
“ไม่เอา...มันไม่ถูกต้อง” เสียงหวานบอกอย่างขาดห้วงเมื่อเขายังคงดูดหน้าอกของเธอราวกับเด็กทารกแรกเกิดจนเกิดเสียงดังแข่งกับเสียงสายฝนที่เทลงมาไม่หยุดหย่อน
จ๊วบ!!
“อื้ม...ทำไมจะไม่ถูก...มันไม่มีอะไรผิดทั้งนั้น”
ติ๊ด!!!
ทว่าเพทายยังไม่ทันได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ โทรศัพท์ของเธอก็แผดเสียงดังไปทั่วห้องจนมานิตาได้สติ จากนั้นก็ผลักคนตัวโตออก ส่วนเธอก็รีบเอาเสื้อมาใส่แต่ไม่ทันได้ใส่ชั้นในเพราะต้องไปรับสายก่อน
“ฮะ...ฮัลโหล” เสียงหวานรับสายอย่างสั่นๆ
(เป็นอะไรไปมิลค์กี้เสียงสั่นขนาดนั้น แกกำลังทำอะไร)
“ปะ...เปล่าพอดีเมื่อกี้วิ่งไปเก็บผ้ามา ฝนมันตก” เธอพยายามหาข้อแก้ต่างเพราะไม่อยากให้ญาณินถามเซ้าซี้ไปมากกว่านี้
(แต่ฝนมันตกตั้งนานแล้วนะ ผ้าแกไม่เปียกหมดแล้วเหรอ)
“แถวหอเพิ่งตกน่ะ โทรมามีอะไรหรือเปล่า”
(แหม...ไม่มีธุระจะคุยกับเพื่อนไม่ได้เหรอจ๊ะ) ญาณินบอกด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ขณะที่กำลังคุยกับญาณินจู่ๆ ยัยเพื่อนตัวดีก็วิดีโอคอลมาจนเธอลนลานไม่รู้จะทำยังไง กลัวว่าญาณินจะเห็นว่าเพทายอยู่ในห้องด้วยไม่งั้นงานนี้จบเห่แน่
มือน้อยดันร่างหนาออกห่างจากเฟรมกล้องเพราะกลัวญาณินรู้ เพทายทำท่าทางหงุดหงิดใจแต่ก็ยอมเขยิบให้แต่โดยดี
“วิดีโอคอลมาทำไมเนี่ย”
(ก็จะมาดูหน้าคนที่กำลังทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ยังไงล่ะ แกแปลกๆ นะ) ญาณินฉีกยิ้มพร้อมกับมองเพื่อนรักที่ตอนนี้อยู่ท่ามกลางความมืด มีเพียงแสดงจากหน้าจอที่พอจะทำให้เห็นใบหน้าหวานบ้าง
“ปะ...เปล่าสักหน่อย จริงๆ จะนอนแล้ว อากาศเย็นจนอยากหลับเลย แฮ่ๆ”
(อย่างนั้นเหรอ แกดูมีพิรุธนะ) ญาณินหรี่ตามองเพื่อนผ่านหน้าจอ แต่มานิตาพยายามหลบสายตาเพื่อนเพราะไม่อยากโดนจับผิด
“ปะ...เปล่าสักหน่อย ว่าแต่โทรมามีอะไรเหรอ”
(เปล่าหรอก แค่จะถามว่ามีคนทักมาบ้างไหม มีงานดีๆ บ้างไหม)
ใบหน้าหวานขาวซีดเมื่อเธอบังเอิญหันไปสบตากับเพทายที่จ้องเขม็งพร้อมขมวดคิ้วราวกับสงสัยในสิ่งที่ญาณินถาม
“เอ่อ...ไว้ค่อยคุยวันหลังนะ” มานิตาพยายามตัดบทแต่เพื่อนเจ้าปัญหากลับไม่ยอมจบง่ายๆ
(ไม่เอา...บอกมาเลยนะว่ามีหนุ่มๆ ทักมาไหม มีงานดีๆ บ้างไหม)
“มะ...ไม่รู้” เสียงหวานบอกอย่างตะกุกตะกักเมื่อสายตาพิฆาตของเพทายทำเอาเธอหนาวๆ ร้อนๆ ไปทั้งตัว
(ไม่รู้ไม่ได้ แกไม่อยากมีผัวกับคนอื่นเข้าบ้างเหรอมิลค์กี้...เนี่ย...มันต้องมีสักคนในแอปฯ สิที่ถูกใจแก)
ผ่าง!!!
นี่ไม่ใช่เสียงของฟ้าผ่าแต่อย่างใด แต่มันคือสายตาของเพทายที่มองมาราวกับจะฟาดฟันเธอให้จมหายไป เขาทำราวกับกำลังหึงเธอแบบผัวเมียไม่ใช่แบบเพื่อนเลย
“เออ...ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง ฝนตกไม่อยากเล่นโทรศัพท์”
(แกเปลี่ยนเรื่องอะ หรือเขิน...ไว้ถ้าพร้อมก็บอกนะว่าผู้ชายที่ถูกใจเป็นใคร เลือกดีๆ นะ ขอหล่อๆ รวยๆด้วย)
“เออ...รู้แล้วน่ะ แค่นี้นะ”
(จ้ะ รู้นะว่าจะไปคุยกับว่าที่ผัวในอนาคต ยังไงก็ฝันดีนะยะ)
“อืม...”
เมื่อวางสายไปแล้วมานิตาถึงกับเป่าปากของตัวเองอย่างแรง จากนั้นก็ช้อนสายตามองไปยังคงตัวโตที่ยังคงจ้องใบหน้าหวานไม่เลิก แถมสายตาที่เขามองมามันช่างน่ากลัวซะเหลือเกิน นัยน์ตาที่เหมือนมีคำถามมากมายเต็มไปหมด
“ที่ญาณินพูดหมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไรสักหน่อย เรื่องส่วนตัวไหม มายุ่งทำไมเนี่ย ฉันจะนอนแล้ว” ร่างเล็กล้มตัวลงนอนเพราะไม่อยากอธิบายให้กับเพทายฟัง คิดว่าอธิบายไปเขาก็ไม่เข้าใจ
“มึงอย่ามาทำเนียนนอน ลุกขึ้นมาอธิบายให้กูฟังเดี๋ยวนี้” สรรพนามที่เปลี่ยนไปของเพทายทำให้มานิตารู้ทันทีว่าเขากำลังไม่สบอารมณ์อย่างแรง ดวงตาวาวโรจน์จ้องมองคนตัวเล็กอย่างไม่ลดละ
“ไม่อธิบายอะไร ง่วงแล้ว ไว้คุยกันพรุ่งนี้นะ” มานิตาคาดหวังว่าพรุ่งนี้ชายหนุ่มจะอารมณ์ดีขึ้น แต่เปล่าเลย มือหนากลับกระชากให้เธอลุกขึ้นมาจากการนอน
“ลุกขึ้นมา อย่าให้กูหมดความอดทนกับมึงนะ” กรามแกร่งขบเข้าหากันอย่างแรงแล้วจ้องมองคนตัวเล็กตาถลึง
“อดทนอะไร เราเป็นอะไรกันเพ...เพื่อนกันไหม จะมายุ่งอะไรกับฉัน” มานิตาโวยเพราะอยากตัดรำคาญ
“วันนี้กูอาจจะเป็นเพื่อนมึง แต่สักวันกูจะเป็นผัวมึงให้ดู”
“อย่ามาพูดอะไรบ้าๆ นะ ไม่ได้คิดอะไรด้วยจะมายุ่งกันทำไมวะ” หญิงสาวพยายามดึงสติของตัวเองออกมา เธอคิดว่าเพทายอาจจะพูดไปเพราะความโกรธ
“อ๋อ...กูยุ่งไม่ได้ แต่มึงกลับไปยุ่งกับไอ้เวรในแชตนั่นน่ะเหรอ ที่ติดโทรศัพท์เพราะอย่างนี้ด้วยใช่ไหม”
“ใช่แล้วจะทำไม ฉันสบายใจที่จะคุยกับใครฉันก็จะคุยกับคนนั้น แต่ที่รู้ๆ ไม่ใช่นายแน่นอน” หญิงสาวบอกอย่างท้าทาย
“เออ! ปากเก่งไปเหอะ สักวันกูจะทำให้มึงพูดไม่ออกที่บังอาจมาท้าทายคนอย่างกู” มือหนาที่จับไหล่บางเอาไว้เริ่มบีบแรงขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ราวกับไฟบรรลัยกัลป์ที่จ้องมองมา
“คิดว่ากลัวเหรอ เจ็บ...ปล่อยนะ”
“โธ่เว้ย!!”
ว่าจบร่างสูงก็เดินไปคว้าเสื้อผ้าที่ตากอยู่บนเก้าอี้นั่ง จากนั้นเขาก็เดินไปเข้าห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดเดิมออกมาจนหญิงสาวร้องถาม
“จะไปไหน!”
“จะกลับบ้าน!”
“ฝนมันตกหนัก นายจะขับรถฝ่าฝนกลับหรือไง” เพราะความเป็นห่วงทำให้มานิตาถามออกไป แม้ในน้ำเสียงจะไม่ค่อยสบอารมณ์ก็ตาม
“อย่าเสือก! กูจะไปไหนก็เรื่องของกู มึงเป็นเมียกูหรือไง ถึงได้มายุ่ง” เพทายหันมาตวัดสายตามองคนตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ
“อย่ามาใส่อารมณ์กับฉันนะเพ ฝนมันตกขับออกไปก็อันตรายไหม” ดวงตาคู่สวยมองสายฝนที่นอกหน้าต่างซึ่งไม่มีทีท่าจะซาเลยสักนิด แต่เพทายยังดื้อที่จะออกไปข้างนอกอีก
“ไม่ต้องมายุ่ง มึงกลับไปคุยกับผู้ชายของมึงเถอะ อย่ามายุ่งกับกู”
“เกี่ยวอะไรวะ” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่าอารมณ์ของเพทายตอนนี้มันคืออะไร เขาทำเหมือนหึง แต่จะมาหึงทำไมในเมื่อเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน
“เพ...มันดึกแล้วนายจะออกไปแบบนี้มันอันตรายนะ”
“ห่วงอะไรกู คนอย่างมึงไม่คิดจะห่วงกูอยู่แล้ว” ว่าจบมือหนาก็จัดการเปิดประตูห้อง จากนั้นก็ก้าวออกไปอย่างรวดเร็วซึ่งมานิตวิ่งตามออกไปไม่ได้เพราะเธอไม่ได้ใส่ชั้นใน จึงได้แต่ปล่อยคนที่กำลังวู่วามออกไปก่อนเผื่อทุกอย่างมันจะดีขึ้น
“อะไรวะเนี่ย”
บทที่ 3ผู้ชายจากแอปฯ หาคู่ เมื่อคืนนี้หลังจากที่เพทายออกจากห้องของเธอไป เธอก็พยายามติดต่อหาเขาแต่เหมือนว่าชายหนุ่มไม่สนใจที่จะรับสาย จนเธอนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนทำเอาพะว้าพะวังไปหมดกลัวว่าจะเกิดอันตรายอะไรกับเขา “เป็นอะไรอะมิลค์กี้ ทำหน้ายังกับตูด” ญาณินที่ตามมาทีหลังเดินเข้ามาหาเพื่อนรักที่หน้าบูดบึงราวกับมีเรื่องอะไรให้คิดอย่างนั้น “เปล่า” “เปล่าแต่ใต้ตาดำมากเว่อร์ ไปอดหลับอดนอนจากไหนมาเนี่ย ไหนว่าเมื่อวานง่วงแล้วไง ฮั่นแน่...แอบคุยกับใครหรือเปล่า” นิ้วเรียวของญาณินชี้หน้าของเพื่อนราวกับกำลังจับผิด “เปล่า...เมื่อคืนฟ้ามันร้องดังเลยนอนไม่หลับ” มานิตาเลือกที่จะโกหกไป ถ้าไปบอกใครต่อใครว่าเมื่อคืนเพทายอยู่กับเธอมีหวังโดนล้อยันลูกบวชอย่างแน่นอน “อย่างนั้นเหรอ ไม่ได้โกหกแน่ใช่ไหม” “โกหกแล้วได้อะไรล่ะ ว่าแต่เห็นเพบ้างไหม” ตั้งแต่เธอมามหาวิทยาลัยก็ไม่เจอเพทายเลย เขาหายไปตั้งแต่เมื่อคืนไม่รู้ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน “ยังนะ ปกติมันไม่เคยขาดเรียนนะ ไม่รู้วันนี้ไปไหน อาจจะติดธุระเปล่า” ญาณินหันไปมองรอบบริเวณ เพื่อหาเพทายแต
“จะอยู่บ้านไหมนะ” ร่างอวบอั๋นเดินทอดน่องไปที่หน้าบ้านหลังขนาดกลางซึ่งมีรถหรูของเพทายจอดเอาไว้อยู่ หรูจริงๆ หรูชนิดที่ขัดกับขนาดของบ้านเลยด้วยซ้ำ ติ๊งน๋อง!! นิ้วเรียวเล็กจัดการกดลงไปที่ออดหน้าบ้านของเพทายด้วยอาการหัวใจเต้นรัว และคาดหวังให้คนในบ้านเดินออกมาเปิดจนกระทั่งเธอพบกับร่างใหญ่ของเพทายที่เดินเปลือยท่อนบนเดินออกมาที่หน้าบ้าน ใบหน้าหวานฉีกยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังปกติดีอยู่ ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับเขา เธอเริ่มสบายใจขึ้นทั้งๆ ที่เมื่อคืนเป็นห่วงเพทายจะแย่ “มาทำไม” ประโยคแรกที่เพทายถามทำเอามานิตาหุบยิ้มแทบไม่ทัน และรู้สึกหน้าชาเมื่อตอนนี้เธอทำตัวเหมือนแขกไม่ได้รับเชิญของเขา “ก็ฉันทักนายไปนายไม่ตอบ ก็เลยอยากรู้ว่าโอเคอยู่ไหม” เสียงหวานถามอย่างตะกุกตะกักเพราะไม่อยากบอกตรงๆ ว่ากำลังห่วงผู้ชายคนนี้ใจจะขาด “เหรอ...ยังไม่ตายก็แล้วกัน อยากรู้แค่นี้ใช่ไหม งั้นกลับไปได้แล้ว ฉันจะนอน” เสียงเข้มบอกอย่างรำคาญ จากนั้นชายหนุ่มก็เลือกจะหันหลังกลับไป จนมานิตารู้สึกเฟลเล็กน้อย ทว่าจังหวะที่เธอโดนไล่ฝนก็ดันมาตกพอดี
“เดี๋ยวเดินไปเอาให้ เธอขึ้นไปอาบห้องฉันนะ ข้างล่างฟักบัวมันเสียฉันยังไม่ได้ซื้อสายมาเปลี่ยน” เพทายบอก คนตัวเล็กอ้าปากค้างเพราะเธอไม่เคยขึ้นไปที่ห้องของเพทายเลยสักครั้งเดียว ตอนที่เคยมาก็นอนกันแต่ข้างล่างมาตลอด “เอ่อ...มันยังพออาบได้ไหมข้างล่าง ฉันว่าฉันอาบข้างล่างดีกว่านะ” มานิตายิ้มแห้งออกมา “จะเรื่องมากอะไรวะมิลค์กี้ อาบที่ไหนก็อาบไปเถอะ หรือเธอกลัว” ว่าจบร่างใหญ่ก็ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้จนเธอถอยหลังออกมาอย่างกลัวๆ พอหวนนึกถึงเรื่องของเมื่อคืนใบหน้าหวานก็แดงซ่านพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว “กลัวอะไร อย่ามามั่ว คนอย่างฉันเหรอจะกลัวนาย” เสียงหวานบอกอย่างแข็งๆ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง “นึกว่ากลัวฉันจะดูดนมเธออีก” ใบหน้าหล่อเหลาของเพทายก้มต่ำมองที่ทรวงอกของหญิงสาวอย่างไม่วางตา ทำให้ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นมาเมื่อนึกถึงยามที่ปากหยักของเขาอ้างับยอดอกของเธอ นี่ล่ะมั้งที่เข้าบอกว่าเพื่อนกันไม่ควรทำแบบนี้ เพราะถ้าอยู่ในสถานการณ์บางอย่างอาจจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ “ไอ้บ้า!!” “หึหึ...”เพทายมองร่างเล็กที่ก้าวขึ้นไปบนห้อง
“ข้างล่างเย็นจัง มันเปียกๆ ด้วย” เพราะวันนี้อยู่บ้านชายหนุ่มเลยใส่แค่กางเกงขาสั้น ส่งผลให้เนื้อกายของเธอแนบชิดกับตักแกร่งแบบไม่มีอะไรมากั้น “ปะ...ปล่อยนะ ฉันจะไปแต่งตัว” มือน้อยๆ พยายามยันอกแกร่งให้ออกห่าง เพราะแค่นี้ร่างกายของเธอและเขามันก็แนบชิดจนแทบไม่มีช่องว่างอะไรอีกแล้ว “เธอทำให้ฉันตื่นนะมิลค์กี้...” “อะไรตื่น...อะไร” ดวงตาของหญิงสาวกลอกไปมาอย่างตื่นเต้นโดยที่หัวใจเธอกำลังเต้นอย่างรุนแรงราวกับกลองชุด “หึหึ...” “ยิ้มอะไรปล่อยนะ” มานิตาท้วงออกมาเมื่อเห็นรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ของคนตัวโต “กลีบของเธอมันโดนขาฉันด้วยอะ” เพทายขบเม้มริมฝีปากของตัวเองเบาๆ แต่มันโคตรเซ็กซี่จนหญิงสาวเจ้าตัวสั่นระริก แถมคำพูดชวนเสียวที่ได้ฟังมันยิ่งทำให้เธอทำตัวไม่ถูก “กะ...กลีบอะไร นายคิดลามกอยู่เหรอ” “เอาจริงในสภาพนี้ บรรยากาศแบบนี้ ใครไม่คิดลามกบ้าง หรือเธอไม่คิดบอกหน่อยนะ” เพทายก้มมองคนตรงหน้าเขายิ้มออกมาจนเห็นฟันซี่สวย “ไม่คิดๆ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ปล่อยนะ!!” “พิสูจน์กันไหมว่าเธอไม่คิด” “พิสูจน์อะ
บทที่ 4ข้ามเส้นเขต ‘เพื่อน’“เชี่ย! ไอ้เพ...ทำไมมิลค์กี้มันหุ่นดีจังวะ ถ้ากูไม่มาเหล่สาวที่สระว่ายน้ำนะ กูไม่รู้เลยนะว่ามิลค์กี้มันจะหุ่นดีขนาดนี้” เสียงร้องอึ้งๆ ของวาโยทำให้เพทายหยุดมอง ปกติเขารู้อยู่แล้วว่ามานิตาชอบเล่นกีฬา เธอเล่นเก่งทุกชนิดจนหาตัวจับได้ยากจังหวะที่มานิตากำลังรวบผมเพื่อใส่หมวกว่ายน้ำ เขาเห็นเธอหายใจแรงจนบางอย่างที่ใหญ่โตขยับทำเอาคนหื่นอย่างเขาเกิดความรู้สึกบางอย่าง“ไปจ้องมันทำไมวะ”“เอ้า!! ก็มันสวยอะ เรียนด้วยกันมาตั้งสี่ปีกูเพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามิลค์กี้มันสวยขนาดนี้ ถ้ารู้งี้กูเตาะมันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว” วาโยบอกอย่างเสียดาย แต่ถ้าให้มาจีบตอนนี้มันก็เหมือนจะไม่ทันแล้วเพราะรู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้ว“คิดไปเรื่อยว่ะ” เพทายทำเหมือนรำคาญเสียงของวาโย แต่สายตาของเขากลับชำเลืองมองคนตัวเล็กที่อย่างอื่นไม่เล็กเลยสักนิดเดียว จนอยากจะเอาวาโยไปเก็บไม่ให้เห็นมานิตาในตอนนี้“มึงล่ะไม่คิดอะไรกับมันบ้างเหรอ มึงสนิทกับมันมากกว่ากูอีก” วาโยหันมามองเพทายที่ทำเหมือนไม่ได้สนใจมานิตา มันเอาแต่ก้มหน้าแล้วจัดการถอดชุดคลุมออกเพื่อจะลงไปว่ายน้ำบ้าง“คิดอะไร”“เคลมมัน...”“เวรเหอะ คิดเหี้xไรว
“ไม่เอาแล้ว ฉันกลัว” จังหวะที่หญิงสาวกำลังจะพลิกตัวเพื่อลงจากเตียง มือหนาของอีกคนก็ล็อกเอวบางเอาไว้พร้อมกดให้จมกับที่นอนทันที จนเธอหมดหนทางหนีทีรอด“อย่าหนีเลย เปล่าประโยชน์ ข้างนอกฝนก็ตก ปล่อยให้ฉันเอาเถอะ”“ไอ้บ้า พูดเหมือนฉันง่ายอย่างนั้นแหละ เพื่อนกันใครเขาทำแบบนี้วะ” มานิตาร้องโวย ตอนนี้เธอได้สติทุกอย่างแล้ว และจะไม่ปล่อยให้ตัณหาเข้ามาครอบงำความคิดเหมือนเมื่อครู่อีก“มันเลยคำว่าเพื่อนไปแล้ววะ ห...ก็เลียให้แล้ว ยังคิดว่าเป็นเพื่อนอีกเหรอวะ” เพทายร้องโวยเมื่อคนตัวเล็กกำลังต่อต้านเขา และไม่เข้าใจเธอที่ดูเหมือนจะชอบสัมผัสที่เขามอบให้แต่ตอนนี้กลับมาร้องแรกแหกกระเชอราวกับเขากำลังข่มขืนเธออย่างนั้นแหละ“ไม่เอาแล้ว กลัว...จะกลับหอ”“อย่าดื้อได้ไหม กูเงี่ย...แล้วเนี่ย”“ไอ้เพ ฉันมองว่านายทะลึ่งแต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้นะ” มานิตาจ้องมองคนตัวโตที่เอาแต่พูดเรื่องใต้สะดือจนเธอเสียวซ่านไปทั่วสรรพางค์แล้ว“ก็ยอมให้เอาสักทีดิ จะได้เลิกทะลึ่ง นอนลงมิลค์กี้ ก่อนที่ฉันจะอดทนไม่ไหว”“ไม่”“ชอบให้ใช้กำลังเหรอวะ” ว่าจบมือหนาก็กดร่างทั้งร่างของหญิงสาวให้นอนราบกับที่นอนอย่างรวดเร็ว“เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะ แ
มานิตาหันมองคนตัวโตที่ทำหน้าตาหงุดหงิดใส่เธอ เขาทำเหมือนเธอไปทำความผิดทั้งๆ ที่ตัวเองจ้องจะปล้ำคนอื่นเขาไม่หยุดหย่อน“เป็นอะไรญาณิน...”(พ่อจะจับฉันแต่งงาน แต่ฉันไม่อยากแต่งเลย ฉันไม่อยากแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ ช่วยฉันด้วย ฮือๆ)“ใจเย็นนะ” ขณะที่พูดอยู่นั้นร่างหนาของเพทายก็โน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นของมานิตาจนเธอต้องมองค้อนที่ชายหนุ่มทำแบบนี้ทั้งๆ ที่เธอกำลังคุยธุระกับเพื่อนอยู่ “อ๊ะ...”(แกเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงดูไม่ดีเลย)“ปะ...เปล่าเมื่อกี้เดินไปเอาของแล้วเกือบลื่นน่ะ” เสียงหวานร้องแก้ตัวแต่สายตาก็จ้องมองคนตัวโตที่กำลังเอามือหนามาเคล้นคลึงอกเปลือยของเธอราวกับมันเป็นของเล่นสุดโปรดปรานของเขา(อ้าวเหรอ งั้นคืนนี้ขอไปนอนที่หอด้วยได้ไหม ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆ)“เอ่อ...”(ฉันนั่งแท็กซี่แล้ว อีกน่าจะครึ่งชั่วโมงถึงหอเธอนะลงมารับด้วยนะ)‘เวรละ’ มานิตาสบถอยู่ในใจเมื่อเพื่อนรักกำลังมาที่หอ แต่ตัวเธอเนี่ยอยู่บ้านเพทายจะทำยังไงล่ะทีนี้ เรื่องนี้จะปล่อยให้ใครรู้ไม่ได้“เอ่อ...งั้นก็ไม่ต้องรีบนะ ฝนตกแล้วถนนมันลื่น”(อืม...ไว้ถ้าถึงจะทักไปนะ ลงมารับด้วยนะ)“อะเค...”“ไม่บอกไปวะว่าไม่อยู่
“ไม่มีใครเห็นหรอก ฟิล์มรถมืดจะตาย ขอจูบปากทีหนึ่งให้หายคิดถึงก่อน เพราะคืนนี้เธอทำให้ฉันต้องนอนคนเดียว” สีหน้าและคำพูดที่แสนจริงจังของเขาทำเอาเธอกลืนน้ำลายลงคออย่างอยากลำบาก“เอ่อ...”“ช้าว่ะ” เมื่อพูดจบเพทายก็คว้าคอของมานิตาเอาไว้จากนั้นเขาก็ประกบปากจูบกับหญิงสาวทันที ปากชื้นทำการดูดดึงขบเม้มปากเล็กอยู่หลายนาทีจนพึงพอใจ แต่คนตัวเล็กกลับรู้สึกว่าปากของเธอมันกำลังบวมเจ๋อเพราะแรงดูดเมื่อครู่นะ“อื้อ”“มัดจำไว้ก่อน จำสัญญาที่ให้ได้ใช่ไหม ห้ามลืม...และสั่งห้ามไปทำอย่างนี้กับใคร เพราะถ้ากูรู้กูเอาทั้งมันและมึงตายแน่” เพทายบอกด้วยเสียงจริงจัง เพราะเขาเป็นคนหวงของรวมถึงผู้หญิงตรงหน้านี้ด้วย“ขู่อยู่ได้ เป็นพ่อไง”“เปล่าแต่เป็นผัว แล้วจะทำไม” เพทายตอบหน้าตายจากนั้นเขาก็เอาลิ้นหนาดุนดันที่กระพุ้งแก้มของตัวเองแล้วมองเธออย่างยียวน“นายแม่งคิดเองเออเองตลอด ไม่คุยด้วยแล้ว”ร่างเล็กเดินลงจากรถอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเอามือบางจับที่แก้มทั้งสองข้างที่มันกำลังเห่อร้อนอย่างชัดเจน“ไอ้คนบ้า...ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย” ร่างเล็กรีบเดินจ้ำอ้าวไปรอเพื่อนรักที่ใต้หอ แต่ใบหน้าหวานเนี่ยสิกำลังแดงก่ำเพราะนึกถึงเรื่องราวข
“ไม่ดีตรงไหน ฉันทำอะไรผิดล่ะ” “นี่นายยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ นายปล้ำฉันนะ นายยังมีหน้ามาบอกตัวเองไม่ผิดอีกเหรอ” ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะไม่เข้าใจคนตัวโตที่ไม่ยอมสำนึกอะไรเลย “ก็บอกจะรับผิดชอบเธอก็เล่นหนีหายหน้าไปเป็นอาทิตย์เนี่ย ตอนงานแต่งเพทายกับมิลค์กี้เธอก็เอาแต่หลบหน้าฉัน” วาโยไม่รู้ใจของผู้หญิงคนหนึ่ง การที่หญิงสาวหลบหน้าเขามันทำให้เขากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้านายแค่อยากรับผิดชอบก็ลืมๆ เรื่องคืนนั้นไปเถอะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแล้ว” หญิงสาวหันไปทางอื่นพร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บลึก เธอไม่ต้องการแค่นั้น มันอาจจะดูโลภเกินไปแต่ใครจะทนอยู่กับผู้ชายที่แค่ต้องการรับผิดชอบเราแค่นั้นล่ะ “แล้วต้องการอะไรอีกหือ” เสียงเข้มบอกอย่างออดอ้อนเมื่อคนตัวเล็กกำลังทำเหมือนงอนเขาเสียนี่ “เปล่า” “ถ้างั้นบอกรักก่อนสิ ละเดี๋ยวจะให้อย่างอื่นด้วย” จู่ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งบางอย่างออกมา ญาณินเลยเงยหน้ามองคนตัวโตอย่างสงสัยกับคำพูดของเขา “อะไรของนาย” “รักฉันไม่ใช่ไง ไม่คิดจะบอกรักผัวตัวเองหน่อยเหรอ” คำพูดของวาโยสร้างคว
“ถ้านายต้องการแค่รับผิดชอบฉันไม่เอาหรอก เพราะฉันไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักฉัน ปล่อยนะ ฉันโทร.ให้ที่บ้านมารับแล้ว ฉันจะไม่รบกวนคนอย่างนายอีกต่อไป!” ก่อนจากวาโยเห็นว่าญาณินมีน้ำตาที่ขอบตาจนอยากจะเอามือหนาไปปาดคราบน้ำตาของคนตัวเล็ก แต่ก็ต้องชะงักมือกลับเพราะถ้าทำอะไรมากกว่านี้เธออาจจะโกรธ วาโยมองญาณินที่เดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่หดหู่ ไม่รู้ทำไมคำพูดของเธอมันฉายเข้ามาในความคิดซ้ำๆ ถ้าเธอไม่ต้องการความรับผิดชอบแล้วต้องการอะไรกันแน่ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้นญาณินก็แทบไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งเพิ่งผ่านพ้นงานแต่งของเพื่อนรักอย่างมานิตายิ่งได้เห็นว่าเพื่อนมีความสุขเธอก็ยินดี แต่สักพักก็รู้สึกหดหู่ใจเมื่อหันมามองความรักของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี ความบริสุทธิ์ก็ถูกวาโยช่วงชิงไปจนไม่เหลือชิ้นดี ถามว่ารู้สึกดีไหมคงตอบว่าใช่ มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางกายแต่มันมากกว่านั้น เธอชอบวาโยมาตั้งนานแล้ว นานจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเริ่มชอบตอนไหน ตลอดระยะเวลาการเป็นเพื่อนกันเธอพยายามไม่สนิทกับชายหนุ่มมากไปกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มเพราะกลัวว่าสักวันความรู้ส
ลำกายหนากระเสือกกระสนเข้ามาในโพรงสาวอย่างรุนแรงจนเขารับรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกรีดร้องเป็นทางยาวที่บ่งบอกถึงความสุข “กรี๊ด” มือน้อยที่จับที่ต้นแขนแกร่งที่เอื้อมมาบีบเคล้นอกอิ่ม “เสร็จแล้วเหรอ ตอดแรงขนาดนี้” วาโยกระหยิ่มยิ้มเมื่อเห็นคนตัวเล็กสุขสมแล้ว ต่อไปถึงตาของเขาบ้าง และคืนนี้มันจะไม่จบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน วาโยเปลี่ยนท่าให้คนตัวเล็กนอนคว่ำ จากนั้นเขาก็จัดการยกสะโพกสวยขึ้นเพื่อรับกับเอ็นร้อนที่เยิ้มไปด้วยคราบน้ำรักของเธอ จากนั้นก็สวนมันเข้าไปในโพรงสาวที่ยังคงแน่นหนึบอย่างแรง “อ๊า...เจ็บ” “ทั้งเจ็บทั้งเสียวเลย” วาโยคุกเข่าแล้วเสยตัวตนร้องเข้าไปอย่างแรงจนใบหน้าหวานลู่แนบกับที่นอนหนานุ่มเพราะหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อไป “อ๊ะ...จะทำอะไรโย” “ท่าหมาไง คราวก่อนเธอบอกฉันปากหมา วันนี้ฉันเลยจะเอาท่าหมาให้เธอดู” วาโยมองเอ็นร้อนที่ผลุบเข้าออกมาโพรงสาวจากทางด้านหลัง มันยิ่งทำให้เขาซาบซ่านอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน การที่ได้กระแทกเข้าไปในกายสาวที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก็เพิ่มความดุ
“หึหึ...ทำตัวน่ายั่วขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะทนได้” “แต่นายเป็นเพื่อนฉัน นายต้องทนได้สิ เพื่อนกันใครเขาทำแบบนี้” “ไอ้เพมันยังทำกับมิลค์กี้ ทำไมฉันจะทำกับเธอไม่ได้วะ เลิกเอาคำว่าเพื่อนมาพูดได้แล้วไหม เข้าไปอยู่ในตัวแบบนี้คำว่าเพื่อนมันขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว” วาโยตะโกนบอกที่คนตัวเล็กชอบย้ำคำว่าเพื่อนกับเขายิ่งนัก อยากเป็นอะไรหนักหนาเพื่อนเนี่ย “อยากเป็นอะไรหนักหนากับคำว่าเพื่อน ให้เป็นผัวเหอะ เดี๋ยวจะเลี้ยงอย่างดีเลย” “ไอ้วาโย” “เปลี่ยนจากเรียกไอ้ไปเรียกผัวแทนได้ไหม นับตั้งแต่นี้เธอเป็นเมียฉันละ ถ้ายังพูดเพื่อนๆ อะไรอีก เดี๋ยวจับปล้ำไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย” วาโยร้องขู่เพราะจะจัดการคนตัวเล็กที่ชอบเอาคำว่าเพื่อนมาอ้างตลอด ตอนนี้หญิงสาวได้สติแล้ว แต่ร่างกายเบื้องล่างตอดขนาดนี้ คำว่าเพื่อนมันก็ไม่ต้องจำเป็นแล้วไหม ญาณินรีบหุบปากของตัวเองทันทีเมื่อเจอคำขู่ของวาโย แถมชายหนุ่มยังกระหน่ำสะโพกสอบเข้ามาอย่างรุนแรง มือบางทั้งสองข้างจิกลงบนที่นอนหนานุ่ม ส่วนใบหน้าหวานหลับพริ้มเมื่อความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านไปทั่วเรือนร่าง
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นจากนั้นปากหยักก็ทำรอยที่ต้นคอหญิงสาวอยู่หลายจุด ก่อนจะมาหยุดที่อกอิ่มชูชันท้าทายปากของเขาเหลือเกิน จ๊วบ!! มือหนาของวาโยรวบอกอิ่มเอาไว้ในมือแล้วใช้ปากหยักเข้าครอบครองป้านสีหวานที่ล่อตาล่อใจของเขาเหลือเกิน เม็ดเล็กแต่ชูชันรับกับปากหนาได้เป็นอย่างดี “อ๊า...อย่ากัดนะ” ญาณินร้องเสียงลงเมื่อวาโยใช้ฟันคมๆ งับลงไปด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยเกินจนคนตัวเล็กที่รับรู้ถึงสัมผัสรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ “แม่งโคตรชอบเลยรู้ไหม เด้งรับปากฉิบหายเลย” ตอนนี้วาโยสลัดความคิดว่าที่เพื่อนไม่ควรเล่นเพื่อน แต่วันนี้มันอดใจไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อญาณินสวยสดเหลือเกิน “อ๊า...อ๊ะ...โย” “หือ อะไรจ๊ะ” วาโยเหลือบตามองคนตัวเล็กที่กำลังร้องครวญครางราวกับกำลังจะขาดใจ “เสียว” “เดี๋ยวได้เสียวกว่านี้แน่ๆ เลยคนสวย” ว่าจบวาโยก็ชันร่างกายสูงของตัวเองขึ้นเพื่อจัดการเผด็จศึกคนตัวเล็กสักที เสียเพื่อนเขาก็เอาถ้ามันทำให้ได้ตัวของหญิงสาวมาไว้ในครอบครอง ถ้ารู้ว่าเธอสวยขนาดนี้ไม่ให้เป็นเพื่อนหรอก
“ไว้ญาณินตื่นขึ้นมากูจะบอกความเลวของพวกมึงให้หมดเลย ให้เลิกคบพวกมึงซะ” ว่าจบวาโยก็พาคนตัวเล็กออกมาจากโต๊ะ จากนั้นก็พาเดินเข้าไปหลังร้านที่มีห้องพักรับรองที่เวลล์สร้างเอาไว้ มีอยู่สามสี่ห้องเพื่อเอาไว้รองรับเพื่อนๆ ที่อาจจะเมาแล้วกลับไม่ไหว “เกิดอะไรขึ้นวะวาโย” เวลล์ที่เพิ่งไปรับลูกค้ามาเดินมาเจอวาโยกำลังโอบญาณินเข้ามาข้างในด้วยสภาพราวกับกำลังละเมอ “ไม่รู้ว่าเพื่อนของญาณินเอาอะไรให้เธอกิน เธอเลยมีสภาพนี้ ผมขอยืมห้องก่อนได้ไหมจะให้ไอ้ตัวเล็กมันเข้าไปพักก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” “เออได้ดิ จัดการเองได้ไหม เฮียมีรับลูกค้าเยอะวันนี้” “ครับไม่เป็นไร แค่ให้ยืมห้องผมก็ซึ้งน้ำใจละ” วาโยกล่าวขอบคุณเวลล์ที่เป็นเพื่อนพี่ชายคนหนึ่ง วาโยลากคนตัวเล็กเข้าไปพักผ่อนในห้องเพราะหวังให้หญิงสาวคืนสติโดยไว ไม่รู้พวกนั้นมันเอาอะไรให้ญาณินกินกันแน่ทำไมอาการของหญิงสาวถึงแปลกๆ อย่างนี้ “นอนก่อนนะญาณิน เดี๋ยวหาผ้ามาเช็ดให้” ร่างกายของหญิงสาวเริ่มร้อนขึ้นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนมือน้อยๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมือทันที “วาโ
ทั้งสองเดินทางมายังคลับของเวลล์ที่ตอนนี้หนาแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ไม่แปลกใจว่าช่วงหลังๆ กิจการของคลับเป็นไปได้อย่างดี “ไหนเพื่อนเธอเหรอ” วาโยมองไปรอบๆ เพื่อหาเพื่อนของญาณินและก็พบกับกลุ่มเพื่อนสามสี่คน และมีผู้ชายอยู่ประมาณสองคน ส่วนที่เหลือเป็นผู้หญิง “ไหนนายบอกจะไปหาพี่เวลล์ จะไปกับฉันทำไม” ญาณินหันมาแว้ดใส่เพื่อนสนิทที่เหมือนจะเดินตามไป “เฮียคงกำลังยุ่งๆ รับลูกค้า ขอไปนั่งด้วยได้ไหม” เวลล์บอกคนตัวเล็กเพราะจากสายตาที่เขาประเมินกลุ่มเพื่อนของญาณินดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ ถ้าปล่อยให้หญิงสาวไปคนเดียวมันคงไม่ดีแน่ “โหย...อะไรของนาย” “ถ้าให้ไปเดี๋ยวเลี้ยงเหล้าด้วย โอเคไหม” ข้อเสนอของวาโยน่าสนใจ จนญาณินคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ มีคนเลี้ยงเหล้าใครบ้างจะไม่สนใจ ทำให้ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มสาวเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เฮ้...ญาณิน” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นเรียกเพื่อนสาว “ดีใจจังได้เจอพวกแก” ญาณินยิ้มให้กับเพื่อนที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์กรึ่มๆ เพราะดื่มกันก่อนท
ตอนพิเศษYanin X Wayoขอเป็นมากกว่าเพื่อน ชีวิตที่แสนเรียบง่ายของญาณินเป็นอันต้องพังทลายลงเมื่อบิดาประกาศกร้าวให้เธอไปดูตัวคู่หมั้นของตัวเอง คู่หมั้นที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร วันนั้นเธอร้องห่มร้องไห้ไปหามานิตาเพื่อให้เพื่อนช่วยคิดแผนการล้มเลิกการดูตัวในครั้งนี้ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่กล้าที่จะไปขอความช่วยเหลือจากวาโย เพราะมันเป็นเรื่องน่าอายที่จะบอกให้วาโยมาแกล้งเป็นแฟน “เฮ้อ...” “เป็นอะไรไปญาณิน” วาโยที่นั่งกินข้าวเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนของตัวเองที่เอาแต่นั่งหน้าเศร้าตีหน้ามึนทำเอาคนที่กำลังกินอาหารอยู่รู้สึกกร่อยขึ้นมาทันที “ไม่มีอะไร” “เอ้า!! ไม่มีอะไรได้ไง แกเอาแต่ทำหน้าซึมแบบนี้” วาโยมองเพื่อนอย่างสงสัย เพราะช่วงหลังๆ มานี่ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นเพราะเพทายกับมานิตาตัวติดกันราวกับปลาท่องโก๋ พวกเขาเลยกลายเป็นส่วนเกินที่ต้องมากอดคอร้องไห้เมื่อโดนเพื่อนทิ้งไปจู๋จี๋กัน “คิดๆ อะไรนิดหน่อย” “คิดอะไรวะ” วาโยที่กำลังคีบเนื้อเข้าปากมองคนตัวเล็กซึ่งกำลังสะบัดผมไปข้างหลัง จนทำให้เขามองเห็นร่องหน้าอกขอ
“รีบเปลี่ยนนะครับ ไว้ถ้ากลับมาจากทะเล เพขอจัดหนักสักน้ำนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างมีเลศนัย จนมานิตาได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “ค่ะ” เมื่อทั้งสี่เปลี่ยนชุดแล้ว พวกเขาก็เดินไปยังทะเลที่อยู่หน้ารีสอร์ต เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยทำเอาพวกเขาต่างมีความสุข “คุณแม่ขา...มาช่วยหนูก่อกองทรายหน่อยค่ะ” เสียงหวานๆ ของลูกสาวบอก จากนั้นมานิตาที่เพิ่งเป็นแบบถ่ายรูปให้กับเพทายต้องละความสนใจแล้วเดินไปหาลูกสาวลูกชายทันที “ไปช่วยลูกก่อกองทรายกันค่ะเพ...” เพทายเดินมากุมมือของมานิตาแล้วพาเดินตรงไปหาลูกสาวที่นั่งที่ทรายทันที “คุณแม่ครับ อันนี้เป็นเครื่องบินน้องมิกซ์วาดเอง” เสียงของลูกชายบอกอย่างเจี๊ยวจ๊าว ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหันไปมอง ก็พบกับภาพเครื่องบินในจินตนาการของลูกชาย “วาดเองเหรอครับ” “ครับ” เพทายและมิลค์กี้มองหน้ากันเมื่อเห็นภาพที่ลูกชายวาด มันสวยเกินกว่าที่เด็ก 5 ขวบจะวาดด้วยซ้ำ แสดงว่าลูกชายของพวกเขาอาจจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ “สวยจังเลย คนเก่งของแม่”มานิตาทำการหอมหัวของลูกชายหนึ่งที พร้อมที่จะมองเพทายแล้วยิ้มอ