“เอาเถอะ ผมยอมให้คุณดูตลอดชีวิตเลยก็ได้”แก้มนวลร้อนผ่าว แต่พยายามข่มใจไม่ให้รู้สึกรู้สากับคำหวานและแววตาอ่อนโยนจริงใจที่ส่งมาให้“งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ ไว้พบกันค่ะ”“แล้วพบกันครับ...”วิศรากดวางสายด้วยหัวใจที่พองฟูและหม่นหมองในคราวเดียวกัน“อะไรยะ อุตส่าห์ได้คุยกับหวานใจ ทำไมทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มแบบนั้นล่ะ ไหนบอกอาการหมอซิ คิดอะไรไม่เข้าท่าอีก...”“คิดว่าตัวเองเป็นคนใจร้ายมั้ง”“ต๊ายยย เพิ่งรู้ตัวเหรอยะหล่อน ชาวบ้านเขารู้กันทั่วทั้งบางตั้งนานละ นอกจากจะใจร้ายแล้วยังจะเลือดเย็นไร้หัวใจด้วย”“นังยุทธ!” คนถูกหลอกด่าแบบรู้ตัวค้อนตาคว่ำใส่“รึไม่จริง ก็เถียงมาสิยะ มีอย่างเรอะ ผู้ชายเขาอุตส่าห์แจกขนมจีบเป็นเข่งๆ ตั้งหลายปีดีดัก ทั้งจีบทั้งอ่อยสารพัดวิธี แม่คุณก็ยังทำเล่นองค์ เป็นฉันหน่อยไม่ได้ เจ้าชายอลันรูปหล่อเสร็จโจรนานแล้ว”“พูดจาน่าเกลียด ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง เขาเป็นเจ้านายเรานะยะ อีกอย่างฉันไม่อยากเห็นแก่ตัวรั้งอนาคตคนดีๆ แบบเขาไว้ แกก็รู้ว่าอดีตของฉันไม่ได้สวยงาม บาดแผลบางอย่างถึงมันจะจางไปตามกาลเวลาได้ แต่มันก็ไม่หายไป...” ปลายเสียงสั่นเครือทำให้คนฟังอึ้งไปชั่วขณะเมื่อเผลอสะกิดปมในใ
“ก็เออสิยะ รอแกคุยกับหวานใจตั้งนาน ฉันหิวจะแย่แล้ว เมื่อตอนกลางวันกินไปนิดเดียวเอง เห็นเขาว่าที่โรงแรมนี้มีห้องอาหารไทยอร่อยระดับมิชลินสตาร์ แถมตั้งอยู่ริมน้ำวิวดีด้วย เราไปโซโลกันหน่อยไหม หรือจะไปร้านอื่นดี ว่าไง แกอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมล่ะ”พอเอ่ยถึงอาหารทำให้หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอเองก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้วตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน เพราะมัวแต่กังวลเกี่ยวกับอาการของบิดาสุดที่รัก“ฉันกินอะไรก็ได้”“เริ่ดค่ะ! ถือว่ามื้อนี้เป็นการต้อนรับแกกลับเมืองไทยครั้งแรกในรอบห้าปี ฉะนั้นมื้อนี้แกต้องเป็นเจ้ามือ!”คนถูกยัดเยียดตำแหน่งหันขวับ “ไอ้ยุทธ!”เจ้าของชื่อลอยหน้ายิ้มแป้น “เป็นอันว่าตกลง! งั้นขอฉันไปเติมแป้งแป๊บนะ เผื่อเจอเนื้อคู่หล่อๆ รวยๆ จะได้ไม่เสียโอกาสเหมือนใครบางคน”คนโดนแขวะส่งค้อนให้เพื่อนตัวแสบอย่างหมั่นไส้ร้านอาหารไทยที่ว่าเป็นไปตามที่ยุทธนาโฆษณาไว้ คือบรรยากาศดี และอาหารอร่อยเลิศรสการันตีด้วยมิชลินสตาร์ที่ทั่วโลกต่างยอมรับ จะติดก็ตรงที่คนเยอะไปหน่อยแม้ว่าจะเป็นวันธรรมดา ทันทีที่หญิงสาวสวยรูปร่างเพรียวระหงในชุดเดรสสั้นสีฟ้าเทอร์คอยส์เรียบหรูแต่ดูแพงและมีสไตล์เ
“ไม่ว่าหรอกครับ ผมเข้าใจดีว่าคนบางคนก็ชอบยึดติดกับอะไรเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่บางทีผมว่าอะไรที่มันเดิมๆ ก็น่าเบื่อนะครับ” ชายหนุ่มมองร่างอรชรของคนตรงหน้า ก่อนกระตุกยิ้มมุมปากยั่วโมโห “บางทีการได้ลองของแปลกใหม่ คบคนใหม่ๆ หรือชิมรสชาติใหม่ๆ ดูบ้าง ก็อาจจะทำให้ชีวิตเรามีสีสันขึ้นก็ได้นะครับ แต่ถ้าคุณไม่กล้า...ผมก็เข้าใจ”“ไม่ใช่ไม่กล้าหรอกค่ะ แต่ฉันแค่ไม่ชอบทำตัวเป็น ‘กาฝาก’ ที่ชอบเอาเปรียบหรือทำลายความสุขคนอื่นต่างหาก!”คำว่ากาฝากนั้นทำให้ปราบดาสะอึก หน้าชาเหมือนถูกตบ ตาคมที่ตวัดมองคนอวดดีวาววับ“หวังว่าเหตุผลเท่านี้คงเพียงพอที่จะทำให้ฉันไม่ควรจะอยู่ร่วมโลก เอ๊ย! ร่วมโต๊ะเดียวกับคุณสองคนนะคะ”นัยน์ตาคมกล้าวาวโรจน์ห้ำหั่นกับดวงตาคู่งามที่แข็งกร้าวแบบสู้ไม่ถอย บอกให้รู้ว่าวิศราในวันนี้ไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาที่จะยอมให้ใครมาข่มเหงรังแกได้ง่ายๆ และแน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมรับรู้ความนัยที่อีกฝ่ายต้องการสื่อกับเขาโดยตรง ในขณะที่คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกสองคนถึงกับอึ้งตะลึงงันยุทธนายิ้มค้าง หันขวับไปมองใบหน้าสวยหวานที่ดูเย็นชาของเพื่อนสาวอย่างแปลกใจ พอได้สติก็แอบสะกิดปรามเบาๆ ส่วนพรีมโรสเองก็ฝืน
“กลับโต๊ะกันเถอะ!” ชายหนุ่มตัดบทเสียงเรียบ ไม่แสดงอาการใดออกมา ทั้งที่ในหัวใจยามนี้กำลังหงุดหงิดและเดือดพล่านราวกับกองไฟที่พร้อมจะเผาผลาญทุกอย่างเป็นจุณได้ฝากไว้ก่อนเถอะ ยายตัวแสบ! ผู้จัดการร้านเดินนำแขกพิเศษระดับวีวีไอพีไปนั่งที่โต๊ะริมน้ำที่วิวดีที่สุดของร้าน พร้อมแนะนำเมนู และรับออร์เดอร์ด้วยตัวเอง จากที่คิดว่าจะมานั่งกินนั่งเมาท์กันสบายๆ เลยกลายเป็นว่าหนุ่มสาวทั้งสองจำต้องกลายเป็นที่ถูกจับตาในฐานะบุคคลสำคัญไปเลย“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะว่าเมื่อกี้มันอะไรกัน” พอสบโอกาสที่ได้อยู่ตามลำพังยุทธนาก็หันมาซักฟอกเสียงเขียว“อะไร”“จะอะไรซะอีกล่ะ ก็ไอ้ท่าทางหยิ่งยโสกับคำพูดกวนประสาทของแกเมื่อกี้ไง กาฟ่งกาฝากมันคืออะไรกัน ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย ไปเหวี่ยงใส่ชาวบ้านเขาแบบนั้นทำไมยะ”“ก็ไม่มีอะไรนี่” หญิงสาวยักไหล่ ปฏิเสธหน้าตาเฉย“จะไม่มีได้ยังไง ก็ฉันเห็นกับตาได้ยินกับหู แล้วไหนยังจะมาเรียกฉันว่าที่ร้งที่รักให้ขนลุกอีก คืออะไรยะ”“ก็แค่หมั่นไส้ ไม่ถูกชะตาคนบางคนเท่านั้น”“ไม่ถูกชะตาเนี่ยนะ แล้วแกไปรู้จักกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้ไปเขม่นเขาแบบนั้น”“จะถามอีกนานไหมคุณยอร์ช ถ้าไม่หิวไม่กินฉันจะได้
“ตายแล้ว!” หนุ่มหน้าตี๋โน้มตัวลงมาจนใกล้เพื่อนสาวก่อนป้องปากกระซิบที่ข้างหู “อย่าเพิ่งหันไปมองนะ ฉันว่าแฟนของคุณพรีมคนนั้นกำลังจ้องมาทางพวกเราอยู่แน่ะ ตาเขียวปั๊ดเลย สงสัยเขาต้องโกรธพวกเรามากแน่ๆ เลยอ่ะ แกนะแก ไม่น่าปากดีไปเหวี่ยงใส่พวกเขาแบบนั้นเลย ดูสิทำคนหล่อโกรธ บาปกรรม...”“โกรธแล้วไง ไม่เห็นต้องแคร์นี่ แกเองก็เหอะ ไหนว่าหิวไง รีบๆ กินเข้าไป จะได้รีบกลับไปพักผ่อนสักที เอ้านี่ไง ยำใหญ่ใส่สารพัดของโปรดแก กินซะ จะได้เลิกพูดจาฟุ้งซ่าน...” จังหวะที่กำลังจะตักเมนูเด็ดให้ หางตาก็พลันเหลือบไปเห็นดวงตามาคุที่พุ่งตรงมาพอดี จากที่คิดจะตักใส่จาน เธอจึงเปลี่ยนใจยื่นช้อนไปจ่อที่ปากเพื่อนแทน“อะไรเนี่ย” ยุทธนาขมวดคิ้ว“ไม่ต้องพูดมาก ห้ามถามด้วย อ้าปากแล้วกินซะ” บอกเสียงลอดไรฟันทั้งๆ ที่กำลังคลี่ยิ้มหวานราวกับกำลังเอาใจคนรัก ทว่าคนจะโดนป้อนกลับรู้สึกสยองแทนเพราะเห็นพริกขี้หนูชิ้นโต แต่จำต้องอ้าปากรับยำใหญ่คำนั้นเข้าปาก แล้วก็สำลักความแซ่บของมันในเวลาต่อมา“แค่กๆ ซี้ดดด”“ดื่มน้ำก่อนแยมมี่” วิศรารีบลุกเข้าไปนั่งใกล้ๆ ร่างสูงของเพื่อนหนุ่มพร้อมยื่นแก้วน้ำป้อนให้ถึงปาก พลางเข้ามาช่วยลูบหลังลูบไหล่ใ
เมื่อได้อยู่ตามลำพังในห้องพัก ดวงตาคู่งามก็กวาดมองไปรอบกายอย่างอ้างว้าง แม้จะเคยไปเยือนโรงแรมชั้นหนึ่งที่หรูหรามาหลายประเทศแล้วก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าห้องสูทที่เธอยืนอยู่นี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าที่อื่นเลย แต่คงจะดีกว่านี้หากเปิดประตูแล้วมีร่างกลมป้อมวิ่งแจ้นเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยง ส่งยิ้มหวานประจบ และยื่นแก้มป่องๆ ให้เธอหอมแล้วก็คลอเคลียบอกรักกันข้างหูให้เธอได้ชื่นใจจนกว่าจะหลับไปพร้อมกัน หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและถ้าไม่ใช่เมืองไทยเธอคงไม่ยอมทิ้งเจ้าลูกแมวขี้อ้อนตัวน้อยไว้ที่นู่น คงจะกระเตงกันตะลอนๆ มาเที่ยวด้วยแบบทุกที แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่ต้องการเสี่ยง อย่างน้อยการฝากฝังแก้วตาดวงใจไว้กับผู้ชายอย่างอลันก็น่าจะดีกว่าต้องมาพบเจอกับซาตานตัวร้ายอย่างนายปราบดานั่นวิศราก้มมองกลางฝ่ามือที่มีรอยเล็บคมจิกจนแดงช้ำ ร่องรอยที่เกิดจากการระงับโทสะไม่ให้กระโจนเข้าประทุษร้ายผู้ชายสารเลวคนนั้น ที่ผ่านมาเธอเคยจินตนาการเสมอว่าหากได้เจอหน้าเขาคนนั้นจังๆ เธอจะทำอะไรเป็นอย่างแรก ระหว่างฆ่าเขาให้ตายคามือด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุดกับทำร้ายให้เจ็บปวดแสนสาหัสก่อนปล่อยให้ตายช้าๆ อย่างทุรนทุรายและทรมานที่สุด
จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลงเมื่อชายหนุ่มรวบแม่หนูน้อยที่ดิ้นขลุกขลักมานั่งบนตักตรงหน้ากล้อง พร้อมหอบแฮ่กๆ ทั้งคู่ “อย่าไปฟังยายตัวเล็กนี่โมเมนะครับวีวี่” ด้วยความมันเขี้ยวคนพูดจึงฝังจมูกที่แก้มป่องใสเบาๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู ภาพนั้นทำให้คนเป็นแม่หัวใจไหวหวั่น ก่อนรีบปัดความคิดเห็นแก่ตัวออกไปอย่างรวดเร็ว“ค่ะ”“พอดีผมเอารูปที่คุณกับยอร์ชชี่ถ่ายตอนดินเนอร์กันมาให้ยายหนูดู แกเลยรบเร้าให้โทร. หาคุณ บอกว่าคิดถึงอยากคุยกับคุณแม่” คนพูดคลายวงแขนยอมปล่อยร่างนุ่มนิ่มที่พยายามดิ้นขลุกขลักให้เป็นอิสระ “ไปดินเนอร์กับยอร์ชชี่มาเป็นยังไงบ้างครับ”“ก็ดีค่ะ อาหารอร่อยดี เพิ่งแยกกันเมื่อกี้เอง...”“ไหนคะๆ อังเคิลยอร์ชชี่ ขอหนูคุยด้วยหน่อย”วิศราอมยิ้มเมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยรีบตะกายขึ้นมานั่งบนตักของอลันอีกครั้ง“อังเคิลยอร์ชชี่...” ยังไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามลูกน้อย จู่ๆ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนคิ้วงามเลิกขึ้นนิดๆ ก่อนละสายตาจากหน้าจอมือถือไปที่ประตูอย่างสงสัย ดึกป่านนี้แล้วใครกันมาเคาะประตู หรือว่าจะเป็น...“มีคนมาเคาะประตูหน้าห้องค่ะ สงสัยยอร์ชชี่ของคุณจะลืมอะไรแน่ๆ เลย งั้นเดี๋ยวฉ
“เมาแล้วก็กลับไปนอนซะ ทำอะไรหัดเกรงใจแฟนตัวเองบ้าง...อุ๊ย!” พูดไม่ทันจบ ร่างเพรียวบางก็ถูกกระชากเข้าไปปะทะแผงอกแกร่งอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงหมายชิมรสริมฝีปากนุ่มที่เขารู้ดีว่าหวานแค่ไหน ทว่าคนตัวเล็กที่ระวังตัวอยู่แล้วรีบสะบัดหน้าหนี ทำให้เรียวปากอุ่นร้อนพลาดเป้าไปที่ลำคอระหงแทน“หึ...ไม่เลวนี่ ยั่วเก่งขึ้นแบบนี้คงได้ครูดีสินะ”“แน่นอน!”คำนั้นทำให้คนฟังฉุนกึก ยิ่งนึกถึงไอ้หนุ่มหน้าตี๋ที่ทำท่าอี๋อ๋อกับผู้หญิงตรงหน้าก็ยิ่งหงุดหงิด“งั้นเหรอ! ไหนดูซิว่า เวลาตั้งห้าปีมานี้ ไอ้หน้าจืดนั่นมันสอนกลเม็ดเด็ดๆ อะไรให้คุณบ้าง...”ปราบดาตวัดช้อนร่างบางขึ้นหมายจะพาไปที่โซฟา ไม่ยี่หระกับการดิ้นรนทุบตี ทั้งจิก ข่วน ขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง ในหัวเขายามนี้มีแต่ภาพความสวีตระหว่างเธอกับยุทธนาเมื่อหัวค่ำ เป็นดังฟืนที่ค่อยกระพือโหมให้ไฟโทสะร้อนร้ายลุกโชน“คนบ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ช่วยด้วย!” ร่างบางดิ้นขลุกขลักพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากปลอกแขนแกร่งที่รัดรึงร่างเธอไว้ โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งเป็นการยั่วยุท้าทายให้อีกฝ่ายพยายามเอาชนะ ชายหนุ่มมองใบหน้าหวานสวยที่กำลังตื่นตระหนกก่อนกระตุกยิ้มร้ายก่อนโน้มหน้าเข้าหาริ
สถานที่จัดงานแต่งงานของคู่รักดีไซเนอร์คือสวนดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายตามเจตนารมย์ของเจ้าสาวที่ไม่ต้องการงานเอิกเกริกแต่กระนั้นก็แอบมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่รักดีไซเนอร์คนดังโดยเวทีถูกออกแบบให้เป็นรันเวย์สำหรับบ่าวสาวเดินไปทำพิธีอย่างมีสไตล์ แขกที่มาร่วมงานนอกจากครอบครัวแล้วก็มีแค่เพื่อนสนิทของสองฝ่ายเท่านั้น และทันทีที่เจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น แขกทุกคนก็พร้อมใจยืนขึ้นต้อนรับด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นวิศรุตในชุดสูทลุกขึ้นช้าๆ โดยมีภรรยาสาวช่วยประคองและส่งไม้เท้าให้สามีทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาว เขายื่นมือไปรับมือลูกรักด้วยใบหน้าที่เป็นปลื้มจนน้ำตาคลอ“คุณพ่อ” เจ้าสาวสวมกอดบิดาสุดที่รักอย่างตื้นตัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีวันนี้“ไปเถอะลูก”วิศรุตจับมือเจ้าสาวคนสวยพาเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี โดยด้านหน้ามีเด็กหญิงตัวน้อยนำขบวนสองคนคือเด็กหญิงลูกปลาที่ทำหน้าที่คอยโปรยดอกไม้ให้ และอีกคนคืออลิศลูกสาวของเธอที่ทำหน้าที่ถือแหวน วันนี้หนูน้อยอลิศสวมชุดสีชมพูฟูฟ่องน่ารัก ที่ลำคอของเด็กน้อยสวมสร้อยแปลกตาที่มีแหวนวงหนึ่งห้อยเป็นจี้ แหวนเพชรสีชมพูสวยทอประกายสวยสดใส เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับทุกคนวิ
‘และเธอเพิ่งตอบตกลงยอมแต่งงานกับผมเมื่อไม่นานมานี้’แวบหนึ่งเหมือนชายหนุ่มหันมองตรงมาด้วยแววตาอ่อนหวานทำให้วิศราหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นโครมคราม นี่เขากำลังประกาศแต่งงานออกสื่อ อลัน เลวิธ หนุ่มโสดเนื้อหอมคนนั้นเนี่ยนะ‘โอ...พระเจ้า’ พิธีกรสาวรุ่นเดอะยกมือทาบอก ทำตาโตเท่าไข่ห่าน เชื่อว่าหากเทปนี้ออกอากาศไป จะต้องเรียกเรตติงได้ถล่มทลายเลยทีเดียว ‘คุณพอจะบอกได้ไหมคะอลันว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น’คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคนถูกถามแต้มสีแดง นัยน์ตาสีเทาทอประกายพราวระยับ‘เธอเป็นดีไซเนอร์สาวชาวไทยครับ และเธอเป็นรักแรกพบของผม’วิศราแว่วได้ยินเสียงหวีดผ่านฝ่ามือที่ปิดปากของยุทธนา คำว่ารักแรกพบของเขาทำให้เพื่อนของเธอถึงกับเสียอาการไปไม่น้อยเลยทีเดียว“รักแรกพบ...”วิศราพึมพำเบาๆ สมองนึกย้อนไปถึงตอนที่เธอและเขาได้พบกันครั้งแรก จำได้ว่าเป็นตอนที่เธอใจลอยเดินตัดหน้ารถเขาเพราะกำลังช็อกที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ นี่เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้นเนี่ยนะมันใช่เหรอ‘ว้าววว ฟังดูโรแมนติกจัง คุณพอจะเล่าเหตุการณ์นั้นให้พวกเราฟังได้ไหมคะ’‘อืม...ตอนนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาทุนที่วิทยาลัยแฟชั่น และผมได้ร
“ว้าววว...สวยที่สุดเลย สวยอย่างกับเจ้าหญิงแน่ะค่ะ ลองส่องกระจกดูสิคะ”ประโยคนั้นของช่างแต่งหน้าทำให้หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างระหงในชุดเจ้าสาวที่ออกแบบและตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าลูกไม้ที่สั่งทอมาเป็นพิเศษเพื่อเธอโดยเฉพาะและเป็นชุดเดียวในโลกจากการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มชื่อดังของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Lewis โดยใช้โทนสีครีมอ่อนปนด้วยสีชมพูพาสเทลหวานละมุนไปทั้งตัวขับให้ผิวเนียนละเอียดของเธอเปล่งปลั่งงดงามเฉิดฉายราวกับเป็นเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปานวิศรามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกตื้นตันในหัวใจปนประหม่า เธอเป็นคนขอร้องให้เขาเลือกสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาว เพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาวที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วเขาก็เลือกสีนี้มาให้ด้วยเหตุผลว่าเขาอยากเห็นเจ้าสาวของตัวเองสวยหวานที่สุดในวันที่แสนพิเศษของเราคนเป็นเจ้าสาวยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาอาสาออกแบบตัดเย็บชุดนี้ให้เธอด้วยมือตัวเอง ทุกขั้นตอนทุกรายละเอียดที่เขาใส่ลงไปล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ และมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยช่างฝันตามประสาเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป เธอเคยจินตนาการถึงง
จริงอย่างที่อลันว่า พอได้ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นๆ หญิงสาวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา แต่ตอนที่กำลังจะลงไปด้านล่างเพื่อช่วยคนอื่นๆ ตามหาลูกสาว จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องแหวนที่วางอยู่บนหัวเตียง แหวนที่ได้จากปุริมาวันนั้นแหวนของนายปราบดา!อะไรบางอย่างทำให้ร่างระหงเดินย้อนกลับไปหยิบแหวนนั้นขึ้นมาเปิดดู ประกายจากเพชรสีชมพูสะท้อนวูบเข้านัยน์ตาจนแสบพร่า“นายยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า...” วิศรามองแหวนวงงามราวกับมันมีชีวิต “ถ้ายังอยู่แถวนี้ ช่วยให้ฉันตามหาลูกของเราให้พบด้วยนะคะ ขออย่าให้ลูกต้องเป็นอะไร อย่าให้อลิศเป็นอะไร ช่วยฉันด้วยนะคะ”ทันใดนั้น ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่างเธอไปทั้งๆ ที่หน้าต่างไม่ได้เปิด ราวกับใครบางคนได้ตอบรับคำขอนั้น หญิงสาวยิ้มกับตัวเองเศร้าๆ หากปราบดายังอยู่ตรงหน้า เธอคงไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเช่นนี้ คงชวนทะเลาะมากกว่า แต่เพื่อลูกสุดที่รัก สิ่งไหนที่พอจะยึดเหนี่ยวหรือช่วยทำให้สบายใจได้บ้าง เธอก็ยอมทำทั้งนั้นวิศราปิดกล่องแหวนนั้นแล้ววางมันไว้ที่เดิม ทว่าตอนที่เธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้นเอง จู่ๆ หูก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมา“ฮือๆ...” วิศราหันขวับอย่างตกใจ ก
งานแต่งงานของวิศราและอลันถูกตระเตรียมขึ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน แม้เจ้าสาวจะบอกว่าไม่ต้องการให้จัดงานใหญ่โตเอิกเกริก และอยากให้เป็นงานเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า ถึงกระนั้นทุกคนในบ้านอาภาพิพัฒน์ที่เพิ่งผ่านความเศร้าจากการสูญเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มยิ้มออกและกระตือรือร้นกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะนายผู้หญิงของบ้านอย่างปุริมาและนางรื่นรมย์ซึ่งถือเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของว่าที่เจ้าสาวกลายเป็นหัวเรือใหญ่ที่คอยเป็นธุระช่วยเหลือในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเต็มใจท่ามกลางความดีใจเหล่านั้น ทุกคนกลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เด็กหญิงอลิศทำหน้าหม่นหมอง ในมือกอดตุ๊กตาหมีที่แม่ของเธอให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อนแน่นราวกับมันกลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่ ก่อนค่อยๆ เดินแยกห่างออกมาเงียบๆ หลังจากเห็นทุกคนกำลังวุ่นวายจนลืมไปว่าวันนี้ยังมีความสำคัญกับใครอีกคน ไม่ทันไรทุกคนก็ลืมวันเกิดของเธอไปเสียแล้ว“พี่หมีจ๋า ทุกคนลืมวันเกิดอลิศหมดเลย ไม่มีใครรักอลิศแล้ว ไม่มีเลย...” เด็กน้อยขมุบขมิบงึมงำด้วยความรู้สึกว้า
คิดเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียกเข้ามา หญิงสาวยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นตรงหน้าจอ...อลัน เลวิธ!“คุณต้องเป็นญาติกับพ่อมดแน่ๆ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะกลับมา “รู้ได้ยังไงคะว่าคนแถวนี้กำลังคิดถึงคุณอยู่”“รู้ด้วยหัวใจไงครับ ใจของคนที่รักกันมักเชื่อมถึงกันเสมอ” เสียงทุ้มนุ่มหูตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน พาให้หัวใจคนฟังเต้นผิดจังหวะด้วยความเขิน“คุณทำอะไรอยู่คะ วันนี้งานยุ่งไหม”“ก็ยุ่งเหมือนทุกวัน แต่พอได้ยินเสียงคุณก็หายเหนื่อย”“ปากหวานจังนะคะบอส”“อย่างอื่นก็หวานนะ ถ้าคุณอยากชิมเมื่อไหร่ก็บอกได้เสมอ ถ้าเป็นคุณ ผมยินดีให้ชิมทั้งตัวทั้งใจเลย”วิศราหน้าแดงก่ำ ดีที่อีกฝ่ายอยู่ไกลถึงอีกซีกโลก หากเขายืนอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่กล้าสู้หน้า ตั้งแต่ผ่านเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายมา ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าเดิม“ทำไมนิ่งไปครับ คิดอะไรอยู่”“ฉันคิดถึงคุณ ถ้าตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็คงดีสิคะ”“อย่ามาทำให้ผมเคลิ้มเชียวนะวีวี่ คุณยังไม่รู้สินะว่าตอนนี้ผมแทบจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสายการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว นี่เพื่อนสนิทผมมันก็ร่ำๆ อยู่
วิศรานั่งฟังอย่างสงบ และเริ่มคิดตาม เพราะเป็นคนสำคัญที่สุดจึงต้องหวงแหน เขาก็คงเหมือนเธอที่หวงบิดาเพราะคิดว่าเป็นคนสำคัญเพียงคนเดียวในชีวิต อนิจจา...หากวันนั้นเธอไม่ก้าวร้าวพี่สาวของเขาก่อน หมอนั่นก็คงไม่คิดกำราบเธอด้วยวิธีป่าเถื่อนรุนแรงแบบนั้น เธอเองก็มีส่วนผิดที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องมันถึงเลยเถิดแบบนี้‘ฉันต้องขอโทษคุณแทนตาปราบด้วยนะคะ สำหรับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด’ ปุริมาเอ่ยอย่างจริงใจ ‘แล้วก็ต้องขอบคุณที่คุณยอมอโหสิให้เขา’วิศรามองสบตาแม่เลี้ยงเต็มๆ ตาโดยไม่มีอคติมาบดบังเป็นครั้งแรก ‘ฉันเองก็ผิดที่ทำตัวไม่ดีกับคุณเหมือนกัน ที่จริงฉันก็ไม่ได้ดีไปกว่าน้องชายคุณนักหรอกค่ะ’‘แต่อย่างน้อยคุณก็ยังโชคดีกว่าปราบตรงที่ยังมีลมหายใจ โชคดีที่มีคนที่คุณรักและรักคุณมากมาย ฉันขอพูดอะไรกับคุณอีกนิดได้ไหมคะ’วิศราพยักหน้ารับนิดๆ‘พูดมาสิคะ’‘ฉันคิดว่าตาปราบเขาแอบชอบคุณมาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันแล้วละค่ะ จำตอนที่เขาขับรถชนสุนัขของคุณได้ไหมคะ’แน่นอนว่าวิศราย่อมจำได้แม่น‘ที่จริงตาปราบก็ตกใจมากเหมือนกัน ทีแรกเขาก็ทำอะไรไม่ถูก ตั้งใจจะลงมาดูมาขอโทษคุณเพราะเขาเองก
ร่างเพรียวระหงของสตรีผู้หนึ่งยืนนิ่งปล่อยใจล่องลอยไปแสนไกล เธอกำลังทอดสายตามองท้องฟ้าที่ดูหม่นเศร้ายามที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ความเงียบสงัดทำให้ได้ยินแม้แต่เสียงใบไม้แห้งกรอบปลิวเมื่อยามต้องแรงลมราวกับท่วงทำนองบทเพลงแห่งชีวิตที่ทุกคนต้องเผชิญอย่างไม่อาจหลีกหนี แต่ก็มีในบางจังหวะที่ชวนให้คนฟังรู้สึกถึงความอ่อนหวานปนขมปร่าในหัวใจยามที่คิดถึงใครบางคนที่รักแต่จำต้องจากไปไกลแสนไกลนี่มันก็เกือบปีแล้วสินะที่เธอต้องอยู่โดยไม่มีเขา มันเหมือนจะยาวนาน แต่น่าแปลกที่เธอยังคงจำเหตุการณ์ต่างๆ ในวันวานที่ผ่านมาได้อย่างดีทีเดียวหลังจากเหตุการณ์ที่เธอโดนลอบยิงอย่างอุกอาจที่สวนอาหารแห่งนั้นไม่นาน ก็มีข่าวครึกโครมว่าตำรวจจับตัวคนร้ายได้ทว่าที่น่าตกใจกว่านั้นคือการที่คนร้ายซัดทอดว่า คนที่จ้างวานให้มายิงเธอนั้นคือ...พรีมโรส แฟนสาวของปราบดานั่นเอง ส่วนเหตุผลจูงใจของผู้หญิงคนนั้นวิศราก็เดาได้ไม่ยาก เพราะคงไม่พ้นเรื่องหึงหวง แต่แทนที่เธอจะโกรธแค้น น่าแปลกที่เธอกลับรู้สึกสงสารปนสังเวชใจที่นางแบบสาวที่กำลังมีอนาคตรุ่งโรจน์ผู้นั้นคิดตื้นๆ เลือกตัดอนาคตตัวเอง ทำในสิ่งที่ผิดจนทำให้คนที่เธอรักต้องจากไปตลอดกาล แถม
ตอนที่วิศราไปถึงหน้าห้องผ่าตัดมีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นั่นคือคณะที่พากันไปทัวร์สวนสัตว์วันนี้ที่พอรู้ข่าวก็คงรีบมาที่โรงพยาบาลกันทันที รวมถึงยุทธนาที่ตามมาหลังจากทราบข่าว สีหน้าทุกคนร้อนรนมีรอยกังวล แต่คนที่อาการหนักสุดเห็นจะเป็นพี่สาวของคนเจ็บนั่นเอง ใบหน้าซีดเผือดของปุริมายังคงเปื้อนคราบน้ำตา สิ่งเดียวที่คอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้แม่เลี้ยงของเธอล้มพับไปคือลูกสาวตัวน้อยที่นอนหลับซุกหน้ากับอกผู้เป็นแม่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่นเอง“แม่ส้มขา...” เสียงเรียกนั้นทำเอาวิศราสะดุ้งสุดตัว พอหันไปเห็นว่าเป็นใครเธอจึงอ้าแขนรับร่างป้อมที่วิ่งตรงมาหาโดยอัตโนมัติ “แม่ส้มเป็นอะไรคะ นั่น! ทำไมเลือดแม่ส้มออกเต็มเสื้อเลยคะ”รอยเลือดแห้งกรังที่อกเสื้อทำให้แม่คนช่างเจรจาสงสัย“ไม่ใช่เลือดแม่หรอกค่ะ แต่เป็นของ...”คนพูดกัดริมฝีปากแน่น ลมหายใจสะดุดเมื่อคิดถึงใบหน้าคนที่พุ่งเข้ามารับกระสุนพร้อมกับกอดเธอไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกวายร้ายนั่นทำอันตรายเธอได้ แต่คนช่วยกลับรับเคราะห์เสียเอง เลือดบนอกเธอก็คงเป็นเลือดเขานั่นเอง“เป็นยังไง...หมอว่ายังไงบ้างคะ” วิศราพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นทั้งที่ในใจเธอตอนนี้มันเต้นรัวด้วย