ใช้เวลาสามวันทุกอย่างจึงสิ้นสุด จ้าวจิ่นสือกลับมาและพบว่านางยังไม่ได้สติ แม้หมอผู้เฒ่าจะมาคอยดูอาการอยู่ แต่เขาก็ไม่วางใจ ทำให้ตัวเองกินไม่ได้นอนไม่หลับเอาแต่เฝ้านาง หวังให้นางเห็นเขาเป็นคนแรกที่ลืมตามันไม่เหมือนกันแม้แต่นิดเดียวเมื่อคราวที่เคอหลิ่งหลินหลับไปนานนับเดือน เขาเป็นห่วง ทุกข์ร้อน กระวนกระวายใจ แต่ไม่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออกเช่นที่รู้ว่าคนเบื้องหน้าคือมู่ฟางเหนียง เขานึกถึงคำพูดของบิดาก่อนออกเดินทาง ครั้งนี้เขาได้รู้ใจตัวเอง ว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกอย่างไรกับเคอหลิ่งหลิน และมากกว่าความใกล้ชิดเขารู้สึกอย่างไรกับมู่ฟางเหนียง“จินปู๋กับท่านหญิงล่ะ” นางถามสีหน้ากังวล“ทั้งสองปลอดภัยดี” เขาละเว้นไม่ได้เล่าเรื่องที่จินปู๋เอาแผ่นหลังของตนเองแทนโล่ ปกป้องซุนเย่ผิงจนเสียเลือดไปไม่น้อย “เจ้าห่วงตัวเองเถิด ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว”หญิงสาวปวดขมับ ยกมือขึ้นกดจุดที่ปวด แล้วก็ร้องเสียงหลง ลืมตามองข้อมือของตนเองที่มีผ้าพันไว้“ข้อมือเจ้าหัก” เขาบอกเพื่อให้นางไม่ต้องขยับใช้งานมือข้างนั้นมากเกินไป “หิวหรือไม่ ข้าจะให้คนไปเตรียมโจ๊กร้อนๆ ให้” เขาลุกขึ้นโดยไม่ทันฟังคำตอบจากนาง
“รถม้า” ให้รถม้านาง นางจะไม่มีเรื่องเหมือนครั้งที่แล้วอีกรึ หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด มิใช่เพราะรถม้าหรอกหรือ? ที่ทำให้นางถูกลอบทำร้าย รถม้านั้นมีตราของเศรษฐีกู่หลิน หรือคนกลุ่มนั้นจะเข้าใจผิดว่านางเป็นคนของเศรษฐีกู่หลิน แต่พวกนั้นย้ำนักว่าเป็นนาง ผู้หญิงแพศยา... “อิงฮวา” โจวฟู่หรงเห็นอาการตัวเกร็งของนางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ หากทำได้เขาอยากไปส่งนางเสียเอง ติดที่เขาเพิ่งปราบเผ่าเสือดำไป เกรงว่าอาจมีคนที่อยากแก้แค้นหลงเหลือ หรือรอจังหวะที่เขาไม่อยู่มาโจมตีเผ่าของเขา จะไม่มีใครปกป้องคนของเขา “ข้าขอบคุณท่านยิ่งนัก” หญิงสาวตื่นจากภวังค์แล้วคลี่ยิ้มให้เขา “เป็นข้าที่ควรขอบคุณเจ้าไม่ใช่รึ” เขาบีบมือนางเบาๆ “เจ้าทำเพื่อคนในเผ่าของข้ามากมายนัก” “เป็นข้าต่างหากที่ได้รับความช่วยเมตตาจากท่านและผู้อื่น ทั้งจินปู๋ ท่านน้าลู่อู๋ ท่านหมอผู้เฒ่า และคนอื่นๆ ล้วนดีต่อข้า คนแปลกหน้าพลัดถิ่น สิ่งที่ข้าทำนั้นเทียบกับสิ่งที่พวกท่านทำให้ข้ามิได้หรอก” “แล้วข้าล่ะ” “ท่าน?” นางเบิกตากว้าง เห็นแววอาลัยในแววตาของเขาแล้วก็ต้องรีบก
“ที่จินปู๋ดีขึ้นคงเพราะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพราะข้ารักษา” นางยืนยันอีกครั้ง แต่ลู่อู๋ส่ายหน้าไปมาแล้วส่งยิ้ม “เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ”“ไปกันเถิด” จ้าวจิ่นสือเรียกหญิงสาวจึงผละจากทุกคน เขาช่วยอุ้มนางขึ้นรถม้า นางมองดูคฤหาสน์ตระกูลโจว ราวกับจะมองหาใครบางคน เขาไม่ออกมาส่งนาง นางเข้าใจดี หญิงสาวได้แต่ก้มศีรษะลงแสดงความเคารพและขอบคุณเขาที่ให้ความช่วยเหลือนาง“รอเดี๋ยว!” ซุนเย่ผิงรีบกระโดดลงจากม้า แล้วเอาของที่อยู่หลังม้าลงมาด้วย “ท่านหญิง” มู่ฟางเหนียงมองซุนเย่ผิงจากหน้าต่างรถม้า จะลงจากรถแต่ซุนเย่ผิงโบกมือห้ามไว้ก่อน “ข้าเอาเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมาให้ เจ้าแพ้อากาศเย็น เมื่อถึงฤดูหนาวจะได้มีเสื้อคลุมอุ่นๆ” นางให้จินปู๋เอาเสื้อคลุมไปใส่ในรถม้า “อย่าลืมข้านะ แวะมาเยี่ยมข้าบ้าง”“แน่นอน ข้าจะไม่ลืมท่านหญิง” มู่ฟางเหนียงยิ้มอ่อนโยน “โปรดดูแลหัวหน้าโจวด้วย เขาต้องการคนดูแลหัวใจของเขา”“ข้ารู้แล้ว” ซุนเย่ผิงยิ้มกว้าง นางตั้งใจแล้ว อย่างไรนางจะต้องเป็นเจ้าสาว เป็นภรรยาที่น่ารักของโจวฟู่หรงให้ได้ จ้าวจิ่นสือเห็นทุกคนบอกลากันเรียบร้อยแล้วก็นั่งอยู่ด้านหน้า บังคับม้าให้เคลื่อนตัวออกไป มุ่
“ม้าจ๋า อย่ากลัวนะ อย่ากลัว” นางยื่นมือไปลูบจมูกมันเบาๆ พยายามทำให้มันสงบแต่มือของนางก็ถูกฉวยไว้ก่อน นางสะดุ้งเฮือก พอหันไปมองก็เห็นจ้าวจิ่นสือมายืนประชิดตัวแล้ว ใบหน้าของเขามีความเคร่งเครียดปรากฏชัด“หยิบของใช้จำเป็นแล้วไปยืนรอตรงโน้น” เขาสั่งเสียงดุ แล้วเป็นฝ่ายลูบหน้าม้าพยายามให้มันสงบ นางรีบเดินไปหยิบห่อย่ามใส่อาหารกับกระเป๋าน้ำแล้วเดินไปรอเขาอยู่ไม่ไกลนัก ฝนเทลงมาหนักเหลือเกิน เขาปลดสายพันธนาการออก จูงม้าหาที่หลบฝนโดยทิ้งรถไว้ด้านหลัง หญิงสาวกอดตัวเองแน่นแล้วเดินไปทางรถม้า ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก นางเม้มริมฝีปากแน่น ข่มโทสะที่เกิดขึ้นในใจ ไยเขาไม่พานางไปหลบฝนก่อนเล่า นี่เขาห่วงม้ามากกว่านางหรือไงนะ! นางตำหนิเขาแล้วคิดจะปีนเข้าไปหลบฝนในรถม้า แต่ขยับเท้าได้เพียงครึ่งก้าว ร่างบางก็ถูกจับขึ้นบนบ่าอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันส่งเสียงหวีดร้อง เขาแบกนางฝ่าสายฝนเข้าไปในถ้ำแล้วจ้าวจิ่นสือวางร่างบางลงยืนแล้วเดินไปทางกองไฟที่ก่อทิ้งไว้ก่อนแล้ว เขาโยนฟืนใส่เข้าไปอีกสองสามชิ้น ฝนกระหน่ำสาดซัด ละอองไอเย็นเข้ามาปะทะคนที่ยืนงงอยู่จนต้องขยับเข้าไปด้านใน พอเขาหันกลับมาก็เห็นร่างของมู่ฟางเหนียงยืน
“จิ่นสือ... จิ่นสือ” มู่ฟางเหนียงละล่ำละลักเรียกชื่อเขา เวลานี้เขาร้อนแรงยิ่งกว่าเปลวไฟ เขากำลังเผาไหม้นางด้วยไฟเสน่หา“เชื่อใจข้า” เขากระซิบกับผิวอ่อนนุ่ม เป่าลมหายใจร้อนที่จุดอ่อนไหว แหวกเรียวขาของนางให้แยกออกเพื่อที่เขาจะได้ชิมความหวานจากน้ำหวานที่เอ่อล้น“อ๊า.....” นางร้องครางเมื่อถูกลิ้นร้อนฉกไปในกลีบดอกไม้สาว หัวใจเต้นระรัวและร่างกายก็บิดเร่าไปมา รู้ทั้งรู้ว่าต้องห้ามเขา ต้องปฏิเสธ และผลักไส แต่กลับทำได้แค่วางมือข้างที่ไม่เจ็บบนกลุ่มผมของเขา น่าอายเหลือเกินที่ร่างกายของนางยอมรับทุกการกระทำของเขา ซ้ำยังรู้สึกราวกับโหยหารสชาติที่ไม่เคยพานพบ นางผวาเฮือกเมื่อรู้ว่านิ้วกร้านของเขาแทรกเข้าไปสำรวจกลีบดอกไม้ของนาง เขาพรมจูบราวกับบูชามันพร้อมกับขยับนิ้วเข้าออกช้าๆเสียงครวญของนางเย้ายวนยากเกินจะถอนใจได้ เขาเร่งเร้าเพื่อให้นางพร้อมก่อนที่เขาจะผสานร่างกายที่ต้องการเติมเต็มจากนาง นางจวนเจียนจะต้านทานไม่ไหว แล้วเขาก็ถอนริมฝีปากออกจากกลีบดอกไม้ที่ฉ่ำหวานด้วยน้ำหวานก่อนจะละเลงลิ้นที่ยอดอกที่แข็งเป็นตุ่มไตของนางความปรารถนาที่จะถูกเติมเต็มทำให้นางสิ้นอาย ได้แต่ร้องวิงวอนเขา ทั้งที่ตนเองก็ไม่ร
“เอ่อ... ไม่รู้สิ ข้าแค่รู้สึกว่าเส้นทางนี้คุ้นๆ” นางไหวไหล่น้อยๆ นางอาจจะเป็นคนหลงทิศ แต่นางคุ้นเคยกับทิวทัศน์ที่เห็น คล้ายว่าเป็นเส้นทางที่นางเคยไปบ่อน้ำพุร้อนกับเคอหลิ่งหลิน ใช่... ต้องใช้แน่ๆ นี่ไม่ใช่ทางที่จะกลับเข้าเมือง “เจ้ารู้สึกคุ้นๆ” เขาถามย้ำ ในอกพลันเกิดความรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจ นางจำไม่ได้ก็ดี พอคิดว่าถ้านางฟื้นความทรงจำได้ จะนึกถึงเรื่องที่เขาเคยทำไม่ดีกับนางมากนัก หากเป็นไปได้ เขาอยากให้นางจดจำแต่เรื่องราวดีๆ ที่เขามีต่อนาง “อืม” นางพยักหน้า ไม่อยากพูดมากให้เขาผิดสังเกต แต่นางอยากรู้ว่าทำไมเขาไม่พานางตรงกลับจวนแม่ทัพจ้าว ทั้งสองเดินทางช้ากว่าปกติมาก หรือเขาอยากซ่อนตัวนางไว้เป็นนางบำเรอจริงๆ “เมื่อก่อนเคอหลิ่งหลิน... พี่สาวข้า... เคยพามาข้ามาที่บ่อน้ำพุร้อน ยามเมื่อได้รับบาดเจ็บหรือร่างกายบอบช้ำ ข้าเลยจะพาเจ้าไปแช่น้ำพุร้อนก่อนกลับเข้าจวน” “นอกจากข้อมือที่หักนี่แล้ว ข้าก็ไม่ได้บาดเจ็บที่ใดนี่” นางย่นจมูก แต่ยังไม่คลายกังวล ใครจะรู้ว่าเขาคิดอะไรกันแน่ “ข้าทำเจ้าเป็นรอยจ้ำช้ำแบบนั
“ข้าต้องการท่าน”“รัดเอวข้า”ไม่ต้องรอให้นางร้องขออีก เขายกตัวนางขึ้น ให้สองขาของนางโอบรัดรอบเอวของเขา แล้วแทรกแก่นกายเข้าไปในช่องรักอันอ่อนนุ่ม ร่างกายใหญ่โตของเขาถูกนางแผดเผาด้วยไฟปรารถนา ในขณะที่ขยับสะโพกอย่างเป็นจังหวะก็ก้มลงโลมเลียบัวคู่งามของนาง เหมือนคนใกล้ตายไปทุกขณะ นางได้แต่โอบรัดเขาแน่นขึ้น คล้ายไม่อิ่มหนำเอาง่ายๆ และเขาก็รู้ขยับสะโพกเร็วขึ้น แรงขึ้น มีเพียงเสียงของสองหนุ่มสาวครางกระเส่าผสานท่วงทำนองเพลงรักก้องห้วงน้ำความปรารถนาเร่าร้อนผลักดันนางขึ้นโบยบินไปสู่ท้องฟ้า ทำให้นางร่ำร้องไม่ขาดจนกระทั่งเขาเผลอไผลกดกระแทกรุนแรง และนางก็ตอบสนองด้วยการกอดรัดเขาแน่นขึ้น ราวกับจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวร่างเล็กเกร็งกระตุกก่อนที่ชายหนุ่มจะคำรามออกมาด้วยความสุขสม หญิงสาวสิ้นเรี่ยวแรง ได้แต่ปล่อยให้เขาประคองนางไปที่ริมตลิ่ง ให้นางนั่งบนตักเปลือยเปล่าของเขา ลูบไล้รอยช้ำเพราะเขาแทะเล็มผิวกายของนางหญิงสาวเริ่มหายใจเป็นปกติ มองชายเบื้องหน้าแล้วกลับเขินอายขึ้นมา เมื่อครู่นางยังใจกล้าเรียกร้องให้เขาเติมเต็มนางอยู่เลย เขาจูบขมับนางอย่างปลอบโยน“เดิมทีข้าจะอดทนรอกลับถึงจวนก่อน แต่ก็ทนไม่ไหว” เข
“ท่าน... ท่าน... พ่อ” “เอาละ ให้พ่อลูกได้พูดคุยกันดีกว่า จิ่นสือตามพ่อออกไปข้างนอก” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงลุกขึ้นแล้วเรียกลูกชายให้เดินตามออกไป เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นมู่ฟางเหนียงไม่มองมาทางเขาอีก ก็ยอมเดินตามบิดาออกไปเงียบๆเมื่อไม่มีใครอื่นแล้ว มู่ฟางเหนียงก็ดึงมือบิดาไปนั่งที่เก้าอี้ นางจ้องมองบิดาพลางเช็ดน้ำตาตัวเอง“พ่อ...” “ท่านพ่อเจ็บตรงไหนหรือไม่” นางเอ่ยถามแล้วส่งยิ้มอ่อนหวาน เป็นรอยยิ้มที่มอบให้บิดามาตลอดยี่สิบปี“เจ้า?” หมอมู่หยางซัวเห็นลูกจำเขาได้ก็ประหลาดใจพอสมควร“ท่านพ่อฟังข้าก่อน” นางรีบพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าได้รับความกระทบกระเทือนจนจดจำอะไรไม่ได้ บังเอิญกองคาราวานพ่อค้าชาวเอ้อหลุนชุนผ่านไปพบเข้าและช่วยเหลือข้า ในครานั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าตนเป็นใคร จึงติดตามเขาไปถึงเผ่าเอ้อหลุนชุน จนได้พบจ้าวจิ่นสือเข้า เขาจึงช่วยเหลือให้ลูกได้กลับมาพบท่านอีกครั้ง”มู่หยางซัวฟังลูกสาวพูด ก็ตรงกับที่แม่ทัพจ้าวบอกเล่าให้เขาฟังจากจดหมายที่บุตรชายท่านแม่ทัพส่งมาจากเผ่าเอ้อหลุนชุน เขาพยักหน้ารับให้ลูกสาวพูดต่อ“ระหว่างอยู่ที่นั่น ข้าฝันเห็นท่านพ่อตลอด แต่ในฝันนั้นใบหน้าท่านไม่แจ่ม
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ