ร่างสันทัดถูกกระชากจากแรงของพ่อ ก่อนจะตามด้วยฝ่ามือที่ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บ แต่เขาก็ไวกว่าจึงหลบหลีกได้ นั่นทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธเกรี้ยวมากขึ้น ทั้งฝ่ามือฝ่าเท้าจึงกระหน่ำใส่ลงมาไม่ยั้ง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของแม่และเสียงของฟ้าฝนที่กระหน่ำคำรามไม่หยุด โดยที่เขาทำได้เพียงปัดป้อง
“พี่อย่าทำลูก อย่า พี่!” ร่างผอมบางสั่นและสะอื้นจนหายใจไม่ออก แต่ก็พยายามยื้อฝ่ามือฝ่าเท้าของสามีไม่ให้กระทบตัวลูก “พี่...อย่าทำลูก อย่าทำ...” แต่เรี่ยวแรงเธอไม่พอที่จะต้านทานอารมณ์ของสามี
“มึงสู้กูเรอะ มึงสู้กูเรอะ กูเป็นพ่อมึงนะ กูเป็นพ่อมึง”
“ผมไม่ได้สู้ พ่อ...ผมไม่ได้สู้พ่อ...”
เสียงสั่นตามความสะเทือนใจเมื่อพ่อแปลความหมายของการปัดป้องเป็นต่อสู้ น้ำตาของเขาเกือบร่วงพรู แต่ก็ฝืนไว้เพราะเขาตัดสินใจแล้ว ยังไงเสียวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง พ่อต้องยอมรับทางที่เขาเลือกเดิน เส้นทางชีวิตที่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบตัวเองต่อไปในภายภาคหน้า
“กูทำให้มึงขนาดนี้ มึงก็ยังไม่สำนึกบุญคุณของกูเลยใช่ไหม มึงมันดีแต่ทำให้กูช้ำใจ...ทำให้กูต้องอับอายขายขี้หน้าชาวบ้านเขาไปทั่ว มึงมัน...ไม่เคยนำความภาคภูมิใจอะไรมาให้เลย ดีแต่ทำเรื่อง เนรคุณ...”
ก้อนสะอื้นวิ่งมาจุกที่ลำคอ เพราะเสียงพูดปนหอบของพ่อกับดวงตาที่จ้องมานั้นคือความสิ้นหวัง ความสะเทือนใจ และความเจ็บปวดหัวใจอย่างแสนสาหัส ซึ่งทั้งหมดนั้นเขาผิดเอง เขาเป็นในสิ่งที่พ่อต้องการไม่ได้ เป็นไม่ได้ และไม่มีวันจะเป็นได้
เปลือกตากะพริบถี่ไล่หยาดน้ำตาให้ย้อนกลับเข้าไปที่เดิม ฟันขบริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ ‘เจ็บ’ เพื่อเตือนสติตัวเองว่าเขาต้องเลือก แม้จะสงสารพ่อกับแม่แค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลง วันนี้พ่ออาจไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเป็น แต่เมื่อวันที่ฝันของเขาเป็นจริงมาถึง เชื่อว่าพ่อจะยินดีกับทางที่เขาเลือกอย่างแน่นอน
ร่างที่เจ็บระบมไปด้วยน้ำหนักมือและเท้าฝืนนั่งคุกเข่า พนมมือและก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อ เขาสำนึกในความผิดที่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ แต่เขาก็เลือกทางที่ต้องการ
“พ่อ...ผมขอโทษ ผมขอไปตามทางที่ผมเลือกเถอะนะครับ ผมไม่อยากอยู่แบบนี้ ผม...ผมอยากไป...”
พ่อนิ่งอึ้ง แต่แววตานั้นยิ่งทวีความเจ็บช้ำ ทำให้เขากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีก หยาดน้ำตาไหลรินเพราะเข้าใจความรู้สึกและความคิดของพ่อ แต่พ่อไม่เคยเข้าใจเขาเลย เพียงเราจะเข้าใจกัน เรื่องราวคงไม่ลงเอยแบบนี้
“ถ้ามึงเลือกอย่างนั้น...” เสียงขาดช่วงเพราะพยายามเก็บกลั้นก้อนสะอื้นให้คืนกลับไป ก่อนจะพูดต่ออย่างเจ็บช้ำที่สุด “ถ้ามึงเลือกอย่างนั้น กูกับมึงก็ขาดกัน มึงไม่ใช่ลูกกูอีกต่อไป ออกไปจากบ้านกูซะ กูจะจำไว้ว่ากูไม่มีลูกอย่างมึง ไป...ออกไป ออกไปไอ้หฤษฎ์ กูไม่มีลูกอย่างมึง ไป!”
“พี่!”
“พ่อ!”
เสียงอุทานด้วยความตกใจของแม่ดังพร้อมกับเสียงอุทานอย่างคาดไม่ถึงของเขา เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะบานปลายเลยเถิดได้ถึงขนาดนี้ เขาแค่อยากมีชีวิตเป็นของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน สายตาของพ่อที่มองมาอย่างเกลียดชังก่อนจะหันไปทางอื่นไม่บอกเลยว่านั่นเป็นแค่คำขู่ นั่นคือความจริงที่พ่อตัดสินใจแล้ว
หยาดน้ำที่กบตาทำให้เห็นภาพพ่อยืนหันข้างอย่างเลือนราง แต่เห็นไม่ชัดก็ดีแล้ว เพราะนั่นอาจทำให้เขาใจอ่อน
“ผมขอโทษครับแม่ ขอโทษครับพ่อ” ก้มกราบอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นและเดินจากมา
“หฤษฎ์ อย่าไปลูก...ลูก...กลับมา หฤษฎ์ กลับมา...พี่ ห้ามลูกสิ พี่! หฤษฎ์!”
“ไป มึงจะไปก็ไปเลย มึงไม่ใช่ลูกกู กูไม่น่าให้มึงเกิดมาเลย ไป ไปแล้วไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก ไป!”
หฤษฎ์เดินลิ่วออกจากตัวบ้าน ไม่สนใจเม็ดฝนที่ตกกระทบกาย แว่วเสียงกรีดร้องของแม่ที่เรียกเขาดั่งคนหัวใจสลาย และเสียงก่นด่าของพ่อที่ดังตามไล่หลังแข่งกับเสียงฟ้าฝน นั่นยิ่งทำให้หยาดน้ำตาพรั่งพรู เขาผิดเหรอที่อยากทำตามความฝัน อยากทำ อยากเป็นในสิ่งที่ตัวเองเลือก เขาผิดเหรอ
ร่างสันทัดเดินลิ่วตามอารมณ์หวิวโหวง ไม่คิดจะหันมองกลับหลัง จึงไม่เห็นว่าพ่อทรุดลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง ฝ่ามือทาบไว้ที่หน้าอกอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส แม่หยุดร้องเรียกหาเขา หันไปประคองพ่อพร้อมตะโกนเรียกคนมาช่วย หฤษฎ์ไม่เห็นภาพเหล่านั้น เพราะเส้นทางขัดใจพ่อคือสิ่งที่เขาเลือกแล้ว
..
.
เครื่องบินโดยสารจากท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยกำลังทะยานขึ้นบนท้องฟ้า จุดหมายปลายทางคืออีกซีกหนึ่งของมุมโลก คนละแผ่นดิน คนละฟากฟ้า แม้จะอยู่บนโลกใบเดียวกันก็ตาม ดวงตาเขามีแววเศร้าอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะลอบปาดน้ำตาที่รินไหล เขามองผ่านกระจกใสไปยังด้านล่าง ผืนแผ่นดินของประเทศไทยที่เห็นเป็นมุมกว้างนั้น อีกนานเท่าไรจะได้มาเห็น
หฤษฎ์ยกมือขึ้นพนมไหว้ ก้มกราบที่ด้านข้างของกรอบกระจกจนนิ้วโป้งจดหว่างคิ้ว เขาขอกราบลาประเทศไทย กราบลาพ่อแม่ไว้ ณ ที่นี้ วันใดก็ตามที่พ่อยอมรับทางที่เขาเลือก เขาจะกลับมา
ทุ่งข้าวเขียวขจีที่เห็นผ่านเลนส์กล้องให้ความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจแก่ผู้ที่กำลังเก็บภาพความประทับใจนั้นไว้ เพราะความสดชื่นจากใบข้าวสีเขียวสดที่เรียงตัวอัดแน่นตัดกับสีของท้องฟ้าและสีของแผ่นดินโดยรอบ รวมทั้งกลิ่นของไอดิน กลิ่นโคลน หรือแม้กระทั่งกลิ่นมูลวัวที่โชยตามลมมาเป็นระยะ ล้วนคือองค์ประกอบที่เขาต้องการจะถ่ายทอดลงไปในภาพถ่ายเหล่านี้ทั้งสิ้น ชายหนุ่มผิวสีแทนรูปร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีน้ำตาลและกางเกงขาสั้นสีครีมแบบลำลอง สวมรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดาววัยเก๋า สะพายเป้สีดำใบใหญ่ไว้ด้านหลัง มีสายกล้องคล้องอยู่รอบคอ เขาก้าวเดินไปตามคันนากว้างราวหนึ่งเมตรกว่า ทางเดินสไตล์ลูกทุ่งของโฮมสเตย์แบบชาวนา สถานที่ซึ่งเป็นโจทย์สำหรับเขาในครั้งนี้ องค์ประกอบของชายหนุ่มไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไปที่นิยมมาสัมผัสธรรมชาติท้องทุ่งนาในถิ่นภาคเหนือ แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูแตกต่างและเป็นจุดเด่นจนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ต้องเหลียวมองโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวสาวๆ ก็คือ ผมยาวหยักศกน้อยๆ รวบมวยไว้เป็นจุกเหนือท้ายทอย และใบหน้าที่มีกล้องบดบังไว้เป็นบางส่วน เพราะนั่นทำให้คนที่มองมาต้องชะงัก
แม้จะหงุดหงิดใจเล็กน้อยเมื่อถูกขัดจังหวะ แต่ก็ต้องยอมเพราะคนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวนี้มีไม่กี่คน ดังนั้นคนที่โทร. เข้ามาในเวลานี้ก็เดาได้เลย แล้วก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อหน้าจอโทรศัพท์แสดงหน้าตากวนๆ ของใครบางคน “ว่าไงไอ้ทิต” เขาส่งเสียงปนหงุดหงิดนิดๆ ออกไป เพราะอยากให้คนต้นสายรับรู้ความไม่พอใจของเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าอยากจะโทรศัพท์มาเวลาไหนก็ทำได้ เพราะตกลงกันแล้วว่าให้แค่ส่งข้อความมา เขาว่างตอนไหนจะโทร. กลับไปเอง ไม่ต้องโทร. มาตาม มาทวง หรือมาอะไรทั้งนั้น นั่นจะทำให้เขาหงุดหงิด .. ณ ออฟฟิศ ‘สำนักพิมพ์ พรจากฟ้า’ สำนักพิมพ์ที่ผลิตและจัดจำหน่ายนิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำของเมืองไทย หนุ่มหล่อเทรนด์เกาหลีนายหนึ่งนั่งยิ้มให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา เพราะจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ระบุชื่อคนส่งว่า ‘นายต้นไม้’ มือหนึ่งคลิกเมาส์เพื่อเปลี่ยนหน้าจอไปเป็นงานที่ได้รับมอบหมาย คือการจัดอาร์ตเวิร์กของหน้านิตยสาร ส่วนอีกมือก็กระชับโทรศัพท์ที่หนีบไว้ตรงซอกคอให้ถนัดมากขึ้น เพราะงานตัวเองก็เร่ง แต่งานเพื่อนก็ต้องทำ แต่ที่สนุกสุดๆ ก็คือได้ยั่วอารมณ์คนทางนั้น “ไม่ว่า
นิ้วมือเรียวสวยนวลเนียนไร้ริ้วรอยบรรจงใช้ปากคีบสเตนเลสคีบเอากลีบดอกไม้สีชมพูอมม่วงจากในโหลสุญญากาศออกมาใส่ในถ้วยเซรามิกสีขาวซึ่งมีลวดลายด้านนอกเป็นดอกไม้สีชมพูกระจิริด แต่ด้านในกลับไร้ลวดลาย เป็นเพียงผิวสีขาวเรียบสะอาดตาพร้อมมีรูเล็กหลายรูอยู่ที่ก้นถ้วย ถ้วยใบย่อมถูกซ้อนทับอีกชั้นด้วยกาน้ำชาที่ทำจากแก้วบางใส ทำให้รู้ว่ารูเล็กเหล่านั้นคงมีไว้เพื่อส่งผ่านน้ำร้อนที่เข้าไปสกัดผ่านชาชนิดต่างๆ จนกลายเป็นน้ำชาสำหรับดื่ม ทว่ากลีบดอกไม้เหล่านั้นกินได้จริงหรือ “คุณรุ้งเจ้า กิ๋นได้แต้ๆ ก่เจ้า” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเปล่งคำถามเป็นภาษาคำเมืองฟังแล้วระรื่นหู ทำให้ ‘หฤหรรษ์ คีรีรัตนะ’ หรือ ‘คุณรุ้ง’ ตามที่ถูกเอ่ยเรียก ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเหลือบดวงตาสวยหวานขึ้นมองสาวน้อยที่นั่งยองๆ และจ้องตาแป๋วมองเธอปรุงชาอยู่นานสองนาน “กินได้สิ อองตองไม่เชื่อฉันเหรอ” หฤหรรษ์ถามพลางเทน้ำร้อนลงไปในถ้วยที่วางกลีบดอกบัวหลวงสีชมพูเอาไว้ เมื่อน้ำร้อนไหลผ่านกลีบดอกไม้ที่ผ่านการทำให้แห้งพอแค่ท่วม หฤหรรษ์ก็รีบเทน้ำร้อนทิ้งทันทีเพื่อชะล้างเอาเศษฝุ่นละอองที่อาจติดอยู่ตามก
พายุหอบเม็ดฝนสาดกระหน่ำใส่หลังคาบ้าน ลมหวีดหวิวดังครวญราวกับภูตผีร้ายต้องการจะหลอกหลอนผู้คน ฟ้าร้องคำรามลั่นดังเป็นระยะ ราวกับจะข่มขวัญผู้ที่ได้ยินให้หวาดผวา พายุรุนแรงที่หอบฝนมานั้น แม้จะน่าหวาดหวั่นและไร้ความปรานีต่อทุกสิ่งบนโลก แต่ก็ไม่อาจทำให้เสียงแผดลั่นด้วยความไม่พอใจของผู้เป็นเจ้าของบ้านลดทอนลงได้เลย กลับกัน ยิ่งธรรมชาติด้านนอกโหดร้ายเพียงใด เสียงคนภายในบ้านหลังนี้ก็ยิ่งแผดลั่นให้ดังยิ่งกว่า เพราะนี่คือทางที่ต้องเลือก หากสิ่งที่ต้องการนั้นไม่มีใครยอมใคร จุดแตกหักที่ไม่อยากให้มาถึงก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ และหากเพียงคนในครอบครัวจะมีความเข้าใจ สิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ขณะนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเลย “กูบอกให้มึงเลิก กูไม่ยอม มึงต้องเลิก!” ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุดยืนจังก้า กำมือแน่น ตะโกนก้องแข่งกับฟ้าฝน โดยมีหญิงวัยใกล้เคียงกันยืนปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นอยู่ด้านข้าง แต่ก็ยังพยายามจะห้ามปรามไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ “พี่...ใจเย็นๆ นะพี่ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันก่อน ลูกเขาเลือกแล้ว เราก็ต้องยอมรับนะพี่ เราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
นิ้วมือเรียวสวยนวลเนียนไร้ริ้วรอยบรรจงใช้ปากคีบสเตนเลสคีบเอากลีบดอกไม้สีชมพูอมม่วงจากในโหลสุญญากาศออกมาใส่ในถ้วยเซรามิกสีขาวซึ่งมีลวดลายด้านนอกเป็นดอกไม้สีชมพูกระจิริด แต่ด้านในกลับไร้ลวดลาย เป็นเพียงผิวสีขาวเรียบสะอาดตาพร้อมมีรูเล็กหลายรูอยู่ที่ก้นถ้วย ถ้วยใบย่อมถูกซ้อนทับอีกชั้นด้วยกาน้ำชาที่ทำจากแก้วบางใส ทำให้รู้ว่ารูเล็กเหล่านั้นคงมีไว้เพื่อส่งผ่านน้ำร้อนที่เข้าไปสกัดผ่านชาชนิดต่างๆ จนกลายเป็นน้ำชาสำหรับดื่ม ทว่ากลีบดอกไม้เหล่านั้นกินได้จริงหรือ “คุณรุ้งเจ้า กิ๋นได้แต้ๆ ก่เจ้า” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเปล่งคำถามเป็นภาษาคำเมืองฟังแล้วระรื่นหู ทำให้ ‘หฤหรรษ์ คีรีรัตนะ’ หรือ ‘คุณรุ้ง’ ตามที่ถูกเอ่ยเรียก ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเหลือบดวงตาสวยหวานขึ้นมองสาวน้อยที่นั่งยองๆ และจ้องตาแป๋วมองเธอปรุงชาอยู่นานสองนาน “กินได้สิ อองตองไม่เชื่อฉันเหรอ” หฤหรรษ์ถามพลางเทน้ำร้อนลงไปในถ้วยที่วางกลีบดอกบัวหลวงสีชมพูเอาไว้ เมื่อน้ำร้อนไหลผ่านกลีบดอกไม้ที่ผ่านการทำให้แห้งพอแค่ท่วม หฤหรรษ์ก็รีบเทน้ำร้อนทิ้งทันทีเพื่อชะล้างเอาเศษฝุ่นละอองที่อาจติดอยู่ตามก
แม้จะหงุดหงิดใจเล็กน้อยเมื่อถูกขัดจังหวะ แต่ก็ต้องยอมเพราะคนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวนี้มีไม่กี่คน ดังนั้นคนที่โทร. เข้ามาในเวลานี้ก็เดาได้เลย แล้วก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อหน้าจอโทรศัพท์แสดงหน้าตากวนๆ ของใครบางคน “ว่าไงไอ้ทิต” เขาส่งเสียงปนหงุดหงิดนิดๆ ออกไป เพราะอยากให้คนต้นสายรับรู้ความไม่พอใจของเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าอยากจะโทรศัพท์มาเวลาไหนก็ทำได้ เพราะตกลงกันแล้วว่าให้แค่ส่งข้อความมา เขาว่างตอนไหนจะโทร. กลับไปเอง ไม่ต้องโทร. มาตาม มาทวง หรือมาอะไรทั้งนั้น นั่นจะทำให้เขาหงุดหงิด .. ณ ออฟฟิศ ‘สำนักพิมพ์ พรจากฟ้า’ สำนักพิมพ์ที่ผลิตและจัดจำหน่ายนิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำของเมืองไทย หนุ่มหล่อเทรนด์เกาหลีนายหนึ่งนั่งยิ้มให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา เพราะจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ระบุชื่อคนส่งว่า ‘นายต้นไม้’ มือหนึ่งคลิกเมาส์เพื่อเปลี่ยนหน้าจอไปเป็นงานที่ได้รับมอบหมาย คือการจัดอาร์ตเวิร์กของหน้านิตยสาร ส่วนอีกมือก็กระชับโทรศัพท์ที่หนีบไว้ตรงซอกคอให้ถนัดมากขึ้น เพราะงานตัวเองก็เร่ง แต่งานเพื่อนก็ต้องทำ แต่ที่สนุกสุดๆ ก็คือได้ยั่วอารมณ์คนทางนั้น “ไม่ว่า
ทุ่งข้าวเขียวขจีที่เห็นผ่านเลนส์กล้องให้ความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจแก่ผู้ที่กำลังเก็บภาพความประทับใจนั้นไว้ เพราะความสดชื่นจากใบข้าวสีเขียวสดที่เรียงตัวอัดแน่นตัดกับสีของท้องฟ้าและสีของแผ่นดินโดยรอบ รวมทั้งกลิ่นของไอดิน กลิ่นโคลน หรือแม้กระทั่งกลิ่นมูลวัวที่โชยตามลมมาเป็นระยะ ล้วนคือองค์ประกอบที่เขาต้องการจะถ่ายทอดลงไปในภาพถ่ายเหล่านี้ทั้งสิ้น ชายหนุ่มผิวสีแทนรูปร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีน้ำตาลและกางเกงขาสั้นสีครีมแบบลำลอง สวมรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดาววัยเก๋า สะพายเป้สีดำใบใหญ่ไว้ด้านหลัง มีสายกล้องคล้องอยู่รอบคอ เขาก้าวเดินไปตามคันนากว้างราวหนึ่งเมตรกว่า ทางเดินสไตล์ลูกทุ่งของโฮมสเตย์แบบชาวนา สถานที่ซึ่งเป็นโจทย์สำหรับเขาในครั้งนี้ องค์ประกอบของชายหนุ่มไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไปที่นิยมมาสัมผัสธรรมชาติท้องทุ่งนาในถิ่นภาคเหนือ แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูแตกต่างและเป็นจุดเด่นจนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ต้องเหลียวมองโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวสาวๆ ก็คือ ผมยาวหยักศกน้อยๆ รวบมวยไว้เป็นจุกเหนือท้ายทอย และใบหน้าที่มีกล้องบดบังไว้เป็นบางส่วน เพราะนั่นทำให้คนที่มองมาต้องชะงัก
ร่างสันทัดถูกกระชากจากแรงของพ่อ ก่อนจะตามด้วยฝ่ามือที่ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บ แต่เขาก็ไวกว่าจึงหลบหลีกได้ นั่นทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธเกรี้ยวมากขึ้น ทั้งฝ่ามือฝ่าเท้าจึงกระหน่ำใส่ลงมาไม่ยั้ง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของแม่และเสียงของฟ้าฝนที่กระหน่ำคำรามไม่หยุด โดยที่เขาทำได้เพียงปัดป้อง “พี่อย่าทำลูก อย่า พี่!” ร่างผอมบางสั่นและสะอื้นจนหายใจไม่ออก แต่ก็พยายามยื้อฝ่ามือฝ่าเท้าของสามีไม่ให้กระทบตัวลูก “พี่...อย่าทำลูก อย่าทำ...” แต่เรี่ยวแรงเธอไม่พอที่จะต้านทานอารมณ์ของสามี “มึงสู้กูเรอะ มึงสู้กูเรอะ กูเป็นพ่อมึงนะ กูเป็นพ่อมึง” “ผมไม่ได้สู้ พ่อ...ผมไม่ได้สู้พ่อ...” เสียงสั่นตามความสะเทือนใจเมื่อพ่อแปลความหมายของการปัดป้องเป็นต่อสู้ น้ำตาของเขาเกือบร่วงพรู แต่ก็ฝืนไว้เพราะเขาตัดสินใจแล้ว ยังไงเสียวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง พ่อต้องยอมรับทางที่เขาเลือกเดิน เส้นทางชีวิตที่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบตัวเองต่อไปในภายภาคหน้า “กูทำให้มึงขนาดนี้ มึงก็ยังไม่สำนึกบุญคุณของกูเลยใช่ไหม มึงมันดีแต่ทำให้กูช้ำใจ...ทำให้กูต้องอับอายขายขี้ห
พายุหอบเม็ดฝนสาดกระหน่ำใส่หลังคาบ้าน ลมหวีดหวิวดังครวญราวกับภูตผีร้ายต้องการจะหลอกหลอนผู้คน ฟ้าร้องคำรามลั่นดังเป็นระยะ ราวกับจะข่มขวัญผู้ที่ได้ยินให้หวาดผวา พายุรุนแรงที่หอบฝนมานั้น แม้จะน่าหวาดหวั่นและไร้ความปรานีต่อทุกสิ่งบนโลก แต่ก็ไม่อาจทำให้เสียงแผดลั่นด้วยความไม่พอใจของผู้เป็นเจ้าของบ้านลดทอนลงได้เลย กลับกัน ยิ่งธรรมชาติด้านนอกโหดร้ายเพียงใด เสียงคนภายในบ้านหลังนี้ก็ยิ่งแผดลั่นให้ดังยิ่งกว่า เพราะนี่คือทางที่ต้องเลือก หากสิ่งที่ต้องการนั้นไม่มีใครยอมใคร จุดแตกหักที่ไม่อยากให้มาถึงก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ และหากเพียงคนในครอบครัวจะมีความเข้าใจ สิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ขณะนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเลย “กูบอกให้มึงเลิก กูไม่ยอม มึงต้องเลิก!” ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุดยืนจังก้า กำมือแน่น ตะโกนก้องแข่งกับฟ้าฝน โดยมีหญิงวัยใกล้เคียงกันยืนปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นอยู่ด้านข้าง แต่ก็ยังพยายามจะห้ามปรามไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ “พี่...ใจเย็นๆ นะพี่ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันก่อน ลูกเขาเลือกแล้ว เราก็ต้องยอมรับนะพี่ เราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้”