เพียงสิ้นคำสั่งเสีย พ่อของนางจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เด็กหญิงตัวเล็กไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่ควรเป็น นางได้แต่นิ่งงันไป แม่ทัพจ้าวจัดงานศพให้พ่อของนางตามธรรมเนียม นางยังเด็กและทำอะไรไม่ถูก หลังจากนั้นนางก็ติดตามแม่ทัพกลับมาที่จวน ได้พบฮูหยินอี้ซิ่วและจ้าวจิ่นสือเป็นครั้งแรก “เจ้ามาอยู่กับข้านะ ข้าอยากได้ลูกสาวมานานแล้ว” ฮูหยินอี้ซิ่วยิ้มอ่อนโยน แต่ครานั้นนางถือคำสั่งบิดาเป็นที่ยึดเหนียว บิดาสั่งให้นางติดตามแม่ทัพจ้าว ไม่ใช่ฮูหยินของแม่ทัพ นางจึงได้แต่สั่นศีรษะไปมาแล้วไปหลบด้านหลังของแม่ทัพจ้าวเสียอย่างนั้น “เอาเถอะ! พ่อนางก็เพิ่งจากไป ให้อยู่กับข้าไปสักระยะก่อนก็แล้วกัน แล้วอย่างไรค่อยว่ากันอีกที” แม่ทัพจ้าวตัดบท และสั่งให้คนคอยดูแลเคอหลิ่งหลิน มือเรียวใช้กิ่งไม้เขี่ยกองไฟเล็กๆ เบื้องหน้า ใบหน้ามีรอยยิ้ม นางโชคดีเหลือเกินที่ได้รับความเมตตาจากแม่ทัพจ้าวและฮูหยินอี้ซิ่ว ทั้งที่ทั้งสองไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับนางนัก แต่นางก็เติบโตมาอย่างดี เพียงแต่นางเลือกที่จะใช้ชีวิตตามคำสั่งเสียงของบิดา นางมีความสามารถในการแกะรอยสำรวจเส้นทาง อ่านแผนที่ได้อย่างแม่นยำ ยิ่ง
นางยื่นมือไปสัมผัสแก้มของลิงยักษ์อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน จากลิงยักษ์ที่ดุร้ายมุ่งหมายเอาชีวิต มาบัดนี้มันจดจำสัมผัสของนางได้ จึงย่อตัวลงแล้วโอบกอดนางแน่นจนหญิงสาวแทบหายใจไม่ออก “พี่วานร หากพี่กอดข้าแน่นเช่นนี้ กระดูกข้ากรอบแน่ๆ” หญิงสาวหัวเราะดีใจที่ได้เจอพี่วานรของตน “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่” ลิงยักษ์คลายอ้อมกอด เคอหลิ่นหลิงมองอย่างสำรวจหาสิ่งความเปลี่ยนแปลง ทว่านางต้องตกใจที่เห็นว่าแขนข้างหนึ่งเป็นแผลยาว ดูท่าจะเป็นแผลมานานแล้วไม่ใช่แผลใหม่ “พี่วานรให้ข้าทำแผลให้พี่ก่อนเถิดนะ” นางไม่รอช้า จำได้ว่าทางที่เดินผ่านมีพืชสมุนไพรที่ใช้ใส่แผลให้สมานกันเร็วขึ้น นางเดินย้อนกลับไปเด็ดมาเท่าที่ต้องใช้ จากนั้นเคี้ยวให้แหลกก่อนจะนำมันมาพอกกับแผลของลิงยักษ์แล้วฉีกชายผ้าพันแผลให้ “คงพอช่วยให้แผลของพี่วานรสมานกันเร็วขึ้น” นางลูบหลังลิงษ์ยักษ์อย่างปลอบโยน “คงมีคนใจร้ายทำลายท่านใช่ไหม” “ก็คนอย่างพวกเจ้า! ที่หวังมากอบโกยสมบัติแห่งผืนป่านะซิ!” เสียงตะโกนดังกึกก้องแม้กระทั่งนกยังเสียขวัญบินแตกกระเจิงไปหลงทิศทาง ลิงยักษ์ยั
“ความรัก! ข้าละเกลียดคำนี้เสียจริง แม่เจ้าก็เอาแต่พร่ำคำๆ นี้” นางทำเสียงไม่พอใจ แต่เหลือบตามองหญิงสาวที่อยู่ในวัยสะพรั่ง ใบหน้าไม่ได้งดงามโดดเด่นแต่ก็หมดจดโครงหน้ารูปไข่สวยได้แม่มาทั้งหมด แล้วดวงตาคู่นั้นก็หรี่มองผู้เป็นหลาน “อย่าบอกว่าเจ้ามาที่นี่ก็เพราะคำว่ารักนี่อีกคน” “เอ่อ...” คราวนี้หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง นางชอบเขาแต่คำว่ารักดูเหมือนจะมากไปเกินกว่าจะเอ่ยออกมาได้ นางชอบเขาเพียงฝ่ายเดียว แค่นี้มันชัดเจนแก่ใจก็พอแล้ว “ถ้าไม่ได้มาเอากระบี่ผงาดฟ้า เจ้ามาเอาสิ่งใดกัน” “ข้าต้องการไข่มุกหมื่นราตรีเจ้าค่ะ” คำตอบของเคอหลิ่งหลินทำเอานักพรตหญิงถึงกับแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ท่าทางนั้นทำให้หญิงสาวลงจากเก้าอี้กลมแล้วคุกเข่าเบื้องหน้าหญิงต่างวัยด้วยความเคารพยำเกรง หญิงสาวไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่และพ่อก็ไม่อยู่ให้ถามแล้ว หากนางบอกว่านางเป็นป้าก็เรียกได้ว่านางจะเป็นเพียงญาติคนเดียวที่นางเหลืออยู่ “ข้าต้องการนำสิ่งนั้นไปช่วยชีวิตผู้อื่น” “คงเป็นคนสำคัญที่เจ้ายอมแลกชีวิตเพื่อนำสิ่งนั้นไป” นักพรตหญิงหัวเ
ทว่าเวลานี้นางต้องตั้งมั่นทำในสิ่งที่ต้องการ นางไม่ได้ใส่ใจสิ่งอื่น เพียงสิ่งเดียวที่ต้องการคือไปให้ที่หอยมุกหมื่นราตรีที่เวลานี้อยู่เบื้องหน้านางแล้ว มองเพียงผิวเผินคล้ายก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อนซ้อนทับไร้ระเบียบ แต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเป็นหอยมุกขนาดใหญ่กว่าเด็กเจ็บแปดขวบด้วยซ้ำ แม้มีถุงมือหนังแต่นางต้องระวังอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อนำไข่มุกกลับไปให้จงได้ มือเรียวหยิบมีดสั้นที่พกไว้ออกมาแล้วงัดปากเปลือกหอยให้เปิดอ้า หอยมุกขนาดใหญ่นางต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีงัดมันให้เปิดออก เพียงปากหอยเปิดอ้า แม้จะเห็นไข่มุกสีดำแวววาวอยู่เบื้องหน้า ทว่านางรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งตรงเข้าใส่ ผิวกายปะทะกับคราบเมือกลื่นที่อยู่รายล้อมไข่มุก นางรีบใช้คว้าไข่มุกสีนิลใส่ถุงผ้าคล้องคอตนเองแล้วถีบตัวแหวกสายน้ำไปให้ถึงผิวน้ำโดยเร็ว สติของนางเลือนลางทุกขณะ แต่กระนั้นก็เพ่งมองแสงจันทร์ที่ทอแสงราวกับจะนำทางในนางโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาได้ ร่างบางทะลึ่งกายจากบึงมรกต นางตะเกียดตะกายแหวกว่ายมาถึงฝั่ง สำลักน้ำอยู่ครู่ใหญ่ ทว่าเมื่ออากาศเข้าปอดนางกลับรู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่าง เจ็บปวดจนกรีดร้อ
“ดูท่าทางท่านเป็นคนป่วยที่อารมณ์ดียิ่งนัก” “เหวินเฮ่าหลัน” หันไปทางผู้ที่เดินเข้ามาใกล้ พร้อมรอยยิ้ม “ถ้าไม่นับเรื่องดวงตาของท่าน ข้าคิดว่าท่านดูเป็นปกติดีทุกอย่าง” เหวินเฮ่าหลันแย้มยิ้มท่าทีของเขาเหมือนคุณชายเจ้าสำราญ อาภรณ์ของเขามักจะเรียบแต่หรูหราบ่งบอกฐานะได้ชัดเจนว่าเป็นถึงคุณชายบ้านสกุลเหวินผู้มั่งคั่งจากการค้าขาย มีเรือขนส่งสินค้าของตัวเอง แม้จะชอบแสดงตนเป็นหนุ่มเจ้าสำราญแต่แท้จริงแล้วเป็นการกระทำเพื่อกลบเกลื่อนฐานะของตนเอง ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายซุกซ่อนความโหดเหี้ยมไว้ แน่นอน หากใครเป็นปรปักษ์ต่อเขา มันผู้นั้นก็หาได้มีลมหายใจอยู่ได้ แม้เขาจะมีสองโฉมหน้าที่เป็นดุจหน้ากากสวมอยู่นั้น ลึกๆแล้วเขาเพียงแค่ไม่ชอบถูกผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบ ในวัยเด็กเขามักถูกรังแกเสมอเมื่ออยู่กับบิดาที่เข้มงวดเพราะต้องการให้เขาสืบทอดกิจการการค้าขาย เขาจึงยิ่งต้องแข็งแกร่งและแข็งกร้าวจนหลายคนไม่กล้าเข้าใกล้หากมิตรสหายที่มีอยู่ มีเพียงไม่กี่คนที่เขารู้ซึ้งแก่ใจว่าเป็นคนจริงมีน้ำใจไม่เสแสร้ง หนึ่งในนั้นคือ คุณชายเฉิน ที่ผู้อื่นรู้จัก ทว่าแท้จริงแล้วเป็นใครนั้น เข
“เจี้ยนเหิงเยว่” ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก “เจ้าได้สิ่งนี้มาอย่างไร”“สิ่งใดที่ช่วยชีวิตท่านได้ ข้าล้วนยินดีทำ” นางตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เหวินเฮ่าหลันเห็นทุกคนยังนิ่งงันอยู่จึงรีบสั่งการให้บ่าวไพร่ไปเชิญท่านหมอมู่มาปรุงยารักษา แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าเป็นไข่มุกหมื่นราตรีจริงหรือไม่ ทว่าเวลาที่เหลือน้อยลงไปหากมีหนทางใดให้ลองเสี่ยงก็ควรลองมีเพียงแม่นมเหมยที่มองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างประหลาดใจ นางรู้จักคุณหนูเจี้ยนเหิงเยว่บุตรสาวคนเดียวของคหบดีสกุลเจี้ยน นางเป็นหญิงงามกิริยาอ่อนหวานงดงามอ่อนช้อย ทว่าสิ่งที่นางประหลาดใจคือไยคุณหนูเจี้ยนเหิงเยว่เป็นผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมามอบให้ แล้วหญิงสาวอีกนางนั้นเล่านางไปอยู่ที่ใดเสีย หรือจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกับต้าซื่อ.แสงอาทิตย์ที่รอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าคนที่นอนหลับใหล ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆ กะพริบตาขึ้นอย่างช้าๆ ลำคอของนางแห้งผากจนไม่อาจส่งเสียงใดออกมาได้ ตั้งใจจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ทำได้ยากเย็น ทำได้เพียงแค่หันศีรษะมองไปด้านข้าง เงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนพูดคุยกับสาวใช้อยู่ใกล้ๆ นั้นเหมือนจะรู้สึกได้จึงหันมาทางนาง ใบหน
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ” นางรับคำอย่างสำนักผิดก่อนหันไปทางฮูหยินอี้ซิ่ว“ท่านแม่ ข้าหิวจัง” นางเริ่มทำตัวเป็นลูกสาวคนดีน้ำเสียงออดอ้อนเอาอกเอาใจ อากัปกิริยานี่ทำให้จ้าวจิ่นสือแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ แม้เคอหลิ่งหลินจะยังไร้กำลังเรี่ยวแรงฟื้นคืน แต่ก็ใช้สายตาดุๆจ้องมองไปทางเขาได้“ดีเลย หิวแล้วแสดงว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว กินโจ๊กร้อนๆดีกว่านะ” ฮูหยินหันไปเห็นชุนเอ๋อร์วิ่งกลับเข้ามาพอดี “ชุนเอ๋อร์ไปให้พ่อครัวเตรียมโจ๊กร้อนๆ ให้คุณหนูสักชาม”“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” ชุนเอ๋อร์หมุนตัววิ่งออกไปอีกรอบ“พวกเราก็ออกไปก่อน ปล่อยให้หลินเอ๋อร์พักผ่อนรอท่านหมอมาตรวจอาการอีกที” แม่ทัพจ้าพูดเหมือนสั่งแล้วหันไปทางลูกชาย “เจ้าก็เหมือนกันจิ่นสือ เวลานี้เจ้าควรฝึกทหารมิใช่รึ”“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวจิ่นสือก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำสั่ง เขาปรายตามองคนที่นอนบนเตียง แล้วก้าวออกไป “แม่ไปในครัวดีกว่า แม่จะตุ๋นไก่ให้เจ้าเองเจ้าตื่นแล้วแม่จะบำรุงเจ้าให้กลับมามีน้ำมีนวลเหมือนเดิม” ฮูหยินอี้ซิ่วเช็ดน้ำตาอีกครั้งแล้วลุกขึ้นเดินออกไป เหลือเพียงแม่ทัพจ้าวกับลูกสาวบุญธรรม“ท่านพ่อ...”“วาจาเรียกข้าเป็นพ่อ แต่เจ้าได้
ม้าตัวนั้นไม่พานางกลับมาจวนแม่ทัพจ้าวแล้วละก็...นางคงสิ้นใจที่ใดสักแห่งไปแล้ว“ร่างกายของท่านกำลังฟื้นตัว ท่านต้องบำรุงตัวเองให้มากสักหน่อย ข้าจะจัดยาให้บำรุงร่างกายให้ท่าน”“ขอบใจเจ้ามาก อาจารย์น้อย” เคอหลิ่งหลินหยอกล้อหวังให้มู่ฟ่างเหนียงไม่คิดมาก“พี่หลิ่งหลิน” นางเขินหน้าแดง นางอายุเพียงสิบหก ยังไม่เก่งกาจเท่าบิดา “ท่านติดค้างข้าอีกเรื่องนะ”“เรื่องอันใดรึ”“ท่านทำให้ข้าคิดว่าน้องชายท่านเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ” หญิงสาวรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวไปหมด“ยังไงล่ะ” เคอหลิ่งหลินจ้องมองใบหน้าสวยที่แดงระเรื่อแล้วก็เข้าใจ “เจ้าเจอน้องชายตัวดีของข้าแล้วซิ”“ท่านชอบพูดถึงน้องชายราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆ ข้าก็พลอยนึกเป็นเช่นนั้น...” ใช่...ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่ใบหน้าดุดันคนนั้นจะเป็นน้องชายต่างสายเลือดกับเคอหลิ่งหลิน เขาควบม้ามาตามบิดาของนางไปดูอาการเคอหลิ่งหลิน ทำให้ทั้งนางและพ่อทราบว่าแท้จริงแล้วเคอหลิ่งหลินไม่ได้เป็นบ่าวไพร่หรือคนเลี้ยงม้าอย่างที่เข้าใจผิดคิดไปเองมาตั้งสองปี“เห็นหน้าดุๆแบบนั้นเขาเป็นคนดีนะ” เคอหลิ่งหลินกระเซ้า “แถมยังไม่มีภรรยาด้วย”“พี่หลิ่งหลิน!” ใบหน้าหวานยิ่ง