“ดูท่าทางท่านเป็นคนป่วยที่อารมณ์ดียิ่งนัก” “เหวินเฮ่าหลัน” หันไปทางผู้ที่เดินเข้ามาใกล้ พร้อมรอยยิ้ม “ถ้าไม่นับเรื่องดวงตาของท่าน ข้าคิดว่าท่านดูเป็นปกติดีทุกอย่าง” เหวินเฮ่าหลันแย้มยิ้มท่าทีของเขาเหมือนคุณชายเจ้าสำราญ อาภรณ์ของเขามักจะเรียบแต่หรูหราบ่งบอกฐานะได้ชัดเจนว่าเป็นถึงคุณชายบ้านสกุลเหวินผู้มั่งคั่งจากการค้าขาย มีเรือขนส่งสินค้าของตัวเอง แม้จะชอบแสดงตนเป็นหนุ่มเจ้าสำราญแต่แท้จริงแล้วเป็นการกระทำเพื่อกลบเกลื่อนฐานะของตนเอง ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายซุกซ่อนความโหดเหี้ยมไว้ แน่นอน หากใครเป็นปรปักษ์ต่อเขา มันผู้นั้นก็หาได้มีลมหายใจอยู่ได้ แม้เขาจะมีสองโฉมหน้าที่เป็นดุจหน้ากากสวมอยู่นั้น ลึกๆแล้วเขาเพียงแค่ไม่ชอบถูกผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบ ในวัยเด็กเขามักถูกรังแกเสมอเมื่ออยู่กับบิดาที่เข้มงวดเพราะต้องการให้เขาสืบทอดกิจการการค้าขาย เขาจึงยิ่งต้องแข็งแกร่งและแข็งกร้าวจนหลายคนไม่กล้าเข้าใกล้หากมิตรสหายที่มีอยู่ มีเพียงไม่กี่คนที่เขารู้ซึ้งแก่ใจว่าเป็นคนจริงมีน้ำใจไม่เสแสร้ง หนึ่งในนั้นคือ คุณชายเฉิน ที่ผู้อื่นรู้จัก ทว่าแท้จริงแล้วเป็นใครนั้น เข
“เจี้ยนเหิงเยว่” ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก “เจ้าได้สิ่งนี้มาอย่างไร”“สิ่งใดที่ช่วยชีวิตท่านได้ ข้าล้วนยินดีทำ” นางตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เหวินเฮ่าหลันเห็นทุกคนยังนิ่งงันอยู่จึงรีบสั่งการให้บ่าวไพร่ไปเชิญท่านหมอมู่มาปรุงยารักษา แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าเป็นไข่มุกหมื่นราตรีจริงหรือไม่ ทว่าเวลาที่เหลือน้อยลงไปหากมีหนทางใดให้ลองเสี่ยงก็ควรลองมีเพียงแม่นมเหมยที่มองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างประหลาดใจ นางรู้จักคุณหนูเจี้ยนเหิงเยว่บุตรสาวคนเดียวของคหบดีสกุลเจี้ยน นางเป็นหญิงงามกิริยาอ่อนหวานงดงามอ่อนช้อย ทว่าสิ่งที่นางประหลาดใจคือไยคุณหนูเจี้ยนเหิงเยว่เป็นผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมามอบให้ แล้วหญิงสาวอีกนางนั้นเล่านางไปอยู่ที่ใดเสีย หรือจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกับต้าซื่อ.แสงอาทิตย์ที่รอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าคนที่นอนหลับใหล ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆ กะพริบตาขึ้นอย่างช้าๆ ลำคอของนางแห้งผากจนไม่อาจส่งเสียงใดออกมาได้ ตั้งใจจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ทำได้ยากเย็น ทำได้เพียงแค่หันศีรษะมองไปด้านข้าง เงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนพูดคุยกับสาวใช้อยู่ใกล้ๆ นั้นเหมือนจะรู้สึกได้จึงหันมาทางนาง ใบหน
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ” นางรับคำอย่างสำนักผิดก่อนหันไปทางฮูหยินอี้ซิ่ว“ท่านแม่ ข้าหิวจัง” นางเริ่มทำตัวเป็นลูกสาวคนดีน้ำเสียงออดอ้อนเอาอกเอาใจ อากัปกิริยานี่ทำให้จ้าวจิ่นสือแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ แม้เคอหลิ่งหลินจะยังไร้กำลังเรี่ยวแรงฟื้นคืน แต่ก็ใช้สายตาดุๆจ้องมองไปทางเขาได้“ดีเลย หิวแล้วแสดงว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว กินโจ๊กร้อนๆดีกว่านะ” ฮูหยินหันไปเห็นชุนเอ๋อร์วิ่งกลับเข้ามาพอดี “ชุนเอ๋อร์ไปให้พ่อครัวเตรียมโจ๊กร้อนๆ ให้คุณหนูสักชาม”“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” ชุนเอ๋อร์หมุนตัววิ่งออกไปอีกรอบ“พวกเราก็ออกไปก่อน ปล่อยให้หลินเอ๋อร์พักผ่อนรอท่านหมอมาตรวจอาการอีกที” แม่ทัพจ้าพูดเหมือนสั่งแล้วหันไปทางลูกชาย “เจ้าก็เหมือนกันจิ่นสือ เวลานี้เจ้าควรฝึกทหารมิใช่รึ”“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวจิ่นสือก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำสั่ง เขาปรายตามองคนที่นอนบนเตียง แล้วก้าวออกไป “แม่ไปในครัวดีกว่า แม่จะตุ๋นไก่ให้เจ้าเองเจ้าตื่นแล้วแม่จะบำรุงเจ้าให้กลับมามีน้ำมีนวลเหมือนเดิม” ฮูหยินอี้ซิ่วเช็ดน้ำตาอีกครั้งแล้วลุกขึ้นเดินออกไป เหลือเพียงแม่ทัพจ้าวกับลูกสาวบุญธรรม“ท่านพ่อ...”“วาจาเรียกข้าเป็นพ่อ แต่เจ้าได้
ม้าตัวนั้นไม่พานางกลับมาจวนแม่ทัพจ้าวแล้วละก็...นางคงสิ้นใจที่ใดสักแห่งไปแล้ว“ร่างกายของท่านกำลังฟื้นตัว ท่านต้องบำรุงตัวเองให้มากสักหน่อย ข้าจะจัดยาให้บำรุงร่างกายให้ท่าน”“ขอบใจเจ้ามาก อาจารย์น้อย” เคอหลิ่งหลินหยอกล้อหวังให้มู่ฟ่างเหนียงไม่คิดมาก“พี่หลิ่งหลิน” นางเขินหน้าแดง นางอายุเพียงสิบหก ยังไม่เก่งกาจเท่าบิดา “ท่านติดค้างข้าอีกเรื่องนะ”“เรื่องอันใดรึ”“ท่านทำให้ข้าคิดว่าน้องชายท่านเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ” หญิงสาวรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวไปหมด“ยังไงล่ะ” เคอหลิ่งหลินจ้องมองใบหน้าสวยที่แดงระเรื่อแล้วก็เข้าใจ “เจ้าเจอน้องชายตัวดีของข้าแล้วซิ”“ท่านชอบพูดถึงน้องชายราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆ ข้าก็พลอยนึกเป็นเช่นนั้น...” ใช่...ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่ใบหน้าดุดันคนนั้นจะเป็นน้องชายต่างสายเลือดกับเคอหลิ่งหลิน เขาควบม้ามาตามบิดาของนางไปดูอาการเคอหลิ่งหลิน ทำให้ทั้งนางและพ่อทราบว่าแท้จริงแล้วเคอหลิ่งหลินไม่ได้เป็นบ่าวไพร่หรือคนเลี้ยงม้าอย่างที่เข้าใจผิดคิดไปเองมาตั้งสองปี“เห็นหน้าดุๆแบบนั้นเขาเป็นคนดีนะ” เคอหลิ่งหลินกระเซ้า “แถมยังไม่มีภรรยาด้วย”“พี่หลิ่งหลิน!” ใบหน้าหวานยิ่ง
“หากเจ้าใช้วรยุทธเมื่อใดเจ้าก็เจ็บอย่างเมื่อครู่อีก”“ข้าทนได้ ข้าจะฝึกฝนตัวเองให้กลับมาเป็นดั่งเดิมอีกครั้ง””หลินเอ๋อร์” แม่ทัพจ้าวส่ายหน้าไปมา “ที่ข้าปิดเรื่องที่เจ้าสูญสิ้นกำลังภายในไปเพราะเกรงว่าคนที่ปองร้ายเจ้าจะฉวยโอกาสนี้เล่นงานเจ้า”หญิงสาวหลุบตาลงต่ำ นางเข้าใจในสิ่งที่แม่ทัพจ้าวกล่าวมาเป็นอย่างดี แต่คนอย่างนาง...หากไม่มีแม้แต่วรยุทธจะปกป้องตนเองหรือใครได้ นางจะอยู่ในฐานะอะไร เดิมทีนางคิดเสมอว่าตัวเองยังมีค่าก็เพราะทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสกุลจ้าวได้ “หลินเอ๋อร์ จำได้ไหมว่าพ่อของเจ้าฝากฝั่งเจ้าไว้กับข้า” แม่ทัพจ้าวทอดน้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้า กลับมาเป็นเด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงักเขาจึงเอ่ยต่อ “หลายปีมานี่เจ้าติดตามข้ามากกว่าลูกชายข้าเสียอีก ซ้ำยังช่วยเหลืองานได้อย่างดีเยี่ยม ฝีมือการแกะรอยหรือแม้กระทั่งอ่านแผนที่ของเจ้าไม่เป็นรองใคร แต่ข้ารับปากพ่อเจ้าจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างลูก ไม่ใช่คนในค่ายทหาร”“ข้า... ข้าทำด้วยความเต็มใจยิ่ง ท่านพ่อข้าสั่งเสียให้ข้าทำตามคำสั่งท่านที่ผ่านมาท่านดูแลข้าอย่างดียิ่ง”“สภาพตอนที่เจ้ากลับมามันย่ำแย่มากนะหลินเอ๋อร์ ฮูหยินขอ
หลังจากนางฟื้นจากหลับไปนานนับเดือนแล้วก็มีพิธีรับนางเป็นลูกบุญธรรม ตอนนี้คนในจวนหรือในกองทหารต่างมองนางด้วยสายตายำเกรง แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าแตะต้องนางเพราะเกรงจะได้รับโทษ ไม่ว่าเป็นเรื่องใดก็ตาม งานในคอกม้าที่นางเคยทำเองถูกแย่งชิงลงมือทำก่อนนางจะไปถึง หญิงสาวจึงได้แต่ดื่มยาและอ่านตำราเพื่อหาทางฟื้นฟูร่างกายให้กลับคืนโดยเร็ว ที่นางนิ่งเงียบไปเพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ตนเองถูกทำลายกำลังภายในหมดสิ้น อาจเพราะฝ่ามือที่ท่านป้าซัดเข้าใส่ทำให้นางต้องอยู่ในสภาพนี้ ทว่าทำไมท่านป้าทำแบบนั้นกับนาง หรือท่านป้าโกรธที่นางเข้าไปเอาไข่มุกหมื่นราตรี แต่...ท่านป้าเองเป็นคนชี้แนะแนวทางให้นางได้เข้าไปเอาไข่มุกหมื่นราตรีนี่นะ ที่น่าคิดหนักกว่าคือ นางจำได้ว่าเอาไข่มุกหมื่นราตรีใส่ถุงผ้าแล้วคล้องคอไว้ ไข่มุกนั่นหายไปไหน แล้วนางกลับมาจวนแม่ทัพได้อย่างไร คำถามที่นางไม่รู้คำตอบยังมีอีกมาก ที่สำคัญคือนางคิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยนและแววตาที่อบอุ่นของเขา เมืองหลวงผู้คนมากมาย นางจะได้เจอเขาไหม แค่ได้เห็นกับตาว่าเขาสบายดีก็พอแล้ว อาการเงียบขรึมของเคอหลิ่งหลินทำให้ฮูหยินอี้ซิ่ว
“เจี้ยนเหิงเยว่ถวายพระพรพระสนมเพคะ” “ลุกขึ้นๆ คนกันเองทั้งนั้น” พระสนมอวี้เหมยแสดงความชื่นชมหญิงสาวคนนี้ออกมาอย่างเปิดเผย “เอ้า! รู้จักกันไว้ ฮูหยินอี้ซิ่ว ฮูหยินของแม่ทัพจ้าวประจำอยู่ชายแดน วันนี้มาเยี่ยมเยือนที่ตำหนักและจะอยู่ที่นี่สักระยะ” “ลูกเต้าเหล่าใครหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรานัก” ฮูหยินอี้ซิ่วเองก็พอใจกับรูปร่างหน้าตาสะสวยของหญิงสาวผู้นี้ เดาได้ไม่ยากว่าถูกวางตัวให้เคียงคู่กับองค์ชายใดองค์ชายหนึ่งในบรรดาพระโอรสขององค์ฮ่องเต้ “หม่อนฉันเป็นบุตรสาวของคหบดีเจี้ยนเพคะ” “ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว” “สิบเจ็ดเพคะ” “อายุน้อยกว่าหลิ่งหลินของข้าสองสามปี” ฮูหยินอี้ซิ่วหันไปทางเคอหลิ่งหลินที่ยืนนิ่งอยู่ พอรู้ตัวว่าถูกพูดถึงก็ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ข้าไปอยู่ชายแดนมานาน ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรนักหรอกนะ” “มิได้เพคะ” เคอหลิ่งหลินยิ้มน้อยๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่แย้มยิ้มเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไปราวกับเห็นภูติผีปีศาจ “ทำไม!” “ทำไม?” เคอหลิ่งหล
“นี่ถ้าพ่อเจ้ามาเห็นต้องดีใจมากแน่ๆ” หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มนิดๆ ไม่เข้าใจว่าแม่บุญธรรมพูดถึงพ่อคนไหนของนาง พ่อแท้ๆ ที่ตายจากไปหรือพ่อบุญธรรม “เอาล่ะไปกันเถิด” “ท่านแม่” นางดึงมือของฮูหยินอี้ซิ่วไว้ก่อน “มีอะไรรึ” “คือ...ข้ากลัว” “หือ? เจ้ากลัวอะไร” “ข้ากลัวทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้องต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้” “โธ่! คนอย่างเจ้าออกรบร่วมกับพ่อเจ้ามาตั้งกี่ปี กลับมากลัวเรื่องแค่นี้” “ข้ามิเคยอยู่ในวังอย่างท่านแม่ หากทำกิริยาไม่เหมาะสม ข้ามีหัวเดียวจะพอให้ตัดหรือเปล่าก็ไม่รู้” “แม่อยู่ด้วยอย่าได้กังวลไปเลย” ฮูหยินอี้ซิ่วหัวเราะคิกคัก “คิดเสียว่ากินข้าวเย็นกับญาติๆ ก็พอแล้ว” หญิงสาวได้แต่ยิ้มแหย ท่านแม่พูดง่ายนัก แต่นางนี่ซิ ท่านพ่อก็กระไรรู้อยู่เต็มอกว่านางไม่ถนัดเรื่องประเพณีธรรมเนียมอะไรพวกนี้ยังส่งนางมาอีก นี่มันเป็นการลงโทษที่สาหัสยิ่งกว่าโดนโบยเสียอีก เจ้าของใบหน้าสวยได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตามแม่บุญธรรมไปรับประทานอาหารเย็นตามประสาคนในครอบครัว เพียงแต
นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว
“มิคิดว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ จะมีสุราเลิศรสอย่างนี้” พูดพลางชิมอาหาร “อาหารรสชาติก็ใช้ได้ อีกหน่อยคงโด่งดังมิแพ้โรงเตี๊ยมอื่น” “เป็นอย่างไรล่ะ ผลงานของข้า” นางอวดขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์แอบเก็บเป็นความลับ ตั้งใจว่าให้โรงเตี๊ยมเข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกหน่อยค่อยบอกท่าน” “เจ้าออกจากวังอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้” องค์ชายไท่หยางส่ายหน้าไปมา ยังดีที่นางบอกใครต่อใครว่าแต่งงานแล้ว มิใช่ทำตัวเป็นสาวน้อย นางคงไม่รู้ตัวว่านับวันนางยิ่งดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นมากกว่าเดิมนัก “ท่านหมอมู่มา เจ้าได้ให้ท่านหมอตรวจร่างกายบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เรื่องที่ท่านหมอมู่กับบุตรสาวมาเมืองหลวงในช่วงที่เขาไปราชการต่างเมืองพอดี“ข้าให้น้องฟางเหนียงตรวจแล้ว” นางแย้มยิ้ม “นางเขียนใบสั่งยา เป็นยาบำรุงร่างกาย ร่างกายข้าขับพิษออกไปเกือบหมดแล้ว บำรุงตัวเองอีกนิดก็พร้อมมีทายาทให้ท่านได้”เพราะนางบาดเจ็บในครั้งนั้น แม้กำลังภายในจะกลับคืนแต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มทีนัก“ข้าห่วงเจ้ามากกว่า เรื่องนั้น ข้ารอได้” เขาแตะหลังมือนาง “สามีไม่โกรธภรรยานะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือคนเหล่านี้” นางเคย
เสี่ยวหลิวกับอาปู้-ลูกชายวัยสิบขวบและอาเหลียง-ลูกสาววัยเจ็ดขวบ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนที่นางเคยเจอที่ศาลเจ้าร้างเมื่อครั้งที่แอบย่องหนีออกจากวังมาตามหาหัตถ์เทวะ คราแรกนางคิดแค่ว่าอยากมาดูว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่หรืออพยพไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าทุกคนยังอยู่ คนไหนที่พอแข็งแรงหน่อยก็ออกไปหาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป พอได้มีข้าวสารมาจุนเจือคนอื่น จากที่คิดว่าจะหาบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งพอคุยกันไปกันมาก็กลายเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ “คนพอใช้งานหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าเห็นอาปู้ยกอาหารส่งลูกค้า” เคอหลิ่งหลินถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายวัยสิบขวบ เพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่เขากลับต้องทำงานหนัก ครั้งแรกที่เจอกันเขาผายผอมมากแต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนัง ยามว่างนางก็ให้เขาฝึกหัดเพลงมวยขั้นพื้นฐาน คิดอยู่ว่าจะหาทางให้อาปู้ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหาจะได้มีความรู้และมาช่วยดูแลคนอื่นๆ ได้ “ร้านเพิ่งเปิดค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าคะ” เสี่ยวหลิวพูดขึ้น “อีกหน่อยอาปู้ต้องไปเรียนหนังสือจะไม่มีคนช่วยงานนะซิ” เคอหลิ่งหลินถอน
“ก็ได้ ข้าถามใหม่ก็ได้ ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่” นางถามทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ “ข้ามาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ได้กำหนดกลับ ยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่” “โชคดีที่ได้พบกันก่อนท่านจะไป” นางพึมพำ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ ข้าจะแวะเวียนไปดูแลแม่นมเหมยให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยังเอร็ดอร่อยกับขนมในตะกร้า แม่นมเหมยดูแลเขาอยู่หลายปีตั้งแต่อยู่เมืองหลวง เมื่ออายุมากขึ้นจึงขอกลับมาอยู่บ้านเดิม เมื่อเขาเดินทางมาพักฟื้นรักษาร่างกายจึงได้พบกับแม่นมเหมยอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วแต่แม่นมเหมยก็ยังคอยทำขนมของกินอร่อยๆ ให้เขาเสมอ ที่ไหนๆ ก็มีบ่อน้ำพุร้อน ทว่าแต่ละที่ที่เคยไป เขามักเบื่อหน่ายกับสตรีมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาทำให้ชีวีตคนใกล้ตายอย่างเขาวุ่นวายนัก ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดจะตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้ แต่เมื่อมาที่นี่ตามคำเชื้อเชิญของเหวินเฮ่าหลัน กลับได้พบหญิงสาวนิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ นางตรงเสียจนพูดต่อหน้าว่าชอบเขา แต่กลับไม่ได้วุ่นวายในชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ไปๆ มาๆ เขากลับรู้สึกชอบมองผู้หญิงที่ย
“แต่คุณหนูเพิ่งเข้ามานะคะ” “ข้าจะพาเมฆเหินไปแช่น้ำร้อน มันอ่อนเพลียมาก” นางบอกไปตามตรง “แต่นายท่านทั้งสองรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” “ก็ไปรายงานอย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ” หญิงสาวยืนยัน และเมื่อได้เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบสาวชาวบ้านแล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุนเอ๋อร์รีบสางผมและเกล้าขึ้นให้คุณหนูใจร้อนของตนเอง ยามอยู่ในชุดทหารนางดูเคร่งขรึมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและซุกซนราวเด็กน้อย หากคุณหนูของนางแต่งกายงดงามเหมือนคุณหนูบ้านอื่นละก็ นางก็งดงามไม่แพ้หญิงใดเลยทีเดียว ร่างเพรียวยกมือขึ้นแตะแก้มชุนเอ๋อร์หยอกล้อเหมือนทุกครั้ง “ข้าไปนะ เดี๋ยวมา” “คุณหนู” ทำได้แค่เรียก แต่คุณหนูของนางก็กระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกับหายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรับใช้อย่างนางต้องแบกภาระไปรายงานท่านแม่ทัพและฮูหยิน เคอหลิ่งหลินแอบย่องเข้าไปในห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูกแล้วเดินกัดกินอย่างไม่กังวลเรื่องกิริยามารยาทแล้วเดินมาทางคอกม้า เมฆเหินเห็นนางก็ยกหัวสะบัดไปมาคล้ายจะบ่นที
หญิงสาวอดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ นางเองก็ไม่รู้หรอกว่า โม่ชิงถงถูกหมอกหลอนประสาทไปเห็นภาพอะไรจึงได้ปลิดชีพตนเช่นนั้น แต่นางเข้าใจลวดลายดอกไม้แดงที่ปรากฏแผ่นหลังของนางนั้น เป็นการเผยค่ายกลและที่ซ่อนกระบี่ผงาดฟ้า นางขอร้องให้เหวินเฮ่าหลันหาช่างทำลายดอกไม้แดงบนแผ่นหนังให้เพื่อเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะนางจะไม่สำแดงดอกไม้ให้ผู้ใดเห็นอีกนอกจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางองค์ชายไท่หยางยื่นมือไปดึงร่างบางมานั่งบนตัก กอดรัดนางไว้ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ละลายความโดดเดี่ยวในใจของเขาที่เกาะกุมอยู่เนิ่นนาน ‘ทายาทหญิงรุ่นต่อไปเมื่ออายุครบยี่สิบปีดอกไม้แดงจะปรากฏ แม้การปรากฏตัวของดอกไม้แดงจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้าของ ทว่าเมื่อเหยื่อพรหมจรรย์ถูกทำลายความเจ็บปวดนั้นก็มลายไปด้วย เพราะหมายความว่านางจะยอมเสียพรหมจรรย์กับชายคนที่นางรักและเชื่อใจ’เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่สอบถามท่านนักพรตหญิง ปล่อยให้นางเข้าใจไปเถิด เขาจะเก็บความลับรอยสักดอกไม้แดงไว้เอง มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาไว้และเอียงคอมองเขาด้วยกิริยาน่ารักจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้ว“ท่านรู้แล้วอย่าแสร้งทำไม่เป็นรู้ซิ” นางทำท่าแง่งอนออกมา“หาเรื่องไปเที่ย
ใครเลยจะคาดคิดว่าบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงและฮูหยินอี้ซิ่วจะถูกตาต้องใจองค์ชายไท่หยาง หลังจากเสร็จงานดูแลราษฏรผู้ประสบอุทกภัยได้เดือนเศษ ทางวังหลวงก็ส่งเกี้ยวมารับเจ้าสาวอย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินหรือเคอหลิ่งหลิน แม้อยู่ในกองทัพจะแลดูดุดันและใบหน้าเรียบนิ่งอยู่เสมอ ทว่าเมื่อมีข่าวมงคลเช่นนี้ เหล่าทหารที่เคยร่วมรบก็อดดีใจมิได้ แน่ชัดแล้วว่านางเป็นที่รักของทุกคนแม้จะโดนนางเคี่ยวกรำฝึกฝนหนักมืออยู่บ้าง กลายเป็นเรื่องเล่าของผู้คนไปทั่ว คราวนั้นนางติดตามฮูหยินอี้ซิ่วเข้าวังหลวง เพียงการพบหน้าครั้งแรก พรหมลิขิตก็บันดาลให้ องค์ชายไท่หยางถึงกับตกหลุมรักบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวเข้าให้จนถอนตัวมิขึ้น บุรุษผู้มีใบหน้าอ่อนโยนแสสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด กลับหลงรักหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของจ้าวจิ่นสือ บุตรชายของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง องค์ชายไท่หยางขอจัดงานอภิเษกอย่างเรียบง่ายแต่กระนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินขอให้มีการเลี้ยงอาหารแจกทานให้คนยากไร้แทนการมอบของขวัญให้นาง นำพาซึ่งเสียงสรรเสริญแก่คนทั้งสอง ว
“ข้าโง่งมนักมิรู้จะทำอย่างไรให้ท่านเชื่อใจข้าได้” นางใช้ปลายจมูกถูกไถแผงอกเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วท่านมาหาข้าได้อย่างไรกัน” “ก็ใช้สิทธิ์ขององค์ชายขี้โรคหลบออกมาตามหาเจ้าไงล่ะ” องค์ชายไท่หยางจับมือข้างหนึ่งของนางมากุมไว้แล้วยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตน “เป็นข้าที่ทำให้ท่านเสียการเสียงาน” นางรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอีกแล้ว “ใช่...แต่จ้าวจิ่นสือก็บัญชาการได้อย่างดี ทุกอย่างราบรื่น ข้ามิอยู่ตรงนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาเริ่มแทะเล็มปลายนิ้วที่ละนิ้วของนาง “เห็นทีข้าต้องไปส่งเจ้าถึงจวนแม่ทัพจ้าวเสียแล้ว” “ข้าไม่อยากเป็นตัวปัญหาของท่าน” นางหายใจติดขัดกับลิ้นชื้นที่ไล้เลียปลายนิ้วของนางอยู่ “หลินเอ๋อร์” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงรักใคร่ “ข้าควรคุยกับเจ้าให้รู้เข้าใจเสียที” “หือ?” นางช้อนตาขึ้นมอง เห็นแววตาชวนให้หัวใจไหวสั่นแต่ก็ไม่อาจหลบดวงตาคมคู่นี้ได้“อย่างที่เจ้ารู้ ข้าอ่อนแอมาแต่เกิด มิอาจคาดหวังถึงวันพรุ่งนี้ได้ ดังนั้นจึงใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน จนเมื่อเจ้าเข้ามาพร้อมไข่มุกหมื่นราตรี ข้าได้มีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” เขานิ่
คนผู้นี้ยามโกรธก็น่ากลัวเหลือเกิน จะขยับร่างกายหนีแต่เตียงก็ไม่ได้กว้างสักเท่าใด เคอหลิ่งหลินทำได้เพียงเบือนหน้าหนีเพราะต้องการตั้งหลักเตรียมรับมือกับโทสะของเขาที่นางเป็นผู้ก่อ ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เห็นเขาอ้าปากจะพูด นางก็ชิงพูดออกมา“ข้าขอโทษๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เคอหลิ่งหลิงจำใจทำใจกล้าสบตากับดวงตาคู่คมของเขา นางรู้ว่าตนเองทำผิดไป แต่นางตั้งสติได้จะถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็กลายเป็นริมฝีปากของเขาก็จู่โจมนางอย่างไม่ทันตั้งตัว “อุ๊บ!” ร่างสูงโถมเข้าใส่ปิดปากนางด้วยจุมพิตรุนแรง บดขยี้และขบเม้มริมฝีปากนางจนนางรู้สึกเจ็บ มือเรียวยกดันแผงอกเขาเป็นการประท้วงการลงทัณฑ์อันแสนร้ายกาจของเขา หัวใจชายหนุ่มร้อนระอุ ทั้งห่วงหาอาทร ปวดร้าวใจยิ่งนัก หากไม่เอะใจกับข่าวที่เหวินเฮ่าหลันส่งมากับนกพิราบสื่อสารแล้วละก็ เขาคงควบม้าเร็วตามมาไม่ทันช่วยนางเป็นแน่ มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนางบ้าง เขามาถึงเป็นจังหวะที่ร่างใหญ่ยักษ์ของโม่ชิงถงร่วงลงสู่บึงมรกต พอแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นร่างของหญิงสา