“ดูท่าทางท่านเป็นคนป่วยที่อารมณ์ดียิ่งนัก” “เหวินเฮ่าหลัน” หันไปทางผู้ที่เดินเข้ามาใกล้ พร้อมรอยยิ้ม “ถ้าไม่นับเรื่องดวงตาของท่าน ข้าคิดว่าท่านดูเป็นปกติดีทุกอย่าง” เหวินเฮ่าหลันแย้มยิ้มท่าทีของเขาเหมือนคุณชายเจ้าสำราญ อาภรณ์ของเขามักจะเรียบแต่หรูหราบ่งบอกฐานะได้ชัดเจนว่าเป็นถึงคุณชายบ้านสกุลเหวินผู้มั่งคั่งจากการค้าขาย มีเรือขนส่งสินค้าของตัวเอง แม้จะชอบแสดงตนเป็นหนุ่มเจ้าสำราญแต่แท้จริงแล้วเป็นการกระทำเพื่อกลบเกลื่อนฐานะของตนเอง ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายซุกซ่อนความโหดเหี้ยมไว้ แน่นอน หากใครเป็นปรปักษ์ต่อเขา มันผู้นั้นก็หาได้มีลมหายใจอยู่ได้ แม้เขาจะมีสองโฉมหน้าที่เป็นดุจหน้ากากสวมอยู่นั้น ลึกๆแล้วเขาเพียงแค่ไม่ชอบถูกผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบ ในวัยเด็กเขามักถูกรังแกเสมอเมื่ออยู่กับบิดาที่เข้มงวดเพราะต้องการให้เขาสืบทอดกิจการการค้าขาย เขาจึงยิ่งต้องแข็งแกร่งและแข็งกร้าวจนหลายคนไม่กล้าเข้าใกล้หากมิตรสหายที่มีอยู่ มีเพียงไม่กี่คนที่เขารู้ซึ้งแก่ใจว่าเป็นคนจริงมีน้ำใจไม่เสแสร้ง หนึ่งในนั้นคือ คุณชายเฉิน ที่ผู้อื่นรู้จัก ทว่าแท้จริงแล้วเป็นใครนั้น เข
“เจี้ยนเหิงเยว่” ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก “เจ้าได้สิ่งนี้มาอย่างไร”“สิ่งใดที่ช่วยชีวิตท่านได้ ข้าล้วนยินดีทำ” นางตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เหวินเฮ่าหลันเห็นทุกคนยังนิ่งงันอยู่จึงรีบสั่งการให้บ่าวไพร่ไปเชิญท่านหมอมู่มาปรุงยารักษา แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าเป็นไข่มุกหมื่นราตรีจริงหรือไม่ ทว่าเวลาที่เหลือน้อยลงไปหากมีหนทางใดให้ลองเสี่ยงก็ควรลองมีเพียงแม่นมเหมยที่มองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างประหลาดใจ นางรู้จักคุณหนูเจี้ยนเหิงเยว่บุตรสาวคนเดียวของคหบดีสกุลเจี้ยน นางเป็นหญิงงามกิริยาอ่อนหวานงดงามอ่อนช้อย ทว่าสิ่งที่นางประหลาดใจคือไยคุณหนูเจี้ยนเหิงเยว่เป็นผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมามอบให้ แล้วหญิงสาวอีกนางนั้นเล่านางไปอยู่ที่ใดเสีย หรือจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกับต้าซื่อ.แสงอาทิตย์ที่รอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าคนที่นอนหลับใหล ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆ กะพริบตาขึ้นอย่างช้าๆ ลำคอของนางแห้งผากจนไม่อาจส่งเสียงใดออกมาได้ ตั้งใจจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ทำได้ยากเย็น ทำได้เพียงแค่หันศีรษะมองไปด้านข้าง เงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนพูดคุยกับสาวใช้อยู่ใกล้ๆ นั้นเหมือนจะรู้สึกได้จึงหันมาทางนาง ใบหน
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ” นางรับคำอย่างสำนักผิดก่อนหันไปทางฮูหยินอี้ซิ่ว“ท่านแม่ ข้าหิวจัง” นางเริ่มทำตัวเป็นลูกสาวคนดีน้ำเสียงออดอ้อนเอาอกเอาใจ อากัปกิริยานี่ทำให้จ้าวจิ่นสือแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ แม้เคอหลิ่งหลินจะยังไร้กำลังเรี่ยวแรงฟื้นคืน แต่ก็ใช้สายตาดุๆจ้องมองไปทางเขาได้“ดีเลย หิวแล้วแสดงว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว กินโจ๊กร้อนๆดีกว่านะ” ฮูหยินหันไปเห็นชุนเอ๋อร์วิ่งกลับเข้ามาพอดี “ชุนเอ๋อร์ไปให้พ่อครัวเตรียมโจ๊กร้อนๆ ให้คุณหนูสักชาม”“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” ชุนเอ๋อร์หมุนตัววิ่งออกไปอีกรอบ“พวกเราก็ออกไปก่อน ปล่อยให้หลินเอ๋อร์พักผ่อนรอท่านหมอมาตรวจอาการอีกที” แม่ทัพจ้าพูดเหมือนสั่งแล้วหันไปทางลูกชาย “เจ้าก็เหมือนกันจิ่นสือ เวลานี้เจ้าควรฝึกทหารมิใช่รึ”“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวจิ่นสือก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำสั่ง เขาปรายตามองคนที่นอนบนเตียง แล้วก้าวออกไป “แม่ไปในครัวดีกว่า แม่จะตุ๋นไก่ให้เจ้าเองเจ้าตื่นแล้วแม่จะบำรุงเจ้าให้กลับมามีน้ำมีนวลเหมือนเดิม” ฮูหยินอี้ซิ่วเช็ดน้ำตาอีกครั้งแล้วลุกขึ้นเดินออกไป เหลือเพียงแม่ทัพจ้าวกับลูกสาวบุญธรรม“ท่านพ่อ...”“วาจาเรียกข้าเป็นพ่อ แต่เจ้าได้
ม้าตัวนั้นไม่พานางกลับมาจวนแม่ทัพจ้าวแล้วละก็...นางคงสิ้นใจที่ใดสักแห่งไปแล้ว“ร่างกายของท่านกำลังฟื้นตัว ท่านต้องบำรุงตัวเองให้มากสักหน่อย ข้าจะจัดยาให้บำรุงร่างกายให้ท่าน”“ขอบใจเจ้ามาก อาจารย์น้อย” เคอหลิ่งหลินหยอกล้อหวังให้มู่ฟ่างเหนียงไม่คิดมาก“พี่หลิ่งหลิน” นางเขินหน้าแดง นางอายุเพียงสิบหก ยังไม่เก่งกาจเท่าบิดา “ท่านติดค้างข้าอีกเรื่องนะ”“เรื่องอันใดรึ”“ท่านทำให้ข้าคิดว่าน้องชายท่านเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ” หญิงสาวรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวไปหมด“ยังไงล่ะ” เคอหลิ่งหลินจ้องมองใบหน้าสวยที่แดงระเรื่อแล้วก็เข้าใจ “เจ้าเจอน้องชายตัวดีของข้าแล้วซิ”“ท่านชอบพูดถึงน้องชายราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆ ข้าก็พลอยนึกเป็นเช่นนั้น...” ใช่...ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่ใบหน้าดุดันคนนั้นจะเป็นน้องชายต่างสายเลือดกับเคอหลิ่งหลิน เขาควบม้ามาตามบิดาของนางไปดูอาการเคอหลิ่งหลิน ทำให้ทั้งนางและพ่อทราบว่าแท้จริงแล้วเคอหลิ่งหลินไม่ได้เป็นบ่าวไพร่หรือคนเลี้ยงม้าอย่างที่เข้าใจผิดคิดไปเองมาตั้งสองปี“เห็นหน้าดุๆแบบนั้นเขาเป็นคนดีนะ” เคอหลิ่งหลินกระเซ้า “แถมยังไม่มีภรรยาด้วย”“พี่หลิ่งหลิน!” ใบหน้าหวานยิ่ง
“หากเจ้าใช้วรยุทธเมื่อใดเจ้าก็เจ็บอย่างเมื่อครู่อีก”“ข้าทนได้ ข้าจะฝึกฝนตัวเองให้กลับมาเป็นดั่งเดิมอีกครั้ง””หลินเอ๋อร์” แม่ทัพจ้าวส่ายหน้าไปมา “ที่ข้าปิดเรื่องที่เจ้าสูญสิ้นกำลังภายในไปเพราะเกรงว่าคนที่ปองร้ายเจ้าจะฉวยโอกาสนี้เล่นงานเจ้า”หญิงสาวหลุบตาลงต่ำ นางเข้าใจในสิ่งที่แม่ทัพจ้าวกล่าวมาเป็นอย่างดี แต่คนอย่างนาง...หากไม่มีแม้แต่วรยุทธจะปกป้องตนเองหรือใครได้ นางจะอยู่ในฐานะอะไร เดิมทีนางคิดเสมอว่าตัวเองยังมีค่าก็เพราะทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสกุลจ้าวได้ “หลินเอ๋อร์ จำได้ไหมว่าพ่อของเจ้าฝากฝั่งเจ้าไว้กับข้า” แม่ทัพจ้าวทอดน้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้า กลับมาเป็นเด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงักเขาจึงเอ่ยต่อ “หลายปีมานี่เจ้าติดตามข้ามากกว่าลูกชายข้าเสียอีก ซ้ำยังช่วยเหลืองานได้อย่างดีเยี่ยม ฝีมือการแกะรอยหรือแม้กระทั่งอ่านแผนที่ของเจ้าไม่เป็นรองใคร แต่ข้ารับปากพ่อเจ้าจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างลูก ไม่ใช่คนในค่ายทหาร”“ข้า... ข้าทำด้วยความเต็มใจยิ่ง ท่านพ่อข้าสั่งเสียให้ข้าทำตามคำสั่งท่านที่ผ่านมาท่านดูแลข้าอย่างดียิ่ง”“สภาพตอนที่เจ้ากลับมามันย่ำแย่มากนะหลินเอ๋อร์ ฮูหยินขอ
หลังจากนางฟื้นจากหลับไปนานนับเดือนแล้วก็มีพิธีรับนางเป็นลูกบุญธรรม ตอนนี้คนในจวนหรือในกองทหารต่างมองนางด้วยสายตายำเกรง แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าแตะต้องนางเพราะเกรงจะได้รับโทษ ไม่ว่าเป็นเรื่องใดก็ตาม งานในคอกม้าที่นางเคยทำเองถูกแย่งชิงลงมือทำก่อนนางจะไปถึง หญิงสาวจึงได้แต่ดื่มยาและอ่านตำราเพื่อหาทางฟื้นฟูร่างกายให้กลับคืนโดยเร็ว ที่นางนิ่งเงียบไปเพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ตนเองถูกทำลายกำลังภายในหมดสิ้น อาจเพราะฝ่ามือที่ท่านป้าซัดเข้าใส่ทำให้นางต้องอยู่ในสภาพนี้ ทว่าทำไมท่านป้าทำแบบนั้นกับนาง หรือท่านป้าโกรธที่นางเข้าไปเอาไข่มุกหมื่นราตรี แต่...ท่านป้าเองเป็นคนชี้แนะแนวทางให้นางได้เข้าไปเอาไข่มุกหมื่นราตรีนี่นะ ที่น่าคิดหนักกว่าคือ นางจำได้ว่าเอาไข่มุกหมื่นราตรีใส่ถุงผ้าแล้วคล้องคอไว้ ไข่มุกนั่นหายไปไหน แล้วนางกลับมาจวนแม่ทัพได้อย่างไร คำถามที่นางไม่รู้คำตอบยังมีอีกมาก ที่สำคัญคือนางคิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยนและแววตาที่อบอุ่นของเขา เมืองหลวงผู้คนมากมาย นางจะได้เจอเขาไหม แค่ได้เห็นกับตาว่าเขาสบายดีก็พอแล้ว อาการเงียบขรึมของเคอหลิ่งหลินทำให้ฮูหยินอี้ซิ่ว
“เจี้ยนเหิงเยว่ถวายพระพรพระสนมเพคะ” “ลุกขึ้นๆ คนกันเองทั้งนั้น” พระสนมอวี้เหมยแสดงความชื่นชมหญิงสาวคนนี้ออกมาอย่างเปิดเผย “เอ้า! รู้จักกันไว้ ฮูหยินอี้ซิ่ว ฮูหยินของแม่ทัพจ้าวประจำอยู่ชายแดน วันนี้มาเยี่ยมเยือนที่ตำหนักและจะอยู่ที่นี่สักระยะ” “ลูกเต้าเหล่าใครหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรานัก” ฮูหยินอี้ซิ่วเองก็พอใจกับรูปร่างหน้าตาสะสวยของหญิงสาวผู้นี้ เดาได้ไม่ยากว่าถูกวางตัวให้เคียงคู่กับองค์ชายใดองค์ชายหนึ่งในบรรดาพระโอรสขององค์ฮ่องเต้ “หม่อนฉันเป็นบุตรสาวของคหบดีเจี้ยนเพคะ” “ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว” “สิบเจ็ดเพคะ” “อายุน้อยกว่าหลิ่งหลินของข้าสองสามปี” ฮูหยินอี้ซิ่วหันไปทางเคอหลิ่งหลินที่ยืนนิ่งอยู่ พอรู้ตัวว่าถูกพูดถึงก็ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ข้าไปอยู่ชายแดนมานาน ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรนักหรอกนะ” “มิได้เพคะ” เคอหลิ่งหลินยิ้มน้อยๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่แย้มยิ้มเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไปราวกับเห็นภูติผีปีศาจ “ทำไม!” “ทำไม?” เคอหลิ่งหล
“นี่ถ้าพ่อเจ้ามาเห็นต้องดีใจมากแน่ๆ” หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มนิดๆ ไม่เข้าใจว่าแม่บุญธรรมพูดถึงพ่อคนไหนของนาง พ่อแท้ๆ ที่ตายจากไปหรือพ่อบุญธรรม “เอาล่ะไปกันเถิด” “ท่านแม่” นางดึงมือของฮูหยินอี้ซิ่วไว้ก่อน “มีอะไรรึ” “คือ...ข้ากลัว” “หือ? เจ้ากลัวอะไร” “ข้ากลัวทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้องต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้” “โธ่! คนอย่างเจ้าออกรบร่วมกับพ่อเจ้ามาตั้งกี่ปี กลับมากลัวเรื่องแค่นี้” “ข้ามิเคยอยู่ในวังอย่างท่านแม่ หากทำกิริยาไม่เหมาะสม ข้ามีหัวเดียวจะพอให้ตัดหรือเปล่าก็ไม่รู้” “แม่อยู่ด้วยอย่าได้กังวลไปเลย” ฮูหยินอี้ซิ่วหัวเราะคิกคัก “คิดเสียว่ากินข้าวเย็นกับญาติๆ ก็พอแล้ว” หญิงสาวได้แต่ยิ้มแหย ท่านแม่พูดง่ายนัก แต่นางนี่ซิ ท่านพ่อก็กระไรรู้อยู่เต็มอกว่านางไม่ถนัดเรื่องประเพณีธรรมเนียมอะไรพวกนี้ยังส่งนางมาอีก นี่มันเป็นการลงโทษที่สาหัสยิ่งกว่าโดนโบยเสียอีก เจ้าของใบหน้าสวยได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตามแม่บุญธรรมไปรับประทานอาหารเย็นตามประสาคนในครอบครัว เพียงแต