“ไม่เพียงแค่รูปร่างหน้าตา แต่เรื่องที่นางจดจำสมุนไพรในการรักษาโรคได้ก็ย้ำชัดว่าเป็นนางจริงๆ” จ้าวจิ่นสือยืนยัน“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ” ในบ้านของข้า ในที่ของข้า... ประโยคหลังไม่ได้พูดออกไป แน่นอนว่าถ้าเอ่ยปากก็จะกลายเป็นคนจิตใจคับแคบ เป็นคนป่าเถื่อนแบบที่พวกเมืองหลวงย้ำหนักหนา“ข้าจะเขียนจดหมายกลับไปที่จวนแม่ทัพจ้าวให้สืบเรื่องราวและติดตามหาพ่อของนาง หากนางและพ่อถูกคนลอบทำร้ายจริง ก็เกรงว่าการส่งนางกลับจะเป็นอันตรายกับตัวนางเอง ระหว่างนี้คงต้องรบกวนหัวหน้าโจวแล้ว”เมื่อครั้งที่นางจากมา เขาทำร้ายจิตใจนางไว้มากนัก บางทีนี่อาจเป็นเรื่องดีที่นางจำเรื่องนั้นไม่ได้ นั่นหมายความว่าเขาจะได้แก้ตัวชดใช้ความผิดในครั้งนั้น ใช่แล้ว...เขาแค่รู้สึกผิดต่อนาง ไม่ได้คิดเป็นอื่น และการปกป้องนางจากโจวฟู่หรงก็เป็นหน้าที่ของเขาด้วยโจวฟู่หรงพยักหน้ารับ นางลืมอดีตของนางไปก็ช่างปะไร อยู่กับปัจจุบันสิสำคัญกว่า นักรบอย่างเขาเชื่อมั่นว่าตนเองมองคนไม่ผิด สายตาอ่อนโยนของนางยามที่ยื่นถุงหอมให้เขานั้น ประทับในหัวใจของเขาจนยากจะลบเลือน“ให้คนไปตามปาน่ามาช่วยดูแลอิงฮวา”เขาสั่งทหารที่ยืนประจำการอยู่ใกล้ๆ โจวฟู่หร
“ตอนนี้เจ้าต้องอยู่ที่นี่ ยังไงก็ต้องเจอข้าอยู่ดีนั่นแหละ” ปาน่าพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีอย่างอื่นแอบแฝง“อยู่ที่นี่? ทำไมข้าต้องอยู่ที่นี่” นางส่ายหน้าไปมา “จินปู๋ล่ะ ข้าจะไปหาเขา”“จินปู๋กลับไปแล้ว” นางทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมา “ตอนนี้ไม่มีใครอยู่หรอก หมาป่าเข้ามากินแพะของชาวบ้าน ท่านโจวออกไปดูอยู่”อิงฮวาสงบใจลงและพยักหน้ารับรู้ ถึงนางจะอยากรู้เรื่องของตนเองมากเพียงใดแต่คงไม่ใช่เวลานี้ ปาน่าเห็นหญิงสาวสงบได้ก็ยื่นเสื้อผ้าให้ ครู่ต่อมาบ่าวรับใช้ก็ยกน้ำเข้ามา“ตรงนั้นแหละ” ปาน่าชี้นิ้วสั่ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าบ่าวรู้หน้าที่ของตัวเอง “อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย แล้วข้าจะยกอาหารมาให้”“ไม่ต้องยกมาให้ข้าก็ได้ ข้าไปกินในครัวได้นะ” “ไม่ได้หรอก ท่านโจวให้ข้าดูแลเจ้า จะปล่อยให้เจ้าไปกินข้าวในครัวได้อย่างไรกัน”“แต่ว่า...ข้าอยากช่วยอะไรบ้าง”“ถ้าอยากช่วยข้า ก็ช่วยอย่าทำให้ข้าต้องเหนื่อยหรือโดนหัวหน้าโจวดุเอา เจ้าทำตามที่ข้าบอกดีที่สุด”เมื่อโดนพูดใส่แบบนี้แล้ว นางก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ยื่นมือรับเสื้อผ้าชุดใหม่ มือเรียวเล็กวางบนเนื้อผ้านุ่มมือ มันแตกต่างจากเสื้อผ้าที่นางสวมอยู่ “เอ้า! ไปลงอ่างอาบ
จ้าวจิ่นสืออยากเดินไปหามู่ฟางเหนียง แต่มองท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว เขาอยากให้นางได้พักผ่อนมากกว่า ไม่เป็นไร อย่างไรแล้วรุ่งเช้านางต้องรีบมาหาเขาเป็นแน่ เขาเดินผ่านสวนหย่อมที่เรียบง่ายแต่แลดูชวนให้ใจสงบ มีทางเดินรูปแบบอิสระเป็นเส้นโค้งนุ่มนวลไหลเวียนไปตามจุดต่างๆ จนถึงศาลาหกเหลี่ยมที่กลางสวน สายตาของเขาปะทะกับร่างหญิงสาวในชุดประจำเผ่าเอ้อหลุนชุนสีแดงสด นางยืนกระสับกระส่ายอยู่ตามลำพัง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้ม แม้อยู่ภายใต้แสงจันทร์ เขาก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นคือ...“ฟางเหนียง” เขาเรียกเสียงไม่ดังนักแต่ก้องกังวาน ทำให้ร่างบางสะดุ้ง เพียงจังหวะที่นางหมุนตัวกลับมา เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโจนแผ่วไปหยุดยืนเบื้องหน้าของนางแล้ว“ท่าน” อิงฮวายกมือขึ้นแตะหน้าอก กดมันไว้ไม่ให้ตื่นตระหนกจนเกินไป ไยชายผู้นี้ชอบทำให้นางตกใจเสียจริง“จ้าวจิ่นสือ” “หือ?” นางเอียงคอมองเขาอย่างงุนงง แล้วก็เห็นมุมปากของเขายกยิ้มขึ้น“เรียกชื่อข้าสิ เจ้าจะได้จำข้าได้” ‘ข้าอยากเป็นคนแรกที่เจ้าคิดออก’ เขาเก็บคำประโยคหลังในกระเพาะ เพราะเหล้ารสแรงที่ดื่มไปหรือไร ถึงเห็นนางงดงามกว่าที่เคย“ท่านมั่นใจเกินไปหรือไม่ บางทีข้าอาจไม่ใช่คนที
นางถลึงตาใส่เขารีบปิดประตูทันที จะบ้าเรอะ! นางจะไปฝันถึงเขาทำไมกัน! หญิงสาวใจสั่นรัว ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงียบไป เขาคงใช้วิชาตัวเบากระโดดหายไปราวกับบินได้ละสินะนางเดินไปรินน้ำชา มือไม้สั่นขนาดทำน้ำชาหกเลอะเทอะ หงุดหงิดถึงกับสบถก่นด่าตัวเอง ไม่คิดว่า...เขาจะจูบนางแบบนั้น!หญิงสาวรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวนอกประตูห้องนอน นางวางถ้วยน้ำชาลงแล้วเดินไปแง้มประตูแอบมองไปด้านนอก ร่างสูงใหญ่เดินวนไปวนมาท่าทางกระสับกระส่ายทำให้นางเปิดประตูกว้าง เขาหมุนตัวกลับมาแล้วส่งยิ้มให้“ท่านโจว”“ข้าคิดว่าเจ้านอนแล้ว”“ข้ากำลังจะเข้านอนเจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ มองดูชายเบื้องหน้าที่สวมเสื้อผ้าแบบง่ายๆ คล้ายคนเตรียมเข้านอนแล้วเช่นกัน ก่อนนี้นางเจอเขาก็มักอยู่ในชุดดำทมิฬเสมอ“ท่านหัวหน้ามาหาข้าถึงที่นี่มีอะไรหรือไม่”“ไม่มีอะไร เจ้าไปนอนเถิด” เขายกมือโบกไปมาอย่างเคยชิน เสื้อแขนกว้างร่นไปถึงข้อศอก แล้วก็เป็นเขาที่ตกใจที่เห็นนางยื่นมือมาจับแขน ทำให้เขาลดแขนลงมาแล้วมองใบหน้าหวานที่ขมวดคิ้วยุ่ง“แขนของท่าน”“อ้อ!” เขาเพิ่งสังเกตว่ามีรอยข่วนและเลือดซึมออกมา คงเพราะเมื่อครู่อาบน้ำขัดถูแรงไปนิด เลือดที่แห้งกรังไ
“อืม” นางพยักหน้าแล้วยื่นมือไปรับมากัดกินคำน้อยๆ นางทำเองชิมเองจะไม่รู้รสชาติได้อย่างไร โจวฟู่หรงข่มโทสะหยิบซาลาเปามากินคำโต เดี๋ยวนะ ข้าแค่อยากทำซาลาเปาตอบแทนที่ให้ที่อยู่ที่อาศัย ไยต้องทำให้ข้าลำบากใจเช่นนี้เล่า อิงฮวาได้แต่ร้องครวญในใจ “รสชาติดียิ่งนัก” โจวฟู่หรงเอ่ยชมจากใจจริง“เนื้อกวางมีกลิ่นสาบ ข้าหมักกับเครื่องเทศเล็กน้อยก่อนนำไปทำเป็นไส้ซาลาเปา” หญิงสาวอธิบาย “เมื่อครั้งที่อยู่บ้านท่านน้าลู่อู๋กับจินปู๋ ข้าก็ทำให้เขากินบ่อยๆ”ไอ้ยักษ์จินปู๋ได้กินของดีแบบนี้ทุกวันเลยรึ! ความริษยาแล่นเข้ามาในอกจนโจวฟู่หรงต้องหยิบมากินอีกลูก“ถ้าเช่นนั้น ขนมจินเด (งาทอด) ที่คราวก่อนเขาถือมาก็เป็นฝีมือเจ้าสินะ” จ้าวจิ่นสือนึกถึงหลายวันก่อนที่เห็นจินปู๋เอาขนมจินเดออกมาจากอกเสื้อของเขาแล้วยื่นให้ซุนเย่ผิงกิน“เป็นข้าที่ทำเอง” นางเอียงคอมองอย่างสงสัย “จินปู๋เอามาแบ่งท่านรึ”จ้าวจิ่นสือส่ายหน้าไปมา “เจ้าเคยทำให้ข้า”เคอหลิ่งหลิน ข้าขอยืมขนมจินเดของเจ้าก่อนนะ!จ้าวจิ่นสือแสร้งทำเป็นกัดกินซาลาเปาในมืออย่างตั้งใจ จะเรียกว่าโกหกก็ไม่ถูกนัก นางเคยทำให้เคอหลิ่งหลิน แต่ตอนนั้นเคอหลิ่งหลินยังหลับไม่ได้สติ
“ตอนข้าเจอเขา ไม่รู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าเผ่านี่” นางโคลงศีรษะไปมา “ตื่นมาพวกท่านก็หิวหรือไร ถึงได้บุกไปในครัวแต่เช้า” “ข้าแค่ไปรับเจ้ามาเขียนจดหมายต่างหาก” เขาลอบมองนางเล็กน้อย “ข้ากลัวเจ้าหลงทาง เลยจะเดินไปรับ” ใบหน้าหวานแดงระเรื่อ “ข้าโง่งมขนาดนั้นเชียวรึ” ตั้งแต่มาที่นี่ นางก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ถ้าเข้าป่าก็ไปกับจินปู๋ตลอด แต่พอเข้ามาคฤหาสน์ของโจวฟู่หรงกลับทำให้นางงุนงงกับห้องหับมากมาย จนนางจำไม่ได้ว่าต้องไปทางไหน “ก็นิดหน่อย” “อะไรนะ!” นางถลึงตามองเขา เรื่องแบบนี้ไม่ต้องพูดชัดเจนนักก็ได้กระมัง “ข้ารู้จักท่านได้อย่างไรกัน!” “พี่สาวข้า...” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “เจ้ากับเคอหลิ่งหลิน พี่สาวของข้าสนิทกัน เมื่อหนึ่งเดือนก่อนนางได้รับบาดเจ็บหลับไม่ได้สติหนึ่งเดือนเต็ม ช่วงนั้นเจ้ามาดูแลนาง ข้าจึงได้ใกล้ชิดกับเจ้า” “อย่างนั้นรึ” นางเสมองไปทางอื่น รู้สึกร้อนผ่าวกับสายตาลุ่มลึกของเขา “แท้จริงเป็นเจ้ารู้จักข้าก่อนที่ข้าจะรู้จักเจ้า” เขาเชิดปลายคางขึ้นพูดเหมือนโอ้อวด “เจ้ายังเคยให้ของฝากข้า!”
“เมื่อวานพี่ฟู่หรงไปปราบหมาป่ามารึ แล้วไหนล่ะหนังหมาป่าของข้า” “เจ้าจะเอาไปทำอะไรเยอะแยะ” ราชครูส่ายหน้าไปมา “หมาป่าที่พี่ฟู่หรงฆ่า ควรจะเป็นของข้าเท่านั้น” นางเชิดหน้าพูดอย่างเอาแต่ใจ “มันไม่สวย ข้าเลยยกให้ชาวบ้านไปแล้ว” เขาตอบตามจริง แล้วเงยหน้ามองไปทางทหารที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ออกไปได้แล้ว แต่กระนั้นเด็กสาวเอาแต่ใจก็ปรายตามองไปยังลังสินค้าแล้วถลาไปยืนจ้องมองดู “พ่อค้าเอาสินค้ามาให้พี่ฟู่หรงกับท่านพ่อตรวจสอบรึ” ซุนเย่ผิงถามแล้วยื่นมือไปรื้อค้นดูด้วยความสนใจตามประสาผู้หญิงที่ชอบของสวยๆ งามๆ พ่อค้าตัวปลอมถึงกับผวาเฮือกแต่ไม่กล้าห้าม ร้อนถึงราชครูยื่นมือไปตีหลังมือของลูกสาว แม้ไม่แรงแต่ส่งเสียงดังจนเด็กสาวรีบชักมือกลับ แล้วถลึงตามองบิดาด้วยความน้อยใจ “ท่านพ่อ!” “เสียมารยาทจริงเด็กคนนี้ เจ้าจะทำสินค้าของพวกเขาเสียหายหมด!” “จะเสียหายสักเท่าไหร่” นางหยิบผ้าคลุมไหล่ขึ้นมา “ข้าชอบผืนนี้ ข้าจะเอา!” “เย่ผิง!” บิดาดุด้วยเสียงดัง แต่ก็ไม่เคยกล้าลงโทษลูกสาว นอกจากจะเ
“เย่ผิง!” ราชครูได้แต่ส่ายหน้าไปมาแล้วหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนทั้งสาม “ข้าเลี้ยงดูนางไม่ดี ต้องขออภัยที่กิริยาไม่น่ารักนัก” “ท่านอย่าคิดมาก เย่ผิงก็เป็นแบบนี้แหละ” โจวฟู่หรงไหวไหล่เล็กน้อย นางเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาตามใจนางด้วยเช่นกัน “แล้วผ้าผืนนี้” จ้าวจิ่นสือมองผ้าที่ถูกปามาอยู่ในมือของเขา “ถ้าไม่คิดอะไรเจ้าก็เอาไปเถิด” โจวฟู่หรงแค่พยักหน้ารับรู้ ยังไม่ทันพูดอะไรต่อก็มีทหารวิ่งเข้ามา “เรียนหัวหน้าโจว มีตัวแทนจากเผ่าต่างๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำมาขอพบขอรับ” ได้ยินตามนั้นแล้ว ทั้งอิงฮวาและจ้าวจิ่นสือก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องภายใน ทั้งสองถึงขอตัวเดินแยกออกมา อิงฮวาเดินเลี้ยวไปทางอื่น มือของจ้าวจิ่นสือยื่นไปจับข้อมือนางไว้ก่อน “เจ้าจะไปไหน” “ในครัว ไปช่วยปาน่า” นางมองมือของเขาที่จับข้อมือนางไว้ “ไม่ใช่ทางนั้น” หญิงสาวทำหน้าไม่ถูก ก็จำได้ว่าเมื่อเช้าตอนที่เด็กรับใช้พามา เดินผ่านทางนี้...หรือเปล่านะ “ท่านบอกทางมาก็ได้” “เอาเถอะ ข้าจะไปส่ง” เขาไม่ยอมปล่อยข้อมือนาง
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด