เขาเอ่ยจบก็เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง "สมกับที่เป็นคนที่ข้าเลี้ยงดูมา สายตาดีจริงๆ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นข้า" "ดูจากท่าทางของนาง คงคิดถึงข้าอยู่บ้าง" ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความคิดถึงเล็กน้อย แต่ความคิดถึงนั้นก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว "จะให้นางรู้ว่าข้าเป็นราชครูของราชสำนักไม่ได้" "หากนางรู้แล้วละก็ คงจะถอนหนวดของข้าจนหมด" เขานึกถึงเรื่องเก่าๆ เมื่อครั้งหนึ่งเขาหลอกซือเจ๋อเยว่ เมื่อถูกนางจับได้ แม้ว่าปกตินางจะดูเป็นเด็กสาวที่อารมณ์ดี แต่ครั้งนั้นนางกลับกระโดดขึ้นมาดึงหนวดของเขา ครั้งนั้นนางดึงหนวดของเขาออกไปกว่าครึ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงใจร้ายได้ถึงเพียงนั้น ครั้งนั้นเด็กสาวตัวน้อยเอ่ยด้วยความโกรธ "ข้าเกลียดคนที่หลอกข้าที่สุด!" คำกล่าวนั้นทำให้เขารู้สึกผิดอย่างยิ่งเพราะเขาและคนที่แสร้งเป็นอาจารย์ของนางสำนักเต๋า ทุกคนล้วนแต่มีความลับของตนเอง ซึ่งความลับเหล่านั้น พวกเขาตั้งใจจะปิดบังนางไปชั่วชีวิต เรื่องที่นางดึงหนวดของเขานั้น เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ แต่กลับทำให้นางโกรธถึงเพียงนั้นแล้ว หากนางรู้ว่าเขาเป็นราชครูของราชสำนัก คงไม่เพียงแค่ถอนหนวดขอ
ดวงตาขององค์หญิงสามเบิกกว้าง ไม่กล้าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนางเอ่ยอีกประโยคหนึ่ง แต่กลับต้องปิดปากตนเองด้วยความตกใจ นางคิดว่าหากภายภาคหน้านางเอ่ยแล้วกลายเป็นเสียงไก่ ชีวิตนี้ก็คงจะจบสิ้นแล้ว ใบหน้าของนางซีดเผือดด้วยความกลัว พลันมีน้ำตาไหลออกมา ซือเจ๋อเยว่ไม่รู้ว่าหลังจากนางจากไป ราชครูได้สั่งสอนองค์หญิงสาม นางกับเยียนเซียวหรานเดินย่ำใต้แสงจันทร์กลับเรือนอย่างมีความสุข แต่เมื่อทั้งสองคนมาถึงจวนเยียนอ๋อง ก็เห็นว่าเยียนเหนียนเหนียนเดินไปมาด้วยความกังวลที่หน้าประตู เมื่อนางเห็นทั้งสองกลับมา ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก "พวกท่านกลับมาเสียที!" "หากพวกท่านไม่กลับมา ท่านย่าคงจะไปตามหาที่จวนหนิงกั๋วกงแล้ว" ที่แท้หลังจากที่พวกเขาไปจวนหนิงกั๋วกงในวันนี้ เหล่าไท่จวินก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง นางเคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนในจวนหนิงกั๋วกงมาก่อน ครอบครัวนั้นให้ความรู้สึกไม่ดีแก่นาง แม้นางจะรู้ว่าซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานเป็นเด็กฉลาด แต่หอกที่มองเห็นได้ง่ายก็หลบได้ แต่ลูกศรที่มองไม่เห็นนั้นยากที่จะหลบเลี่ยง ยากจะรับประกันว่าจวนหนิงกั๋วกงจะไม่ใช้วิธีการสกปรกอันใด แม้ว่าพวกเขาฉลาดและเก่
ซือเจ๋อเยว่พยุงเหล่าไท่จวินเอาไว้ ไม่รู้ว่าเอ่ยเรื่องตลกอันใด ถึงทำให้เหล่าไท่จวินหัวเราะออกมา ริ้วรอยร่องลึกนั้นเปี่ยมไปด้วยความเมตตายามนี้เขาเห็นสีหน้าของเหล่าไท่จวินและซือเจ๋อเยว่ มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวเพราะการมาถึงของซือเจ๋อเยว่ ช่วยให้จวนเยียนอ๋องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาได้และเป็นเพราะซือเจ๋อเยว่ คนในจวนจึงเริ่มค่อย ๆ ออกจากความโศกเศร้าได้ยามนี้จวนเยียนอ๋อง ก็ค่อย ๆ กลับสู่ความเป็นปกติหลังจากพวกเขากลับมาที่จวน ก็เจอพระชายาเยียนอ๋องที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง ทุกคนจึงไปที่ที่พักของเหล่าไท่จวินด้วยกันเมื่อเยียนเหนียนเหนียนเห็นว่าพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัยก็เข้าไปด้วย เพราะอยากรู้ว่าแท้จริงแล้ววันนี้เกิดอันใดขึ้นที่จวนหนิงกั๋วกงเมื่อถึงที่พักของเหล่าไท่จวิน ซือเจ๋อเยว่ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนหนิงกั๋วกงในวันนี้อย่างคร่าวๆแต่ในยามที่เล่าออกไป นางก็จงใจเลี่ยงไม่เอ่ยถึงการพบกับงูยักษ์และเงาดำ เพราะกลัวเหล่าไท่จวินจะเป็นห่วงจากคำกล่าวของนาง วันนี้พวกเขาไปที่จวนหนิงกั๋วกง สามารถเอ่ยได้ว่าพบเทพฆ่าเทพ พบพระฆ่าพระ ยโสโอหังอย่างยิ่งเหล่าไท่จวินรู
"ยามนี้ข้าได้ทำลายค่ายกลของพวกเขาแล้ว ผลกระทบของค่ายกลที่มีต่อคนอื่นก็จะค่อยๆ ลดลง""ดวงชะตาที่พวกเขาขโมยมา จะค่อยๆ กลับคืนสู่เจ้าของเดิม"คนเช่นนี้ ไม่สมควรได้รับชื่อเสียงที่ดีเช่นนั้นแต่ถึงกระนั้นนางก็รู้ว่าปัจจุบันนี้จวนหนิงกั๋วกงนับว่าเป็นยักษ์ใหญ่ การจะโค่นล้มพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่ายค่ายกลนั้นได้ก่อตัวมาแล้วนานนับยี่สิบปี เวลานานเพียงนี้ก็เพียงพอให้พวกเขาทำการเตรียมการต่างๆแม้ซือเจ๋อเยว่จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าจวนหนิงกั๋วกงยามนี้มีอำนาจที่สูงส่งยิ่งนักหากไม่เอ่ยในสิ่งที่ไม่เกินงามเกินไป ก็อาจกล่าวได้ว่าพวกเขามีคนของตนเองในสามกระทรวงหกกรมหลังจากที่เยียนอ๋องเสียชีวิตในสงครามครั้งนั้น พวกเขาก็ฉวยโอกาสแย่งชิงอำนาจทางทหารไปไม่น้อยยามนี้ในราชสำนัก บอกว่าหนิงกั๋วกงไม่ใช่ผู้ที่อยู่ใต้บัญชาของคน ๆ เดียว เหนือคนนับหมื่น แต่ก็ใกล้เคียงแล้วจวนหนิงกั๋วกงเช่นนี้ แม้จะให้ซือเจ๋อเยว่บุกเข้าไปอีกครั้ง นางก็ยังต้องคิดให้ดีไม่มีอันใด แต่เพราะพวกเขามีฝีมือที่มากมายเกินไปเหล่าไท่จวินยื่นมือไปลูบศีรษะของซือเจ๋อเยว่พลางเอ่ยขึ้น "วันนี้ลำบากองค์หญิงแล้ว"ซือเจ๋อเยว่
เหล่าไท่จวินเห็นนางยังเททองคำและอัญมณีออกมา กลัวก็เพียงว่าหากเทลงไปอีก ก็คงจะเต็มห้องของนางนางดึงซือเจ๋อเยว่เอาไว้พลางเอ่ยขึ้น "องค์หญิง เลิกเทได้แล้ว"ซือเจ๋อเยว่มองไปที่นาง แต่นางกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "นี่คือสิ่งที่องค์หญิงได้มาด้วยความสามารถ เช่นนั้นก็เป็นขององค์หญิง""องค์หญิงแต่งเข้าจวนเยียนอ๋อง เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมกับองค์หญิงอยู่แล้ว""ของขององค์หญิง หากข้ารับไว้ เช่นนั้นก็คงไร้คุณธรรมสิ้นดีแล้ว""อีกอย่าง แม้จวนเยียนอ๋องจะประสบความยากลำบากในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แต่ก็หาได้ขาดแคลนเงินทอง""ของพวกนี้ องค์หญิงเก็บไว้เองเถอะ"ซือเจ๋อเยว่ว่าพลางแย้มยิ้ม "ท่านย่าเองก็รู้ ชะตาของข้านั้นพิเศษ เงินทองเหล่านี้สำหรับข้าแล้ว ไม่มีความหมายอันใดจริงๆ""ของพวกนี้หากท่านย่าไม่ต้องการ มิสู้ให้ท่านย่าเป็นคนจัดการ หาโอกาสบริจาคให้กับชาวบ้านที่ต้องการเหล่านั้น"เมื่อเหล่าไท่จวินได้ยินคำกล่าวนี้จากนาง ดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยความเมตตาทั้งยังแฝงไว้ด้วยความสงสารนางถอนหายใจเสียงยาวแล้วเอ่ยขึ้น "เมื่อองค์หญิงเอ่ยเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ฟังองค์หญิงแล้วกัน""เพียงแต่ก่อนจะบริจาค ของพวกนี้
หากเขาพักฟื้นอยู่ในยมโลกดี ๆ จะสามารถฟื้นฟูวิญญาณได้ ดวงวิญญาณจะไม่จางลงไปเรื่อย ๆ เช่นนี้เขาดูคล้ายดั่งมีความยึดติดบางอย่าง ไม่ยอมอยู่ในยมโลก เพ่นพ่านไปทั่วหลังจากเจอเขาครั้งก่อนนางก็กังวลว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ เวลาว่างนางจึงวาดยันต์เสริมดวงวิญญาณให้กับเขายันต์เช่นนี้สิ้นเปลืองคาถาลัทธิเต๋าและอายุขัยอย่างยิ่ง ร่างกายของนางแย่เกินไป ยามที่วาดยันต์เสริมดวงวิญญาณนี้นางก็เกือบจะเป็นลมยามนี้นางเจอกับเยียนอ๋องซื่อจื่ออีกครั้ง ก็เอายันต์นั้นติดไว้บนตัวเขาหลังจากติดเสร็จ นางก็ร่ายคาถาใส่เขาไปหลายอย่าง ดวงวิญญาณของเขาจึงเด่นชัดขึ้นมาเล็กน้อยเดิมทีเขาดูคล้ายว่ากำลังสับสน ไม่รับรู้ถึงเรื่องราวรอบกาย ยามนี้กลับหันมามองนางซือเจ๋อเยว่ยิ้มให้เขาเล็กน้อย "ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?"เยียนอ๋องซื่อจื่อยังคงเอ่ยคำเดิม ๆ ที่ยึดติดอยู่ในใจ หาได้ตอบคำถามของนางไม่ซือเจ๋อเยว่ไม่รู้ว่าเขาฟังนางเข้าใจหรือไม่ จึงเอ่ยขึ้น "ท่านกลับไปพักฟื้นวิญญาณที่ยมโลกให้ดีเถอะ!""หากท่านฟื้นฟูวิญญาณได้สมบูรณ์ บางทีอาจจะบอกความจริงในครั้งนั้นให้พวกข้ารับรู้ได้""ยามนี้ท่านเพ่นพ่านไปทั่ว นอกจากเป็นการทำร้ายตนเอง
ซือเจ๋อเยว่รู้สึกว่าตนเองโชคร้ายจนน่าเวทนา นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!นางสามารถร่ายคาถาตบเขาได้ แต่คาถาลัทธิเต๋าของนางเลิศล้ำอย่างยิ่ง เพียงคาถาหนึ่งก็อาจจะทำให้วิญญาณของเขาสลายได้แต่หากนางไม่ร่ายคาถา บางทีวันนี้จะอาจจะถูกเขาบีบคอตายซือเจ๋อเยว่รู้สึกว่าสถานการณ์ในยามนี้มันช่างยากจะตัดสินใจอย่างยิ่งนางไม่อยากทำร้ายเขา แต่ก็ไม่ได้อยากตายอยู่ในเงื้อมมือของเขา ทำให้นางจำต้องใช้คาถาสยบวิญญาณกับเขาเสียก่อน เมื่อนางร่ายคาถาออกไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดุร้ายดังเดิม แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ปล่อยนางซือเจ๋อเยว่เหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว นางตั้งมั่นแน่วแน่ ก่อนจะตัดสินใจลงมือทว่าในเวลาต่อมานั้น เขากลับพลันถูกดีดออกไป ดวงวิญญาณชนเข้ากับเสาอย่างรุนแรง รูปร่างเลือนรางลงไปมาก หลังจากนั้นก็หายไปซือเจ๋อเยว่ลูบที่ต้นคอของตนเอง ก่อนจะพบกับเลือดตนเองในตาของนางปรากฏภาพที่คาดเดาเอาก่อนหน้าเลือดของนางมีพลังอำนาจที่สูงส่งต่อดวงวิญญาณ หากร่ายคาถาแล้วใช้เลือดของนาง จะเพิ่มพลังของคาถาได้หลายเท่าตัวแต่ร่างกายของนางก็พิเศษยิ่งนัก เลือดไหลออกมาเพียงหยดเดียวก็นับว่าเป็นอันตรายต่อนางอย่างยิ่งนางรีบร่ายคาถาหยุ
ความมืดช่วยเสริมความกล้าหาญของเขาให้มากขึ้น ทำให้เขาสลัดความคิดทางโลกเหล่านั้นทิ้งไปชั่วครู่บัดนี้ในพื้นที่แห่งนี้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นเขาก้มหน้าลงไป ประทับจูบลงบนริมฝีปากของนางซือเจ๋อเยว่ยื่นมือไปโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ทันที ทั้งสองคนแนบชิดสนิทกัน ได้กลิ่นลมหายใจของกันและกันเดิมทีเยียนเซียวหรานคิดเพียงว่าแค่สัมผัสริมฝีปากของนางก็พอแล้ว เหมือนกับเมื่อตอนกลางวัน เพียงแค่สัมผัส ไม่ได้มีการกระทำที่มากเกินไปแต่ว่าความมืดสามารถเพิ่มความต้องการภายในจิตใจส่วนลึกของมนุษย์ให้เพิ่มมากขึ้นได้ เขากำลังกอดนางเอาไว้แบบนี้ จูบนางเช่นนี้ มีต้องการมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวซือเจ๋อเยว่ในเวลานี้ร่างกายอ่อนปวกเปียก ยอมให้เยียนเซียวหรานกระทำได้ตามใจชอบลมหายใจของเยียนเซียวหรานยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่พยายามข่มลงไปเขามองท่าทางของซือเจ๋อเยว่ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างสงบเงียบ เขายื่นมือออกไปตบหน้าของตนเองทีหนึ่งเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษของเธอถึงได้ขอร้องเขา ที่เขาทำแบบนี้กับเธอ ไม่ต่างอะไรจากการถือโอกาสซ้ำเติมคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายเขาถึงขั้นกำลังคิดว่า ตอนนั้นที่นางทำเรื่องแบบนั้นกับเขา เป็นเพราะร
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ