“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
“เพื่อนปรางค์สวยไหมคะพี่กันต์”
“เมื่อกี้เห็นหนูเพชรครั้งแรกก็บอกแม่ว่าหนูเพชรน่ารัก” ยังไม่ทันที่ชนกันต์จะตอบอะไรปรารถนาพวงทองก็แย่งพูดไปก่อน ทั้งยังไม่ค่อยจะครบถ้วนทุกคำที่เขาพูดเท่าไหร่เพราะเขาไม่ได้ชมแค่พิมเพพชรคนเดียว แต่หากเอ่ยเสริมเติมแต่งอะไรไปจะหักหน้าทุกคนจึงเลือกที่จะเงียบเอาไว้
“ขอบคุณนะคะพี่กันต์” สาวเจ้าที่รู้ตัวว่าถูกผู้ชายชมก็เริ่มมีท่าทีและน้ำเสียงขวยเขินจนออกนอกหน้า
“เราเข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ ผมหิวแล้ว”
“ไป ไป อาจะได้ให้แม่บ้านจัดโต๊ะอาหาร”
และแล้วมื้ออาหารเย็นวันนี้ก็เป็นมื้อที่ชนกันต์นั้นอึดอัดอีกครั้ง เพราะอาสะใภ้ของเขาดูจะยัดเยียดให้เขาดูแลพิมเพชรเป็นพิเศษ กว่าจะจบมื้อกลางวันได้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจจนรับประทานอาหารเที่ยงไม่อิ่ม
“หนูเพชรน่ารักดีไหมล่ะตากันต์” หลังจากชนกันต์กลับมาถึงบ้านไม่กี่นาทีอัญชลีก็รีบเฟสไทม์หาชนกันต์ทันที และแล้วชนกันต์จึงได้รู้ว่าแม่และอาสะใภ้ของเขาต้องร่วมมือกันในภารกิจดูตัวครั้งนี้แน่นอน
“ผมรู้ตัวคนสมรู้ร่วมคิดที่จับคู่ให้ผมแล้วล่ะครับ”
“อะไร ใครจับคู่ คิดไปเองหรือเปล่า แม่ไม่ได้ทำอะไรเลย” อัญชลียืนยันเสียงดัง แต่มีหรือชนกันต์จะดูอาการแม่ของตัวเองไม่ออก
“ไม่ค่อยจะร้อนตัวเลยนะครับคุณแม่”
“ทำอย่างกับลูกดูไม่ออก” มีเสียงของเตชธรรมแทรกเข้ามา ชนกันต์รู้สึขบขันที่พ่อตนกล้าที่จะเบรกคนเป็นแม่เพราะไม่ค่อยได้เห็นหรือได้เจอพ่อของเขาขัดแม่ตนบ่อยนัก
“คุณก็! ก็ฉันอยากอุ้มหลานนี่คะ คุณก็แก่ขนาดนี้แล้ว จะไปจากโลกนี้วันไหนก็ไม่รู้ไม่อยากอุ้มหลานบ้างหรือไง”
“อ้าว มาแช่งผมทำไม”
“ไม่ต้องเถียงกันครับ ไม่นานนี้อาจจะได้อุ้มกันสมใจครับ”
“จริงเหรอตากันต์ อย่าให้ความหวังแม่ลมๆ แล้งๆ นะ แม่ไม่ยอมจริงๆ ด้วย” อัญชลีละจากการเถียงกับสามีมามองจ้องหน้าจอด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ครับคุณแม่ แค่นี้ก่อนนะครับ” ชนกันต์วางสายจากพ่อกับแม่ได้ก็เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะตอนนี้รู้ตัวว่าได้เจอคนที่ถูกใจที่สามารถเรียกว่ารักแรกพบได้แล้ว
ชนกันต์ โสภาพีรวัตร ชายหนุ่มร่างสูงกำยำหน้าตาหล่อเหลาปานนายแบบที่หลุดมาจากนิตยสาร เขาอายุเข้า36 เป็นหนุ่มโสดโปรไฟล์ดีที่ค่อนข้างเนื้อหอมและทำงานเก่ง ตอนนี้ชายหนุ่มนั่งแท่นผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในกรุงเทพมหานครแทนคนเป็นพ่อและแม่ที่เกษียนตัวเองไปท่องเที่ยวรอบโลก
ในชีวิตมักจะถูกครอบครัวหาคนมาให้ดูตัวตลอดแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะสนใจใคร เพราะไม่เคยรู้สึกพิเศษกับใครได้สักคน จนมาเจอผู้หญิงตัวเล็กน่ารักน่าชังราวกับตุ๊กตาเดินได้ที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืน แล้วเธอก็ทิ้งของบางอย่างเอาไว้ให้เขาดูต่างหน้า เขาเป็นคนที่เชื่อเรื่องรักแรกพบ แม้จะเคยผิดหวังกับเรื่องนี้มาแล้ว แต่เขาก็เชื่ออย่างนั้นมาโดยตลอดไม่เปลี่ยนแปลง...
“เป็นอะไรของแก อาทิตย์ที่แล้วที่ไปเที่ยวไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้นมาบ้างหรือไง” ยาหยีเห็นเพื่อนรักเพื่อนเลิฟอย่างช่อแก้วนั่งเขี่ยลูกชิ้นในชามก๋วยเตี๋ยวพักใหญ่แล้ว จึงพอจะรู้ว่าเพื่อนเธอต้องมีเรื่องไม่สบายใจอีกแน่นอน
“กินเสร็จแล้วไปนั่งคุยกันที่หลังโรงเรียน” ดวงตากลมโตเหลือบมองยาหยีครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจและเอ่ยเสียงอ่อนออกมา
“งั้นรีบกินให้เสร็จเร็วๆ เลย” ยาหยีแทบยจะยกถ้วยก๋วยเตี๋ยวซดเสียให้ได้ เพราะดูพฤติกรรมของช่อแก้วออกว่าเรื่องที่ช่อแก้วจะคุยกับเธอต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน
สองสาวใช้เวลาอยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยวกลางหมู่บ้านไม่กี่นาทีก็พากันขับมอเตอร์ไซต์คันเก่งมานั่งคุยกันที่สวนหย่อมหลังโรงเรียนวัด ที่เก่าเจ้าประจำที่พวกเธอสองคนชอบมานั่งคุยกันเวลามีเรื่องที่เดือดร้อนใจ
“ถ้าฉันเล่าอะไรให้แกฟัง แกเงียบเอาไว้ด้วยล่ะ”
“โอเค๊... เล่ามา”
“เสียงสูงจนฉันไม่อยากเล่าเลย”
“เล่ามาเหอะน่า แกไม่เล่าให้ฉันฟังจะไปเล่าให้หมาที่ไหนฟัง มีฉันเป็นเพื่อนอยู่คนเดียวเนี่ย”
“ถ้วยฟูไง” ช่อแก้วเอ่ยถึงลูกหมาสีน้ำตาลตัวกลมที่เชอเอมน้องสาวของเธออุ้มกลับมาจากกรุงเทพมหานครเพราะเห็นมันน่าสงสาร
“โอ้ย... ไม่เล่าก็ไม่ฟัง” ยาหยีลุกยืนพรวดยกมือเท้าเอวด้วยท่าทางอารมณ์เสียที่ช่อแก้วเอาแต่ลีลากวนประสาทเธออยู่นั่น
“เล่าก็เล่า แต่ระวังเมาน้า” ช่อแก้วต้องรีบดึงแขนยาหยีให้เพื่อนเธอนั่งลงอีกครั้ง
“เอ๊ะแก้ว... แกจะหยุดปัญญาอ่อนกี่โมง”
“11โมง นี่ไงเวลานี้พอดี อิอิ”
“ยังอี๊ก...” คราวนี้ยาหยีไม่ได้จะลุกหนีแต่เป็นง้างมือจะฟาดหลังช่อแก้วแทน
“เออ เล่าแล้ว ขี้วีนเป็นคนวัยทองไปได้” สุดท้ายช่อแก้วก็ต้องเอ่ยเล่าเรื่องที่เธอไปเจอมาเมื่อตอนที่ไปเที่ยวสระบุรีให้ยาหยีได้ฟัง
“หา!...” ยาหยีฟังเรื่องราวทุกอย่างก็นั่งอ้าปากค้าง ตกใจพอสมควร เพราะที่ยุให้ช่อแก้วไปเที่ยวเพื่อไปผ่อนคลายความเครียดไม่คิดว่าเพื่อนรักจะต้องไปเสียตัวที่นั่น
“หาอะไรฉันช่วยไหม”
“ไอ้แก้ว! มันใช่เวลาตลกไหม นี่... นี่แกเสียตัวให้ใครก็ไม่รู้งั้นเหรอ”
“เออ... แต่เค้าก็หล่อดี หล่อมาก หล่อมากๆ เลย อายุน่าจะ 28 - 29 ประมาณนี้มั้ง”
“ป้องกันไหม”
“จำอะไรไม่ได้ ชื่อเค้าฉันยังไม่รู้เลย”“อายุเท่านี้ แถมหล่อมาก แล้วก็ลากแกไปนอนด้วยง่ายๆ ท่าทางจะช่ำชองเรื่องนี้ ไม่แน่อีตาคนนั้นที่เรากำลังพูดถึงอยู่อาจจะเป็นโรคติดต่อก็ได้” ยาหยีลุกขึ้นเดินกอดอกทำหน้าครุ่นคิด“กะ...แก มะ...หมายถึงเอดส์น่ะเหรอ” ช่อแก้วที่นั่งหน้าห่อเหี่ยวคราแรก ตอนนี้เธอเริ่มจะห่อเหี่ยวกว่าเดิม“ก็เออดิ ตกลงแกจำไม่ได้จริงๆ เหรอว่าป้องกันหรือเปล่า”“หึ... ไม่ได้คิดมาก่อนเลยนะเนี่ย คิดแค่เสียตัวให้คนที่ไม่ใช่แฟนก็หดหู่มาหลายวัน มาปรึกษาแกได้เรื่องหดหู่มาอีกเรื่องนึงอีก ฉันจะหายเครียดวันไหน” เจ้าของเรื่องวุ่นวายนั่งชันข้อศอกกับโต๊ะหินอ่อนกุมขมับหนึบ“ฟังดูแกดีใจใช่ไหมเนี่ยที่มีฉันเป็นเพื่อน”“เออ แกเตือนเรื่องที่ฉันคิดไม่ค่อยได้ไง เอาไงดีอะ”“ไปปรึกษาหมอตรวจโรคติดต่อไหม”“ที่ไหนอะ ถ้าที่โรงพยาบาลในอำเภอฉันไปตรวจเรื่องได้ถึงหูแม่กับพ่อแน่” เธอไม่สามารถไปตรวจโรคที่โรงพยาบาลในอำเภอได้แน่นอนเพราะญาติเธอเป็นพยาบาลที่นั่น แม้เธอจะเชื่อว่าแพทย์หรือพยาบาลมีจรรยาบรรณในการปกปิดข้อมูลแต่เธอก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี“งั้นไปกรุงเทพไหม บอกพ่อกับแม่แกว่าไปเยี่ยมเอมไง”“อ่อ... ก็ดีนะ” ช่อแก้วพอ
สองศรีพี่น้องมาถึงร้านหมูกระทะที่ไม่ห่างจากหอพักได้ก็ไปหยิบอาหารมาวางเรียงรายเต็มโต๊ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะกินทุกอย่างไม่หมด เพราะกระเพาะของพวกเธอรองรับอาหารได้เยอะอยู่แล้ว“แล้วอาทิตย์ที่แล้วทำไมพี่โทรหาเราไม่ติดเลย” หลังจากนั่งรับประทานหมูย่างกันมาพักใหญ่ช่อแก้วก็ไม่ลืมที่จะถามถึงเรื่องที่เธอติดต่อเชอเอมไม่ได้เป็นอาทิตย์ เชอเอมที่กำลังมีความสุขกับการกินเธอก็เริ่มหน้าเจื่อนเพราะมีเรื่องบางเรื่องในใจที่ไม่ได้อยากจะบอกใคร“อ๋อ...โทรศัพท์มันไม่ค่อยดี แต่เอาไปซ่อมแล้ว”“อืม... เครื่องนี้ก็ใช้มานานแล้วนี่เนอะ เดี๋ยวพี่พาไปซื้อใหม่” ช่อแก้วหยิบมือถือของน้องสาวขึ้นมาดูก็เห็นว่าเครื่องมันถลอกไปหมดแล้วแถมหน้าจอก็ลายจนไม่รู้จะลายยังไงจึงอยากจะเปลี่ยนให้เชอเอมใหม่“ไม่เอา เครื่องนี้ยังใช้ได้ ให้มันพังจริงๆ แล้วค่อยซื้อ”“งกเหมือนกันนะเราเนี่ย” อันที่จริงเชอเอมก็อยากจะมีมือถือเครื่องใหม่ๆ ใช้อย่างวัยรุ่นคนอื่นๆ ทั่วไปที่เค้าใช้กัน แต่เธอก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ควรใช้อะไรฟุ่มเฟือยเกินจำเป็นในขณะที่ตัวเองยังหาเงินได้ไม่มาก เงินจากงานพาร์ทไทม์ก็ต้องเอามาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพราะไม่อยากรบกวนเงินของพี
“ไม่รู้เหมือนกันแต่ก็ต้องคว้าเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปคุยงาน” ช่อแก้วยังคงพูดเสียงสั่นและเดินไปเดินมาตื่นเต้นและดีใจไม่หายที่ยื่นใบสมัครงานยังไม่ทันข้ามวันเธอก็ได้รับการตอบกลับจากโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแล้ว ไม่รู้หรอกว่าการทำงานร่วมกับผู้อื่นจะง่ายหรือไม่ง่ายแต่เมื่อเห็นจำนวนค่าตอบแทนแล้วเธอก็มีกำลังใจที่จะสู้สุดตัวเช้าวันนี้ช่อแก้วรีบมาที่โรงพยาบาลก่อนเวลานัด เพราะตื่นเต้นที่จะได้มาคุยรายละเอียดงานว่าต้องทำอะไรบ้าง แลกกับเงินเดือนที่ค่อนข้างสูงสำหรับคนที่ไม่เคยทำงานประจำมาก่อนอย่างเธอ“ฉันช่อแก้วค่ะ ฉันได้รับการติดต่อให้มาคุยรายละเอียดงานที่นี่วันนี้ค่ะ” ช่อแก้วที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูกับกางเกงขายาวสีดำเดินตรงไปยังพนักงานต้อนรับและแจ้งธุระให้พนักงานต้อนรับสาวสวยได้ทราบด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม“อ๋อ... ตามดิฉันมาทางนี้เลยค่ะ”“ค่ะ” ช่อแก้วเดินตามพนักงานต้อนรับสาวสวยท่าทางเกร็งๆ เล็กน้อย พอจะถึงหน้าลิฟท์เธอก็เริ่มเกร็งหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่เธอได้นอนกับเขาในครั้งที่ไปเที่ยวน้ำตกคนเดียว“ขอตัวสักครู่นะคะ” เธอรีบรั้งพนักงานต้อนรับสาวให้เธอชะงักฝีเท้าที
“ฉวยโอกาสงั้นเหรอ อืม..ก็แล้วแต่คุณจะคิด คุณพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีเหมือนกัน นี่” ชนกันต์วางถุงกระดาษเล็กๆ ตรงหน้าช่อแก้ว“คุณลืมไว้ ผมให้แม่บ้านซักทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้ว”ช่อแก้วหยิบถุงกระดาษถุงเล็กออกมาแง้มดูเมื่อสายตาปะทะเข้ากับชิ้นผ้าสีชมพูเธอก็จำได้ทันทีว่ามันคือกางเกงในของเธอที่ลืมเอาไว้ในห้องของเขาคืนนั้น สาวเจ้านั่งก้มหน้างุดด้วยความประหม่าขวยเขินเพราะไม่คิดว่าเขาจะเก็บมันเอาไว้ด้วย“แล้วเรื่องเงินที่ผมต้องจ่ายเป็นค่าตัวคุณ คุณยังอยากได้อยู่ไหม”“ค่าตัว!... นี่คุณกำลังดูถูกฉันอยู่ใช่ไหม” เธอลุกขึ้นพรวดเท้าเอวส่งเสียงแข็งใส่ชาหยนุ่มตรงหน้า“วันนั้นคุณเป็นคนตะโกนว่าอะไรจำไม่ได้เหรอ” ชนกันต์รีบรั้งคนตัวเล็กให้นั่งลงเพราะเธอกำลังทำกิริยาไม่มีมารยาท“อ่อ... ใช่” ช่อแก้วเริ่มเสียงอ่อนอีกครั้งเมื่อจำได้ว่าตัวเองได้พูดอะไรออกไปก่อนที่สติจะเลือนหาย“คุณจะจ่ายให้ฉันเท่าไหร่”“สี่ล้านห้าแสนบาท”“ฮะ!...”“แต่ผมยังไม่ให้คุณตอนนี้ คุณต้องเซ็นสัญญาที่นี่ก่อน แล้วเช็กเงินสดนี้จะเป็นของคุณ”“โอเค” ช่อแก้วรีบล้วงปากกามาเซ็นเอกสารที่ชนกันต์ยื่นให้โดยที่ไม่คิดจะอ่านก่อน เพียงแค่เห็นเช็กเงิ
“น่าสงสาร” ช่อแก้วได้ยินคำตอบตรงไปตรงมาของชนกันต์ก็มีสีหน้าห่อเหี่ยว เพราะรู้ดีว่าการมีความรักที่ไม่สมหวังมันน่าเจ็บปวดใจแค่ไหน“คุณล่ะมีคนที่ชอบหรือเปล่า” เป็นฝ่ายชนกันต์ที่ตั้งคำถามเรื่องความรักกับช่อแก้ว เขาหันหน้ามามองจ้องเธอจริงจังเพราะอยากจะรู้ว่าหญิงสาวมีใครในใจแล้วหรือยัง“ก็... มี แต่ฉันกับเค้าไม่มีทางมารักกันได้อยู่แล้ว”“ทำไม”“ขี้เกียจบอก จบนะ”“ชอบเค้ามากใช่ไหม”“ตอนนี้ก็ไม่มากเท่าไหร่แล้ว” ช่อแก้วเอ่ยเสียงอ่อนส่ายหัวน้อยๆ พลางก้มหน้างุด“อืม ดีแล้ว อ่อ... ผมเห็นว่าวันที่เราเจอกันในครั้งแรกคุณเครียดใช่ไหม ถึงได้ดื่มหนักจนไม่มีสติแบบนั้น”“อืม บ้านฉันเป็นหนี้เยอะ น้องสาวฉันก็กำลังจะเรียนจบต้องใช้เงินเยอะ อีกอย่างฉันก็เครียดที่ฉันหาเงินได้ไม่มากพอที่จะช่วยเหลือครอบครัว แล้วก็เรื่องงานของฉันอีก เฮ้อ...พูดแล้วก็เครียด”“แล้วเงินที่ได้ไปจากผม พอหรือเปล่า”“พอสิ...เยอะมากเลย” สาวเจ้าพยักหน้าหงึกหงัก“แล้วคุณจะบอกแม่คุณว่าไง เรื่องเงินที่หาได้”“อืม...นั่นน่ะสิ จะบอกความจริงก็ไม่กล้า” เป็นอีกเรื่องที่ช่อแก้วต้องหนักใจอีกแล้ว“ก็บอกว่าแฟนให้ แฟนรวยมาก เอางี้ดีกว่าผมไปบอกแม่คุณเอง
“เราคุยกันทางออนไลน์จะ”“เราคบกันมาสักพักแล้วครับ ผมเลยอยากมาฝากตัวกับคุณพ่อคุณแม่”“อ่อ... มานั่งข้างในก่อนลูก” หลังหายตกใจไปได้บ้างชบารีบเดินนำทั้งสองให้เข้ามานั่งที่แคร่ไม้ใต้ถุนบ้าน“แล้วนี่พ่อไปไหนจ๊ะ” ช่อแก้วชะเง้อมองซ้ายมองขวาเธอก็ไม่ยักจะเห็นคนเป็นพ่ออีกทั้งรถไถที่จอดอยู่ข้างบ้านก็ไม่อยู่จึงรีบถามหา“เอารถไถออกไปไถที่ให้ป้าผันน่ะสิ เค้ามาจ้างเมื่อวาน”“หมอบอกไม่ให้พ่อโดนฝุ่นเยอะไม่ใช่เหรอ ทำไมไปรับงานล่ะ” คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดขึ้นทั้งพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก เพราะพ่อของเธอมีอาการเหนื่อยง่ายเพราะเป็นถุงลมโป่งพอง ทั้งที่หมอก็ห้ามทำงานหนักและงานที่จะได้รับฝุ่นละอองหรือสารเคมีเยอะแต่พ่อของเธอก็ยังจะไปทำ“ก็... แม่ยังไม่ได้จ่ายค่าไฟ” ชบาเอ่ยเสียงอ่อน ไม่ได้อยากจะพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าชายหนุ่มที่เพิ่งเจอหน้านัก แต่ก็ต้องรีบบอกกับช่อแก้วให้รับรู้ถึงความจำเป็น“แล้วทำไมไม่บอกแก้วล่ะ” สาวเจ้าเริ่มมีน้ำเสียงขุ่นขึ้นไปอีก ส่วนชนกันต์ก็นั่งเงียบตามมารยาทแต่ก็แอบรู้สึกสงสารครอบครัวของช่อแก้วอยู่ลึกๆ“ช่างเถอะๆ แล้วนี่กินอะไรกันมาหรือยัง”“ยังจะ”“เดี๋ยวแม่ไปทำกับข้าวให้
หลังจากเข้าไปช่วยแม่ทำอาหารเย็นได้พักใหญ่ ช่อแก้วก็เดินตามหาชนกันต์ไปรอบบ้าน สุดท้ายก็มาเห็นชายหนุ่มเดินอยู่กลางทุ่งนาไกลๆ ให้เดาคงเป็นเจ้าถ้วยฟูวิ่งนำหน้าพาไปแน่นอน“คุณกันต์คะ... มากินข้าวได้แล้ว พาถ้วยฟูมาด้วยค่า” “โอเค...” ชนกันต์ตะโกนตอบรับช่อแก้วก่อนจะหันมาวิ่งตามเจ้าสุนัขตัวกลมที่วิ่งเข้าไปมุดอยู่โพลงไม้ใหญ่ใต้เถาหญ้าที่ขึ้นปกคลุมเป็นพุ่มใหญ่“จะวิ่งไปไหนถ้วยฟู ถ้วยฟู” เขารีบคลานมุดเข้าไปจับเจ้าถ้วยฟูที่มุดเข้าไปในโพลงไม้ เมื่อคว้าตัวได้ก็รีบอุ้มเจ้าสุนัขตัวกลมสาวเท้าเดินกลับมาที่ใต้ถุนบ้านด้วยความรวดเร็ว เมื่อมาถึงเขาก็ปล่อยเจ้าถ้วยฟูลงพื้นหลังจากนั้นเจ้าสุนัขตัวกลมก็วิ่งโล่เข้าไปหาช่อแก้วที่กำลังถือกะละมังข้าวทันที“ถ้วยฟูมากินข้าว” ช่อแก้ววางกะลังมังข้าวที่คลุกกับไก่ต้มได้เจ้าถ้วยฟูก็สวาปามเสมือนว่ากำลังได้กินอาหารอันโอชา หน้าซุกอยู่กับข้าวไม่ยอมห่างส่วนหางสั้นๆ ก็กระดิกไปมาแสดงอาการมีความสุข จนชนกันต์ที่จ้องมองภาพนั้นอดรู้สึกมีความสุขไปกับเจ้าสุนัขตัวกลมไม่ได้“ถ้วยฟูไม่ได้กินอาหารเม็ดเหรอ”“สลับกินข้าวกับไก่ต้มบ้าง อาหารเม็ดบ้าง เลี้ยงอาหารเม็ดอย่างเดียวก็เปลือง แล้วนี่คุ
“แกจะไปรับงานอีกแล้วเหรอ แล้วชวนเชอเอมด้วยหรือเปล่า”เสียงที่แว่วเข้ามาในขณะที่เชอเอมกำลังจะออกจากห้องน้ำของตึกในคณะทำให้เธอชะงักการเปิดประตูเอาไว้ก่อน เพราะจำน้ำเสียงนั้นได้ว่าเป็นเสียงของลูกน้ำเพื่อนที่เรียนในคณะเดียวกันและเป็นเพื่อนร่วมงานพิเศษที่เธอเคยไปรับงานมาด้วย“ก็อยากชวนนะ โง่ดี แกรู้รึเปล่าตอนนั้นฉันบอกว่าผู้ชายไม่ประทับใจนางแล้วไม่จ่ายเงินนางก็เชื่อ” หญิงสาวหน้าสวยหุ่นเซ็กซี่อย่างแตงกวาเอ่ยขณะเติมลิปสติกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเมื่อพูดถึงเชอเอม“อ้าว สรุปแกก็ได้สองเท่าเลยสิ” ลูกน้ำเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขัน เธอรู้ว่าเชอเอมเป็นคนซื่อแต่ก็ไม่คิดว่าจะซื่อจนขนาดที่เสียตัวแล้วคิดว่าตัวเองไม่ได้เงินจริงๆ“ช่วยไม่ได้ อยากโง่เอง ฉันเลยได้กระเป๋าใบใหม่มานี่ไง”เชอเอมยืนกำหมัดแน่นจากที่เป็นคนใจเย็นเธอก็รีบพรวดออกจากประตูหมายจะไปต่อว่าแตงกวาทันที“ฉันไม่คิดว่าเธอจะขี้โกงฉันแบบนี้เลยแตงกวา”“แล้วเธอจะทำอะไรฉัน” แม้แตงกวาจะตกใจอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่ได้กลัวเชอเอม จึงตอกหน้าหญิงสาวกลับด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่กวนอารมณ์ฟึ่บ...ปึก ปึก เชอเอมรวบกระเป๋าใบใหม่ของแตงกวาทิ้งลงพื้นและกระทืบกระเป๋าของแตงกวา
วันเวลาของความสุขพ้นผ่านมาจนกระทั่งถึงวันแต่งงานของช่อแก้วและเชอเอม ว่าที่คู่บ่าวสาวสองคู่ค่อนข้างมีความสุขมากเป็นพิเศษ รวมไปถึงคนอื่นๆ ในครอบครัวของคู่บ่าวสาวด้วยงานแต่งของสองคู่บ่าวสาวจัดขึ้นที่โรงแรมหรูริมทะเลภูเก็ต งานแต่งเป็นแบบเรียบง่ายมีแต่คนสนิทที่เข้ามาร่วมงานเพราะทั้งสองคู่บ่าวสาวต้องการที่จะรับรองแขกด้วยตัวเองแบบเต็มที่“คุณอาสะใภ้ของฉันสวยจังเลยวันนี้” วิวาห์รินทร์เดินเข้ามาหาเพื่อนรักที่อยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีขาวกระโปรงบานแบบเรียบง่าย เพราะตอนนี้เพื่อนเธอจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างอคดอัดนานๆ ไม่ได้เนื่องจากท้องเริ่มโตมากแล้ว แต่ไม่ว่าเชอเอมจะอยู่ในชุดไหนเมื่อได้แต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องสำอางเมื่อไร่ เธอก็จะดูเด่นเป็นสง่าทุกครั้งไป“เรียกฉันแบบเดิมสิ” เจ้าสาวคนสวยเริ่มบุ้ยปาก เพราะค่อนขางขัดหูกับคำว่าตัวเองเป็นคุณอาของเพื่อนพอสมควร“จะเรียกแบบไหนตอนนี้สถานะของแกก็คืออาสะใภ้ของฉัน ถึงว่าเมื่อก่อนมีหนุ่มๆ รุ่นเดียวกันมาขายขนมจีบแกตั้งเยะแต่แกไม่สนเพราะรักคนแก่นี่เอง”“เมื่อกี้พูดว่าใครแก่นะ”“เอ่อ...ก็ หมายถึงคุณอาแก่ว่าเอมตั้งหลายปีค่ะ” วิวาห์รินทร์หน้าเสียเมื่อนคินทร์ดัน
“ลูกจะไม่เคืองเราแน่นะแม่” ณรงค์ค่อนข้างหวั่นใจอยู่พอสมควร รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกับภรรยากำลังหลอกลวงลูก เพราะแขกที่ชบาบอกให้เชอเอมรอต้อนรับคือนคินทร์ ผู้ชายที่โทรมาสารภาพเรื่องราวว่าตัวเองเป็นคนทำเชอเอมท้อง ถึงเขาจะบอกเหตุผลที่หายหน้าไปจากเชอเอมอย่างไม่บอกไม่กล่าวจนเขาและภรรยาเข้าใจดี แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเชอเอมจะยอมรับฟังและเชื่อในสิ่งที่นคินทร์ต้องการมาสารภาพหรือไม่“เรื่องเคืองไม่เคืองแม่ไม่สนใจหรอกพ่อ แค่เห็นลูกเรากลับมามีความสุขได้อีกครั้งเป็นพอ”“แล้วจะเชื่อใจนคินทร์ได้เหรอ ว่ากลับมาง้อลูกเราแล้วจะทำให้ลูกเรามีความสุขน่ะ”“ค่อยๆ ดูกันไป แค่นคินทร์มาสารภาพผิดกับเราแล้วบอกว่าจะรับผิดชอบยัยเอมทุกอย่างแม่ก็ถือว่าเค้าเป็นลูกผู้ชายพอตัวนะพ่อ” ชบาเห็นว่าหากมีโอกาสที่จะทำให้หลานของเธอมีครอบครัวที่สมบูรณ์เธอก็พร้อมจะทำ หลังจากนคินทร์มาสารภาพความจริงกับลูกสาวเธอแล้ว ตอนนั้นลูกสาวของเธอตัดสินใจอย่างไรเธอก็พร้อมจะยอมรับและอยู่เคียงข้างลูกเสมอครืน ครืน เสียงฟ้าร้องดังถี่ขึ้น ทั้งท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งอยู่คราแรกก็เริ่มมืดครึ้ม คนที่กำลังเตรียมวัตถุดิบทำกับข้าวอยู่ในครัวจึงรีบล้างไม้ล้างมือและเดินออ
“อะ...เอมท้องเหรอ” คนที่เดินเข้ามาหน้าระรื่นคราแรกตอนนี้เริ่มมีสีหน้าเจื่อนลงและกลืนน้ำลายไม่ลงคอ เพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นคนแรกของเชอเอม“ใช่ค่ะ แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าพ่อเด็กเป็นใคร แถมยังบอกว่าจะเลี้ยงลูกคนเดียวอีก ผู้ชายคนนั้นคงทำเลวกับเอมเอาไว้เยอะน่าดูเลย แต่ยังไงหวานใจก็อยากรู้ว่ามันเป็นใครอยู่ดีค่ะ”นคินทร์ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร อาการของน้องชายที่กำลังเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้นครามั่นใจว่าน้องตนนี่แหละตัวต้นเหตุทำให้เพื่อนของลูกสาวเขาท้องป่องอยู่ตอนนี้“อ้อ... รู้หรือเปล่าคะว่าคุณอากันต์กำลังจะแต่งงานกับพี่แก้วพี่สาวของเอมด้วย”“แต่งงาน! อาไม่เห็นรู้เรื่อง” เรื่องแรกยังคงตกใจไม่หายตอนนี้มีเรื่องให้เซอร์ไพรซ์อีกเรื่องแล้ว“แล้วก่อนหน้านี้ให้คนอื่นติดต่อได้ไหมล่ะคะ”“พ่อไม่นึกว่าอากันต์กับอาของลูกจะชอบอะไรเหมือนๆ กัน จนกระทั่งวันนี้นะ” นคราพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ค่อนข้างมีเลศนัย“หมายความว่ายังไงคะคุณพ่อ”“เปล่า... พ่อก็พูดไปงั้น”“ไหนๆ ก็มาแล้วกินข้าวเย็นด้วยกันเลยนะคะ วันนี้มีฉู่ฉี่ปลากระพงของโปรดอาคินทร์ด้วย” วิวาห์รินทร์ยกมือเรียกแม่บ้านให้เอาจานมาให้ก่อนจะลุกตักข้าวและอาหารใ
หลังจากคุยกับหมอสาวเรียบร้อยช่อแก้วพยายามทำใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอเดินเข้ามาในห้องพักฟื้นของเชอเอมที่ตอนนี้มีวิวาห์รินทร์และชนกันต์ยืนเฝ้าน้องสาวเธออยู่ก่อนหน้าแล้ว“เอมท้องกับใคร?”“หา...” คำถามที่ช่อแก้วถามเชอเอมทำสองหนุ่มสาวอย่างวิวาห์รินทร์และชนกันต์มองหน้ากันด้วยสีหน้าตกใจ เมื่อครู่พวกเขาทั้งสองพยายามถามอาการชองเชอเอมแต่เธอก้ไม่ยอมตอบคงเป็รเพราะคำตอบมันเป็นสิ่งที่หญิงสาวไม่อยากตอบนี่เองวิวาห์รินทร์ค่อนข้างตกใจกว่าใครเพื่อน เพราะเธอเป็นเพื่อนที่สนิทกับเชอเอมและรู้ดีว่าเพื่อนเธอไม่มีแฟน แต่ทำไมตอนนี้ถึงตั้งท้องขึ้นมาได้ สาเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เชอเอมกลับมาอยู่ต่างจังหวัดกะทันหัน“เอม... คือ...” เชอเอมนั่งอ้ำอึ้งและมีน้ำตาเอ่อคลอออกมา“บอกกับพี่มาเถอะเอมว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เรื่องท้องมันเรื่องใหญ่มากนะเอม” ช่อแก้วยืนกำมือแน่นเธอเริ่มเสียงแข็ง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเชอเอมไม่พูดออกมาว่าพ่อของลูกเป็นใคร แล้วไปพบไปเจอกันตอนไหน“ทำไม ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันบังคับเอมแล้วไม่รับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นใช่ไหม” ช่อแก้วเริ่มคิดไปต่างๆ นาๆ เธอเริ่มเสียงดังมากขึ้นเมื่องัดความจริงจากปากของน้
หลังจากทนเหงามาเป็นเดือนๆ วิวาห์รินทร์ก็ต้องขับรถถ่อมาที่บ้านของเชอเอมเพราะทนคิดถึงเพื่อนรักไม่ไหว ก่อนหน้านี้เคยเจอหน้ากันแทบทุกวันเพราะต้องเรียนด้วยกัน แต่หลังเรียนจบก็ไม่ค่อยได้เจอกันไหนเชอเอมจะกลับมาอยู่ต่างจังหวัดอีกเธอจึงรู้สึกเหงาเป็นพิเศษ“แกกลับมาอยู่ที่นี่ฉันเหงามากเลยรู้ไหม”“หลังรับปริญญาก็น่าจะไม่เหงาแล้วมั้ง เดี๋ยวก็ได้เข้าไปทำงานในบริษัทคุณพ่อแกแล้ว”“ไม่มีแกยังไงก็เหงา จะไม่ไปทำงานกับฉันจริงๆ เหรอ” วิวาห์รินทร์เริ่มถามคำถามเดิมๆ ที่แม้จะรู้ว่าไม่ค่อยมีความหวังแต่ก็อยากจะลองถามดู“อยากอยู่ช่วยพ่อกับแม่มากกว่า แกเข้าใจฉันนะ” เชอเอมก็ตอบคำถามคำเดิมกับวิวาห์รินทร์เช่นกัน เพราะที่เธอเลือกจะกลับมาอยู่ที่บ้านก็เพื่อเลี่ยงการได้เจอหน้ากับนคินทร์เป็นเหตุผลหลัก เพราะตั้งแต่เขานอนกับเธอแล้วหายหน้าไปก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าเธอไม่ควรรู้สึกดีและอยู่ใกล้กับผู้ชายอย่างเขา“โอเค เข้าใจก็ได้ อ่อ...ก่อนหน้านี้คุณอาได้ติดต่อกับแกบ้างหรือเปล่า ช่วงนี้ฉันติดต่อคุณอาไม่ได้เป็นเดือนๆ แล้ว”คำถามของวิวาห์รินทร์ทำเชอเอมหน้าเสียเพราะอุตส่าห์เลี่ยงทุกอย่างที่จะทำให้นึกถึงนคินทร์แล้ว วิวาห์รินทร์ก็ต้อ
นคินทร์ยอมรับว่าตอนนี้กำลังไม่พอใจเชอเอมเอามากๆ เมื่อรถตู้จอดที่หน้าคอนโดได้เขาก็รีบลากหญิงสาวให้ขึ้นมาที่ห้องด้วยกัน หัวใจของเชอเอมตอนนี้เต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะไม่คิดว่าการที่เธอออกไปจากคอนโดของเขาโดยที่ไม่บอกกล่าวกันต่อหน้าจะทำให้นคินทร์ดูไม่สบอารมณ์มากขนาดนี้“หนีออกมาทำไม” เข้าห้องมาได้ชายหนุ่มก็รวบกอดคนตัวเล็กและดันตัวเธอให้หลังติดกำแพง แววตาแข็งกร้าวและน้ำเสียงที่แสดงออกถึงอาการขุ่นเคืองทำเชอเอมเริ่มกลัวท่าทีของนคินทร์“เอ่อ... เอมแค่กำลังจะกลับบ้านในระหว่างที่รอรับปริญญาค่ะ” เธอก้มหน้างุดไม่ยอมสบตากับเขาทั้งยังรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ตัวของเธอกำลังสั่นและอีกฝ่ายก็น่าจะรู้สึกได้เหมือนกัน“ก็บอกกันต่อหน้าก็ได้ แน่ใจนะว่าไม่ได้โกรธเคืองอะไรผม”เชอเอมเอาแต่เงียบก้มหน้างุด เธอพูดความรู้สึกในหัวใจของเธอไม่ได้เพราะหากพูดออกไปนคินทร์ต้องรู้แน่นอนว่าเธอกำลังคิดอะไรกับเขา“เรื่องที่วีวี่พูดใช่ไหม ผมเห็นจากกล้องวงจรปิดหมดแล้วว่าเธอไปดักรอคุณที่หน้าห้อง เชื่อสิ่งที่เธอพูดหรือเปล่า” เขารู้เรื่องราวที่วีวี่พูดกับเอชเอมทั้งหมดเพราะสังหรณ์ใจตั้งแต่เห็นจดหมายลาของเชอเอมจึงรีบไปขอดูกล้องวงจรปิดของค
~ ตื๊ด ตื๊ด “ครับสารวัตร... ครับ ขอบคุณมากครับ” ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งอมทุกเสียงของปลายสายที่โทรมาบอกข่าวดีก็ทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายความตึงเครียดได้ลง เพราะตอนนี้สามารถช่วยชนกันต์จากกลุ่มโจรได้แล้ว แถมพวกโจรทุกคนยังถูกจับกันครบแล้วด้วยหลังจากทุกคนรู้ว่าชนกันต์บาดเจ็บเล็กน้อยและตำรวจนำส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในตัวอำเภอทุกคนต่างก็มากันที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ส่วนปกป้องและปรารถนาก็ประสานงานเรื่องการดำเนินคดีกับเหล่าคนร้ายที่สถานีตำรวจ“เป็นไงบ้างตากันต์” อัญชลีเดินดุ่มเข้ามาหาชนกันต์ได้เธอก็กวาดสายตามองตามตัวของลูกว่ามีตรงไหนสึกหรอไปบ้าง เมื่อเห็นว่าทั้งตัวมีแค่รอยช้ำกับแผลที่หางคิ้วจึงพอจะโล่งใจไปได้บ้าง“ไม่เป็นไรมากครับคุณแม่ ได้ช่วยตำรวจจับโจร ถือว่าเป็นประสบการณ์สนุกดี” ชนกันต์ยังสามารถมีรอยยิ้มให้กับทุกคนได้เพราะเขาไม่อยากให้คนที่มาเยี่ยมรู้สึกหดหู่“สนุกบ้าอะไรของคุณ ฉันเป็นห่วงคุณแทบแย่ ฮือ ฮือ...” เป็นช่อแก้วที่ตะโกนต่อว่าชนกันต์ปนเสียงสะอื้นเธอยืนปาดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งดีใจทั้งเป็นห่วงชายหนุ่มไปในคราเดียวกัน“ผมไม่เป็นอะไรแล้วนี่ไง” ชนกันต์เดินเข้ามากอดปลอบช่อแก้วที่เอาแต่ยื
“ทำไมไม่รับกันนะ” ช่อแก้วเดินวนไปวนมาที่ใต้ถุนบ้านพักใหญ่ เพราะตอนนี้ฝนก็ตกลงมาไม่ยอมหยุด แถมยังติดต่อช่อแก้วรวมถึงผู้ใหญ่ทุกคนไม่ได้อีก ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเธอก็พอจะใจชื้นที่เห็นรถกระบะของใครบางคนขับเข้ามาที่นี่ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นปกป้องเธอก็เปลี่ยนสีหน้าไม่สบอารมณ์กะทันหัน“มาทำอะไรที่นี่”“ผมจะมาขอยืมรถไถลุงรงค์ พอดีรถที่ไร่ผมมันพังโทรหาแกก็ไม่รับไปไหนกันเหรอ”“เค้าไปวัดกันน่ะ เอ่อ... คุณพอจะรู้ไหมว่าแถวนี้มีจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกตรงไหน”“ก็มีอยู่หลายที่นะครับ อย่าบอกนะว่าคุณจะไปหาดูพระอาทิตย์ตกตอนฝนตกเนี่ยนะ” ปกป้องเท้าเอวมองหน้าหญิงสาวหน้าหวานด้วยแววตาฉงน“จะบ้าเหรอคุณ ฉันก็รู้หรอกน่าว่าอะไรเป็นอะไร พอดีแก้วกับพี่ชายฉันออกไปเที่ยวแถวภูเขาบอกจะไปดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน แต่เมื่อสักพักแก้วโทรมาบอกฉันว่ารถยางแตกอยู่ที่เขาแล้วก็วางไปเลย ฉันโทรหาเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด พี่ชายฉันก็ไม่ได้เอามือถือไปด้วย คุณพอจะช่วยฉันไปตามหาพวกเค้าได้ไหม”“ภูเขา ชมวิวพระอาทิตย์ เฮ้ย...” ปกป้องขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงจุดชมวิวที่คิดว่าช่อแก้วจะเดินทางไป และแล้วเขาก็สบถออกมาหน้าตาตื่นจนทำให้ปรารถนารู้สึกตกอกตกใจไปด้ว
ช่อแก้วมองปรารถนาที่กำลังถูกป้าน้อยปฐมพยาบาลอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ด้วยสายตาที่สงสารจับใจ เพราะได้ฟังจากคำเล่าของปกป้องเธอก็พอจะรู้ว่าภาพที่ปรารถนาเห็นมันคงไม่ดีต่อใจเอามากๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นเป็นลมสลบไปแบบนี้“โห...ท่าจะฝันร้ายไปหลายวันเลยล่ะ”“แก้ว...พูดดีๆ นะ ทำไมเห็นของพี่แล้วมันผิดตรงไหน” ปกป้องขมวดคิ้วเอ่ยน้ำเสียงเคืองใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ช่อแก้วพูดออกมา“อย่าเถียงกันเลยจะ คุณปรางค์น่าจะฟื้นแล้ว”“กะ... แก้ว” ปรารถนาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก็เรียกหาแต่ช่อแก้ว ทั้งยังควานหาที่เกาะมือไม้สั่นจนช่อแก้วต้องรีบจับมือของปรารถนาเอาไว้และเข้าไปนั่งปลอบใกล้ๆ เมื่อสายตาปรารถนามองเห็นทุกอย่างดีแล้วเธอก็เงยหน้ามองไปยังผู้ชายผิวเข้มร่างสูงใหญ่ที่แต่งตัวไม่ต่างอะไรจากคาวบอย“ไอ้โรคจิต” ปรารถนาสะดุ้งตัวสั่นเทาจับมือของช่อแก้วเอาไว้แน่น ไม่กล้ามองหน้าชายหนุ่มร่างสูงใหญ่อีก“เอ่อ... นี่พ่อเลี้ยงปลื้มจะ” ช่อแก้วต้องรีบแนะนำตัวให้ปรารถนาได้รู้จักกับปกป้อง เพราะเขาไม่ได้เป็นโรคจิตอย่างที่ปรารถนากำลังเข้าใจผิด“คุณเดินเข้าไปในป่าทำไม ผมทำธุระของผมอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นโรคจิตซะงั้น”“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว