งานแต่งงานของพชรกับช่อมาลีนั้นจัดว่าเป็นงานที่ไม่เหมือนงานแต่งงานสักเท่าไร เพราะเจ้าสาวก็ไม่ได้อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องอย่างที่ใคร ๆ เคยเห็นกัน รูปแบบของงานเหมือนการจัดปาร์ตี้งานวันเกิดเสียมากกว่า หนำซ้ำเจ้าสาวยังขึ้นไปร้องเพลง โดยมีเจ้าบ่าวเล่นกีตาร์ให้บนเวทีอีกด้วย ทำเอารวิชาถึงกับมองตาเคลิ้มตามประสาเด็กสาวช่างฝัน
ยิ่งดึกงานก็ยิ่งคึกคักเพราะเริ่มเปิดฟลอร์ให้หนุ่มสาวได้ออกมาวาดลวดลายกัน โดยมีคู่หนุ่มสาวเปิดฟลอร์ก่อนเป็นคู่แรก ส่วนผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุส่วนมากก็มักกลับกันไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่ม
ภีมพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ห้าทุ่มนิด ๆ แล้ว เขาต้องพารวิชาไปส่งให้ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนตามที่รับปากกับแม่ของเธอไว้ ครั้นพอเหลือบมองคนข้างกายก็เห็นยังคงนั่งตาใส สนุกสนานกับบรรยากาศของงานอยู่ แม้ใจจะไม่อยากให้เธอกลับตอนนี้เพราะดูท่าทางเจ้าตัวยังอยากอยู่จนงานเลิก แต่เขาก็ต้องทำตามสัญญา
“เรากลับบ้านกันดีกว่าไหม” พอเขาพูดจบ รวิชาก็หันมามองด้วยแววตาเว้าวอนพร้อมกับโอดเสียงอ่อย
“ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ ยังไม่เที่ยงคืนเลยน้องอายยังไม่อยากกลับเลยค่ะอาภีม”
“แน่นอนสิยะ ไม่แซ่บจริงทำไม่ได้หรอกนะยะสีบรอนซ์ทองเนี่ย ก็วันนั้นที่ฉันไปนั่งเฝ้าหล่อนทำสีผม ฉันก็เลยนึกเฮี้ยนอยากทำสีนี้ขึ้นมาน่ะสิ วันต่อมาฉันก็เลยให้ช่างเขาจัดให้เสียเลย เป็นไงยะ ดูเลอค่ามากเลยใช่ไหมล่ะ อุ๊ยตายแล้ว! แกดูรุ่นพี่คนนั้นสิอาย แกหันเรดาห์ของแกไปที่สองนาฬิกาด่วน! ผู้ชายคนนั้นงานประณีตมากเลยเนอะแก” สกลธีพูดจ้อไม่หยุดก่อนจะหันไปสนใจชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปประมาณสิบห้าเมตรรวิชามองตามทิศทางที่เพื่อนบอกแล้วก็ร้องอ๋อ“อ๋อ พี่ชินทร์ พี่ปีสามน่ะ คณะเดียวกับพวกเรานั่นแหละ”ชายหนุ่มคนนั้นคือเตชินทร์ คนที่เคยช่วยเธอไว้เมื่อครั้งที่ถูกกลวิชรก่อกวน“นี่หล่อนไปจี่กับเขาตั้งแต่เมื่อไรยะยายคุณหนูอาย” สกลธีหันขวับมาถามเพื่อนเสียงเขียว รวิชาเองก็ฟาดแขนของเพื่อนทีหนึ่งแต่ไม่แรงมากนัก ก่อนจะพูดแก้ใหม่ว่า“รู้จักมักจี่ พูดให้มันครบ ๆ หน่อยแกนี่... ก็พี่คนนี้ไงที่มาช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันโดนไอ้พี่วิชรมาก่อกวน”“อ๋อ คนนี้เองหรอกหรือ อุ๊ยตาย ถ้าฉันแกล้งเป็นลมตอนนี้เขาจะวิ่
“เพื่อนพี่ให้ไปหาที่ร้านกาแฟหน้ามอ ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนหมดคาบบ่ายพี่จะแวะมาหาใหม่” ประโยคท้ายนั้นเหมือนจงใจพูดกับ อารดาโดยเฉพาะ เพราะชายหนุ่มหันไปทางเธอคนเดียว ก่อนจะลุกเดินออกไปคล้อยหลังเขาแล้ว อารดาถึงได้มองตามแผ่นหลังของคนที่ก้าวห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยสายตาละห้อย“ทีตอนนี้ล่ะมาทำตาละห้อยตามเขา อีตอนเขาอยู่ก็เอาแต่ก้มหน้างุด ๆ ทำยังกับว่าแค่มองเขาแล้วหล่อนจะป่องได้ยังงั้นแหละยายอุ้ยบ้า” สกลธีอดแขวะใส่เพื่อนสาวไม่ได้ที่ทำเล่นตัวไม่เข้าเรื่อง“เขาก็จีบแกมาราธอนดีเนอะ ตั้งแต่เทอมที่แล้วจนกระทั่งพี่เขาขึ้นปีสี่ ไม่คิดจะใจอ่อนบ้างหรืออุ้ย สงสารพี่เขาออก” รวิชาอดเห็นใจรุ่นพี่หนุ่มไม่ได้ เพราะเห็นเพื่อนสาวของตัวเองตั้งท่าแต่จะหนีเขาอย่างเดียว“เดี๋ยวเขาก็เบื่อไปเอง อีกหน่อยพี่ชินทร์ก็ต้องจบออกไป มีงานมีการทำ ได้พบเจอคนอีกเยอะแยะ เขาไม่มามัวสนใจคนอย่างฉันหรอก”อารดาพูดอย่างที่ใจคิด เธอไม่อยากเอาหัวใจไปพัวพันกับเขานัก เพราะความแตกต่างกันระหว่างเธอกับเขามันราวฟ้ากับดิน โดยเฉพาะเรื่
หลังจากจอดรถแล้ว รวิชาก็เดินเข้าบ้านหลังใหญ่อย่างคุ้นเคยพร้อมกับเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มพาเธอไปยังห้องทำงานแล้วโอบบ่าให้นั่งลงบนโซฟาตัวยาว ก่อนเขาจะหย่อนกายนั่งลงตาม“อาภีมมีอะไรจะคุยกับน้องอายหรือเปล่าคะ”ดูจากสีหน้าและแววตาของภีมพล รวิชาก็รู้แล้วว่าเขามีเรื่องหนักใจบางอย่าง และเรื่องนั้นน่าจะเกี่ยวพันมาถึงเธอด้วยแน่นอน เพราะดูเขาลำบากใจตอนที่เธอเอ่ยปากถามภีมพลสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ถ่วงเวลาออกไปแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี การที่ต้องบอกข่าวร้ายกับใครนั้นถือเป็นเรื่องยากสำหรับเขา และมันยิ่งยากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อใครที่ว่านั้นก็คือคนตรงหน้าเขานี่เอง“น้องอายครับ อามีข่าวจะบอก แต่ก่อนอื่นน้องอายต้องสัญญากับอาก่อนได้ไหมครับว่าน้องอายฟังแล้วต้องตั้งสติให้ดี รับปากอาได้ไหมครับ” สีหน้าและน้ำเสียงเคร่งเครียดนั้นทำเอาคนฟังเริ่มใจไม่ดี แต่ก็พยักหน้ารับปากเขา“คือว่า...ประมาณช่วงเที่ยงที่โรงงานของน้องอายเกิดไฟไหม้...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ รวิชาก็เบิกตากว้างแล้วถามหน้าตื่นทันที“หา! ไฟไหม้ แล้วมีใครเป็นอะไ
“หนูอาย มาหาป้ามาลูก” ภาวิณีเรียกให้หญิงสาวที่รั้งตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้เข้าไปหา รวิชาเดินเข่าเข้าไปใกล้ ๆ เมื่อถึงจุดที่เอื้อมมือถึง มารดาของภีมพลก็ตวัดแขนขึ้นโอบหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับพูดจาปลุกปลอบ“ป้าเสียใจด้วยนะลูกนะ คิดเสียว่าพ่อกับแม่ไปสบายแล้ว...ไม่ร้องนะลูก หนูยังมีพี่ภีมยังมีลุงกับป้าอยู่นะจ๊ะ” ปลอบคนตรงหน้าไป แต่คนพูดก็พานจะร้องไห้ตามไปด้วย “หนูไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะลูก หนูมาเป็นลูกสาวของป้าแล้ว เราคือครอบครัวเดียวกันนะลูกนะ”ภาวินียกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกุมใบหน้านั้นไว้ด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร“หนูอายเรียกลุงกับป้าว่าพ่อกับแม่นะจ๊ะ แม่จะดีใจมากเลยถ้าหนูยอมเรียกอย่างนั้น ไหนลองเรียกสิลูก”“ค่ะ คุณแม่คุณพ่อ”เสียงสั่นเจือสะอื้นของรวิชายามเรียกบิดามารดาของเขานั้น ทำให้ภีมพลต้องคลี่ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์ของความเป็นครอบครัวไหลอาบไปทั่วทั้งใจดีใจที่บิดามารดาของเขารักและเอ็นดูรวิชาไม่ต่างจากลูกสาวคนหนึ่ง และด
พชรพยักพเยิดไปทางศาลาที่กำลังมีพิธีสวดศพอยู่ แต่ละคนที่เขาเห็นเข้าไปพูดกับน้องอายมีแต่ไต่ถามเรื่องพวกนี้ทั้งนั้น“มันก็จริงของแก”ภีมพลมองตามสายตาของเพื่อนแล้วก็นึกเป็นห่วงสาวน้อยของตนเหลือเกิน เธอเหมือนตัวคนเดียวในโลกใบนี้เลยก็ว่าได้ มีเพียงแม่นมชราเท่านั้นที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ถ้าหากเขาไม่ได้หมั้นกับเธอ แล้ววันดีคืนดีเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ไม่อยากจะคิดเลยว่ารวิชาจะเคว้งคว้างขนาดไหน“จะทำอะไรก็รีบทำเข้า บอกตามตรงว่าเห็นสายตาของนายบุญทรงแล้วฉันไม่ค่อยไว้วางใจว่ะ ไม่รู้ว่าจะเสี้ยมให้ลูกชายกะโหลกกะลานั่นมาทำอะไรอีก”พชรรู้เรื่องราวของภีมพลทุกอย่าง เพราะเวลามีปัญหาทั้งสองคนก็มักจะช่วยกันขบคิดและหาทางแก้ไขด้วยกันเสมอ“อืม คืนนี้ฉันจะลองคุยกับน้องอายดู”ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะเท่าที่ดูปัญหาที่ดาหน้ากันเข้ามานั้นก็เกี่ยวพันกับข้อกฎหมายด้วยแทบทั้งสิ้น แต่เพราะรวิชายังไม่บรรลุนิติภาวะจึงยังจัดการอะไรด้วยตนเองไม่ได้ บรรดาริ้นไรจึงเข้ามารุมเกาะหญิงสาวกันอย่างหน้าไม่อาย แต่ตร
ได้ฟังอย่างนั้นภีมพลก็สบายใจขึ้นมาเปลาะหนึ่งที่สาวน้อยของเขาเข้มแข็งกว่าที่คิดเอาไว้“ต้องอย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าลูกสาวคุณอาทิตย์ อาดีใจนะที่น้องอายคิดได้อย่างนี้ แต่น้องอายก็อย่าลืมนะครับว่าอายังอยู่เคียงข้างน้องอายเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อาสัญญาว่าจะไม่มีวันปล่อยให้น้องอายต้องเผชิญอะไรตามลำพังอย่างเด็ดขาด...เชื่อใจอานะครับ”ชายหนุ่มบีบมือของเธอเบา ๆ เพียงแค่นั้นรวิชาก็โผเข้ากอดรัดคนตรงหน้าไว้แน่น ซุกใบหน้าอยู่กับอกกว้างราวกับขอฝากเนื้อฝากตัว ในขณะที่ภีมพลเองก็ตวัดแขนขึ้นกอดหญิงสาวไว้แน่นเช่นกัน“ขอบคุณค่ะอาภีม”ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาบอกเขานอกจากคำว่าขอบคุณ แม้ว่าในใจจะมีมากมายหลายร้อยคำที่อยากพูดแต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ เธอกลับพูดออกมาได้เพียงแค่นี้กับผู้ชายคนที่เธอเคยต่อต้านและตั้งแง่ปฏิเสธตั้งแต่แรกที่รู้ว่าต้องหมั้นหมายกับเขา เพียงเพราะเขา “แก่” เกินไปสำหรับเธอ ผู้ชายที่เธอเคยแอบเรียกเขาลับหลังว่า “คุณผีดิบ” เพราะเขาทำงานกลางคืนและนอนกลางวัน ผู้ชายที่ดูเจ้าชู้เสเพลและรอบจัดจนเธอหัวหมุนได้ทุกครั
“ไม่มีอะไรครับ แล้วนี่...ไม่เล่นน้ำแล้วหรือ”“พักก่อนค่ะเดี๋ยวค่อยลงไปใหม่ แช่นานแล้วตัวเปื่อยหมด” หญิงสาวหันไปจัดการปิ้งอาหารทะเลในตะแกรงบ้าง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่นั่งแกะเนื้อปูอยู่ด้านหลังถึงกับลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่พอรวิชาใส่ชุดว่ายน้ำแบบนี้แล้วเขาถึงเพิ่งรู้สึกว่าเธอ “โตขึ้น” กว่าปีที่แล้วไม่น้อยเลย ทรวดทรงองค์เอวดูมีส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามองมากกว่าเดิม สะโพกผายเต็มตึงรับกันดีกับช่วงขายาวเรียว และอะไร ๆ ก็ดูเหมือนจะเต็มไม้เต็มมือมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเขารู้ว่าผิดที่จู่ ๆ มาคิดหื่นกับเธอตอนนี้ แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อเขาเองก็เป็นผู้ชายทั้งแท่งไม่ใช่พระอิฐพระปูน ไม่ใช่พวกรักร่วมเพศที่จะเห็นเพศตรงข้ามมายืนโชว์ส่วนสัดอยู่ตรงหน้าแล้วจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ถ้าเป็นเมื่อก่อน มีสาวมายืนนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่กับเขาสองต่อสองอย่างนี้ละก็ สาบานได้เลยว่าไม่จบลงบนเตียงก็อาจจะเป็นริมสระนี่แหละแต่ผู้หญิงคนนี้เขาทำไม่ได้ เขาทำได้อย่างมากก็แค่มอง และข่มจิตข่มใจ ตัดใจจากภาพสวยงามตรงหน้านั้นเสีย
ภีมพลสั่งให้คนขับรถเคลื่อนไปจอดหน้าบ้านของรวิชา ระหว่างที่ลูกน้องของเขากำลังลำเลียงกระเป๋าสัมภาระของเธอออกจากกระโปรงท้ายรถ ชายหนุ่มก็คว้าคนที่กำลังจะเปิดประตูรถมาจุ๊บปากอิ่มเร็ว ๆ ก่อนพูดว่า“อาไม่ลงไปด้วยนะ เพราะจะรีบไปทำธุระต่อ แล้วพรุ่งนี้ตอนเลิกเรียนอาจะไปรับที่มหาวิทยาลัย”“ค่ะ” รวิชายิ้มเขิน โชคดีที่ลูกน้องของเขาเอากระเป๋าของเธอไปวางไว้ที่บันไดหน้าบ้านจึงไม่เห็นฉากเมื่อครู่“ฝึกเซ็นลายเซ็นให้สวย ๆ นะครับ เพราะพรุ่งนี้น้องอายมีโอกาสเซ็นได้แค่ครั้งเดียว” ภีมพลคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นหญิงสาวเม้มปากกลั้นยิ้ม ก่อนจะอุบอิบพ้อเขาเสียงอ่อน“อาภีม...”รวิชาลงจากรถแล้วมายืนส่งเขาพร้อมกับโบกมือหยอย ๆ เธอยืนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรถเคลื่อนพ้นจากรั้วบ้านไปแล้ว จึงได้หิ้วกระเป๋าเดินเข้าไปในบ้านความรู้สึกที่ย่างเท้าเข้าบ้านในวันนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เธอถึงรู้สึกว่าวันนี้พื้นบ้านช่างเย็นเยียบจนหนาวยะเยือกกว่าทุกวัน วันนี้บ้านแสนอบอุ่นช่างเงียบเหงาราวกับบ้านร้าง บ้านของเธ
ภีมพลสั่งให้คนขับรถเคลื่อนไปจอดหน้าบ้านของรวิชา ระหว่างที่ลูกน้องของเขากำลังลำเลียงกระเป๋าสัมภาระของเธอออกจากกระโปรงท้ายรถ ชายหนุ่มก็คว้าคนที่กำลังจะเปิดประตูรถมาจุ๊บปากอิ่มเร็ว ๆ ก่อนพูดว่า“อาไม่ลงไปด้วยนะ เพราะจะรีบไปทำธุระต่อ แล้วพรุ่งนี้ตอนเลิกเรียนอาจะไปรับที่มหาวิทยาลัย”“ค่ะ” รวิชายิ้มเขิน โชคดีที่ลูกน้องของเขาเอากระเป๋าของเธอไปวางไว้ที่บันไดหน้าบ้านจึงไม่เห็นฉากเมื่อครู่“ฝึกเซ็นลายเซ็นให้สวย ๆ นะครับ เพราะพรุ่งนี้น้องอายมีโอกาสเซ็นได้แค่ครั้งเดียว” ภีมพลคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นหญิงสาวเม้มปากกลั้นยิ้ม ก่อนจะอุบอิบพ้อเขาเสียงอ่อน“อาภีม...”รวิชาลงจากรถแล้วมายืนส่งเขาพร้อมกับโบกมือหยอย ๆ เธอยืนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรถเคลื่อนพ้นจากรั้วบ้านไปแล้ว จึงได้หิ้วกระเป๋าเดินเข้าไปในบ้านความรู้สึกที่ย่างเท้าเข้าบ้านในวันนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เธอถึงรู้สึกว่าวันนี้พื้นบ้านช่างเย็นเยียบจนหนาวยะเยือกกว่าทุกวัน วันนี้บ้านแสนอบอุ่นช่างเงียบเหงาราวกับบ้านร้าง บ้านของเธ
“ไม่มีอะไรครับ แล้วนี่...ไม่เล่นน้ำแล้วหรือ”“พักก่อนค่ะเดี๋ยวค่อยลงไปใหม่ แช่นานแล้วตัวเปื่อยหมด” หญิงสาวหันไปจัดการปิ้งอาหารทะเลในตะแกรงบ้าง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่นั่งแกะเนื้อปูอยู่ด้านหลังถึงกับลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่พอรวิชาใส่ชุดว่ายน้ำแบบนี้แล้วเขาถึงเพิ่งรู้สึกว่าเธอ “โตขึ้น” กว่าปีที่แล้วไม่น้อยเลย ทรวดทรงองค์เอวดูมีส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามองมากกว่าเดิม สะโพกผายเต็มตึงรับกันดีกับช่วงขายาวเรียว และอะไร ๆ ก็ดูเหมือนจะเต็มไม้เต็มมือมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเขารู้ว่าผิดที่จู่ ๆ มาคิดหื่นกับเธอตอนนี้ แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อเขาเองก็เป็นผู้ชายทั้งแท่งไม่ใช่พระอิฐพระปูน ไม่ใช่พวกรักร่วมเพศที่จะเห็นเพศตรงข้ามมายืนโชว์ส่วนสัดอยู่ตรงหน้าแล้วจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ถ้าเป็นเมื่อก่อน มีสาวมายืนนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่กับเขาสองต่อสองอย่างนี้ละก็ สาบานได้เลยว่าไม่จบลงบนเตียงก็อาจจะเป็นริมสระนี่แหละแต่ผู้หญิงคนนี้เขาทำไม่ได้ เขาทำได้อย่างมากก็แค่มอง และข่มจิตข่มใจ ตัดใจจากภาพสวยงามตรงหน้านั้นเสีย
ได้ฟังอย่างนั้นภีมพลก็สบายใจขึ้นมาเปลาะหนึ่งที่สาวน้อยของเขาเข้มแข็งกว่าที่คิดเอาไว้“ต้องอย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าลูกสาวคุณอาทิตย์ อาดีใจนะที่น้องอายคิดได้อย่างนี้ แต่น้องอายก็อย่าลืมนะครับว่าอายังอยู่เคียงข้างน้องอายเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อาสัญญาว่าจะไม่มีวันปล่อยให้น้องอายต้องเผชิญอะไรตามลำพังอย่างเด็ดขาด...เชื่อใจอานะครับ”ชายหนุ่มบีบมือของเธอเบา ๆ เพียงแค่นั้นรวิชาก็โผเข้ากอดรัดคนตรงหน้าไว้แน่น ซุกใบหน้าอยู่กับอกกว้างราวกับขอฝากเนื้อฝากตัว ในขณะที่ภีมพลเองก็ตวัดแขนขึ้นกอดหญิงสาวไว้แน่นเช่นกัน“ขอบคุณค่ะอาภีม”ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาบอกเขานอกจากคำว่าขอบคุณ แม้ว่าในใจจะมีมากมายหลายร้อยคำที่อยากพูดแต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ เธอกลับพูดออกมาได้เพียงแค่นี้กับผู้ชายคนที่เธอเคยต่อต้านและตั้งแง่ปฏิเสธตั้งแต่แรกที่รู้ว่าต้องหมั้นหมายกับเขา เพียงเพราะเขา “แก่” เกินไปสำหรับเธอ ผู้ชายที่เธอเคยแอบเรียกเขาลับหลังว่า “คุณผีดิบ” เพราะเขาทำงานกลางคืนและนอนกลางวัน ผู้ชายที่ดูเจ้าชู้เสเพลและรอบจัดจนเธอหัวหมุนได้ทุกครั
พชรพยักพเยิดไปทางศาลาที่กำลังมีพิธีสวดศพอยู่ แต่ละคนที่เขาเห็นเข้าไปพูดกับน้องอายมีแต่ไต่ถามเรื่องพวกนี้ทั้งนั้น“มันก็จริงของแก”ภีมพลมองตามสายตาของเพื่อนแล้วก็นึกเป็นห่วงสาวน้อยของตนเหลือเกิน เธอเหมือนตัวคนเดียวในโลกใบนี้เลยก็ว่าได้ มีเพียงแม่นมชราเท่านั้นที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ถ้าหากเขาไม่ได้หมั้นกับเธอ แล้ววันดีคืนดีเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ไม่อยากจะคิดเลยว่ารวิชาจะเคว้งคว้างขนาดไหน“จะทำอะไรก็รีบทำเข้า บอกตามตรงว่าเห็นสายตาของนายบุญทรงแล้วฉันไม่ค่อยไว้วางใจว่ะ ไม่รู้ว่าจะเสี้ยมให้ลูกชายกะโหลกกะลานั่นมาทำอะไรอีก”พชรรู้เรื่องราวของภีมพลทุกอย่าง เพราะเวลามีปัญหาทั้งสองคนก็มักจะช่วยกันขบคิดและหาทางแก้ไขด้วยกันเสมอ“อืม คืนนี้ฉันจะลองคุยกับน้องอายดู”ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะเท่าที่ดูปัญหาที่ดาหน้ากันเข้ามานั้นก็เกี่ยวพันกับข้อกฎหมายด้วยแทบทั้งสิ้น แต่เพราะรวิชายังไม่บรรลุนิติภาวะจึงยังจัดการอะไรด้วยตนเองไม่ได้ บรรดาริ้นไรจึงเข้ามารุมเกาะหญิงสาวกันอย่างหน้าไม่อาย แต่ตร
“หนูอาย มาหาป้ามาลูก” ภาวิณีเรียกให้หญิงสาวที่รั้งตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้เข้าไปหา รวิชาเดินเข่าเข้าไปใกล้ ๆ เมื่อถึงจุดที่เอื้อมมือถึง มารดาของภีมพลก็ตวัดแขนขึ้นโอบหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับพูดจาปลุกปลอบ“ป้าเสียใจด้วยนะลูกนะ คิดเสียว่าพ่อกับแม่ไปสบายแล้ว...ไม่ร้องนะลูก หนูยังมีพี่ภีมยังมีลุงกับป้าอยู่นะจ๊ะ” ปลอบคนตรงหน้าไป แต่คนพูดก็พานจะร้องไห้ตามไปด้วย “หนูไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะลูก หนูมาเป็นลูกสาวของป้าแล้ว เราคือครอบครัวเดียวกันนะลูกนะ”ภาวินียกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกุมใบหน้านั้นไว้ด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร“หนูอายเรียกลุงกับป้าว่าพ่อกับแม่นะจ๊ะ แม่จะดีใจมากเลยถ้าหนูยอมเรียกอย่างนั้น ไหนลองเรียกสิลูก”“ค่ะ คุณแม่คุณพ่อ”เสียงสั่นเจือสะอื้นของรวิชายามเรียกบิดามารดาของเขานั้น ทำให้ภีมพลต้องคลี่ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์ของความเป็นครอบครัวไหลอาบไปทั่วทั้งใจดีใจที่บิดามารดาของเขารักและเอ็นดูรวิชาไม่ต่างจากลูกสาวคนหนึ่ง และด
หลังจากจอดรถแล้ว รวิชาก็เดินเข้าบ้านหลังใหญ่อย่างคุ้นเคยพร้อมกับเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มพาเธอไปยังห้องทำงานแล้วโอบบ่าให้นั่งลงบนโซฟาตัวยาว ก่อนเขาจะหย่อนกายนั่งลงตาม“อาภีมมีอะไรจะคุยกับน้องอายหรือเปล่าคะ”ดูจากสีหน้าและแววตาของภีมพล รวิชาก็รู้แล้วว่าเขามีเรื่องหนักใจบางอย่าง และเรื่องนั้นน่าจะเกี่ยวพันมาถึงเธอด้วยแน่นอน เพราะดูเขาลำบากใจตอนที่เธอเอ่ยปากถามภีมพลสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ถ่วงเวลาออกไปแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี การที่ต้องบอกข่าวร้ายกับใครนั้นถือเป็นเรื่องยากสำหรับเขา และมันยิ่งยากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อใครที่ว่านั้นก็คือคนตรงหน้าเขานี่เอง“น้องอายครับ อามีข่าวจะบอก แต่ก่อนอื่นน้องอายต้องสัญญากับอาก่อนได้ไหมครับว่าน้องอายฟังแล้วต้องตั้งสติให้ดี รับปากอาได้ไหมครับ” สีหน้าและน้ำเสียงเคร่งเครียดนั้นทำเอาคนฟังเริ่มใจไม่ดี แต่ก็พยักหน้ารับปากเขา“คือว่า...ประมาณช่วงเที่ยงที่โรงงานของน้องอายเกิดไฟไหม้...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ รวิชาก็เบิกตากว้างแล้วถามหน้าตื่นทันที“หา! ไฟไหม้ แล้วมีใครเป็นอะไ
“เพื่อนพี่ให้ไปหาที่ร้านกาแฟหน้ามอ ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนหมดคาบบ่ายพี่จะแวะมาหาใหม่” ประโยคท้ายนั้นเหมือนจงใจพูดกับ อารดาโดยเฉพาะ เพราะชายหนุ่มหันไปทางเธอคนเดียว ก่อนจะลุกเดินออกไปคล้อยหลังเขาแล้ว อารดาถึงได้มองตามแผ่นหลังของคนที่ก้าวห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยสายตาละห้อย“ทีตอนนี้ล่ะมาทำตาละห้อยตามเขา อีตอนเขาอยู่ก็เอาแต่ก้มหน้างุด ๆ ทำยังกับว่าแค่มองเขาแล้วหล่อนจะป่องได้ยังงั้นแหละยายอุ้ยบ้า” สกลธีอดแขวะใส่เพื่อนสาวไม่ได้ที่ทำเล่นตัวไม่เข้าเรื่อง“เขาก็จีบแกมาราธอนดีเนอะ ตั้งแต่เทอมที่แล้วจนกระทั่งพี่เขาขึ้นปีสี่ ไม่คิดจะใจอ่อนบ้างหรืออุ้ย สงสารพี่เขาออก” รวิชาอดเห็นใจรุ่นพี่หนุ่มไม่ได้ เพราะเห็นเพื่อนสาวของตัวเองตั้งท่าแต่จะหนีเขาอย่างเดียว“เดี๋ยวเขาก็เบื่อไปเอง อีกหน่อยพี่ชินทร์ก็ต้องจบออกไป มีงานมีการทำ ได้พบเจอคนอีกเยอะแยะ เขาไม่มามัวสนใจคนอย่างฉันหรอก”อารดาพูดอย่างที่ใจคิด เธอไม่อยากเอาหัวใจไปพัวพันกับเขานัก เพราะความแตกต่างกันระหว่างเธอกับเขามันราวฟ้ากับดิน โดยเฉพาะเรื่
“แน่นอนสิยะ ไม่แซ่บจริงทำไม่ได้หรอกนะยะสีบรอนซ์ทองเนี่ย ก็วันนั้นที่ฉันไปนั่งเฝ้าหล่อนทำสีผม ฉันก็เลยนึกเฮี้ยนอยากทำสีนี้ขึ้นมาน่ะสิ วันต่อมาฉันก็เลยให้ช่างเขาจัดให้เสียเลย เป็นไงยะ ดูเลอค่ามากเลยใช่ไหมล่ะ อุ๊ยตายแล้ว! แกดูรุ่นพี่คนนั้นสิอาย แกหันเรดาห์ของแกไปที่สองนาฬิกาด่วน! ผู้ชายคนนั้นงานประณีตมากเลยเนอะแก” สกลธีพูดจ้อไม่หยุดก่อนจะหันไปสนใจชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปประมาณสิบห้าเมตรรวิชามองตามทิศทางที่เพื่อนบอกแล้วก็ร้องอ๋อ“อ๋อ พี่ชินทร์ พี่ปีสามน่ะ คณะเดียวกับพวกเรานั่นแหละ”ชายหนุ่มคนนั้นคือเตชินทร์ คนที่เคยช่วยเธอไว้เมื่อครั้งที่ถูกกลวิชรก่อกวน“นี่หล่อนไปจี่กับเขาตั้งแต่เมื่อไรยะยายคุณหนูอาย” สกลธีหันขวับมาถามเพื่อนเสียงเขียว รวิชาเองก็ฟาดแขนของเพื่อนทีหนึ่งแต่ไม่แรงมากนัก ก่อนจะพูดแก้ใหม่ว่า“รู้จักมักจี่ พูดให้มันครบ ๆ หน่อยแกนี่... ก็พี่คนนี้ไงที่มาช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันโดนไอ้พี่วิชรมาก่อกวน”“อ๋อ คนนี้เองหรอกหรือ อุ๊ยตาย ถ้าฉันแกล้งเป็นลมตอนนี้เขาจะวิ่
งานแต่งงานของพชรกับช่อมาลีนั้นจัดว่าเป็นงานที่ไม่เหมือนงานแต่งงานสักเท่าไร เพราะเจ้าสาวก็ไม่ได้อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องอย่างที่ใคร ๆ เคยเห็นกัน รูปแบบของงานเหมือนการจัดปาร์ตี้งานวันเกิดเสียมากกว่า หนำซ้ำเจ้าสาวยังขึ้นไปร้องเพลง โดยมีเจ้าบ่าวเล่นกีตาร์ให้บนเวทีอีกด้วย ทำเอารวิชาถึงกับมองตาเคลิ้มตามประสาเด็กสาวช่างฝันยิ่งดึกงานก็ยิ่งคึกคักเพราะเริ่มเปิดฟลอร์ให้หนุ่มสาวได้ออกมาวาดลวดลายกัน โดยมีคู่หนุ่มสาวเปิดฟลอร์ก่อนเป็นคู่แรก ส่วนผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุส่วนมากก็มักกลับกันไปตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่มภีมพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ห้าทุ่มนิด ๆ แล้ว เขาต้องพารวิชาไปส่งให้ถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนตามที่รับปากกับแม่ของเธอไว้ ครั้นพอเหลือบมองคนข้างกายก็เห็นยังคงนั่งตาใส สนุกสนานกับบรรยากาศของงานอยู่ แม้ใจจะไม่อยากให้เธอกลับตอนนี้เพราะดูท่าทางเจ้าตัวยังอยากอยู่จนงานเลิก แต่เขาก็ต้องทำตามสัญญา“เรากลับบ้านกันดีกว่าไหม” พอเขาพูดจบ รวิชาก็หันมามองด้วยแววตาเว้าวอนพร้อมกับโอดเสียงอ่อย“ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ ยังไม่เที่ยงคืนเลยน้องอายยังไม่อยากกลับเลยค่ะอาภีม”