อิงฮวาหยุดกวาดสายตาแล้วจ้องที่ใบหน้าของชายผู้นี้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเรียบตึง นางรู้สึก ‘คุ้นเคย’ แต่นึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร “ลองคิดดีๆ สิ นี่ข้าเอง จ้าวจิ่นสือ”เขากดน้ำเสียงให้อ่อนลง เกรงจะทำให้นางตกใจอีก ดูท่าทางนางจะเจออะไรเลวร้ายทำให้เสียขวัญ ผู้หญิงที่เคยโต้เถียงเพราะเขาไปฆ่างูตัวที่นางหมายปอง เขาไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นนางแสดงอาการหวาดผวาได้ถึงเพียงนี้ ซ้ำร้ายนางยังทำเหมือนจำเขาไม่ได้เสียอีก นางเริ่มสงบใจได้ก็กวาดสายตามองบุรุษเบื้องหน้า เขาไม่ได้มีใบหน้าดุดันเหมือนผู้ชายในเผ่าเอ้อหลุนชุน รูปร่างก็ดูจะบางกว่าสักเล็กน้อย คิ้วเรียงเป็นระเบียบ รับกับจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักสวย พลันนางกลับรู้สึกร้อนวูบในอกจนต้องเบือนหน้าไปทางอื่น “ขออภัย ข้าจำท่านไม่ได้” นางพูดตามตรง “จำไม่ได้?” จ้าวจิ่นสือผงะไปเล็กน้อย เขามั่นใจว่านางคือมู่ฟางเหนียง แต่นางกลับจำเขาไม่ได้! “นางจำอะไรไม่ได้” โจวฟู่หรงพูดแทรกขึ้น กดความหงุดหงิดไว้ในอกตั้งแต่ตอนที่จ้าวจิ่นสืออุ้มร่างที่หมดสติของนางมาพักในกระโจมของเขาแล้ว แต่เพราะจ้าวจิ่นสือไม่ยอม
เมื่อม้าของจ้าวจิ่นสือมาถึง เขากระโดดลงจากหลังม้าแล้ว โจวฟู่หรงก็เดินไปหา ยื่นมือไปหวังช่วยประคองหญิงสาวลงจากหลังม้า แต่จ้าวจิ่นสือกลับเร็วกว่า พอตัวเองลงจากม้าแล้วก็อุ้มนางทันที โดยที่เท้าของนางยังไม่ทันแตะพื้นดินด้วยซ้ำ การกระทำอันไม่ไว้หน้าของจ้าวจิ่นสือทำให้โจวฟู่หรงได้แต่ขบฟันกลั้นโทสะ หากไม่เห็นแก่นางผู้มอบถุงหอมให้เขาแล้วละก็ อาจเป็นเขาที่ชกหน้า ‘สหาย’ ไปแล้วก็ได้“ให้พักที่ห้องปีกซ้าย”จ้าวจิ่นสือชะงักเท้าไป แล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อย พานางไปห้องทางปีกซ้ายที่เจ้าของบ้านเอ่ยบอก เรือนพักของเขาอยู่ทางปีกขวา นี่คงไม่ได้เจตนาให้เขาและนางพักไกลกันคนละฟากของคฤหาสน์กระมัง พลันเขาฉุกคิดได้ว่าตนเองเป็นเพียงผู้อาศัย แต่แสดงตนประหนึ่งเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง เขาอุ้มนางไปตามทางที่คนรับใช้ผู้หนึ่งบอกทาง เมื่อถึงห้องของนางแล้วก็บรรจงวางร่างบางบนเตียงอย่างเบามือ เพียงช่วงจังหวะที่เขากำลังเงยหัวขึ้น ใบหน้าหวานก็ช้อนตามองขึ้น ดวงตาประสานกันนิ่งจนเห็นเงาในตาของกันและกัน“หมอผู้เฒ่ามาแล้ว” น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจเอ่ยขึ้น ทำให้อิงฮวาเป็นฝ่ายละสายตาจากใบหน้าของเขาไปก่อน และเพราะนางก้มหน้าจึงไม่เห็นมุมป
“หากเจ้าเป็นสหายของจ้าวจิ่นสือก็เสมือนเป็นสหายของข้าด้วย เช่นนั้นข้าควรดูแลเจ้าให้ดี พักเสียที่นี่ สืบเรื่องราวทั้งหมดได้ค่อยว่ากัน”ไม่หรอก เขาแค่อยากเก็บนางไว้ใกล้ตัวก็เท่านั้นผู้ชายด้วยกันย่อมดูออก แต่จ้าวจิ่นสือไม่ได้กล่าวทักท้วงอะไร ตอนนี้ยังต้องพึ่งพาโจวฟู่หรงอยู่“ข้าอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด” นางรีบพูดขึ้นด้วยท่าทางร้อนรน“ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” เป็นเสียงตอบของบุรุษทั้งสองที่พูดขึ้นพร้อมกัน พอรู้ตัวก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น“ท่านหมอบอกแล้วว่าเจ้าอย่าเพิ่งคิดอะไรมาก” โจวฟู่หรงพูดขึ้น“เจ้าพักผ่อนเสียก่อน ตื่นขึ้นค่อยพูดกัน”บุรุษทั้งสองเพียงแค่มองกันด้วยหางตาก็เข้าใจความหมาย เดินออกมาจากห้องนอนของนางเสีย ทิ้งให้หญิงสาวอยู่ลำพังเพื่อยืนยันว่าต้องการให้นางหลับพักผ่อนจริงๆ จ้าวจิ่นสือแสร้งยืนอยู่หน้าห้อง เพื่อรอฟังเสียงลมหายใจของนางที่เริ่มสงบคล้ายว่าเข้าสู่นิทราแล้ว แล้วเดินตามโจวฟู่หรงไปที่ห้องโถงกลางเห็นทีเขาต้องเขียนจดหมายสอบถามไปทางบ้านเกิดว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพ่อลูกแซ่มู่คู่นี้. ในห้องโถงกลางของคฤหาสน์ตระกูลโจวมีกลุ่มพ่อค้ากองคาราวานที่เพิ่งกลับมาจากเมือ
“ไม่เพียงแค่รูปร่างหน้าตา แต่เรื่องที่นางจดจำสมุนไพรในการรักษาโรคได้ก็ย้ำชัดว่าเป็นนางจริงๆ” จ้าวจิ่นสือยืนยัน“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ” ในบ้านของข้า ในที่ของข้า... ประโยคหลังไม่ได้พูดออกไป แน่นอนว่าถ้าเอ่ยปากก็จะกลายเป็นคนจิตใจคับแคบ เป็นคนป่าเถื่อนแบบที่พวกเมืองหลวงย้ำหนักหนา“ข้าจะเขียนจดหมายกลับไปที่จวนแม่ทัพจ้าวให้สืบเรื่องราวและติดตามหาพ่อของนาง หากนางและพ่อถูกคนลอบทำร้ายจริง ก็เกรงว่าการส่งนางกลับจะเป็นอันตรายกับตัวนางเอง ระหว่างนี้คงต้องรบกวนหัวหน้าโจวแล้ว”เมื่อครั้งที่นางจากมา เขาทำร้ายจิตใจนางไว้มากนัก บางทีนี่อาจเป็นเรื่องดีที่นางจำเรื่องนั้นไม่ได้ นั่นหมายความว่าเขาจะได้แก้ตัวชดใช้ความผิดในครั้งนั้น ใช่แล้ว...เขาแค่รู้สึกผิดต่อนาง ไม่ได้คิดเป็นอื่น และการปกป้องนางจากโจวฟู่หรงก็เป็นหน้าที่ของเขาด้วยโจวฟู่หรงพยักหน้ารับ นางลืมอดีตของนางไปก็ช่างปะไร อยู่กับปัจจุบันสิสำคัญกว่า นักรบอย่างเขาเชื่อมั่นว่าตนเองมองคนไม่ผิด สายตาอ่อนโยนของนางยามที่ยื่นถุงหอมให้เขานั้น ประทับในหัวใจของเขาจนยากจะลบเลือน“ให้คนไปตามปาน่ามาช่วยดูแลอิงฮวา”เขาสั่งทหารที่ยืนประจำการอยู่ใกล้ๆ โจวฟู่หร
“ตอนนี้เจ้าต้องอยู่ที่นี่ ยังไงก็ต้องเจอข้าอยู่ดีนั่นแหละ” ปาน่าพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีอย่างอื่นแอบแฝง“อยู่ที่นี่? ทำไมข้าต้องอยู่ที่นี่” นางส่ายหน้าไปมา “จินปู๋ล่ะ ข้าจะไปหาเขา”“จินปู๋กลับไปแล้ว” นางทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมา “ตอนนี้ไม่มีใครอยู่หรอก หมาป่าเข้ามากินแพะของชาวบ้าน ท่านโจวออกไปดูอยู่”อิงฮวาสงบใจลงและพยักหน้ารับรู้ ถึงนางจะอยากรู้เรื่องของตนเองมากเพียงใดแต่คงไม่ใช่เวลานี้ ปาน่าเห็นหญิงสาวสงบได้ก็ยื่นเสื้อผ้าให้ ครู่ต่อมาบ่าวรับใช้ก็ยกน้ำเข้ามา“ตรงนั้นแหละ” ปาน่าชี้นิ้วสั่ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าบ่าวรู้หน้าที่ของตัวเอง “อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย แล้วข้าจะยกอาหารมาให้”“ไม่ต้องยกมาให้ข้าก็ได้ ข้าไปกินในครัวได้นะ” “ไม่ได้หรอก ท่านโจวให้ข้าดูแลเจ้า จะปล่อยให้เจ้าไปกินข้าวในครัวได้อย่างไรกัน”“แต่ว่า...ข้าอยากช่วยอะไรบ้าง”“ถ้าอยากช่วยข้า ก็ช่วยอย่าทำให้ข้าต้องเหนื่อยหรือโดนหัวหน้าโจวดุเอา เจ้าทำตามที่ข้าบอกดีที่สุด”เมื่อโดนพูดใส่แบบนี้แล้ว นางก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ยื่นมือรับเสื้อผ้าชุดใหม่ มือเรียวเล็กวางบนเนื้อผ้านุ่มมือ มันแตกต่างจากเสื้อผ้าที่นางสวมอยู่ “เอ้า! ไปลงอ่างอาบ
จ้าวจิ่นสืออยากเดินไปหามู่ฟางเหนียง แต่มองท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว เขาอยากให้นางได้พักผ่อนมากกว่า ไม่เป็นไร อย่างไรแล้วรุ่งเช้านางต้องรีบมาหาเขาเป็นแน่ เขาเดินผ่านสวนหย่อมที่เรียบง่ายแต่แลดูชวนให้ใจสงบ มีทางเดินรูปแบบอิสระเป็นเส้นโค้งนุ่มนวลไหลเวียนไปตามจุดต่างๆ จนถึงศาลาหกเหลี่ยมที่กลางสวน สายตาของเขาปะทะกับร่างหญิงสาวในชุดประจำเผ่าเอ้อหลุนชุนสีแดงสด นางยืนกระสับกระส่ายอยู่ตามลำพัง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้ม แม้อยู่ภายใต้แสงจันทร์ เขาก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นคือ...“ฟางเหนียง” เขาเรียกเสียงไม่ดังนักแต่ก้องกังวาน ทำให้ร่างบางสะดุ้ง เพียงจังหวะที่นางหมุนตัวกลับมา เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโจนแผ่วไปหยุดยืนเบื้องหน้าของนางแล้ว“ท่าน” อิงฮวายกมือขึ้นแตะหน้าอก กดมันไว้ไม่ให้ตื่นตระหนกจนเกินไป ไยชายผู้นี้ชอบทำให้นางตกใจเสียจริง“จ้าวจิ่นสือ” “หือ?” นางเอียงคอมองเขาอย่างงุนงง แล้วก็เห็นมุมปากของเขายกยิ้มขึ้น“เรียกชื่อข้าสิ เจ้าจะได้จำข้าได้” ‘ข้าอยากเป็นคนแรกที่เจ้าคิดออก’ เขาเก็บคำประโยคหลังในกระเพาะ เพราะเหล้ารสแรงที่ดื่มไปหรือไร ถึงเห็นนางงดงามกว่าที่เคย“ท่านมั่นใจเกินไปหรือไม่ บางทีข้าอาจไม่ใช่คนที
นางถลึงตาใส่เขารีบปิดประตูทันที จะบ้าเรอะ! นางจะไปฝันถึงเขาทำไมกัน! หญิงสาวใจสั่นรัว ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงียบไป เขาคงใช้วิชาตัวเบากระโดดหายไปราวกับบินได้ละสินะนางเดินไปรินน้ำชา มือไม้สั่นขนาดทำน้ำชาหกเลอะเทอะ หงุดหงิดถึงกับสบถก่นด่าตัวเอง ไม่คิดว่า...เขาจะจูบนางแบบนั้น!หญิงสาวรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวนอกประตูห้องนอน นางวางถ้วยน้ำชาลงแล้วเดินไปแง้มประตูแอบมองไปด้านนอก ร่างสูงใหญ่เดินวนไปวนมาท่าทางกระสับกระส่ายทำให้นางเปิดประตูกว้าง เขาหมุนตัวกลับมาแล้วส่งยิ้มให้“ท่านโจว”“ข้าคิดว่าเจ้านอนแล้ว”“ข้ากำลังจะเข้านอนเจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ มองดูชายเบื้องหน้าที่สวมเสื้อผ้าแบบง่ายๆ คล้ายคนเตรียมเข้านอนแล้วเช่นกัน ก่อนนี้นางเจอเขาก็มักอยู่ในชุดดำทมิฬเสมอ“ท่านหัวหน้ามาหาข้าถึงที่นี่มีอะไรหรือไม่”“ไม่มีอะไร เจ้าไปนอนเถิด” เขายกมือโบกไปมาอย่างเคยชิน เสื้อแขนกว้างร่นไปถึงข้อศอก แล้วก็เป็นเขาที่ตกใจที่เห็นนางยื่นมือมาจับแขน ทำให้เขาลดแขนลงมาแล้วมองใบหน้าหวานที่ขมวดคิ้วยุ่ง“แขนของท่าน”“อ้อ!” เขาเพิ่งสังเกตว่ามีรอยข่วนและเลือดซึมออกมา คงเพราะเมื่อครู่อาบน้ำขัดถูแรงไปนิด เลือดที่แห้งกรังไ
“อืม” นางพยักหน้าแล้วยื่นมือไปรับมากัดกินคำน้อยๆ นางทำเองชิมเองจะไม่รู้รสชาติได้อย่างไร โจวฟู่หรงข่มโทสะหยิบซาลาเปามากินคำโต เดี๋ยวนะ ข้าแค่อยากทำซาลาเปาตอบแทนที่ให้ที่อยู่ที่อาศัย ไยต้องทำให้ข้าลำบากใจเช่นนี้เล่า อิงฮวาได้แต่ร้องครวญในใจ “รสชาติดียิ่งนัก” โจวฟู่หรงเอ่ยชมจากใจจริง“เนื้อกวางมีกลิ่นสาบ ข้าหมักกับเครื่องเทศเล็กน้อยก่อนนำไปทำเป็นไส้ซาลาเปา” หญิงสาวอธิบาย “เมื่อครั้งที่อยู่บ้านท่านน้าลู่อู๋กับจินปู๋ ข้าก็ทำให้เขากินบ่อยๆ”ไอ้ยักษ์จินปู๋ได้กินของดีแบบนี้ทุกวันเลยรึ! ความริษยาแล่นเข้ามาในอกจนโจวฟู่หรงต้องหยิบมากินอีกลูก“ถ้าเช่นนั้น ขนมจินเด (งาทอด) ที่คราวก่อนเขาถือมาก็เป็นฝีมือเจ้าสินะ” จ้าวจิ่นสือนึกถึงหลายวันก่อนที่เห็นจินปู๋เอาขนมจินเดออกมาจากอกเสื้อของเขาแล้วยื่นให้ซุนเย่ผิงกิน“เป็นข้าที่ทำเอง” นางเอียงคอมองอย่างสงสัย “จินปู๋เอามาแบ่งท่านรึ”จ้าวจิ่นสือส่ายหน้าไปมา “เจ้าเคยทำให้ข้า”เคอหลิ่งหลิน ข้าขอยืมขนมจินเดของเจ้าก่อนนะ!จ้าวจิ่นสือแสร้งทำเป็นกัดกินซาลาเปาในมืออย่างตั้งใจ จะเรียกว่าโกหกก็ไม่ถูกนัก นางเคยทำให้เคอหลิ่งหลิน แต่ตอนนั้นเคอหลิ่งหลินยังหลับไม่ได้สติ
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด