นิ้วมือเรียวสวยนวลเนียนไร้ริ้วรอยบรรจงใช้ปากคีบสเตนเลสคีบเอากลีบดอกไม้สีชมพูอมม่วงจากในโหลสุญญากาศออกมาใส่ในถ้วยเซรามิกสีขาวซึ่งมีลวดลายด้านนอกเป็นดอกไม้สีชมพูกระจิริด แต่ด้านในกลับไร้ลวดลาย เป็นเพียงผิวสีขาวเรียบสะอาดตาพร้อมมีรูเล็กหลายรูอยู่ที่ก้นถ้วย
ถ้วยใบย่อมถูกซ้อนทับอีกชั้นด้วยกาน้ำชาที่ทำจากแก้วบางใส ทำให้รู้ว่ารูเล็กเหล่านั้นคงมีไว้เพื่อส่งผ่านน้ำร้อนที่เข้าไปสกัดผ่านชาชนิดต่างๆ จนกลายเป็นน้ำชาสำหรับดื่ม ทว่ากลีบดอกไม้เหล่านั้นกินได้จริงหรือ
“คุณรุ้งเจ้า กิ๋นได้แต้ๆ ก่เจ้า”
สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเปล่งคำถามเป็นภาษาคำเมืองฟังแล้วระรื่นหู ทำให้ ‘หฤหรรษ์ คีรีรัตนะ’ หรือ ‘คุณรุ้ง’ ตามที่ถูกเอ่ยเรียก ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเหลือบดวงตาสวยหวานขึ้นมองสาวน้อยที่นั่งยองๆ และจ้องตาแป๋วมองเธอปรุงชาอยู่นานสองนาน
“กินได้สิ อองตองไม่เชื่อฉันเหรอ”
หฤหรรษ์ถามพลางเทน้ำร้อนลงไปในถ้วยที่วางกลีบดอกบัวหลวงสีชมพูเอาไว้ เมื่อน้ำร้อนไหลผ่านกลีบดอกไม้ที่ผ่านการทำให้แห้งพอแค่ท่วม หฤหรรษ์ก็รีบเทน้ำร้อนทิ้งทันทีเพื่อชะล้างเอาเศษฝุ่นละอองที่อาจติดอยู่ตามกลีบดอกไม้ออก และเพื่อกระตุ้นให้ชาดอกไม้มีกลิ่นหอมได้เร็วขึ้นด้วย จากนั้นจึงเติมน้ำร้อนลงไปอีกครั้ง ก่อนจะปิดฝาเพื่อรอให้ชาสกัดได้ที่
“อองตองเจื่อเจ้า อองตองก็แค่สงสัย บ่ได้มีเจตนาจะว่าคุณรุ้งเลยหนาเจ้า”
ดวงตาสวยหวานของหฤหรรษ์เหลือบขึ้นมองใบหน้าของสาวน้อยวัย ๑๙ ปี ที่มีสีหน้าสลดลงเพราะคิดว่าตัวเองคงทำอะไรให้เธอไม่พอใจเข้าแล้ว นั่นทำให้หฤหรรษ์อดที่จะขำลูกสาวของ ‘ศรีออน’ ผู้ช่วยของเธอไม่ได้
“จ้า...ฉันรู้แล้ว ฉันแค่แกล้งอองตองเล่นเท่านั้นแหละ”
“โธ่...คุณรุ้งอะ แกล้งอองตองเรื่อยเลย”
“ก็ถ้าฉันไม่แกล้งอองตอง แล้วจะให้ฉันไปแกล้งใครล่ะ แกล้งอองตองน่ะสนุกเป็นที่หนึ่ง”
ยิ่งอองตองทำหน้ามุ่ย หฤหรรษ์ก็ยิ่งขำมากขึ้นอีก เพราะนี่คืออีกหนึ่งความสุขของเธอ หฤหรรษ์หวนคิดไปถึงวันแรกที่เธอกลับมาเยือนไร่แห่งนี้ บ้านไม้หลังเก่าที่พ่อแม่เคยอยู่อาศัยดูทรุดโทรมไปมาก อาจเพราะตั้งแต่พ่อกับแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ บ้านก็ถูกปิดตาย ส่วนไร่ชา สวนผลไม้ และนาข้าวที่มีผลผลิตอยู่บ้างก็ได้คนงานเก่าแก่คอยดูแลให้ และก็ได้ศรีออนนั่นแหละที่คอยจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายไว้ให้ไม่ตกหล่น ทั้งที่เธอบอกว่าไม่ต้องทำ แค่ศรีออนยังอยู่ที่นี่เพื่อดูแลทุกอย่างไว้ให้ก็ถือเป็นบุญคุณกับเธอมากแล้ว
เธอไม่อยากทำให้ใครต้องลำบากอีก แต่ศรีออนก็ทำเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอบอกเลยสักนิด เพราะทุกครั้งที่ติดต่อมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ศรีออนก็จะรายงานผลประกอบการให้ฟังทุกครั้ง และครั้งแรกที่ได้พบกันเธอก็จำสีหน้าของศรีออนได้ดี
‘คุณเจ้า มาหาไผเหรอเจ้า’
เสียงหวานฟังดูใจดีดังจากทางเบื้องหลัง เรียกรอยยิ้มน้อยๆ ให้ปรากฏบนใบหน้า ก่อนที่หฤหรรษ์จะหันไปมองคนต้นเสียงพร้อมส่งรอยยิ้มอย่างยินดีไปให้
หญิงสาวรุ่นพี่ที่ไม่เคยเห็นหน้าแต่ก็เคยคุยกันหลายครั้งผ่านทางโทรศัพท์ เสียงนี้ไม่ผิดแน่ ‘ศรีออน’ แม่ม่ายยังสาวที่พ่อแม่เธอไว้ใจให้มาช่วยดูแลเรื่องบัญชี เมื่อครั้งที่เธอเดินทางไปอยู่ต่างประเทศหลายปี สาวเหนือสวมเสื้อผ้าฝ้ายและซิ่นพื้นเมือง หฤหรรษ์เห็นความอ่อนโยน ถ่อมตน และซื่อสัตย์ หลอมรวมอยู่ในภาพลักษณ์ ไม่แปลกใจที่พ่อซึ่งไม่ค่อยไว้วางใจใครสักเท่าไรจะเอื้อเอ็นดูศรีออน
‘มาหาพี่ศรีออนค่ะ’
สายตาของศรีออนที่มองมาอย่างงุนงงยิ่งทำให้หฤหรรษ์ยิ้มกว้างมากขึ้น ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ และนั่นก็ทำให้ศรีออนโผเข้ามากอดพร้อมหยาดน้ำตาเอ่อล้น แสดงออกถึงความยินดีที่ได้พบ
‘คุณรุ้งกะเจ้า คุณรุ้งแต้ๆ กะเจ้า นี่ศรีออนฝันไปหรือเปล่า’ ฝ่ามือศรีออนลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของหฤหรรษ์ราวกับกลัวว่าเธอจะเป็นเพียงความฝัน
‘ก็รุ้งน่ะสิ พี่ศรีออนไม่เชื่อเหรอว่าเป็นรุ้งตัวเป็นๆ เลยละ ไม่ใช่แค่เสียง’ หฤหรรษ์สวมกอดศรีออนเอาไว้เอง ให้สาวเหนือคนงามรับรู้ว่าเธอมีตัวตนอยู่ตรงนี้แล้วจริงๆ
‘บ่ไจ้บ่เจื่อเจ้า แต่...แต่ศรีออนบ่กึ๊ดบ่ฝันว่าคุณรุ้งจะปิ๊กมา ก็คุณรุ้งบอกว่า...จะบ่ปิ๊ก’
น้ำเสียงของศรีออนขาดช่วงไปเพราะเธอเองนั่นแหละที่เคยพูดไว้ว่าจะไม่กลับมา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความตั้งใจนั้นมลายไปเมื่อได้รู้ว่าพ่อทำสิ่งใดให้เธอบ้าง และวันนี้เธอพร้อมแล้ว เธอจึงกลับมาเพื่อรักษาสิ่งที่พ่อแม่ลงแรงลงใจ เธอจะสานต่อความฝันของพ่อแม่ให้สำเร็จ ให้สมกับสิ่งที่ท่านทำเพื่อเธอมาตลอด แต่เธอกลับมองข้าม
‘และคุณรุ้งก็... คุณรุ้งงามขนาดเจ้า งามจ๊าดนัก งามเหมือนนางฟ้า งามจ๋น ศรีออนบ่กึ๊ดบ่ฝันว่าจะเป๋นคุณรุ้งแต้ๆ’
‘เชื่อเถอะว่าเป็นรุ้งจริงๆ และรุ้งจะไม่ไปไหนอีกแล้ว รุ้งจะอยู่ที่นี่ จะอยู่ที่บ้านของพ่อแม่ จะอยู่ดูแลพี่ศรีออนกับคนงานไงล่ะ ดีไหม’
พายุหอบเม็ดฝนสาดกระหน่ำใส่หลังคาบ้าน ลมหวีดหวิวดังครวญราวกับภูตผีร้ายต้องการจะหลอกหลอนผู้คน ฟ้าร้องคำรามลั่นดังเป็นระยะ ราวกับจะข่มขวัญผู้ที่ได้ยินให้หวาดผวา พายุรุนแรงที่หอบฝนมานั้น แม้จะน่าหวาดหวั่นและไร้ความปรานีต่อทุกสิ่งบนโลก แต่ก็ไม่อาจทำให้เสียงแผดลั่นด้วยความไม่พอใจของผู้เป็นเจ้าของบ้านลดทอนลงได้เลย กลับกัน ยิ่งธรรมชาติด้านนอกโหดร้ายเพียงใด เสียงคนภายในบ้านหลังนี้ก็ยิ่งแผดลั่นให้ดังยิ่งกว่า เพราะนี่คือทางที่ต้องเลือก หากสิ่งที่ต้องการนั้นไม่มีใครยอมใคร จุดแตกหักที่ไม่อยากให้มาถึงก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ และหากเพียงคนในครอบครัวจะมีความเข้าใจ สิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ขณะนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเลย “กูบอกให้มึงเลิก กูไม่ยอม มึงต้องเลิก!” ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุดยืนจังก้า กำมือแน่น ตะโกนก้องแข่งกับฟ้าฝน โดยมีหญิงวัยใกล้เคียงกันยืนปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นอยู่ด้านข้าง แต่ก็ยังพยายามจะห้ามปรามไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ “พี่...ใจเย็นๆ นะพี่ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันก่อน ลูกเขาเลือกแล้ว เราก็ต้องยอมรับนะพี่ เราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
ร่างสันทัดถูกกระชากจากแรงของพ่อ ก่อนจะตามด้วยฝ่ามือที่ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บ แต่เขาก็ไวกว่าจึงหลบหลีกได้ นั่นทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธเกรี้ยวมากขึ้น ทั้งฝ่ามือฝ่าเท้าจึงกระหน่ำใส่ลงมาไม่ยั้ง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของแม่และเสียงของฟ้าฝนที่กระหน่ำคำรามไม่หยุด โดยที่เขาทำได้เพียงปัดป้อง “พี่อย่าทำลูก อย่า พี่!” ร่างผอมบางสั่นและสะอื้นจนหายใจไม่ออก แต่ก็พยายามยื้อฝ่ามือฝ่าเท้าของสามีไม่ให้กระทบตัวลูก “พี่...อย่าทำลูก อย่าทำ...” แต่เรี่ยวแรงเธอไม่พอที่จะต้านทานอารมณ์ของสามี “มึงสู้กูเรอะ มึงสู้กูเรอะ กูเป็นพ่อมึงนะ กูเป็นพ่อมึง” “ผมไม่ได้สู้ พ่อ...ผมไม่ได้สู้พ่อ...” เสียงสั่นตามความสะเทือนใจเมื่อพ่อแปลความหมายของการปัดป้องเป็นต่อสู้ น้ำตาของเขาเกือบร่วงพรู แต่ก็ฝืนไว้เพราะเขาตัดสินใจแล้ว ยังไงเสียวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง พ่อต้องยอมรับทางที่เขาเลือกเดิน เส้นทางชีวิตที่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบตัวเองต่อไปในภายภาคหน้า “กูทำให้มึงขนาดนี้ มึงก็ยังไม่สำนึกบุญคุณของกูเลยใช่ไหม มึงมันดีแต่ทำให้กูช้ำใจ...ทำให้กูต้องอับอายขายขี้ห
ทุ่งข้าวเขียวขจีที่เห็นผ่านเลนส์กล้องให้ความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจแก่ผู้ที่กำลังเก็บภาพความประทับใจนั้นไว้ เพราะความสดชื่นจากใบข้าวสีเขียวสดที่เรียงตัวอัดแน่นตัดกับสีของท้องฟ้าและสีของแผ่นดินโดยรอบ รวมทั้งกลิ่นของไอดิน กลิ่นโคลน หรือแม้กระทั่งกลิ่นมูลวัวที่โชยตามลมมาเป็นระยะ ล้วนคือองค์ประกอบที่เขาต้องการจะถ่ายทอดลงไปในภาพถ่ายเหล่านี้ทั้งสิ้น ชายหนุ่มผิวสีแทนรูปร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีน้ำตาลและกางเกงขาสั้นสีครีมแบบลำลอง สวมรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดาววัยเก๋า สะพายเป้สีดำใบใหญ่ไว้ด้านหลัง มีสายกล้องคล้องอยู่รอบคอ เขาก้าวเดินไปตามคันนากว้างราวหนึ่งเมตรกว่า ทางเดินสไตล์ลูกทุ่งของโฮมสเตย์แบบชาวนา สถานที่ซึ่งเป็นโจทย์สำหรับเขาในครั้งนี้ องค์ประกอบของชายหนุ่มไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไปที่นิยมมาสัมผัสธรรมชาติท้องทุ่งนาในถิ่นภาคเหนือ แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูแตกต่างและเป็นจุดเด่นจนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ต้องเหลียวมองโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวสาวๆ ก็คือ ผมยาวหยักศกน้อยๆ รวบมวยไว้เป็นจุกเหนือท้ายทอย และใบหน้าที่มีกล้องบดบังไว้เป็นบางส่วน เพราะนั่นทำให้คนที่มองมาต้องชะงัก
แม้จะหงุดหงิดใจเล็กน้อยเมื่อถูกขัดจังหวะ แต่ก็ต้องยอมเพราะคนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวนี้มีไม่กี่คน ดังนั้นคนที่โทร. เข้ามาในเวลานี้ก็เดาได้เลย แล้วก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อหน้าจอโทรศัพท์แสดงหน้าตากวนๆ ของใครบางคน “ว่าไงไอ้ทิต” เขาส่งเสียงปนหงุดหงิดนิดๆ ออกไป เพราะอยากให้คนต้นสายรับรู้ความไม่พอใจของเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าอยากจะโทรศัพท์มาเวลาไหนก็ทำได้ เพราะตกลงกันแล้วว่าให้แค่ส่งข้อความมา เขาว่างตอนไหนจะโทร. กลับไปเอง ไม่ต้องโทร. มาตาม มาทวง หรือมาอะไรทั้งนั้น นั่นจะทำให้เขาหงุดหงิด .. ณ ออฟฟิศ ‘สำนักพิมพ์ พรจากฟ้า’ สำนักพิมพ์ที่ผลิตและจัดจำหน่ายนิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำของเมืองไทย หนุ่มหล่อเทรนด์เกาหลีนายหนึ่งนั่งยิ้มให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา เพราะจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ระบุชื่อคนส่งว่า ‘นายต้นไม้’ มือหนึ่งคลิกเมาส์เพื่อเปลี่ยนหน้าจอไปเป็นงานที่ได้รับมอบหมาย คือการจัดอาร์ตเวิร์กของหน้านิตยสาร ส่วนอีกมือก็กระชับโทรศัพท์ที่หนีบไว้ตรงซอกคอให้ถนัดมากขึ้น เพราะงานตัวเองก็เร่ง แต่งานเพื่อนก็ต้องทำ แต่ที่สนุกสุดๆ ก็คือได้ยั่วอารมณ์คนทางนั้น “ไม่ว่า
นิ้วมือเรียวสวยนวลเนียนไร้ริ้วรอยบรรจงใช้ปากคีบสเตนเลสคีบเอากลีบดอกไม้สีชมพูอมม่วงจากในโหลสุญญากาศออกมาใส่ในถ้วยเซรามิกสีขาวซึ่งมีลวดลายด้านนอกเป็นดอกไม้สีชมพูกระจิริด แต่ด้านในกลับไร้ลวดลาย เป็นเพียงผิวสีขาวเรียบสะอาดตาพร้อมมีรูเล็กหลายรูอยู่ที่ก้นถ้วย ถ้วยใบย่อมถูกซ้อนทับอีกชั้นด้วยกาน้ำชาที่ทำจากแก้วบางใส ทำให้รู้ว่ารูเล็กเหล่านั้นคงมีไว้เพื่อส่งผ่านน้ำร้อนที่เข้าไปสกัดผ่านชาชนิดต่างๆ จนกลายเป็นน้ำชาสำหรับดื่ม ทว่ากลีบดอกไม้เหล่านั้นกินได้จริงหรือ “คุณรุ้งเจ้า กิ๋นได้แต้ๆ ก่เจ้า” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเปล่งคำถามเป็นภาษาคำเมืองฟังแล้วระรื่นหู ทำให้ ‘หฤหรรษ์ คีรีรัตนะ’ หรือ ‘คุณรุ้ง’ ตามที่ถูกเอ่ยเรียก ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเหลือบดวงตาสวยหวานขึ้นมองสาวน้อยที่นั่งยองๆ และจ้องตาแป๋วมองเธอปรุงชาอยู่นานสองนาน “กินได้สิ อองตองไม่เชื่อฉันเหรอ” หฤหรรษ์ถามพลางเทน้ำร้อนลงไปในถ้วยที่วางกลีบดอกบัวหลวงสีชมพูเอาไว้ เมื่อน้ำร้อนไหลผ่านกลีบดอกไม้ที่ผ่านการทำให้แห้งพอแค่ท่วม หฤหรรษ์ก็รีบเทน้ำร้อนทิ้งทันทีเพื่อชะล้างเอาเศษฝุ่นละอองที่อาจติดอยู่ตามก
แม้จะหงุดหงิดใจเล็กน้อยเมื่อถูกขัดจังหวะ แต่ก็ต้องยอมเพราะคนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวนี้มีไม่กี่คน ดังนั้นคนที่โทร. เข้ามาในเวลานี้ก็เดาได้เลย แล้วก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อหน้าจอโทรศัพท์แสดงหน้าตากวนๆ ของใครบางคน “ว่าไงไอ้ทิต” เขาส่งเสียงปนหงุดหงิดนิดๆ ออกไป เพราะอยากให้คนต้นสายรับรู้ความไม่พอใจของเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าอยากจะโทรศัพท์มาเวลาไหนก็ทำได้ เพราะตกลงกันแล้วว่าให้แค่ส่งข้อความมา เขาว่างตอนไหนจะโทร. กลับไปเอง ไม่ต้องโทร. มาตาม มาทวง หรือมาอะไรทั้งนั้น นั่นจะทำให้เขาหงุดหงิด .. ณ ออฟฟิศ ‘สำนักพิมพ์ พรจากฟ้า’ สำนักพิมพ์ที่ผลิตและจัดจำหน่ายนิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำของเมืองไทย หนุ่มหล่อเทรนด์เกาหลีนายหนึ่งนั่งยิ้มให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา เพราะจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ระบุชื่อคนส่งว่า ‘นายต้นไม้’ มือหนึ่งคลิกเมาส์เพื่อเปลี่ยนหน้าจอไปเป็นงานที่ได้รับมอบหมาย คือการจัดอาร์ตเวิร์กของหน้านิตยสาร ส่วนอีกมือก็กระชับโทรศัพท์ที่หนีบไว้ตรงซอกคอให้ถนัดมากขึ้น เพราะงานตัวเองก็เร่ง แต่งานเพื่อนก็ต้องทำ แต่ที่สนุกสุดๆ ก็คือได้ยั่วอารมณ์คนทางนั้น “ไม่ว่า
ทุ่งข้าวเขียวขจีที่เห็นผ่านเลนส์กล้องให้ความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจแก่ผู้ที่กำลังเก็บภาพความประทับใจนั้นไว้ เพราะความสดชื่นจากใบข้าวสีเขียวสดที่เรียงตัวอัดแน่นตัดกับสีของท้องฟ้าและสีของแผ่นดินโดยรอบ รวมทั้งกลิ่นของไอดิน กลิ่นโคลน หรือแม้กระทั่งกลิ่นมูลวัวที่โชยตามลมมาเป็นระยะ ล้วนคือองค์ประกอบที่เขาต้องการจะถ่ายทอดลงไปในภาพถ่ายเหล่านี้ทั้งสิ้น ชายหนุ่มผิวสีแทนรูปร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีน้ำตาลและกางเกงขาสั้นสีครีมแบบลำลอง สวมรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดาววัยเก๋า สะพายเป้สีดำใบใหญ่ไว้ด้านหลัง มีสายกล้องคล้องอยู่รอบคอ เขาก้าวเดินไปตามคันนากว้างราวหนึ่งเมตรกว่า ทางเดินสไตล์ลูกทุ่งของโฮมสเตย์แบบชาวนา สถานที่ซึ่งเป็นโจทย์สำหรับเขาในครั้งนี้ องค์ประกอบของชายหนุ่มไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไปที่นิยมมาสัมผัสธรรมชาติท้องทุ่งนาในถิ่นภาคเหนือ แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูแตกต่างและเป็นจุดเด่นจนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ต้องเหลียวมองโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวสาวๆ ก็คือ ผมยาวหยักศกน้อยๆ รวบมวยไว้เป็นจุกเหนือท้ายทอย และใบหน้าที่มีกล้องบดบังไว้เป็นบางส่วน เพราะนั่นทำให้คนที่มองมาต้องชะงัก
ร่างสันทัดถูกกระชากจากแรงของพ่อ ก่อนจะตามด้วยฝ่ามือที่ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บ แต่เขาก็ไวกว่าจึงหลบหลีกได้ นั่นทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธเกรี้ยวมากขึ้น ทั้งฝ่ามือฝ่าเท้าจึงกระหน่ำใส่ลงมาไม่ยั้ง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของแม่และเสียงของฟ้าฝนที่กระหน่ำคำรามไม่หยุด โดยที่เขาทำได้เพียงปัดป้อง “พี่อย่าทำลูก อย่า พี่!” ร่างผอมบางสั่นและสะอื้นจนหายใจไม่ออก แต่ก็พยายามยื้อฝ่ามือฝ่าเท้าของสามีไม่ให้กระทบตัวลูก “พี่...อย่าทำลูก อย่าทำ...” แต่เรี่ยวแรงเธอไม่พอที่จะต้านทานอารมณ์ของสามี “มึงสู้กูเรอะ มึงสู้กูเรอะ กูเป็นพ่อมึงนะ กูเป็นพ่อมึง” “ผมไม่ได้สู้ พ่อ...ผมไม่ได้สู้พ่อ...” เสียงสั่นตามความสะเทือนใจเมื่อพ่อแปลความหมายของการปัดป้องเป็นต่อสู้ น้ำตาของเขาเกือบร่วงพรู แต่ก็ฝืนไว้เพราะเขาตัดสินใจแล้ว ยังไงเสียวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง พ่อต้องยอมรับทางที่เขาเลือกเดิน เส้นทางชีวิตที่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบตัวเองต่อไปในภายภาคหน้า “กูทำให้มึงขนาดนี้ มึงก็ยังไม่สำนึกบุญคุณของกูเลยใช่ไหม มึงมันดีแต่ทำให้กูช้ำใจ...ทำให้กูต้องอับอายขายขี้ห
พายุหอบเม็ดฝนสาดกระหน่ำใส่หลังคาบ้าน ลมหวีดหวิวดังครวญราวกับภูตผีร้ายต้องการจะหลอกหลอนผู้คน ฟ้าร้องคำรามลั่นดังเป็นระยะ ราวกับจะข่มขวัญผู้ที่ได้ยินให้หวาดผวา พายุรุนแรงที่หอบฝนมานั้น แม้จะน่าหวาดหวั่นและไร้ความปรานีต่อทุกสิ่งบนโลก แต่ก็ไม่อาจทำให้เสียงแผดลั่นด้วยความไม่พอใจของผู้เป็นเจ้าของบ้านลดทอนลงได้เลย กลับกัน ยิ่งธรรมชาติด้านนอกโหดร้ายเพียงใด เสียงคนภายในบ้านหลังนี้ก็ยิ่งแผดลั่นให้ดังยิ่งกว่า เพราะนี่คือทางที่ต้องเลือก หากสิ่งที่ต้องการนั้นไม่มีใครยอมใคร จุดแตกหักที่ไม่อยากให้มาถึงก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ และหากเพียงคนในครอบครัวจะมีความเข้าใจ สิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ขณะนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเลย “กูบอกให้มึงเลิก กูไม่ยอม มึงต้องเลิก!” ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุดยืนจังก้า กำมือแน่น ตะโกนก้องแข่งกับฟ้าฝน โดยมีหญิงวัยใกล้เคียงกันยืนปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นอยู่ด้านข้าง แต่ก็ยังพยายามจะห้ามปรามไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ “พี่...ใจเย็นๆ นะพี่ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันก่อน ลูกเขาเลือกแล้ว เราก็ต้องยอมรับนะพี่ เราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้”