ท้องฟ้าทั่วทั้งด้านนอกด่านอวิ๋นหลิ่งปกคลุมๆไปด้วยเมฆสีเหลือง เมฆสีเหลืองก่อตัวขึ้น ขอบฟ้าก็มีหิมะตกลงมาตอนที่หิมะตกลงมา เยียนเซียวหรานกับชื่อปาเลี่ยรู้สึกเหมือนวิญญาณจะออกจากร่างทั่วทั้งด่านอวิ๋นหลิ่งราวกับสงบนิ่งไม่ไหวติง พลทหารพวกนั้นแต่ละคนยืนขวางอยู่ด้านหน้าเยียนเซียวหรานเยียนเซียวหรานมองซือเจ๋อเยว่ด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เห็นสีหน้าของนางซีดเผือดถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่ลางสังหรณ์ของเขาบอกเขาว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ธรรมดามากแน่นอนทันใดนั้น เขาก็เห็นฉากที่ยากจะลืมที่สุดในชีวิตของเขาเกล็ดหิมะปลิวว่อนไปทั่วทั้งท้องฟ้า ปกคลุมทั่วทั้งด่านอวิ๋นหลิ่ง ซือเจ๋อเยว่นำมือที่ชี้ไปทางท้องฟ้าชี้มาทางพื้นดินอย่างรวดเร็วตอนที่นางเอามือชี้ไปที่พื้นดิน พลทหารทั้งหมดที่ขวางอยู่ด้านหน้าของเยียนเซียวหรานก็ล้มลงบนพื้น ทุกคนหยุดหายใจเยียนเซียวหรานรู้ว่าคาถาเต๋าของซือเจ๋อเยว่ลึกล้ำมาก เพียงเพราะร่างกายของนางอ่อนแอ คาถาเต๋าหลายคาถาจึงไม่สามารถใช้ได้แต่ตอนนี้เขาค้นพบว่า ก่อนหน้านี้เขาดูถูกนางไปแล้ว คาถาเต๋าของนางล้ำลึก เกินความคาดหมายของเขาเหมือนกับนางเ
ในเวลานี้เส้นสีแดงเส้นนั้นเหลือเพียงจุดจาง ๆ เท่านั้น จุดนั่นเหมือนกับกำลังจะจางหายไปในอีกไม่ช้า เยียนเซียวหรานรู้ว่าสถานการณ์ของนางในตอนนี้เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว เขาไม่สนใจชื่อปาเลี่ยที่กำลังมองอยู่ข้าง ๆ ประทับจูบลงไปบนริมฝีปากของนางทันทีชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกว่าทั้งสองคนมีเรื่องชู้สาวกัน แต่เขาไม่คิดว่าเยียนเซียวหรานจะไม่เขินอายเลยสักนิดกลับเป็นเขาที่รู้สึกเขินอาย หันหลังให้เยียนเซียวหรานเขากล่าวเสียงเบา “คุณชายสาม ท่านใจร้อนเกินไปหน่อยหรือไม่?”“ถึงแม้จะพูดว่าที่นี่เป็นเขตชานเมือง เหมาะกับการแอบลอบเป็นชู้กัน แต่ข้ายังอยู่ตรงนี้ องค์หญิงนางก็กำลังหมดสติอยู่ด้วย”“ท่านทำเรื่องแบบนี้กับนางที่กำลังหมดสติ จะต่ำช้าเกินไปหน่อยหรือไม่?”เยียนเซียวหรานไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่กอดซือเจ๋อเยว่ให้แน่นขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเขาดึงเสื้อผ้าบนตัวออก แล้วก็ห่อนางเอาไว้ในเสื้อ เพื่อที่จะให้ร่างกายที่เย็นเฉียบของนางอบอุ่นขึ้นถึงแม้ชื่อปาเลี่ยจะหันหลังไปแล้ว เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวก็หันหน้ากลับมาแอบมองแวบหนึ่งเขาเห็นว่าในดวงตาของเยียนเซียวหรานเต็มไปด้
ชื่อปาเลี่ยวิ่งตามเยียนเซียวหรานมาตลอดทาง ทันทีที่เข้าห้องก็รู้สึกเหนื่อยจนไม่ไหวเขาเห็นเยียนเซียวหรานหยิบกระบี่ไม้ท้อกับยันต์ออกมา ก็ตกใจมาก ถาม “มีอะไรหรือ? ตรงไหนผิดปกติอย่างนั้นหรือ?”อันที่จริงเขาไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่ครั้งนี้เขาติดตามพวกเขา ก็นับว่าได้เจอกับเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายโดยเฉพาะเมื่อคืนนี้ ซือเจ๋อเยว่สังหารคนที่อารักขาด่านอวิ๋นหลิ่งทั้งหมด ด้วยตัวคนเดียว ช่างน่าตกใจเป็นอย่างยิ่งจนถึงตอนนี้เขายังจำความรู้สึกที่เหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่างได้อย่างแม่นยำ หัวใจยังคงมีความหวาดผวาเยียนเซียวหรานยื่นยันต์หลายแผ่นให้เขา “เจ้าถือเอาไว้ เมื่อใดที่รู้สึกผิดปกติ เจ้าก็เอาไปแปะ”ชื่อปาเลี่ยตัวสั่นทีหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงของเขา เหมือนกับว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นเขาถาม “มีอะไรบางอย่างตามพวกเรามาอย่างนั้นหรือ?”เยียนเซียวหรานจ้องมองสีแดงที่ห้อยย้อยลงมาที่หน้าบ้าน กล่าวเสียงขรึม “ถูกต้อง มีอะไรบางอย่างที่เก่งกาจมากกำลังตามพวกเราอยู่”ถึงแม้ชื่อปาเลี่ยจะมองไม่เห็นสีแดงที่อยู่หน้าบ้าน แต่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องหนาวเย็นขึ้นมาเขากลืนน้ำลาย ถาม “คุณชายสาม ท่านไปหาเรื่
ดวงตาของเขาหรี่ลง กระบี่ไม้ท้อที่อยู่ในมือฟันเข้าใส่ไป๋จื้อเซียนด้วยวิธีการที่โหดร้ายที่สุดไป๋จื้อเซียนทำลายยันต์ที่ซือเจ๋อเยว่วาดได้แล้ว แต่กลับยังทำลายกระบี่ไม้ท้ออายุพันปีเล่มนี้ไม่ได้เยียนเซียวหรานในเวลานี้ฟันด้วยความดุดัน เขาทำได้เพียงหลบเลี่ยงการโจมตีได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นครู่ต่อมา ภายในห้องเกิดเสียงฟ้าร้องรุนแรงขึ้น มีแสงฟ้าแลบเกิดขึ้นบนร่างกายของไป๋จื้อเซียนสีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวด้วยความโมโห “บังอาจยิ่งนัก!”ชื่อปาเลี่ยกระแอมออกมาอย่างรุนแรง ออกแรงเขย่าตัวซือเจ๋อเยว่ “องค์หญิง ท่านรีบฟื้นสิ!”ที่แท้เมื่อครู่นี้ยันต์ที่เยียนเซียวหรานให้เขาก็คือยันต์ห้าอัสนีบาตร เขาเกือบจะถูกเส้นผมพวกนั้นรัดตายแล้ว เมื่อนึกถึงคำพูดของเยียนเซียวหรานขึ้นมา ก็เลยแปะแผ่นหนึ่งเข้าไปไป๋จื้อเซียนจัดการกับเยียนเซียวหราน ไม่ได้สนใจเขา จึงทำให้เขาใช้งานได้สำเร็จต่อให้เป็นไป๋จื้อเซียน เมื่อถูกยันต์ห้าอัสนีบาตรผ่า ก็ไม่ได้รู้สึกดีสักเท่าไหร่ผมสีดำปลิวไสว แล้วก็รัดชื่อปาเลี่ยอีกครั้งครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อน ชื่อปาเลี่ยแม้แต่กำลังที่จะแปะยันต์ยังไม่มีเป็นเพราะเรื่
แน่นอนว่าไป๋จื้อเซียนย่อมไม่มีทางฟังเขา อุ้มซือเจ๋อเยว่หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในชั่วพริบตาเยียนเซียวหรานวิ่งตามออกมาจากในห้อง เมื่อเห็นเพียงเงาของพวกเขาเขาเป็นห่วงซือเจ๋อเยว่ จากนั้นเขารีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระบี่ในมือชื่อปาเลี่ยรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ในเวลาแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าการตามไปอันตราย หรือว่าอยู่ที่นี่จะอันตรายกว่าเขามองเยียนเซียวหรานที่พุ่งออกไปไกลมากแล้ว กับซือเจ๋อเยว่ที่ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว แล้วค่อยมองไปบริเวณรอบ ๆ ที่ว่างเปล่า เขากัดฟัน ก่อนจะพุ่งตัวตามไปไป๋จื้อเซียนใช้ผ้าต่วนพันเอวของซือเจ๋อเยว่แล้วมุ่งไปข้างหน้าเขาบำเพ็ญตบะมาพันปี ถึงจะเสียหายไปบ้าง แต่ยังคงแข็งแกร่งจนน่ากลัวเช่นเดิมเขาไม่เพียงสามารถปรากฏตัวได้ตอนกลางวันได้ ยังสามารถใช้คาถาพาคนลอยได้อีกด้วยเมื่อคืนนี้ซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถาที่รุนแรงนั่นออกมา เดิมทีก็สิ้นเปลืองพลังงานมหาศาลแล้ว ถึงจะมีการเติมเต็มของเยียนเซียวหราน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ฟื้นฟูตามปกติอย่างสมบูรณ์เดิมทีสุขภาพของนางก็ไม่ค่อยดี ถูกไป๋จื้อเซียนห้อยอยู่กลางอากาศแบบนี้ นางรู้สึกว่าชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งแล้วเพียงแต่ด้วยความเข้าใ
ไป๋จื้อเซียนเห็นสีหน้าท่าทางของนาง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ข้าอยู่ในโลกใบนี้มาเกือบพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนที่ชัดเจนและโปร่งใสเช่นเจ้า”“หากไม่ใช่เพราะเจ้าล่วงเกินข้านานเกินไป ทั้งอยากจะสังหารข้ามาตลอด ข้าคงไม่ได้อยากจะกินเจ้าจริง ๆ เช่นนี้หรอก”ซือเจ๋อเยว่ยิ้มบาง ๆ “เจ้าไม่กินข้าก็ได้นี่นา”มุมปากของไป๋จื้อเซียนยกขึ้นเล็กน้อย “ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก”เขายื่นมาออกบีบคางของนางเบา ๆ “มีเพียงการกินเจ้าเท่านั้น ข้าถึงจะสามารถบรรลุความปรารถนาที่เฝ้าใฝ่ฝันมานาน โอกาสแบบนี้ข้าไม่มีทางปล่อยไปหรอก”ซือเจ๋อเยว่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ไม่นึกเลยว่าเจ้ายังจะมีความปรารถนาที่เฝ้าใฝ่ฝันอีกด้วย? เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าคืออะไร? ข้ารับรองเลยว่าจะไม่พูดกับคนอื่น!”สายตาของไป๋จื้อเซียนราบเรียบ มองนางพร้อมรอยยิ้มกล่าว “ไม่บอกเจ้า!”เขาวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์มานานนับพันปี ชาวโลกรู้เพียงว่าเขาฆ่าล้างบางเพื่อการแก้แค้น ฆ่าทุกคนที่ทรยศเขาในตอนนั้น แต่กลับไม่รู้ว่าภายในใจเขาก็มีจุดที่อ่อนโยนอยู่เช่นกันคนนอกกลืนกินดวงวิญญาณมากมายขนาดนั้น บ้างถูกสวรรค์ส่งออกไป บ้างสูญเสียสติ แต่เขากลับมีสติอยู่ตลอดเวลา
ไป๋จื้อเซียนยิ้มบาง ๆ “ไม่บอกเจ้า บอกไปเจ้าก็ไม่รู้จัก”“เจ้าต้องรู้แค่ว่า อีกเดี๋ยวเจ้าก็ต้องตายแล้วก็พอ”ซือเจ๋อเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย ถอนหายใจเบา ๆ ทีหนึ่ง “คิดไม่ถึงจริง ๆ เลยนะ!”ไป๋จื้อเซียนถาม “คิดไม่ถึงอะไร?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าคนที่ในสายตามีเพียงการฆ่าล้างแค้นคนหนึ่งเช่นเจ้า จะมีคนที่ใส่ใจด้วย ช่างเกินความคาดหมายเสียจริง”“เพียงแค่พลังชั่วร้ายทั่วทั้งตัวเจ้า ต่อให้เจ้าเรียกเพื่อนเก่าคนนั้นของเจ้ามาได้ คาดว่าเขาก็คงจะจำเจ้าไม่ได้แล้วล่ะ”ไป๋จื้อเซียนหน้าถอดสี ยื่นมือออกไปบีบลำคอของนางกล่าว “หากเจ้าไม่อยากตายเร็วขนาดนั้นละก็ ก็หุบปากเสีย!”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างยากลำบาก “โอ๊ะ นี่เจ้าโมโหหรือ? นี่ข้าพูดจี้ใจดำสินะ?”ไป๋จื้อเซียนมองหน้านางแสยะยิ้ม “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา เขากล่าวเสียงเย็นชา “ข้าไม่ตั้งใจที่จะเหลือศพที่สภาพสมบูรณ์ให้เจ้าแล้ว”“ข้าไม่เพียงจะทำให้วิญญาณของเจ้าแตกสลาย แต่ยังจะทำให้ศพของเจ้าแหลกละเอียดอีกด้วย”ซือเจ๋อเยว่กระแอมเบา ๆ ทีหนึ่ง “แล้วแต่เจ้า”ไป๋จื้อเซียนเห็นท่าทางดื้อรั้นของนาง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจถึ
เพียงแต่ระหว่างพวกเขาคงจะไม่มีอนาคตแล้ว ดังนั้นต่อไปเขาก็จะไม่จำเป็นต้องเหนื่อยวางแผนอีกต่อไปเพียงแต่ไม่รู้ว่าชีวิตในวันข้างหน้าของเขา จะยังนึกถึงนางหรือไม่?ไป๋จื้อเซียนเริ่มใช้งานค่ายกลนี้ และจำเป็นต้องทำตอนยามจื่อ ตอนนี้ท้องฟ้าเพิ่งมืด ยังห่างจากยามจื่ออีกนานเรื่องในวันนี้สำหรับเขาแล้วนับว่าสำคัญยิ่งนัก ดังนั้นเขาเองก็ลงทุนกับเรื่องนี้ไปมากเขาจัดวางค่ายกลหลงทางขนาดใหญ่อันหนึ่งเอาไว้ด้านนอก เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครสามารถบุกเข้ามาได้หลังจากที่เขาทำเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มาตรวจสอบค่ายกลเรียกวิญญาณและค่ายกลบูชา เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดหลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จเรียบร้อย เขามองซือเจ๋อเยว่ที่ถูกผูกไว้บนค่ายกลบูชาจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเป็นเพราะในเวลานี้นางกำลังนอนหลับ อีกทั้งนางไม่ได้แสร้งนอนหลับอีกด้วย แต่ทว่ากำลังนอนหลับจริง ๆก่อนหน้านี้ไป๋จื้อเซียนรู้ว่านางใจกล้า แต่คำพูดที่ว่าไม่กลัวตายเหล่านั้นของนางเขากลับไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก ไม่มีใครไม่กลัวตายแต่ตอนนี้นางกำลังอยู่ในช่วงนับถอยหลังของชีวิต ไม่คิดเลยว่าจะยังสามารถนอนห
ตลอดทาง เขากลับทำให้ตัวประหลาดนั่นไม่ต้องครุ่นคิดอีก วิ่งไล่ตามชื่อปาเลี่ยไปทันทีในระหว่างที่ซือเจ๋อเยว่กำลังพูด ตัวประหลาดก็ได้โจมตีชื่อปาเลี่ยหลายรอบแล้วชื่อปาเลี่ยในเวลานี้ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว กลัวว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ เขาจำต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือตัวเองศักยภาพของร่างกายเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ไม่นึกเลยว่าเขาจะหลบการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของตัวประหลาดได้อย่างหวุดหวิดเขาในเวลานี้พลางร้องอย่างสิ้นหวัง พลางหลบอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเจ้าอ้วนที่คล่องแคล่วที่สุดในใต้หล้านี้ได้สำเร็จเมื่อซือเจ๋อเยว่มองเห็นท่าทางที่ตกอยู่ในอันตรายของเขา ทั้งรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร แล้วก็อยากจะขำอีกด้วย เนื่องจากตอนที่เขาหลบ เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิดนางกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ถึงแม้ในหนังสือจะไม่ได้บอกวิธีการที่สามารถสังหารตัวประหลาดประเภทนี้เอาไว้ สิ่งของบนโลกใบนี้อยากจะให้หายไปก็มีเพียงสองวิธี”“หนึ่งคือการโจมตีทางกายภาพ อีกอย่างก็คือการโจมตีแบบลี้ลับ”“ในเมื่อการโจมตีทางกายเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องลองการโจมตีแบบลี้ลับดูเสียหน่อย”ครั้งก่อนนางวาดยันต์สำรองเอาไว
ตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็คือสัตว์ยักษ์สีแดงที่สูงประมาณหนึ่งจั้งตัวหนึ่งสัตว์ยักษ์ตัวนั้นมีดวงตาสีดำที่คล้ายกับระฆัง ไม่มีคิ้ว ไม่มีขนตาจมูกมีเพียงรูจมูกสองรู ปากไม่มีริมฝีปาก ปรากฏให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ภายใต้ฟันอันแหลมคม เวลานี้ยังมีของเหลวสีเหลืองไหลย้อยออกมาเพียงแค่พวกนี้ก็พอทนแล้ว ร่างกายของเขายังมีตุ่มสีแดงเต็มตัวตุ่มพวกนั้นห้อยอยู่บนร่างกายของสัตว์ยักษ์ ปกคลุมร่างกายของมันที่เดิมทีเต็มไปด้วยขนสีดำ มองดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ซือเจ๋อเยว่ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้กว้างขวางมาโดยตลอด กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้ชื่อปาเลี่ยร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่มันตัวบ้าอะไรกันเนี่ย!”นี่เป็นคำถามที่เยี่ยมมากจริง ๆ ซือเจ๋อเยว่เองก็อยากรู้เช่นกันว่านี่มันคือตัวบ้าอะไรสัตว์ยักษ์ที่กำลังน้ำลายไหลตัวนั้นเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขา ทันทีที่มันเข้าใกล้ กลิ่นคาวกลุ่มนั้นก็รุนแรงขึ้นซือเจ๋อเยว่สะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก!ตอนที่เยียนเซียวหรานมองเห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เสียงเตือนภายในใจของเขาก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตอนที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นเดินเ
นางมีแววตาเปล่งประกายล้ำลึก “ช่างเป็นฝีมือที่สูงส่งยิ่งนัก!” เยียนเซียวหรานมองนาง นางจึงเอ่ยต่อ "ฟ้าคือหยาง ดินคือหยิน ยามหยินหยางกลับตาลปัตร สรรพสิ่งพลิกผัน กฎแห่งฟ้าดินถูกตัดขาด!" “แต่สิ่งใดที่หลอกลวงได้ชั่วคราว ย่อมไม่อาจปิดบังไปชั่วชีวิต!” “เหล่าดวงวิญญาณผู้ซื่อสัตย์แห่งสนามรบ ท่านทั้งหลายที่คืนสู่แผ่นดิน ณ ที่แห่งนี้ โปรดร่วมมือกับข้ากำจัดภาพลวงที่ปกคลุมโลกใบนี้ จงสลายม่านมายา! ทำลายมันเสีย!” นางฟาดฝ่ามือลงกับพื้นดิน สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงแตกร้าวดังมาจากรอบทิศ ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พื้นดินสีดำสนิทรอบตัวก็พลันหายไป อาการหายใจที่ยากลำบากบัดนี้กลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ที่เคยหายไปปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความเสื่อมสลาย ขุนเขาเช่นนี้ หาได้มีภาพของทัศนียภาพอันงดงามเหนือจินตนาการอย่างที่ชื่อปาเลี่ยที่เคยบอกเอาไว้ไม่ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งชีวิต! เกรงว่าภาพที่เยียนอ๋องเห็นในอดีตก็คงจะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เพียงแค่นางยังไม่เข้าใจเหตุผล ผู้ที่วางค่ายกลนี้ เหตุใดจึงต้องสร้างภาพลวงเช่น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่อากาศโดยรอบเริ่มบางเบาจนผิดปกติ พวกเขาเพียงแค่เดินตามปกติ แต่กลับรู้สึกหายใจติดขัด ชื่อปาเลี่ยอ้าปากหอบหายใจ พลางเอ่ยด้วยความตระหนก “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าหายใจไม่ออก?” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยเสียงเบา “เราก้าวเข้าสู่ค่ายกลของผู้อื่นแล้ว” ชื่อปาเลี่ยเอ่ยด้วยความสงสัย “แต่เมื่อครู่ยามที่เข้ามา ท่านได้ทำลายค่ายกลไปแล้วไม่ใช่หรือ?” ซือเจ๋อเยว่ตอบไป “นี่คือค่ายกลซ้อนค่ายกล ผู้วางค่ายกลนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ฝีมือในด้านค่ายกลไม่ได้ด้อยกว่าข้าเลย” “แม้แต่ยามที่ก้าวเข้ามาครั้งแรก ข้าเองก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ” “ในเมื่อเราตกเข้ามาแล้ว ยามนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาทางทำลายค่ายกลนี้” ชื่อปาเลี่ยรีบถาม “ทำอย่างไรจึงจะทำลายได้?” ซือเจ๋อเยว่กวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยขึ้น “หากต้องการทำลายต้องหาแกนกลางค่ายกลให้พบ ขอเพียงหามันเจอ การทำลายค่ายกลนี้ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง” “ส่วนเรื่องที่ว่ามันอยู่ที่ใด ยามนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ชัด เราต้องหาต่อไป” ยิ่งพวกเขาก้าวไปข้างหน้าเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าการหายใจยากลำบากเท่านั้น พื้นดินรอบตัวกลายเป็นสีดำไหม้ ฟ้า
ราชครูมองเห็นโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกงกระจัดกระจาย ก่อนที่มันจะรวมตัวขึ้นอีกครั้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขายกนิ้วขึ้นคำนวณบางสิ่ง แต่เมื่อได้ผลลัพธ์ เขากลับแย้มยกริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “นี่มันตัวอันใด!” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเอ่ยถาม “ท่านราชครู เป็นอันใดไปหรือขอรับ?” ทว่าราชครูกลับตอบไม่ตรงคำถาม “ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีเหตุและผลของมัน” “มีบางเรื่องที่ข้าสามารถแทรกแซงได้ แต่บางเรื่องต้องปล่อยให้นางเป็นผู้จัดการเอง” “นางคนนั้นมีชะตาชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น เมื่อยามทุกข์ก็ทุกข์อย่างแท้จริง” “แม้ข้าจะสงสารนางเพียงใด แต่เรื่องบางเรื่องก็มีแต่นางที่ต้องเผชิญด้วยตนเอง” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวเอ่ยถาม “ท่านกำลังเอ่ยถึงชะตากรรมใดกัน? หรือว่าท่านกำลังเป็นห่วงศิษย์พี่หญิง?” ราชครูหยิบไม้ขนไก่ข้างตัวขึ้นมาแล้วหวดลงไปที่หลังของเด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวทันที “ผู้ใดสนใจนางกัน?!” “ชะตาชีวิตของนางเป็นชะตาที่ต้องตาย แม้แต่มหาเทพเซียนมาเองก็ไม่อาจช่วยนางได้!” “ตลอดหลายปีมานี้ เป็นเพราะนาง ข้าแก่ขึ้นไปตั้งเท่าใด ข้าจะไปสนใจนางเ
ดังที่ซือเจ๋อเยว่คาดการณ์ไว้ อดีตหนิงกั๋วกงพลันกระอักเลือดออกมา เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเคียดแค้น “ซือเจ๋อเยว่!” ตลอดหลายวันผ่านมานี้ เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกง สมบัติวิเศษล้ำค่าที่เขาเสาะหามานานหลายปีล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้น จึงจะประคับประคองไว้ได้อย่างยากลำบาก ครั้งก่อนที่ไป๋จื้อเซียนบุกเข้าไปยังห้องลับ และกลืนกินดวงวิญญาณของบรรพบุรุษคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ทำให้อดีตหนิงกั๋วกงเริ่มรู้สึกถึงความสั่นคลอนของพลัง แม้เวลานั้นสถานการณ์จะอันตราย แต่ค่ายกลใหญ่แห่งชายแดนยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ หากสามารถจัดการพลังที่หลงเหลือได้อย่างเหมาะสม ก็ยังสามารถต่อเวลาของโชคชะตาในจวนหนิงกั๋วกงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อรู้ว่าซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานออกจากเมืองหลวง เขาจึงเร่งวางแผนเพื่อกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก เดิมทีเขาคิดว่าหากสามารถสกัดซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานเอาไว้ที่ด่านอวิ๋นหลิ่งได้ ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อครู่ เขาได้รับสารลับจากนกพิราบส่งข่าวจากด่านอวิ๋นหลิ่ง ข้อความในจดหมายบอกเอาไว้ว่าที่ด่านอวิ๋นหลิ่งนั้น เกิดหิมะตกหนัก
ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนจากบุรุษผู้ซื่อสัตย์ กลายเป็นคนหยาบกระด้างและไม่สนใจเหตุผลใด ๆ อีกต่อไป เขาชินเสียแล้วกับสายตาของผู้คนที่มองเขาปานสิ่งสกปรก เขาใช้ชีวิตอย่างเมามายไร้จุดหมายไปวัน ๆ แต่เมื่อวาน ยามที่ไป๋จื้อเซียนคิดจะสังหารเขา ซือเจ๋อเยว่กลับทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยชีวิตเขา ยิ่งไปกว่านั้นแววตาที่นางใช้มองเขา ก็หาได้แตกต่างไปจากการมองคนอื่นไม่ ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของความดูแคลน เขาจึงรู้สึกว่าสตรีในโลกนี้ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นมารดาหรือสตรีที่เขาเคยหมายปองในอดีต เขากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณชายสาม หลังจากเรื่องนี้จบแล้ว ท่านพอจะพาข้าไปเมืองหลวงได้หรือไม่?” เยียนเซียวหรานรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะไปเมืองหลวง?” ชื่อปาเลี่ยตอบไป “ใช่ขอรับ ข้าไม่อยากอยู่ที่ชายแดนอีกต่อไปแล้ว ที่นี่ทุกคนล้วนรู้เรื่องของข้า หากข้าไม่เลือกเป็นอันธพาลก็ต้องเป็นเพียงคนไร้ค่า” “แต่ข้าไม่อยากเป็นอันธพาลและไม่อยากเป็นคนไร้ค่า ข้าเพียงแค่อยากเป็นคนธรรมดา” “ข้าต้องการพึ่งพาความสามารถของตนเอง มีชีวิตที่ดี และแต่งงานกับสตรีดี ๆ สักคน เพื่อใช้ชีวิตอย่างปกติสุข” เยียนเซียวหรานเอ่ย
คำพูดประโยคนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรเพียงแต่เขายังจับใจความสำคัญได้อย่างหนึ่ง “วันแต่งงานวันนั้นท่านก็อยากจะลูบคลำข้าแล้ว?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวแก้ไข “ไม่ใช่ว่าอยากลูบคลำเจ้า เพียงแค่คิดว่าขาของเจ้าทั้งยาวทั้งตรง น่าดูจริง ๆ จึงอยากจะลูบสักครั้ง”เยียนเซียวหราน “...เขาคิดว่านางเป็นคนที่มีความสามารถ ไม่คิดเลยว่าจะมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วซือเจ๋อเยว่กล่าวอีกครั้ง “ตอนหลังจำเจ้าได้ กลัวว่าเจ้าจะเอามีดฟันข้า ต่อให้ในใจมีความคิดมากกว่านี้ ก็ทำได้เพียงข่มเอาไว้เท่านั้น”เยียนเซียวหรานกล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านทำเรื่องแบบนั้นออกมาแล้ว ไม่คิดเลยว่ายังจะกลัวข้าลงมืออีก”“ต่อให้ข้าลงมือ ก็ทำอะไรท่านไม่ได้หรอกกระมัง? เรื่องแบบนั้นอย่างไรเสียก็น่าอาย ข้าไม่สามารถบอกใครได้ ก็เหลือแค่อดทนไว้เท่านั้น”ซือเจ๋อเยว่เม้มริมฝีปากยิ้มบาง ๆ ทีหนึ่ง “พูดถูกต้อง แต่หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้นขึ้นเจ้าก็ดุจริง ๆ นี่นา!”เยียนเซียวหรานค้อนนางทีหนึ่ง “หากมีคนฉวยโอกาสตอนท่านไม่ระวังตัว ทำเรื่องแบบนั้นกับท่าน ท่านจะไม่โมโหหรือ?”ซือเจ๋อเยว่หดคอ “โมโหนั่นเป็นเรื่องแน่อยู่แล้ว ข้า...
“สิ่งชั่วร้ายนั่นไม่มายังพอไหว ทันทีที่มาก็จะเอาชีวิตของพวกมันเสีย”นางมีความมั่นใจต่อค่ายกลที่ตนเองวาดมาก โดยเฉพาะในเวลานี้ พวกเขายิ่งต้องเก็บสะสมพลังงานเอาไว้เยียนเซียวหรานพยักหน้าเบา ๆ ทีหนึ่ง นอนลงไปแล้วกอดนางเอาไว้ในอ้อมกอดหลวม ๆนางเงยหน้าขึ้นหันหน้ามองเขา เขากล่าวเสียงอ่อนโยน “ท่านนอนให้สบายเถอะ รักษาสุขภาพให้ดีขึ้น เรื่องพวกนี้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างก็ต้องพึ่งพาท่าน”นับตั้งแต่เขาสารภาพรักกับนางครั้งก่อน ตอนที่ซือเจ๋อเยว่อยู่ตามลำพังกับเขาก็มักจะมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นบัดนี้นางคิดว่าเขาได้ช่วยชีวิตนางมาหลายครั้งแล้ว ทั้งสองคนเคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยามาก่อนเช่นกัน หากนางเขินอายจนเกินไปก็จะยากที่จะพูดนางคิดว่าไม่สู้ถือโอกาสในคืนนี้คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนไปเลยนางจึงกล่าว “คือว่า...ชีวิตของข้าในตอนนี้ผูกไว้กับเจ้า หากพูดว่าชอบเจ้าในเวลานี้ เหมือนว่ากำลังพยายามประจบเอาใจเจ้า”“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยชอบใครมาก่อน ไม่รู้ว่าการชอบเป็นความรู้สึกแบบใด”“แต่ว่ามีข้อหนึ่งที่ข้าสามารถแน่ใจได้ ข้าไม่ได้รังเกียจที่ใกล้ชิดกับเจ้า บางทีนี่อาจจะเป็นความชอบก็ได้”“สุขภาพของข้าเป็