อันที่จริงแล้ว งานนี้เธอไม่ได้ขโมยใครมาหรือปล้นใคร แต่เป็นการทำงานหาเงินจากน้ำพักน้ำแรง “พี่อยากเป็นนักแสดง แล้วทำไมพี่ถึงไม่ถามฉันล่ะ? ฉันอาจจะเตรียมบทละครให้พี่สักสองสามบท พี่จะได้สร้างรายได้มากว่าการแสดงเป็นตัวประกอบนะ” เมื่อหลิงลั่วอินพูดเช่นนี้ เธอก็จงใจยกมือขึ้นและลูบผม เพื่ออวดนาฬิการาคาแพงบนข้อมือของเธอหลิงอี้หรานแค่คิดว่าพฤติกรรมของหลิงลั่วอินนั้นค่อนข้างไร้สาระและพูดว่า “ฉันไม่เคยคิดที่จะหลอกพี่สาวของตัวเองให้ไปดื่มเหล้าเพียงเพื่อจะได้บทเพิ่มสองสามบทหรอก”“พี่...” สีหน้าของหลิงลั่วอินเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าหลิงอี้หรานพยายามจะเหน็บแนมเธอเรื่องที่ขอให้เธอไปดื่มกับผู้ช่วยผู้กำกับมาก่อน แต่แล้วดูเหมือนว่า เธอจะคิดอะไรบางอย่างได้และมองไปที่หลิงอี้หราน พร้อมพูดว่า “ตอนนี้พี่ร้อนเงินเหรอ? หรืออยากจะมาเป็นนักแสดงตัวประกอบล่ะ หรือว่าไม่มีใครให้เงินแล้วเหรอ? พี่ต้องลำบากหาเงินขนาดนั้นเลยเหรอ?“ฉันไม่จำเป็นต้องรายงานให้เธอรู้” หลิงอี้หรานไม่สนใจหลิงลั่วอิน และเดินผ่านเข้าตรงไปยังสถานที่ที่นักแสดงตัวประกอบกำลังรออยู่บนเวทีหลิงลั่วอินขมวดคิ้ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งผู้ช่วยที่อยู่ข
แม้ว่าหลิงลั่วอินจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอเมื่อนึกถึงกู้ลี่เฉิน แต่สุดท้ายแล้วลี่เฉินก็ไม่เคย “แตะต้อง” เธอเลยจนกระทั่งตอนนี้แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นแฟนคนปัจจุบันของหลี่เฉินแต่สำหรับหลิงอี้หราน เธอจะทำให้หลิงอี้หรานเข้าใจหลักการของกงเกวียนกำเกวียน ตั้งแต่แรกที่เธอขอความช่วยเหลือจากหลิงอี้หรานเธอกลับปฏิเสธ ตอนนี้เธอจะทำให้หลิงอี้หรานเข้าใจว่า “การปฏิเสธ” เธอต้องชดใช้อย่างไร!……ก่อนการถ่ายทำอย่างเป็นทางการ ผู้กำกับขอให้ทุกคนลองแสดงสองครั้ง ตอนที่ลองแสดงหลิงอี้หรานยังไม่เห็นห่าวอี้เหมิง จึงเป็นผู้ทำหน้าที่แทนห่าวอี้เหมิงที่ช่วยเธอวางตำแหน่งไว้แต่หลิงลั่วอินไม่ได้ช่วยวางตำแหน่งไว้ แต่เธอกลับไปยืนอยู่ข้างพระเอกด้วยตัวของเธอเองหลิงลั่วอินรับบทเป็นนักแสดงนำรองในละครเรื่องนี้ เป็นนางสนมของพระเอก และมีฉากประกบห่าวอี้เหมิงหลายฉากตั้งแต่แรกกู้ลี่เฉินให้หลิงลั่วอินเลือกละครหลายเรื่องแต่หลิงลั่วอินกลับเลือกละครเรื่องนี้ในเวลานั้นกู้ลี่เฉินยังบอกว่า "ผมคิดว่าคุณจะเลือกบทของนางเอก แต่นี่เป็นเพียงบทนักแสดงนำรอง"“แต่ละครเรื่องนี้เป็นผลงานการสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการ ผู้กำกับก็เป็นผู้กำก
แม้ว่าเธอจะรู้ เหลียนอีอาจจะไม่เร่งให้เธอคืนเงิน แต่ว่าเธอติดหนี้เหลียนอีก็มากพอแล้ว ไม่สามารถติดหนี้แบบนี้ได้อีกต่อไป ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หลิงอี้หรานยังคุกเข่า คำนับและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง... วนซ้ำอย่างต่อเนื่องและนักแสดงตัวประกอบคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ก็ยังคุกเข่าลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลี่ยนเป็นกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนกระทั่งตะโกนว่า ต้องการเพิ่มเงินไม่ใช่มาทรมานคนกันแบบนี้ผู้กำกับเห็นอารมณ์ของตัวประกอบแย่ลงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงให้ผู้ช่วยผู้กำกับไปถามความคิดเห็นหลิงลั่วอินหลิงลั่วอินดูสถานการณ์แล้วก็แกล้งทำเป็นครุ่นคิดและพูดว่า “เอาอย่างนี้ไหม ฉันรู้สึกว่าคนนี้ทำได้ดี ท่าทางได้มาตรฐานมาก จังหวะก็กำลังดีเลย ทำไมไม่ให้เธอสาธิตให้นักแสดงตัวประกอบคนอื่นดูหน่อยล่ะ ทำให้ทุกคนดูว่าทำยังไง จะได้ดูแล้วทำตามได้ ดูให้เข้าใจแล้วก็ค่อยมาฝึกซ้อมให้ดีจะได้ไม่เหนื่อยมากขนาดนั้น”และคนที่เธอพูดถึงก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิงอี้หราน“แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวประกอบคนนี้จะยอมสาธิตให้ทุกคนไหม เพราะเธอก็จะเหนื่อยกว่าคนอื่น” หลิงลั่วอินดูเหมือนกำลังนึกถึงอีกฝ่ายอยู่“ไม่เต็มใจอะไรกันล่ะ ถ้าเพิ่มเงินให้ก็ไม่มี
ห่าวอี้เหมิงดูวิดีโอที่กำลังเล่นบนโทรศัพท์และภาพหลิงอี้หรานที่คุกเข่าไม่หยุด มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า “ดูเหมือนจะมีคนก็ยังอยากตายจริง ๆ ก็คงไม่มีใครขวางได้หรอก”“ใช่ไหมล่ะ ตัวประกอบคนนี้ดูเหมือนจะทำให้หลิงลั่วอินไม่พอใจ หลิงลั่วอินก็เลยทำแบบนี้ ตอนนี้ในกองถ่าย ทุกคนรู้ดีว่าไม่ควรทำให้หลิงลั่วอินขุ่นเคือง…” ผู้ช่วยพูดอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนเองพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดทันใดนั้นผู้ช่วยก็หน้าซีดลงและพูดกับห่าวอี้เหมิงว่า “พี่ห่าว ขอโทษค่ะ ฉันพูดผิด หลิงลั่วอินคนนี้ ก็อาศัยที่เป็นแฟนของนายน้อยกู้ ถึงได้มากดขี่ข่มเหงคนอื่นอย่างนี้ รอให้เธอถูกคุณกู้ทิ้งก่อนเถอะ ไม่ต้องพูดถึงนักแสดงนำรองเลย แม้ว่าจะเป็นนักแสดงลำดับห้าเธอก็ไม่มีสิทธิ์ได้เป็นหรอก!”ห่าวอี้เหมิงพูดอย่างใจเย็นว่า “เอาเถอะ ไม่พูดฉันก็รู้”ตั้งแต่หลิงลั่วอินเข้าร่วมกับทีมนักแสดง เธอไม่เคยแสดงท่าทีเป็นมิตรเลย ทุกครั้งที่เจอกัน ไม่พูดเหน็บแนมกันก็ต้องทะเลาะกันห่าวอี้เหมิงรู้ดีว่า ตอนนี้หลิงลั่วอินอยากจะอวดเบ่งต่อหน้าเธอและระบายความโกรธออกมาสำหรับหลิงลั่วอินแล้ว ห่าวอี้เหมิงก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร เพราะเกิดในตระกูลเล็ก ๆ
ผู้ช่วยเห็นสถานการณ์แล้วจึงรีบตามไปตอนนี้ต้นเดือนเมษายนแล้วอากาศก็ยังเย็นเล็กน้อย ยังดีที่ตัวประกอบชายยังใส่เสื้อผ้าเพิ่มเข้าไปข้างในชุดแสดงละครได้บ้าง แต่ตัวประกอบหญิงผู้กำกับขอให้ใส่แค่เสื้อชั้นในในชุดนางรับใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี หากใส่มากเกินไปจะทำให้ดูตัวใหญ่ดังนั้นตอนนี้ตัวประกอบหญิงทั้งหมดจึงหนาวจนตัวสั่นเล็กน้อย ถือโอกาสตอนที่กำลังพักผ่อนและแค่ "สังเกตเห็น" พวกเขาต่างสวมเสื้อโค้ททีละคนมีเพียงหลิงอี้หรานที่ยังใส่ชุดแสดงละครแล้วคุกเข่าคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าส่วนหลิงลั่วอินนั้น เพราะว่าเริ่มถ่ายยังไม่เป็นทางการ เธอจึงสวมเสื้อโค้ทอุ่น ๆ ทับชุดแสดงละคร“นี่ ไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นชัดหรือเปล่า ทำไมคุณไม่คุกเข่าอีกครั้งล่ะ ทำให้ช้ากว่านี้หน่อย คนอื่นเขาจะได้เห็นชัด ๆ ” หลิงลั่วอินพูดกับหลิงอี้หรานอีกครั้งและไม่ยอมให้หลิงอี้หรานหยุดหลิงอี้หรานมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ค่ะ!”หลังจากนั้นก็คุกเข่าลงอีกครั้งในเวลานี้แม้แต่คนอื่นก็ดูออกว่า หลิงลั่วอินคนนี้จงใจหาเรื่องและยั่วยุผู้คน!ตอนนี้หลิงลั่วอินแค่อยากเห็นหลิงอี้หรานจ็บปวด เธอจึงระบายความแค้นด้วยวิธีนี้ แต่ห
คนที่อยู่รอบ ๆ ก็เกิดความโกลาหล แต่บางคนก็มองหลิงลั่วอินอย่างเห็นอกเห็นใจ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่า อายุความสัมพันธ์ในฐานะแฟนสาวของกู้ลี่เฉินได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อกี้เจ้าชายเห็นตัวประกอบนางรับใช้คนนั้นสำคัญกว่าอย่างชัดเจน!ส่วนห่าวอี้เหมิงที่ดูละครนี้อยู่ไม่ไกล ตอนนี้ก็ประหลาดใจเหมือนกัน หลิงอี้หรานกับกู้ลี่เฉิน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่ากู้ลี่เฉินจะสนใจหลิงอี้หราน?เมื่อกี้กู้ลี่เฉินดูเหมือนต้องการปกป้องหลิงอี้หรานอย่างเห็นได้ชัด!แล้วอี้จิ่นหลีล่ะ? เขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างกู้ลี่เฉินกับหลิงอี้หรานหรือไม่?“โอ้พระเจ้า นี่มันหักมุมเกินไปมาก เจ้าชายกับตัวประกอบคนนั้น... ” ผู้ช่วยที่อยู่ข้าง ๆ พูดอย่างอุทานและพูดเยาะเย้ยทันทีว่า “หลิงลั่วอินคนนี้ชนกำแพงอิฐแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าชายไม่ได้ทิ้งเธอ! เพราะเธอรู้ว่า ตัวประกอบคนนั้นกับเจ้าชายมีความสัมพันธ์กันก็เลยจงใจทำร้ายอีกฝ่ายแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?”ผู้ช่วยเดาเช่นนี้แต่ห่าวอี้เหมิงกลับหลับตาลงเบา ๆ ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในเวลานี้หลิงลั่วอินที่ยืนเหม่ออยู่ที่เดิมก็เหมือนจะได้สติกลับมาอีกครั้ง และเผชิญหน้ากับสายตาเห็นอกเห็น
หลังจากเข้าไปในห้องพัก กู้ลี่เฉินก็ปล่อยหลิงอี้หรานลงบนโซฟา เห็นมือซ้ายของเธอที่มีมือขวามาปิดไว้ก็เอ่ยถาม “เจ็บมากไหม?”“นิดหน่อย” เธอพึมพำในเวลานี้เขาเห็นเธอแสดงอาการเจ็บปวด ก็รู้ได้เลยว่าเธอกำลังทำเป็นไม่สนใจความเจ็บปวด เธอในตอนนี้ ปกติหน้าของเธอที่จิ้มลิ้มจะนิ่งเฉย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนที่เคยเป็น คิ้วขมวดและหน้าซีดลง และแม้แต่เสียงพูดก็ฟังดูลำบากเมื่อเห็นเธอแบบนี้ หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะความรู้สึกแบบนี้มันแปลกสำหรับเขา ดูเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เห็นเธอคุกเข่าคำนับที่พื้น แล้วสักพักมือของเธอก็โดนเตาถ่านนั้นทับใส่ จู่ ๆ หัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกแส้ตีอย่างแรงจากนั้นเขาก็ตอบสนองวิ่งไปช่วยเธอทันใดทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?ในใจของกู้ลี่เฉินตั้งคำถามกับตัวเอง แม้ว่าเขาจะได้รับการยืนยันในเมืองเล็ก ๆ ก่อนหน้านี้แล้วว่า เธอไม่ใช่คนที่เขากำลังตามหา แต่อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะยังคงได้รับอิทธิพลจากเธอเป็นเพราะหน้าตาของเธอเหรอ? เพราะว่าหน้าตาของเธอมีเงาคนนั้นในความทรงจำ เขาจึงได้รับผลกระทบทางอารมณ์แม้ว่าเขาจะรู้ว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เขากำลังตามหาก็ตามอย่างนั้นหรือเปล่า?ไม่
เห็นได้ชัดว่ามันเกิดจากการคุกเข่าโขกหัวคำนับ“คุณนี่…พวกเขาขอแล้วคุณก็เลยต้องทำอย่างนั้นเหรอ?” จู่ ๆ เขาก็โกรธขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก“ถ้าไม่ทำ? แล้วจะให้ปฏิเสธเหรอ? ถ้าปฏิเสธค่าทำงานเป็นตัวประกอบในวันนี้ก็คงไม่ได้รับน่ะสิ” เธอพูดเขาถอนหายใจ เขารู้ว่าตัวประกอบเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดของกองถ่าย ถ้าต้องทำงานอะไรสักอย่าง ตัวประกอบก็ไม่สามารถต่อรองได้เลย“เป็นตัวประกอบ เขาให้เงินเท่าไหร่?” เขาถามด้วยน้ำเสียงอู้อี้“วันละแปดร้อยบาท เพราะวันนี้มีฉากคุกเข่าก็เพิ่มอีกห้าร้อย แล้วเมื่อกี้มีการสาธิตคุกเข่าคำนับคนเดียวก็เพิ่มอีกสองพันค่ะ” เธอพูดเขาจ้องมองเธอ ความคิดในหัวของเขาก็พลันปั่นป่วน ดังนั้นแค่เพราะเงินสามพันสามร้อย ก็ทำให้เธอคุกเข่าคำนับซ้ำ ๆ ไม่หยุดอย่างนั้นเหรอ?ผู้หญิงคนนี้ไม่เข้าใจการปกป้องตัวเองหรือไง?“คุณกับหลิงลั่วอินมีปัญหากันหรือเปล่า?” เขาถาม เมื่อกี้เขาก็ดูออกว่าหลิงลั่วอินจงใจทำให้เธอลำบากใจและในกองถ่ายกลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรเลย ในด้านหนึ่งนี่เป็นเรื่องธรรมชาติที่ตัวประกอบก็จะไม่ถูกให้ความสำคัญ ในกองถ่ายล้วนเป็นคนฉลาดทันคน ไม่มีใครจะไปหาเรื่องกับหลิงลั่วอินเพื่อตัว
เสียงจัวเชียนอวิ๋นดังมาจากปลายสาย “นี่ การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดีนะ หมอบอกว่าเสี่ยวเหยียน หลังจากผ่านไปสองสามวันเสี่ยวเหยียนปรับตัวได้ เขาก็จะเริ่มการฝึกเรื่องของการแยกแยะเสียงแล้ว”“ดีมากเลยค่ะ” หลิงอี้หรานดีใจที่ได้ยิน “ถ้างั้นตอนบ่ายฉันจะแวะไปเยี่ยมเสี่ยวเหยียนนะคะ”จากนั้นหลิงอี้หรานก็ถามอีกครั้งถึงเลขห้องผู้ป่วยของเสี่ยวเหยียนในโรงพยาบาลก่อนจะวางสายไป“นี่เรื่องของเด็กที่หูหนวกนั่นเหรอ?” อี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หรานก่อนถาม“การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดี ยังไงตอนบ่ายฉันก็มีเวลาว่าง ฉันเลยจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล” หลิงอี้หรานบอก“ให้ฉันไปกับเธอแล้วกัน” อี้จิ่นหลีพูด“คุณจะไปกับฉันเหรอคะ?” หลิงอี้หรานเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ “แต่… คุณไม่มีงานต้องทำเหรอ?”“ฉันก็แค่บอกให้เลขาเลื่อนงานตอนบ่ายออกไป ยังไงก็ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วน” อี้จิ่นหลีพูดเรียบ ๆแต่หลิงอี้หรานรู้ดีว่าในบริษัทใหญ่แบบนี้ สำหรับคนเป็นประธานไม่มีอะไรที่ “เร่งด่วน” สำหรับเขา“ทำไม เธอไม่อยากให้ฉันไปด้วยเหรอ?” เขาถาม“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” พูดตามตรงการที่เขาเต็มใจจะไปเป็นเพื่อนเธอ ทำให้เธอประหลาดใจแต่ก็ร
และเพราะว่าเธอฟังเข้าใจ จู่ ๆ เธอก็ยิ่งรู้สึกอายสุดท้ายอี้จิ่นหลีก็ตอบว่า “เธอนั่นแหละ”“โอ้ จิน คุณเป็นอะไรกับเธอเหรอ? เป็นคนรักกันไหม?” คนต่างชาติมักจะชอบถามอะไรตรง ๆหากว่าเป็นพนักงานชาติเดียวกัน ไม่มีใครกล้าถามอี้จิ่นหลีตรง ๆ แบบนี้แน่จากนั้นหลิงอี้หรานก็ได้ยินอี้จิ่นหลีตอบเป็นภาษาอังกฤษ “เธอเป็นคนโปรดของฉัน”ฉับพลันหลิงอี้หรานก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดไว้ แม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจก็เหมือนจะสะดุดหลังจากที่การประชุมทางวิดีโอจบลง อี้จิ่นหลีก็เดินเข้ามาหาเธอและถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมหน้าแดงแบบนั้น?”“เปล่า…ไม่มีอะไรค่ะ” เธอรีบตอบแต่เขาก็เอามือมาจับหน้าเธอไว้แล้วพิจารณาหน้าแดงก่ำของเธอ “นี่เพราะว่าเรื่องที่พวกนั้นพูดเมื่อกี้เหรอ?”เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่เธอก็ใช้ความเงียบเป็นการยอมรับ“ไว้อนาคตมีโอกาส ฉันจะแนะนำเธอกับพวกเขา” เขาบอก“แนะนำเหรอคะ?” เธอร้องเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไม เธอไม่อยากเหรอ?”เอ่อ… เธออึ้งไป ตอนนั้นดวงตาสีดอกท้อคู่นั้นฉายแววบีบคั้น เหมือนว่าหากเธอตอบว่าไม่อยาก เธอก็คงเหมือนเป็นตัวจุดประกายให้ไฟโทสะเขาลุกท่วมเธอคิดอยู่พั
“แต่ถึงกู้ลี่เฉินอยากจะแย่งเธอไปจริง ๆ เขาก็ทำไม่ได้ใช่ไหม? เพราะว่าคนที่เธอชอบก็คือฉัน และคนที่เธอมีชะตาต้องตกหลุมรักในอนาคตก็คือฉันใช่ไหม?”เสียงของเขาพึมพำและลมหายใจอุ่นร้อนก็เป่ารดใบหน้า เมื่อพูดจบเขาก็จูบเธอที่ริมฝีปากเขาไม่มีทางยกเธอให้ใคร เธอจะเป็นของเขาเท่านั้น……ตอนที่หลิงอี้หรานตื่นขึ้นมาให้วันต่อมา อี้จิ่นหลีก็ไปทำงานแล้ว หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จเธอก็เตรียมอาหารกลางวันให้อี้จิ่นหลีที่คฤหาสน์อี้มีกล่องอาหารกลางวันและวัตถุดิบ และก็มีพ่อครัวอยู่ใกล้ ๆ เห็นชัดว่าพ่อครัวก็ได้รับคำสั่งมา หากว่าหลิงอี้หรานมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ พ่อครัวก็พร้อมช่วยถึงขนาดที่ว่าหลังจากทำกล่องอาหารกลางวันแล้ว หลิงอี้หรานรู้สึกว่าฝีมือของตัวเองนั้นพัฒนาสูงขึ้นเลยทีเดียวเธอนำกล่องอาหารมาที่อี้กรุ๊ป แต่เพราะว่าวันนี้คนขับรถของตระกูลอี้เป็นคนพาเธอมา ยามที่หน้าประตูก็ตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเธอลงมาจากรถแม้ว่าพนักงานหลายคนในบริษัทเริ่มที่จะลือกันว่าพนักงานส่งอาหารลึกลับคนนี้น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพนักงานคนนี้จะเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเล็ก ๆ มาเป็นรถส่วนตัวเร็วแบบนี้โดยเฉพาะรถ
ช่วงนี้เขามักจะมาค้างในห้องของเธอ นอนร่วมเตียงกับเธอ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้ทำอะไรกัน แต่มันก็เหมือนว่าการนอนร่วมเตียงเดียวกันนั้นกลายเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัวแล้วเพราะว่าเธอต้องเปิดไฟนอน เธอก็พูดเสียงอ่อนว่า “คุณจะชินกับการเปิดไฟนอนตลอดเวลาไปแล้ว ทำไมคุณไม่กลับไปนอนห้องคุณล่ะคะ”สุดท้ายเขาก็บอกว่า “ฉันอยากนอนกับเธอนี่ พี่สาว ถึงจะเปิดไฟไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นคำพูดที่เหลือของเธอจึงโดนกลืนกลับลงไป“เธอจะนอนแล้วเหรอ?” อี้จิ่นหลีถามขณะที่มองหลิงอี้หรานเดินไปที่เตียง“ใช่” หลิงอี้หรานพูดพร้อมหน้าแดงเรื่อหลิงอี้หรานเลิกผ้าห่มและเข้าไปนอนเตียง มือของอี้จิ่นหลีก็มาโอบรอบเอวเธอ เขากอดเธอแนบแน่นและฝังใบหน้าซุกกายเธอราวเก็บเด็กที่อยากจะออดอ้อนเขาดูราวกับเด็กเล็กน้อยซึ่งต่างไปจากท่าทางปกติของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หลิงอี้หรานรู้สึกว่าชอบอี้จิ่นหลีที่มีท่าทางเป็นเด็ก ๆ แบบนี้“ว่าแต่กู้ลี่เฉินหมายความว่าอะไรตอนที่คุยกับคุณวันนี้? พวกคุณทะเลาะกันเหรอ?”จู่ ๆ หลิงอี้หรานก็คิดขึ้นมาได้“ประโยคไหนล่ะ?” อี้จิ่นหลีถาม พลางรู้สึกว่าการกอดเธอมันชวนให้เสพติดมาก เมื่อเขากอดเธอแล้วก็ไม
“ฉันเข้าใจค่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรกับเธอ” จัวเชียนอวิ๋นลังเลและบอกว่า “ถึงตอนนี้ฉันจะรู้ว่าเธอเป็นแฟนของคุณ ฉันไม่เคยบอกอะไรเธอมาตั้งแต่แรก และฉันก็ไม่คิดว่าจะบอกอะไร ไม่คิดจะหาประโยชน์จากเธอ แน่นอนว่าในอนาคตฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนั้น ที่ตอนแรกฉันจ้างเธอก็เพราะว่าฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนกับฉัน เคยติดคุกมาก่อน และรู้สึกว่าเราลงเรือลำเดียวกัน ฉันก็เลยอยากให้โอกาสเธอได้ทำงาน”ความเย็นชาในตาของอี้จิ่นหลีหายไป “ผมไม่สนหรอกว่าระหว่างคุณกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร แต่ตราบใดที่เธอยังทำงานที่นี่กับคุณ เธอก็จะทำงานอย่างปลอดภัย หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ไม่ว่าจะอะไร คุณโทรหาผมได้ตลอด”เมื่อพูดจบ เขาก็เอาเบอร์มือถือให้จัวเชียนอวิ๋นจัวเชียนอวิ๋นรีบจดลงไป เธอเกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถมีเบอร์นี้ได้ในเมืองเสิ่น แต่ตอนนี้เธอได้มาภายใต้เงื่อนไขแต่ที่อี้จิ่นหลีบอกว่าเขาไม่สนว่าระหว่างเธอกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร ก็แปลว่าเขาคงไม่บอกเย่เหวินหมิงว่าเธออยู่ที่ไหน ซึ่งนี่ก็ทำให้จัวเชียนอวิ่นหายใจได้อย่างโล่งอกอี้จิ่นหลียังอยู่ในร้านและกินมื้อเย็นกับหลิงอี้หรานดังนัั้นเมื่อเลิกงาน เพื่อนร่วมงานทุกคนเลยได้รู
จัวเชียนอวิ๋นจำได้ว่าตอนที่เธอดึงหลิงอี้หรานมาถาม อีกฝ่ายก็ให้คำตอบที่ชัดเจนหนักแน่นกับเธอ“ก็พี่จัว คนที่ว่าก็คืออี้จิ่นหลีของอี้กรุ๊ป” โอเค ก็ถือว่าเป็นคำตอบแล้วกันจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางหัวเธอ ซึ่งทำให้เธอมึนไม่หายพนักงานส่งอาหารให้ร้านของเธอเป็นแฟนกับอี้จิ่นหลีจริงเหรอ? ถ้าบอกไปแล้วใครจะเชื่อ?โดยเฉพาะหลิงอี้หรานบอกว่ายังมีอาหารที่ต้องออกไปส่งอีก อี้จิ่นหลีก็บอกว่า “ถ้างั้นฉันจะรอเธอที่นี่ วันนี้ยังไงก็ว่าง”ดังนั้นคนหนึ่งก็ออกไปส่งอาหาร ส่วนอีกคนก็… เอ่อ อ่านหนังสือจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเธอประสบคลื่นลมโหมกระหน่ำ แต่ตอนนี้เธอสับสนมากทำไมอี้หรานถึงได้ยังมาทำงานที่ร้านของเธอหากว่ามีแฟนแบบนี้? แล้วอี้จิ่นหลีจริงจังกับอี้หรานเหรอ?แต่เมื่อมองเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างทั้งสอง ก็ไม่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องหลอกลวง อย่างน้อยท่าทีของอี้จิ่นหลีที่มีต่ออี้หรานด้วยสายตาคนนอกอย่างเธอก็เห็นได้ว่าเขารักอี้หรานมากเมื่อเห็นว่าอี้จิ่นหลีกินกาแฟหมดแล้ว จัวเชียนอวิ๋นก็เดินเข้าไปหาและถามว่า “คุณอี้ ต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ?”“ขอน้ำให้ผมแก้วหนึ่งพอครับ” อี้จิ่นหลีบอกดังนั้น
หลิงอี้หรานอดหน้าแดงไม่ได้ เธอกัดปากเล็กน้อยและบอกกับจัวเชียนอวิ๋น “เขาเป็นแฟนฉันค่ะ”“แฟนเธอเหรอ?” จัวเชียนอวิ๋นตาเบิกกว้างทันที แม้เธอจะรู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งสองคนมีบรรยากาศแปลก ๆ ขณะที่พูดคุยกันก็ตามแต่… แฟนเหรอ? อี้หรานมีแฟนเหรอ? แถมยังเป็นผู้ชายที่ดูลึกล้ำยากจะหยั่งถึงนี่คือสิ่งที่จัวเชียนอวิ๋นรู้สึก ตอนนั้นเองแม้ว่าชายคนนั้นจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าและดูไม่มีพิษภัย แต่เธอไม่คิดว่าชายคนนี้จะไร้พิษภัยจริง ๆ ตรงกันข้ามสัญชาตญาณบอกเธอว่าชายคนนี้อันตรายมากทั้งร่างของเขาแผ่กลิ่นอายของคนที่สูงส่งออกมา“ค่ะ แฟนฉัน” หลิงอี้หรานตอบ“สวัสดีค่ะ… ฉันเป็นเจ้าของร้านที่นี่ จัวเชียนอวิ๋น” จัวเชียนอวิ๋นแนะนำตัวเอง“สวัสดีครับ ผมอี้จิ่นหลี” อี้จิ่นหลีบอกสีหน้าจัวเชียนอวิ๋นตะลึงอีกครั้ง จากนั้นแววตาประหลาดใจของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆอี้จิ่นหลี… คงไม่ใช่… คงไม่ใช่คนที่เธอคิดหรอกนะ ตอนนี้จัวเชียนอวิ๋นรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาร้านของเธอมีกู้ลี่เฉินมา แล้วก็มีอี้จิ่นหลีมาอีก ผู้ชายทั้งสองคนต่างก็มาหาอี้หรานแล้ว… ตัวตนที่แท้จริงของเธอมันยังไงกันแน่? ใช่แบบที่เขียนในใบสมัครงานจริงเหรอ?ตอน
อี้จิ่นหลียังคงดื่มกาแฟในมือสบาย ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับเวลาน้ำชา และเขาก็แค่มาพูดคุยเล่นกับกู้ลี่เฉินไม่ได้คุยเรื่องที่สามารถเขย่าเมืองเสิ่นให้สั่นสะเทือนได้กู้ลี่เฉินค่อย ๆ สงบความคุกรุ่นในแววตาลงและก็หยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งทั้งสองต่างก็ไม่มีบรรยากาศน่าตึงเครียดเหมือนก่อนหน้าแล้ว และตอนนี้ก็เหมือนเป็นการกินข้าวกันระหว่างเพื่อนเท่านั้นจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านโดยเฉพาะลูกค้าสาว ๆ ต่างก็มองทั้งสองเป็นระยะ อย่างไรพวกเขาคนหนึ่งก็ดูเหมือนดารา ไม่ต้องนับพวกลูกค้าสาวหรอก ขนาดจัวเชียนอวิ๋นเองยังอยากหยิบมือถือมาถ่ายเลยตอนที่ลูกค้าสาวยกมือถือส่องไปทางอี้จิ่นหลีและกู้ลี่เฉิน ก่อนที่เธอจะทันได้กดปุ่มถ่ายรูปก็มีมือใหญ่มาขวางเอาไว้เขาก็คือบอดี้การ์ดของอี้จิ่นหลี เขาพูดกับลูกค้าสาวว่า “ท่านประธานไม่ชอบโดนถ่ายรูปครับ ถ้าคุณยืนกรานจะถ่ายให้ได้ ผมก็คงทำได้แค่ต้องเชิญคุณออกไป”ลูกค้าสาวอึ้งงันไป นี่มัน…ขู่กันเหรอ? แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของบอดี้การ์ดและ… ร่างกายกำยำของเขา คำพูดที่เธอเตรียมจะเอ่ยประท้วงก็โดนกลืนกลับลงท้องไปจิตสำนึกบอก
นิ้วมือของกู้ลี่เฉินที่จับแก้วกาแฟอยู่บีบแน่นเล็กน้อย “แล้วถ้าฉันเสียใจล่ะ?” ตอนนั้นเขาประเมินน้ำหนักของหลิงอี้หรานที่มีในใจตัวเองต่ำไปเขาคิดว่าหลิงอี้หรานเหมือนคนที่เขาตามหา ดังนั้นเขาก็เลยสนใจเธอแค่นั้นแต่ต่อมาเขาก็พบว่ามันมากกว่านั้น เมื่อเขาเห็นคนอื่นทำร้ายเธอ ทำอันตรายเธอ เขาก็รู้สึกหัวใจบีบรัดและรีบเข้าไปช่วยโดยไม่รู้ตัวเหมือนว่าแค่เห็นเธอบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาใจสลายได้ และตอนที่เธอจะจากไป เขาก็คิดเรื่องเธอมาก เหมือนว่าเขาอยากให้เธอมองเขานานอีกหน่อยแค่เพียงนิดเดียวก็ยังดีนานแค่ไหนแล้วที่เขาสนใจผู้หญิงสักคนมากขนาดนี้? ยกเว้นเด็กผู้หญิงที่เคยช่วยเขาตอนนั้น เธอเป็นแค่คนเดียวเท่านั้นเขาถึงกับคิดว่า บางทีเขาไม่น่ายอมปล่อยเธอให้อี้จิ่นหลีง่ายเกินไปเลย หากว่าเธออยู่ข้างกายเขา จะทำให้เขาคิดถึงคนที่ตามหาอยู่น้อยลงไหม? แล้วจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการมาบ้างไหม?แววตาอี้จิ่นหลีมืดครึ้มทันที เขาจ้องกู้ลี่เฉินเย็นชา “นายไม่มีโอกาสแน่ และฉันก็จะไม่ให้นายมีโอกาสด้วย”“งั้นเหรอ?” กู้ลี่เฉินสบตาอีกฝ่าย “งั้นฉันคงต้องขอลองดูและดูว่าทำไมฉันถึงได้ไม่มีโอ