คิดไปแล้วก็ยิ่งเจ็บปวดใจ หยาดน้ำใสๆ ไหลรินออกมาจากหางตาเพื่อระบายความอัดอั้นในหัวใจที่ผุพังยับเยิน“เป็นอะไรไป คุณร้องไห้ทำไม เจ็บหรือ...” ปลายนิ้วอุ่นๆ ปาดไล้ซับน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา “ผมจะไปตามหมอให้นะ...”“มะ...ไม่ ไม่ต้องตาม” วิศรารีบรั้งเขาผู้นั้นไว้ด้วยเสียงแหบพร่า พร้อมกับดวงตาคู่สวยที่ลืมขึ้นมองไปทางต้นเสียงชายหนุ่มชาวต่างชาติร่างสูงใหญ่ก้มลงมองสบตาเธอกลับมา นัยน์ตาสีเทาลึกซึ้งทอดมองมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงใจ เขารวบมือบางของเธอขึ้นมากุมไว้ราวกับจะช่วยถ่ายทอดกำลังใจให้คนป่วย“ทำไมล่ะ คุณไม่อยากให้ผมเรียกหมอมาดูอาการเหรอ”หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ ดวงหน้าหวานซึ้งยังคงซีดเผือดไร้ชีวิตชีวา เธอไม่ได้ต้องการหมอ เพราะอาการเจ็บของเธอไม่มีหมอคนไหนในโลกสามารถเยียวยามันได้เขาผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ พลางโน้มกายลงมาใกล้ ก่อนส่งยิ้มละมุนปนขมขื่นอยู่ลึกๆ ให้“คุณกับลูกเก่งมากเลยรู้ตัวไหม เลือดออกมากขนาดนั้น ทีแรกผมนึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงต้องรู้สึกผิดต่อคุณและ...เอ่อ...พ่อของเด็กไปชั่วชีวิตแน่ๆ”จู่ๆ มือบางก็เกร็งขึ้นนิดๆ“จริงสิ ต้องการให้ผมโทร. ไปบอกสามีของคุณไหมว่าคุณอยู
“ผมคงไม่ได้กรนดังจนปลุกคุณใช่ไหม” คนพูดคลี่ยิ้มจนแลเห็นเขี้ยวเสน่ห์น่ามอง เขายืดกายขึ้นนั่งตัวตรงด้วยท่วงท่าสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ยังคงจับมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย“คะ...คุณเป็นใคร” เอ่ยถามเสียงแหบพร่าอย่างยากลำบากเพราะมีเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่“ผมคือฮีโรของคุณไง...” เขาเอ่ยติดตลก แต่คนเจ็บไม่ทันสังเกตว่าดวงตาสีเทาคู่นั้นแอบไหววูบไปนิดๆ“คุณคือคนที่ช่วยฉะ...แค่กๆ” คนเจ็บไอออกมาเพราะคอที่แห้งผาก จนเขาต้องรีบกดปุ่มเรียกพยาบาลประตูห้องถูกเปิดผลัวะอย่างรีบร้อน แต่คนที่โผล่เข้ามาก่อนพยาบาลกลับกลายเป็นเพื่อนชายคนสนิทของวิศรานั่นเอง“ยายส้ม!” ร่างสูงโปร่งปราดเข้ามาเกาะที่ข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง ถามด้วยเสียงร้อนรน “แกเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหน...”ภาพความห่วงใยนั้นทำให้เจ้าของดวงตาสีเทาต้องขยับถอยฉากไปยืนห่างๆ พยายามเงี่ยฟังภาษาแปลกหูนั้นแต่ก็ไม่เข้าใจสักคำ ใบหน้าหล่อเหลาหม่นแสงลงเมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นั้นแสดงออกถึงความห่วงใยใกล้ชิดสนิทสนมกับคนเจ็บสาวสวย ในใจว้าวุ่นทำไมนะ คนข้างกายของเธอผู้นี้ถึงไม่เป็น...เขา“ฉันโทร. หาแกเป็นร้อยๆ สายเลยรู้ไหม ไปหาที่อะพาร์ตเมนต์ก็ไม่เจอ ถามใครก็ไม่มีใครรู้เร
“ใช่ครับ ก็เธอเป็นภรรยาคุณไม่ใช่เหรอ”ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติยุทธนาคงกรี๊ดแตกที่ถูกจับคู่กับชะนีแม้จะเป็นเพื่อนรัก แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เขาต้องแอ๊บแมนเก็บอาการไว้ก่อน“เดี๋ยวนะครับ คุณหมายถึงอะไร ลูกในท้องใครกัน ผมคิดว่าคุณคงต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ วิศรา เอ่อ ผมหมายถึงเธอ” คนพูดพยักพเยิดไปทางห้องคนป่วย “เราทั้งสองเป็นแค่...” ยังไม่ทันได้แก้ความใจผิด พยาบาลสาวก็เดินออกมาจากในห้องเสียก่อน“ขอโทษนะคะ พอดีคุณหมอขอเชิญญาติคนไข้เข้าไปคุยที่ห้องสักครู่ ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของไข้คะ”“ผมเป็นเจ้าของไข้ครับ ส่วนเขาเป็นสามีเธอ”ยุทธนาหันขวับ อ้าปากค้าง ทำตาปริบๆ นึกว่าตัวเองหูฝาด อยู่ดีๆ ก็ดันมีเมียเป็นชะนีเฉยเลยแหม ถ้าเปลี่ยนจากวิศราเป็นพ่อหนุ่มน่าเจี๊ยะตรงหน้า เขายังจะปลื้มเสียกว่า แต่จะว่าไปเขารู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายเหลือเกิน แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน แต่ยังไม่ทันได้ถามก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน“งั้นขอเชิญพวกคุณทั้งคู่ทางนี้ค่ะ”ทั้งสองหนุ่มหันไปมองหน้ากัน ก่อนเดินตามพยาบาลคนนั้นเข้าไปในห้องเวลาผ่านไปพักใหญ่ คนทั้งสองเดินออกจากห้องแพทย์ด้วยอาการที่ต่างกัน ยุทธนานั้นถึงขั้นช็อก ใบ้รับประท
หญิงสาวร่างผอมซูบนอนมองเพดานห้องพักผู้ป่วยพิเศษอย่างเลื่อนลอย‘Bed Rest!’นั่นคือคำสั่งล่าสุดที่เธอเพิ่งได้รับจากแพทย์เจ้าของไข้ แม้จะเคราะห์ดีที่ผลจากอุบัติเหตุรถชนไม่ได้ร้ายแรงหรือทำให้เธอแท้งอย่างที่ควรเป็น แต่กระนั้นเธอก็ยังต้องนอนนิ่งๆ เพื่อรอดูอาการจนกว่าจะพ้นระยะอันตรายของการตั้งครรภ์ ซึ่งมันช่างน่าอึดอัดสิ้นดีสำหรับคนที่เคยขยับร่างกายได้อย่างอิสระและช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ตอนนี้กลับต้องมานอนแบ็บนิ่งๆ รอคอยวันเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย หลับเพราะฤทธิ์ยา และตื่นมาพร้อมคราบน้ำตาจากความฝัน ต้องรอคอยความช่วยเหลือแม้ในเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันเช่นการกินอาหาร หรือการเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่าย ทำธุระส่วนตัวก็ยังต้องพึ่งคนอื่น แล้วไหนจะต้องขาดเรียนอีกล่ะแม้อาการต่างๆ ทางร่างกายจะเริ่มดีขึ้นบ้างแล้วเพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากหมอ พยาบาล ยุทธนา และเจ้าของไข้อีกคนที่หมั่นมาเยี่ยมไข้ทุกวันไม่ได้ขาด แต่สภาพจิตใจของเธอกลับหดหู่ สิ้นหวัง ยังไม่มีทีท่าจะกลับมาเป็นปกติได้อย่างเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์มือเรียวสวยวางทาบที่หน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นนิดๆ ของตัวเองแล้วลูบไปมาอย่างครุ่นคิด บางครั้งก็มี
“ปล่อยนะ...คุณเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย อย่ามาแตะต้องตัวฉัน อย่ามายุ่ง ฮือ...ออกไปสิ...โอ๊ะ...โอ๊ย!”จู่ๆ คนไข้สาวก็รู้สึกจุกเสียด การขยับกายพยายามจะดิ้นหนีอ้อมกอดอบอุ่นนั้นทำให้ร่างกายที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มร้อยร้าวระบมขึ้นมาอีกครั้ง แม้กระนั้นเธอก็ยังกัดฟันกำหมัดทุบอีกฝ่ายอย่างคลุ้มคลั่ง แต่เขาก็ทนยอมให้เธอทำร้ายโดยไม่ปริปากอะไร จนกระทั่งหญิงสาวเหนื่อยล้าและหยุดทุบไปเองในที่สุด ร่างอ่อนแรงหอบหายใจสะท้านพลางซบลงที่อกของอีกฝ่ายอย่างสิ้นฤทธิ์ เสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสารทำให้ดวงตาสีเทาหม่นทอดมองอาการนั้นของเธออย่างเห็นใจ“ผมไม่รู้ว่าคุณเจอปัญหาหนักหนาสาหัสอะไรมา”เขาปลอบประโลมเสียงทุ้มนุ่ม มือใหญ่ลูบแผ่นหลังที่สั่นสะท้านของอีกฝ่ายแผ่วเบา “แต่ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ในตัวมันเอง เด็กคนนี้ไม่มีความผิดอะไร คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินประหารชีวิตใคร...”“แล้วฉันล่ะ ฉันผิดอะไร ทำไมถึงต้องโดนตัดสินโทษประหารแบบนี้ ไม่ยุติธรรมเลย ไม่ยุติธรรมสักนิด ทำไมมีแต่ฉันคนเดียวที่ต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย...” วิศราเอ่ยเสียงสั่นเครือปนสะอื้น ร่างผอมบางสั่นสะท้าน น้ำตาอุ่นร้อนรินไหลรดอกอุ่นของบุรุษแปลกหน้าอย่างไม่อายเสียพ่อให้คนอื
‘หยุด-ทา-หน้า’เขาเลยจำต้องยอมให้ฝ่ายนั้นออกสำเนียงตามที่ถนัดปากและกลายเป็นคุณยอร์ชตั้งแต่วันนั้น แต่ก็ไม่วายแอบค่อนขอดแม่เพื่อนสาวในใจ เพราะกับวิศราแล้ว อลันกลับฝึกออกเสียงชื่อจริงของเธอได้ค่อนข้างชัดกว่า แต่กระนั้นแม่เพื่อนสาวก็ไม่ไว้ใจให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นภาษาไทยของตัวเอง ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะออกเสียงเพี้ยนจากส้มเป็น ‘ส้วม’ เข้าให้ จึงให้อีกฝ่ายเรียกว่า ‘วีวี่’ (Vivi) แทน“แยม...เอ๊ย! ผมก็ดีใจมากครับที่ได้พบคุณ” คนพูดแอบหันมาขยิบตาให้เพื่อนสาว “ที่จริงผมก็สบายเหมือนเคยแหละครับ ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้ ที่สบ๊ายสบายกว่า เพราะมีคนดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษจนหน้าตาสดใสขึ้นแบบนี้...”ใบหน้าหล่อเหลาเจือสีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหันไปเอ่ยกับหญิงสาวข้างๆ กาย “รอผมตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอารถมารับที่นี่”“บอกแล้วไงคะว่าฉันกลับเองได้” วิศราหันไปบอกชายหนุ่มคู่กรณี เธอพยายามบอกเขาเป็นล้านรอบแล้วว่าเธอไม่ติดใจเอาเรื่องแล้ว และเขาไม่จำเป็นต้องมาตามรับผิดชอบอะไรเธออีก“ผมรู้ แต่ผมอยากไปส่ง คุณรอตรงนี้ก่อน...ฝากเธอด้วยนะครับคุณยอร์ช” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ร่างสูงโปร่งสง่างามก็เดินไปทางที่จอดรถวีไอพีที
แววตาคาดคั้นเจือด้วยความปวดร้าวคู่นั้นทำให้เขาจำต้องรับคำอย่างหนักใจ “เออๆ ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น แต่แกคิดว่าจะปิดที่บ้านได้นานแค่ไหนกัน ในเมื่อ เอ่อ...ท้องแกต้องโตขึ้นทุกวัน สักวันคนที่บ้านก็ต้องรู้...”“ถ้าฉันไม่พูด แกไม่พูด ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น เพราะว่า...” ดวงตาคนพูดแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวแรงกล้า “ฉันจะไม่กลับไปเมืองไทยอีกแล้ว”“ไอ้ส้ม!” ยุทธนาอุทานเสียงหลง “แกพูดอะไรน่ะ พูดเล่นใช่ไหม ไม่กลับเมืองไทยเนี่ยนะ จะบ้าเหรอ บ้านแกอยู่ที่นั่น ขืนไม่กลับพ่อแกคงยอมหรอก”“แต่มันก็ยังดีกว่าทำให้พ่อขายหน้าด้วยการหอบลูกไม่มีพ่อกลับไปประจานตัวเองไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวพยายามกดความขมปร่าที่แล่นมาจุกอก ดวงตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงสีหน้าผิดหวังรุนแรงของบิดา“ส้ม...แกเห็นฉันเป็นเพื่อนแกหรือเปล่า” ยุทธนาสูดหายใจเข้าปอด มองหน้าเพื่อนรักด้วยสายตาจริงจัง “ถ้าแกยังเห็นว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกัน บอกฉันได้ไหมว่า...ใครคือพ่อของเด็ก”ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มแน่น ทว่าแววตาที่แข็งกร้าวเจือด้วยร่องรอยแห่งความปวดร้าวทำให้คนตั้งคำถามหายใจสะดุด“ฉันเห็นแกเป็นเพื่อนเสมอ แต่...ฉันไม่อยากจะพูดหรือค
“เอ๊ะ! คะ...คุณส้ม!”ราวกับสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่ร่าง รอยยิ้มเอ็นดูมลายหายไปจากใบหน้าสวยหวานในชั่วพริบตาหลายปีที่ไม่ได้พบกันดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ‘ปุริมา’ แม่เลี้ยงที่เธอแสนชิงชังยังคงสาวและสวยสง่าไม่ต่างจากวันนั้น ไม่สิ! คนตรงหน้าดูดีกว่าวันนั้นด้วยซ้ำ แน่ละ ในเมื่อบิดาของเธอทั้งรักและทะนุถนอมอีกฝ่ายยิ่งกว่าอะไรดี ดวงตาคู่งามฉาบด้วยไอเย็นเยียบยามมองไปยังร่างป้อมของเด็กหญิงวัยสี่ขวบในชุดนักเรียนอนุบาลน่ารัก ริมฝีปากบางเฉียบเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อนึกถึงสถานะของเด็กน้อยตรงหน้าที่เธอไม่อยากจะยอมรับน้องสาวต่างแม่!‘ฮัลโหล...ส้มเหรอลูก รู้ไหมว่าตอนนี้ลูกมีน้องสาวแล้วนะ เดี๋ยวพ่อส่งรูปน้องไปให้ดูในไลน์ น้องน่ารักมากๆ แก้มยุ้ยเหมือนลูกตอนเด็กๆ เลย...’เสียงที่ทั้งเห่อทั้งตื่นเต้นของบิดากระชากหัวใจคนเป็นลูกให้ด่ำดิ่งสู่ห้วงอเวจีทันใดดวงตาหวานเจือเศร้าทอดมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีภาพครอบครัวสุขสันต์ของบิดาตนเอง พร้อมด้วยสมาชิกตัวน้อยคนใหม่ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงสัปดาห์ในอ้อมแขนของวิศรุตอย่างเหม่อลอยน้องสาว! ในที่สุดเธอก็ได้น้องสาวต่างแม่ และกลายเป็นหมา
“โอ๊ย! อูย...”เสียงใสๆ ร้องอย่างตกใจมากกว่าเจ็บ ทำให้ปราบดาต้องก้มลงมามอง ก่อนพบว่าสิ่งที่พุ่งชนเขานั้นคือ...เด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาน่าเอ็นดูที่สุดคนหนึ่ง เมื่อดวงตาใสแจ๋วไร้เดียงสาคู่นั้นเหลือบขึ้นประสานกับดวงตาของเขา โลกทั้งใบก็พลันหยุดหมุนลงไปในห้วงวินาทีนั้นเองปราบดาไม่รู้ว่าความรู้สึกอบอุ่นประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วร่างเขายามนี้มาจากไหน มันราวกับมีกระแสไฟอ่อนๆ แล่นผ่านร่างกายของเขาจนชาวูบวาบเหมือนถูกไฟชอร์ต ยามที่มือหนาสัมผัสข้อมือเล็กๆ ข้างนั้น เขาก็ไม่นึกอยากปล่อยคนตรงหน้าไปไหนอีกเลย ชายหนุ่มหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนี้มันเหมือนการตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ และเขากำลังรู้สึกเช่นนั้นกับเด็กผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้!“คุณลุงขา!”เจ้าตัวน้อยเขย่าแขนเขาเบาๆ ปากสีชมพูอ่อนจิ้มลิ้มเอื้อนเอ่ยเจื้อยแจ้วน่าฟัง เรียกสติที่กระเด็นกระดอนหายไปในห้วงอากาศให้กลับคืนมาสู่ร่าง เมื่อจักษุสัมผัสกับรอยยิ้มแสนจะคุ้นตาแต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนของอีกฝ่าย หัวใจเขาก็ถูกบีบอัดแน่นจนหายใจติดขัด รู้สึกตื้อๆ ในอกแปลกๆ“ครับ หนูเจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก...” ปราบดาทอดเสียงอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ร่างสูงใหญ่ทรุดกายลงนั่งใ
“เออ ดีเหมือนกัน ฉันก็เพลียร่างจะแย่ ไปส่งแกก่อนเพราะเป็นทางผ่าน แล้วค่อยกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านหนีมาค้างกับแกสักคืนสองคืน ไม่อย่างงั้นมีหวังคืนนี้หูเฉาแน่ ป๊ากะม้าฉันคงกรอกหูเรื่องหาทางไปขอแกเป็นลูกสะใภ้ทั้งคืนแน่” ยุทธนาทำหน้าสยอง“ตามใจ รีบไปกันเหอะ”ทั้งสองไม่ทันสังเกตเลยว่า ทันทีที่รถของพวกเขาแล่นออกไป รถคันหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนตามไปห่างๆ คนที่วิศราคิดว่ากลับไปแล้ว แท้จริงเขาเพียงแค่ทำให้เธอตายใจ รอจังหวะที่จะได้อยู่ตามลำพังกับเธอ เพื่อสะสางความข้องใจให้กระจ่างอีกครั้งปราบดากำพวงมาลัยแน่น เมื่อเห็นภาพความห่วงใยที่หนุ่มสาวทั้งสองมีให้แก่กัน หลังจากที่เขาโดนเอาคืนอย่างแสบสันต์ แต่เขาก็เอาตัวรอดมาได้ ชายหนุ่มจงใจเข้าไปนั่งกดดันเธอถึงในห้องอาหารนั่น และได้เห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่ห้องนั้นเก็บเสียง แถมเพลงจีนด้านนอกก็เปิดคลอกลบทำให้เขาได้ยินไม่ถนัดว่าคนในห้องนั้นกำลังเจรจาอะไรกันบ้าง แต่จากภาพที่เห็นก็ไม่น่าจะเดาความสัมพันธ์ของวิศราและผู้ชายหน้าตี๋คนนั้นได้ยากนักว่าไปถึงขั้นไหน แต่ที่ทำให้เขาแทบจะพุ่งถลันเข้าไปด้านในคือ...ภาพที่หญิงสาวถูกชายแปลกหน้าคนนั้นตบห
ยุทธนารู้สึกขนที่ท้ายทอยลุกแปลกๆ เริ่มมีอาการหนังตาขวากระตุกถี่ๆ ส่งสัญญาณอันตราย เมื่อเห็นทีท่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบมีเลศนัยของบุพการี เขาหันไปสบตาพร้อมสะกิดขาเพื่อนยิกๆ ดูเหมือนวิศราเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน“แต่ไม่เป็นไรนี่ รู้ตอนนี้ก็ไม่สายนี่นา ถ้าพวกลื้อรักใคร่ชอบพอกัน เดี๋ยวป๊ากับม้าจะได้ลองไปเจรจากับพ่อแม่อาหนูส้มให้ หมั้นหมายไว้ก่อน หรือจะหาฤกษ์ยกน้ำชากันเลยก็ยังได้”นั่นไง งานเข้า! ประโยคนั้นทำเอาคนเป็นลูกตาเหลือก เมื่อโดนบ่วงที่ตัวเองหามารัดคอ วิศราเองก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะแต่พยายามไม่ออกอาการ“เดี๋ยวๆ ครับป๊า คือมันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ”“ไฮ้...เร็วอะไรกัน ก็ไหนลื้อว่าคบกันตั้งแต่ก่อนไปอังกฤษ มันก็ผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว ไม่เร็วหรอกน่า ช้าไปด้วยซ้ำ”“แต่ตอนนี้พ่อของส้มเขายังไม่ออกจากไอซียูเลย ผมว่าเรารอไปก่อนดีกว่า พวกเราเองก็ยังไม่รีบ จริงไหมส้ม”“อ้าว พ่ออาหนูส้มเข้าโรงพยาบาลเหรอ” นายยงยศหันไปถามว่าที่ลูกสะใภ้กำมะลอ ทำให้วิศราต้องรีบตอบรับอ้อมแอ้ม “ไม่เป็นไรๆ งั้นเดี๋ยวออกจากไอซียูเมื่อไหร่เราก็ค่อยไปเยี่ยมพ่อของหนูที่โรงพยาบาลแล้วกัน ถ้าได้ยินข่าวดีนี้ ป๊าว่าพ่อของหนูต้องอาการดีขึ
ซาร่าผละออกจากอ้อมกอดของมารดาคลานเข่าเข้าไปยกมือไหว้อ้อนวอน ก่อนที่จะกราบลงแทบเท้าผู้เป็นบิดาที่ยืนนิ่งขึงปวดร้าวไปทั้งหัวอก ทั้งรักทั้งโกรธปะปนกันไป“ป๊าคะ หนูขอโทษที่ทำให้ป๊าผิดหวัง ถึงเฮียกวงจะเป็นแค่ลูกจ้างเรา แต่เขาก็รักและยินดีจะรับผิดชอบหนูกับลูก ป๊าให้โอกาสเราสักครั้งได้ไหมคะ”นายศักดิ์สิทธิ์สูดหายใจลึกๆ ก่อนที่จะยอมใจอ่อนรวบตัวบุตรสาวเข้ามากอดแล้วร่ำไห้ออกมาเป็นสัญญาณว่าเขาให้อภัยและยอมรับคำขอโทษนั้นแล้ว“อาเหมย ป๊าขอโทษนะที่บังคับลื้อ ป๊าขอโทษ...” เสียงสั่นๆ เจือสะอื้นละล่ำละลักเอ่ยไม่ขาดปากวิศรามองภาพตรงหน้าอย่างตื้นตัน เธอเองก็หวังว่าหากวันหนึ่งที่พ่อได้รู้ความลับที่เธอซุกซ่อนไว้ ท่านจะยอมให้อภัยแบบที่สองพ่อลูกตรงหน้ากำลังทำ และเธอคงจะดีใจมาก แต่ก็นั่นแหละ ตราบใดที่นายตัวร้ายนั่นยังอยู่และคอยตามราวีกันไม่เลิกรา เธอไม่มีวันบอกความลับนี้กับใครแน่สถานการณ์ตึงเครียดผ่อนคลายลงและผ่านพ้นไปเมื่อสามพ่อแม่ลูกขอตัวกลับไปจัดการกันต่อที่บ้าน ท่ามกลางความโล่งใจของยุทธนาผู้รอดพ้นจากการถูกจับคลุมถุงชนแบบไม่เต็มใจ ชายหนุ่มเข้ามาดูรอยแดงที่แก้มของเพื่อนสาวด้วยความห่วงใย“เจ็บมากไหมแก แก้
ก่อนที่ทุกคนจะทันได้ขยับตัว ร่างเพรียวระหงก็ปรี่เข้าหาชายอารมณ์ร้อนนั้นอย่างรวดเร็ว“หยุดนะ! นี่คุณจะทำอะไร” วิศรารีบคว้ามือของอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ฟาดลงมาใส่สาวน้อยผู้น่าสงสารได้อีก“ปล่อยนะ มาจับมืออั๊วทำไม อั๊วจะสั่งสอนลูกอั๊ว คนอื่นไม่เกี่ยว”“สั่งสอนด้วยการตบตีทั้งๆ ที่ลูกกำลังท้องกำลังไส้เนี่ยนะ คุณเอาสมองส่วนไหนคิด” วิศราขึ้นเสียงใส่อย่างลืมตัว “ลูกคุณก็แค่ท้อง เธอไม่ได้เป็นฆาตกรฆ่าใครสักหน่อย ถ้าจะมีใครที่ผิดก็คงเป็นคุณต่างหากที่คิดแก้ปัญหาด้วยวิธีผิดๆ แบบนี้”“แล้วลื้อมายุ่งอะไรเรื่องในครอบครัวคนอื่นด้วย ปล่อยนะ” ชายมากวัยตะคอกใส่ และด้วยความโมโหเขาจึงพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมแต่หญิงสาวก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ทั้งสองจึงยื้อกันไปมาจนกระทั่งเพียะ! แม้จะเป็นเพียงปลายนิ้วแต่ความแรงมีผลทำให้หญิงสาวหน้าสะบัดตามแรงฝ่ามือ ใบหน้านวลใสชาวาบไปทั้งแถบ รอยแดงเห่อจางๆ ประดับที่แก้มชัด“ยายส้ม!” ยุทธนาเบิกตาค้าง พอได้สติก็รีบคว้าตัวเพื่อนหลบให้พ้นรัศมีคนพาลผู้นั้น ก่อนผลักอีกฝ่ายสุดแรงจนศักดิ์สิทธิ์ล้มลงไปกองที่พื้น “เป็นอะไรหรือเปล่าส้ม”“ฉันไม่เป็นอะไร นู่นต่างหากคนที่เป็น” วิศราที่กุมแก้มไว้หั
“แต่...” สีหน้าแม่สาวน้อยดูพะอืดพะอมแปลกๆ แต่ไม่มีใครทันสังเกตนอกจากวิศราที่หรี่ตามองอาการนั้นอย่างสงสัย“ไม่รู้ละ งานนี้พวกลื้อต้องรับผิดชอบ”“แล้วลื้อจะให้พวกเรารับผิดชอบยังไงล่ะ ในเมื่ออายุทธมันก็มีแฟนไปแล้ว หรือจะให้มัน...”“อุแหวะ!”เสียงนั้นทำให้การต่อปากที่ทำท่าว่าจะร้อนระอุต้องหยุดลงกลางคัน เมื่อแม่สาวน้อยยาแก้ปวดโก่งคออาเจียนพุ่งออกมาขัดจังหวะการปะทะอารมณ์“อาเหมย!” มารดาของแม่สาวน้อยรีบเข้ามาลูบหลังให้ลูกสาว เจ้าหล่อนหน้าถอดสีเมื่อหันไปสบตากับสามีวิศราแอบสะกิดขาเพื่อนหนุ่มที่อ้าปากค้าง ทำหน้าเหวอ ก่อนโน้มตัวเข้าไปกระซิบเบาๆ“เอาไงดีแก เผ่นก่อนดีมั้ย”ยุทธนาส่ายหน้าไปมา พยายามอดกลั้นไม่ให้อาเจียนตาม “ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าฉันจะอ๊อกตามแล้วเนี่ย”“เป็นยังไงบ้างอาเหมย เอ๊ย! อาซาร่า อั๊วว่าอาการไม่ค่อยดีนา พาไปหาหมอก่อนดีไหม”“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องน่าอาซ้อ มาว่าเรื่องของเราให้จบก่อน ลูกชายลื้อเป็นฝ่ายผิด งานนี้เขาต้องรับผิดชอบ” ศักดิ์สิทธิ์ประกาศกร้าวไม่แคร์อาการลูกสาวที่โก่งคออาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย สีหน้าคนพูดตอนนี้เดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียวและมีทีท่าจะเปลี่ยนเป็นคล้ำในไม่ช้า“จะให้
“ทุกคนครับ ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นี่คือคุณส้ม วิศรา เธอเป็นผู้หญิงที่พิเศษสุดสำหรับผม และเราก็คบหากันมาตั้งแต่ก่อนไปเรียนที่อังกฤษแล้วครับ”แม้สีหน้าจะยิ้มแย้มเป็นปกติ แต่วิศราก็แอบเห็นเพื่อนของเธอทำนิ้วไขว้กันอยู่ด้านหลัง หญิงสาวยกมือไหว้พ่อแม่รวมถึงญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนรักอย่างอ่อนน้อม หางตาแอบเหลือบมองแม่สาวน้อยชื่อเหมือนยาแก้ไข้ที่ทำหน้าม่อยลงแล้วอดรู้สึกผิดไม่ได้ แต่เอาเหอะ คิดเสียว่าเธอกำลังช่วยผู้หญิงด้วยกันไม่ให้ต้องมาจบชีวิตคู่กับผู้ชายที่ไม่มีวันพิศมัยผู้หญิงได้ก็แล้วกัน“ส้ม...ส้ม...อ๋อ! ม้าจำได้แล้ว” คุณนายลาวัณย์ร้องลั่น ก่อนคลี่ยิ้มเมื่อจำอีกฝ่ายได้ ไม่คิดเลยว่าลูกชายตนจะตาแหลมเพราะแม่หนูตรงหน้านอกจากสวยแล้วฐานะทางบ้านก็ดี เหมาะสมกันกับลูกชายคนเดียวของเธอที่สุด ถ้าเป็นแม่สาวคนนี้ท่านให้สามผ่าน “อีเคยมากินข้าวที่บ้านเราวันรวมญาติกับอายุทธเมื่อหลายปีก่อนไงเฮีย เฮียยังชมว่าอีสวยเหมือนนางงามจักรวาลอยู่เลย จำไม่ได้เหรอ”“อ๋อๆ จำได้แล้ว” บิดาของยุทธนาพลอยพยักพเยิด แต่พอหันไปเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเพื่อนสนิทและภรรยาที่มองมาด้วยเครื่องหมายคำถามก็พลันชะงักกึก เริ่มทำหน้าไม่ถูก “นั่
“นายต้องการอะไร”ปราบดาแอบยิ้มร้าย ก่อนที่จะลากปลายจมูกลงมาคลอเคลียที่แก้มเนียนใสเล่น สัมผัสได้ว่าเจ้าของแก้มมีอาการตัวสั่นสะท้านนิดๆ กลิ่นกายสาวหอมละมุนที่เขาโหยหามาแสนนานโชยเตะจมูกทำให้ชายหนุ่มแอบใจแกว่ง ค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าหาเป้าหมายที่กลีบปากนุ่มหวานติดตรึงอยู่ในใจเขามาตลอดหลายปีวิศรามองเรียวปากที่เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างตกใจจนตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เธอรีบเม้มริมฝีปากแน่น เบือนหน้าหนีทันที หูแว่วได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างพอใจ ก่อนที่ปากร้ายกาจนั่นจะกระซิบชิดริมฝีปากเธอว่า“ผมต้องการคุ...”ก๊อกๆ“มีใครอยู่ด้านในรึเปล่าคะ ช่วยเปิดประตูที”ยังไม่ทันได้เอ่ยจนจบ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน ทำให้ชายหนุ่มตกใจเผลอละสายตาจากสาวสวยในอ้อมแขนชั่วขณะ“โอ๊ย!” ร่างสูงผงะ เมื่อเจอฤทธิ์ส้นสูงที่กระแทกลงมาที่ปลายเท้าเข้าอย่างจังพร้อมบดขยี้จนเขาเผลอคลายวงแขนเปิดพื้นที่ให้เหยื่อสาวฉวยจังหวะกระทุ้งเข่าเข้าที่จุดกึ่งกลางลำตัวของเขาอีกครั้ง แม้จะพลาดเป้า แต่ก็มีผลทำให้อีกฝ่ายเสียหลักเซถอยหลังไปชนประตูดังโครมใหญ่“โอ๊ะ! หยุดนะยายตัวแสบ!” ปราบดาคำรา
สถานที่นัดหมายคือภัตตาคารจีนหรูในโรงแรมระดับห้าดาวชื่อดังของย่านกลางเมือง วิศรามองบรรยากาศรอบกายแล้วนึกอยากหันหลังเดินกลับออกไปเสียเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนรักเพื่อนสนิทอย่างยุทธนาขอร้องละก็ เธอคงไม่ยอมทำอะไรบ้าบิ่นอย่างเช่นการมางานดูตัวกับผู้ชายที่ไม่ได้มีจิตพิศวาสผู้หญิงแบบนี้แน่นอน“พวกเขาอยู่นั่นไง” เสียงนั้นทำให้หญิงสาวหันไปมองที่ห้องวีไอพีทรงแปดเหลี่ยมกรุกระจกเพนต์เป็นลวดลายมังกรตามสไตล์ศิลปะของจีนอย่างหรูหรารอบด้าน“แหม มากันครบองค์ประชุมเชียวนะคราวนี้” ยุทธนาทำหน้าเซ็งจัดกับความกระตือรือร้นในการหาคู่ให้เขาของบุพการี “ไปเหอะแก ได้เวลาขึ้นเวทีแล้ว”“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อนแยมมี่!” คนถูกมัดมือชกยื้อมืออีกฝ่ายด้วยหน้าตาตื่นๆ ชักไม่มั่นใจ “แล้วถ้าฉันทำพังล่ะแก เราถอยไปตั้งหลักก่อนดีไหม”เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเพื่อนสาว ยุทธนาเลยได้สติก่อนถอนหายใจเบาๆ “ฉันกำลังทำให้แกลำบากใจหรือเปล่านี่ ขอโทษนะที่เอาแต่ใจไปหน่อย ถ้าแกไม่สะดวกใจจะช่วย งั้นเรากลับกันตอนนี้ก็ได้นะ”“เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกแยมมี่ ฉันเต็มใจช่วย แต่ก็แค่กลัวพลาดทำเสียเรื่องก็เท่านั้น” “ไม่เสียหรอกน่า ฉันเชื่อใจแก ง