บทที่5
เยว่เหลียนเดินในจวนตระกูลเยว่ได้อย่างสบายใจอย่างที่ชาติก่อนนางไม่เคยทำได้ แต่ครานี้ไม่มีสิ่งใดติดขัด นั่นก็เพราะความเมตตาจากท่านย่า และภาพวาดที่ได้มาก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนางและท่านพ่อดีขึ้นอย่างที่ไม่ได้คาดคิด นางยิ้มที่มุมปากเพียงเล็กน้อย แม้แต่รอยยิ้มของนางก็เปลี่ยนไป จากยิ้มจนเต็มดวงตา ตอนนี้รอยยิ้มของเยว่เหลียนคล้ายจะมีแผนการอยู่ภายใจในตลอดเวลา
“ภาพที่เจ้าเอามาฝากในวันนั้นพ่อได้นำไปให้เหล่าบัณฑิตดูเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นภาพที่กำลังตามหากันจริง ๆ”
เยว่เหลียนยิ้มจาง ๆ แม้ว่านางจะแสร้งทำเป็นไม่รู้แต่เรื่องนั้นนางย่อมรู้แต่แรกอยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็ยินดีกับท่านพ่อด้วยนะเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยออกไป แต่ดูเหมือนที่ผู้นำตระกูลเยว่ลดตัวมาคุยกับบุตรสาวคนโตที่หมางเมินนั่นก็เพราะอยากได้กำไรที่มากกว่านี้ต่างหาก ทั้ง ๆ ที่รูปในมือนั่นก็ได้หลายพันตำลึงแล้วแท้ ๆ แต่คงไม่พอสินะ เป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยน
ดี! ข้าจะได้ควบคุมพวกท่านง่ายหน่อย
ข้าเคยเต้นตามเสียงดนตรีที่พวกท่านบรรเลง ครานี้ถึงคราวข้าเป็นผู้กำหนดบ้างแล้วว่าจะเล่นเพลงใด แน่นอนว่าบทเพลงนั้นย่อมไม่ใช่บทเพลงรัก
“เจ้าซื้อจากที่ใดหรือ”
เยว่เหลียนยิ้มคล้ายจะยินดี เพราะนางรู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อจะต้องมาถาม “ร้านค้าไร้ชื่อในเมืองเจ้าค่ะ ให้คนที่เดินทางมากับข้าพาไปก็ได้”
คนเป็นพ่อยิ้มอย่างพอใจ
“เช่นนั้นหรือ เจ้าเองว่าง ๆ ก็ไปซื้อหาของใช้สอยเอาตามสะดวกนะ” ถุงเงินถุงหนึ่งถูกส่งให้กับบุตรสาวคนโต การได้เจอกับเยว่เหลียนทำให้คนมีอายุอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันวานของเขาและมารดาของอีกฝ่าย น่าเสียดายยิ่งนักที่นางจากไปเร็วเสียเหลือเกิน หากนางยังอยู่และได้เห็นบุตรสาวโตมาเหมือนกับนางไม่ผิดเพี้ยน นางคงจะดีใจไม่ใช่น้อย ความคิดนั้นคนเป็นพ่อมิได้เก็บเอาไว้เพียงแค่ในใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ใบหน้าของเจ้าช่างเหมือนมารดาของเจ้ายิ่งนัก” เยว่เหลียนอยากจะบอกไปว่าเพราะเหตุนั้นมิใช่หรือท่านพ่อจึงให้นางกลับไป(เพิ่ม ไป ค่ะ)อยู่กับท่านตา แต่ยังไม่ทันที่จะตอบอะไรกลับอีกฝ่ายก็พูดต่อ คำพูดที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าบางทีท่านพ่อของนางอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็เป็นได้
“หากมารดาของเจ้ายังอยู่ นางจะต้องดีใจแน่ ๆ ที่เห็นเจ้างดงามเหมือนนางเช่นนี้” พูดจบบิดาของนางก็เดินจากไป คงจะไปจัดการเรื่องรูปภาพเป็นแน่ เยว่เหลียนส่ายหน้าให้กับบิดา ช่างเป็นคนที่ดูได้ง่ายจริง ๆ
ว่าแต่ในใจท่านก็ยังคงมีท่านแม่ของข้าอยู่บ้างสินะ เยว่เหลียนอดคิดเช่นนั้นไม่ได้เมื่อได้ยินคำที่เอ่ยออกมาจากปากของอีกฝ่าย
เยว่เหลียนหายใจเข้าลึกอย่างปลงตก บางทีบิดาของนางอาจจะเป็นเพียงแค่คนที่เห็นแก่ตัวมากไปหน่อย และยึดติดในบางเรื่อง แต่โดยรวมแล้วก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดา แม้จะบอกไม่ได้จากเรื่องในครั้งนี้ แต่อย่างน้อยการเริ่มต้นระหว่างท่านพ่อและนางก็ไม่ได้ย่ำแย่อย่างเช่นคราก่อน ที่อีกฝ่ายทำราวกับอยากจะฆ่านาง ฆ่าลูกในไส้ของตน แม้จะคิดเช่นนั้น นางก็ไม่ได้คิดจะให้อภัยผู้ใด
“เยว่เหลียนเจ้ามาอยู่นี่เอง แม่ก็ตามหาเสียทั่วจวน” เสียงเยว่ฮูหยินดังมาแต่ไกล
หญิงสาวมองหน้าแม่เลี้ยงของนาง รอยยิ้มจอมปลอมแบบที่สองแม่ลูกชอบทำปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยว่เหลียนเช่นเดียวกัน พวกท่านเสแสร้งได้ข้าก็ทำได้ ข้าใช้หนึ่งวิญญาณของข้าเพื่อเรียนรู้มัน
“ท่านมีธุระอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ”
“ธุระอะไรกัน พูดจาห่างเหินราวกับคนไม่รู้จักกัน แม่ก็แค่มาดูแลความเป็นอยู่ให้เจ้า เรือนนี้เป็นเช่นไรบ้างอยู่ได้ใช่หรือไม่”
เยว่เหลียนปั้นยิ้มสวยและบริสุทธิ์ให้แม่เลี้ยงอย่างที่ควรจะเป็น
“ได้เจ้าค่ะ เรือนนี้ใหญ่และกว้างขวางกว่าที่ข้าเคยอยู่อีก” ทั้ง ๆ ที่เรือนนี้ค่อนข้างหนาวเย็นอีกฝ่ายคงจัดการให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่เรื่องแค่นี้เยว่เหลียนไม่สนใจหรอก
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็ดี แม่กับน้องของเจ้าจะไปไหว้พระบนเขา เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่”
เยว่เหลียนหมายใจจะอ้างความเหนื่อยที่นางเพิ่งเดินทางกลับมา เพราะนางไม่อยากไปกับสองแม่ลูกนี่ แต่ที่ไม่อยากไปอีกอย่างก็เพราะนางรู้ว่าคนทั้งสองกำลังจะทำอะไรกับนาง
ที่นางไม่ได้กลับมาที่นี่ ก็ล้วนเป็นฝีมือของแม่เลี้ยงนางทั้งนั้น ไปไหว้พระหรือ ไปบอกว่านางมีดวงชะตาไม่ดีมากกว่า แล้วพระหรือนักพรตกันแน่ที่อีกฝ่ายไปหา จ้างวานให้หลอกลวงว่านางนั้นดวงชะตาไม่ดี
เชอะอย่ามาหลอกข้าให้โง่เลย
“ข้าคงต้องขอตัวเจ้าค่ะ เพิ่งเดินทางมายังไม่หายเหนื่อยหายเพลียจะให้เดินทางอีกครั้ง ร่างกายของข้างคงยังไม่ไหวเป็นแน่ พวกท่านไปกันก็เดินทางปลอดภัยกลับมาด้วยนะเจ้าคะ”
ใบหน้าของคนมีอายุกระตุกยิ้มอย่างไม่เต็มใจ นางตั้งใจจะหาเรื่องพาเยว่เหลียนไปเจอท่านนักพรตแล้วแกล้งเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย จะได้นำคำทำนายอัปมงคลจากท่านนักพรตมาบอกกับสามี แต่ในเมื่อเด็กดื้อด้านนี่ไม่ไปนางจะอ้างอะไรได้
ทั้ง ๆ ที่เรื่องคำทำนายนี่ใช้ได้ผลมาตลอดหลายปีเพื่อดึงให้สามีไม่รับตัวเยว่เหลียนกลับเมืองหลวง ไม่คิดว่ายามนี้ เพียงแค่ภาพวาดภาพเดียวถึงกับทำให้สามีของนางเมินต่อถ้อยคำทำนายพวกนั้น
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก แม่จะบังคับจิตใจเจ้าได้อย่างไร ยิ่งเดินทางมาเหนื่อย ๆ แม่ก็ลืมคิด คิดแต่อยากจะพาเจ้าไปไหว้ขอพร เช่นนั้นเจ้าก็พักเถอะแม่ไม่กวนแล้ว”
เยว่เหลียนมองแม่เลี้ยงของตนที่เดินไปด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ คำก็แม่ สองคำก็แม่ นางอยากจะบอกออกไปจริง ๆ ว่าแม่ของนางมีเพียงแค่คนเดียว และนางก็สิ้นใจไปแล้ว เพราะอีกฝ่ายนั่นแหละ แม้จะยังไม่มีหลักฐาน แต่คำพูดของเยว่เม่ยที่บอกนางก่อนตายเชื่อถือได้แน่ ๆ คอยดูเถอะ นางจะกระชากหน้ากากของคนเหล่านี้ออกมาเอง
บทที่6เยว่เหลียนเอียนกับการกระทำปั้นแต่งของแม่เลี้ยงของนางเต็มทน นางจึงคอยที่จะหลบเลี่ยงอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าสองแม่ลูกนั่นก็ไม่รู้เลยสักนิด ทั้งคู่ยังคงทำดีกับนาง แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่การแสดงเพราะหญิงสาวเคยแอบไปฟังสองแม่ลูกคุยกัน ซึ่งทำให้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี่นางไม่ได้คิดไปเองเพราะทุกอย่างมันช่างน่าเหลือเชื่อจึงทำให้มีอยู่แวบหนึ่งที่เยว่เหลียนคิดว่าบางทีนี่มันอาจจะต่างออกไป แต่เมื่อได้ฟังคำของแม่เลี้ยงและน้องสาวต่างมารดาคุยกันแล้วนางคงไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีก“ข้าไม่ออกไปเจอเขาหรอกท่านแม่ ให้เขามาหาข้าถึงที่เรือน ตัวเสนียดนั่นจะได้รับรู้ไปเลยว่าพี่เนี่ยนเจินน่ะของข้า” คนเป็นแม่ตีบุตรสาวที่พูดจาปากไม่มีหูรูด “มิไปนั่งตะโกนที่หน้าจวนเลยเล่า เรื่องบางเรื่องแม้จะจริงแต่ก็มิอาจพูด อย่างไรคนที่เป็นคู่หมายของตงเนี่ยนเจินก็คือพี่สาวของเจ้า” “ยี้ ท่านแม่ เหตุใดจึงเรียกนางเช่นนั้นข้ามิอยากมีพี่หรอกนะเจ้าคะ” เยว่เหลียนส่ายหน้า นางฟังมามากพอแล้ว แต่เยว่เม่ยตั้งใจจะให้ตงเนี่ยนเจินมาหยามหน้านางหรือ ครั้งก่อนนางไม่ได้สังเกตเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าเขาเข้านอกออกในจวนสกุลเยว่มานานจึง
บทที่7“ที่จริงมาเจอท่านที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ข้ามียาบำรุง และพัดเล่มนี้จะฝากท่านนำไปให้กับ…เขาหน่อยจะได้หรือไม่” หญิงสาวจงใจละคำเอาไว้ และแสดงท่าทางราวกับนาง กำลังเขินอายเมื่อต้องพูดถึงคู่หมาย ตงห่าวเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี เขาทั้งสงสารและเจ็บใจหากเป็นเขาจะไม่มีวันทำเช่นนี้กับนางเป็นแน่ เขารู้ดีว่าที่จวนรู้อยู่แล้วว่าต่อให้เขานำของฝากไปให้เจ้าตัวอีกฝ่ายก็คงจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉย ๆ “ไม่ต้องห่วงข้าจะแจ้งเขาเอง” แม้ปากจะบอกออกไปอย่างนั้นแต่ตงห่าวอยากเก็บเอาพัดเล่มนั้นเอาไว้เอง ไม่อยากให้กับน้องชายไปเลย หากเขาจะเก็บเอาไว้แล้วบอกว่าหายไปหญิงสาวก็คงไม่ว่ากระไรหรอกกระมัง เพราะอย่างไรแล้วให้กับเนี่ยนเจินไปอีกฝ่ายก็คงเอาไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แม้จะอยากอยู่กับเยว่เหลียนให้นานกว่านี้ แต่เพราะอีกไม่นานนางจะมีงานมงคลกับน้องชายจึงไม่เป็นการเหมาะที่เขาและนางจะเดินเที่ยวเล่นกันเพียงลำพังเช่นนี้ สุดท้ายแล้วตงห่าวจึงเป็นฝ่ายขอตัวกลับจวนทั้ง ๆ ที่ใจของเขาไม่อยากทำอย่างนั้นเลย ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้นางเขามีความสุขเสมอ แต่ด้วยฐานะของเขาและนางทำให้ไม่อาจทำทุกอย่างที่ส่วนลึกภายในใจต้องการได้ ตงห่าวมองร่า
บทที่8“ข้าเยว่เหลียนเจ้าค่ะ” ตงเนี่ยนเจินมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะใบหน้าของเยว่เหลียนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมายของเขามีแต่ผื่นแดงไปทั่ว อีกทั้งผิวก็ดูหยาบกร้านเหมือนกับหญิงวัยกลางคนที่ออกเรือนไปแล้วนานนับสิบปี เสื้อผ้าที่นางใส่ก็ดูราวกับหญิงบ้านนอก มิได้มีราศีของคุณหนูตระกูลดังเลยแม้แต่น้อยไม่แปลกเลยที่เยว่เม่ยจะถูกนางทำร้าย ป่าเถื่อน! ดูอย่างไรก็ป่าเถื่อน แล้วไหนมารดาของเขาถึงบอกว่านางมีความคล้ายอดีตเยว่ฮูหยิน อย่างไรก็ต้องงดงามเหมือนมารดา ให้ทน ๆ แต่งไปก่อน“เป็นเจ้าเช่นนั้นสินะ” ตงเนี่ยนเจินมิรู้จะพูดเช่นไร เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนชายหนุ่มไม่แม้แต่จะปิดบังแววตาที่ไม่พอใจต่อสิ่งที่เห็นความผิดหวังมากมายฉายออกมาชัดเจน“ตอนแรกข้าจะมาชวนพวกเจ้าออกไปเดินชมตลาดแต่ดูเหมือนใบหน้าของแม่นางเยว่เหลียนจะแพ้อะไรบางอย่าง อยู่พักรักษาให้หายก่อนจะดีกว่าดีหรือไม่”ที่จริงเยว่เหลียนก็อยากจะไปล้างมันออกโดยเร็วเหมือนกัน เพราะเริ่มรู้สึกแสบร้อน หากทิ้งไว้นานกว่านี้ นางอาจจะเสียโฉมไปจริง ๆ ก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ต้องแสดงให้เห็นว่านางนั้นสนใจในตัวว่าที่สามีเสียก่อ
บทที่9ดูเหมือนโอกาสที่เยว่เหลียนต้องการจะมาเร็วกว่าที่คิดเพราะถึงจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการหมั้นหมายว่าแท้จริงแล้วสัญญาที่ว่านั่นต้นสายปลายเหตุเกิดมาเพราะสิ่งใด รู้เพียงว่าเป็นสิ่งที่มารดารของนางต้องการ แต่นางก็จับสังเกตท่าทางของตงเนี่ยนเจินที่มาจวนในครั้งนี้ก็พอจะเดาได้ เขาดูเหมือนจะจัดการสิ่งที่กังวลใจไปได้แล้ว และสิ่งนั้นก็คือนางนี่แหละ เพราะเขาดูโล่งอกโล่งใจและแสดงออกกับเยว่เม่ยอยากเปิดเผยมากกว่าคราแรกที่เห็นเสียอีก เยว่เหลียนคิด เพียงแต่หญิงสาวไม่เข้าใจ หากมีการพูดคุยเรื่องยกเลิกแล้วทำไมถึงไม่มีใครแจ้งมาที่จวนตระกูลเยว่เลย“ท่านพี่เหม่ออะไรอยู่เจ้าคะ คนมากมาย ระวังหลงนะเจ้าคะ ท่านเองก็อาจจะไม่เคยชินเพราะมาจากชนบท” เยว่เหลียนที่ใบหน้าซ่อนอยู่ใต้หมวกสานที่มีผ้าปิดหัวเราะขันให้กับคำของน้องสาว หากนางใจร้ายกว่านี้สักนิดคงจะกระซิบถามอีกคนว่าไม่ตะโกนเลยเล่า เมื่อครู่อาจจะมีใครไม่ได้ยินเจ้าก็ได้ เสียงยังเบาไปนิดเยว่เหลียนพบว่าแท้จริงแล้ว เยว่เม่ยไม่ได้เป็นคนฉลาดอะไรเลย บางทีเย่วเหลียนก็คิดกับตนเอง ชาติก่อนเป็นเพราะอะไรกันนะ นางถึงได้มองไม่ออกถึงการกระทำหน้าไหว้หลังหลอกเช่นนี้ ขนาดตอนน
บทที่10ระหว่างนั่งรอหญิงสาวที่กำลังจะกลายมาเป็นคู่หมายของเขาออกมาตงห่าวก็นึกถึงเรื่องในจวนของตนเมื่อหลายวันก่อน เขาเห็นท่าทางแปลก ๆ ของน้องชายตั้งแต่เจ้าตัวกลับมาจากที่จวนตระกูลเยว่แล้ว นึกอยู่แล้วว่าจะต้องมีอะไร แต่ก็ตั้งใจเดินเลี่ยงออกไปเพื่อให้น้องชายได้คุยกับท่านพ่อไม่นึกว่าเรื่องที่น้องชายของเขาจะคุยกับท่านพ่อก็คือเรื่องงานมงคลระหว่างตนเองกับเยว่เหลียน“เรื่องคู่หมาย” น้ำเสียงไม่แน่ใจของน้องชายทำให้ตงห่าวที่กำลังจะเดินออกไปแล้วหยุดฟังอยู่ที่ข้างประตู“ข้าไม่อยากแต่งกับนางเลยท่านพ่อ” คนเป็นพ่อได้ฟังก็รู้สึกไม่รู้จะพูดเช่นไร เรื่องนี้มิใช่ว่าอยากแต่งก็แต่งได้ อยากยกเลิกก็ยกเลิกได้ การรับปากระหว่างสองตระกูลเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เด็กทั้งสองยังไม่ถือกำเนิดเลยด้วยซ้ำ อยากแต่งหรือไม่มันเลือกได้ที่ไหนกัน“แต่เจ้าต้องทำตามคำสัญญาที่ผู้ใหญ่ตกลงกันเอาไว้เปลี่ยนแปลงมิได้” ตงเนี่ยนเจินแสดงสีหน้าราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขม “แต่ว่านาง…ท่านพ่อไม่เห็น ทั้งใบหน้าและการกระทำช่างไม่เหมาะสม” เมื่อเห็นว่าบิดาหันกลับมาสนใจคำของตนตงเนี่ยนเจินก็พูดต่อ“ข้าเป็นขุนนาง หน้าที่การงานก็กำลังจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
บทที่11ตงฮูหยินให้คนไปเรียกบุตรชายตัวดีให้มาพบ“คุกเข่าลง! ” นางเอ็ดบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนทันทีที่ตงเนี่ยนเจินเดินเข้ามาในเรือน หลังจากคนสนิทของนางมาบอกว่าบุตรชายของนางไปขอให้ยกเลิกงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตงเนี่ยนเจินรู้ดีอยู่เต็มอกว่ามารดาต้องไม่พอใจเหตุนี้เขาถึงไปพูดโน้มน้าวบิดาแทน“เจ้าทำอะไรลงไป ที่ผ่านมาเจ้าก็ฟังแม่เสมอ ไม่เคยขัดใจแม่เลย แม่แค่ขอให้เจ้าอดทนอีกนิดเดียวเท่านั้น” ตงฮูหยินตัดพ้อบุตรชายเสียงแผ่ว นางอ่อนอกอ่อนใจเหลือเกิน แม้จะเข้าใจดีว่าตงเยี่ยนเจินรักเยว่เม่ย แต่การแต่งกับเยว่เหลียนก็ล้วนแต่ดีกับตัวตงเนี่ยนเจินเอง“ท่านแม่ไม่เห็นใบหน้านาง นางอัปลักษณ์ขนาดนั้น ข้าจะทนนอนร่วมเตียงกับนางได้อย่างไร ท่านบอกข้าเองว่านางโตมาย่อมมีใบหน้าเหมือนสหายท่าน แต่ไม่เลยนางโตมาไม่เพียงแต่อัปลักษณ์นางยังป่าเถื่อน ลงมือทำร้ายเย่วเม่ยของข้าอีก ขนาดตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าข้ากับเยว่เม่ยเป็นคนรักกันนางยังทำได้ถึงเพียงนี้ หากแต่งแล้วอยู่จวนเดียวกันในวันข้างหน้านางต้องลงมือทำร้ายเยว่เม่ยของข้าแน่นอน”“นางไม่งดงามงั้นหรือ” ตงฮูหยินขมวดคิ้ว ถามบุตรชายเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง ตงเนี่ยนเจินพยักหน้าห
บทที่12“เจ้าทั้งสองพ่อคิดมาแล้วเรื่องของคุณหนูเยว่เหลียน” หลังจากตัดสินใจอยู่นานนับชั่วยาม ที่จริงต้องบอกว่าถูกแม่ของบุตรชายคนรองโน้มน้าวเสียมากกว่า หัวหน้าตระกูลตงอย่างตงชี่จวิ้นก็เอ่ยกับทุกคนตอนที่กำลังกินข้าวเย็นและอยู่กันพร้อมหน้าตงชี่จวิ้นตั้งใจจะขอเปลี่ยนตัวจากเยว่เหลียนเป็นเยว่เม่ย แม้อาจจะถูกครหา แต่อย่างไรชาวบ้านชาวเมืองก็คงจะพอรู้อยู่บ้างแล้วถึงความสัมพันธ์ของคุณชายรองตระกูลตงและคุณชายรองตระกูลเยว่ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยคำที่ตั้งใจ เสียงของบุตรชายคนโตก็ดังขึ้น “เรื่องที่ท่านพ่อบอกกับข้าเมื่อกลางวัน ข้าตอบรับ ข้าจะแต่งกับนางเอง เพียงแต่จะต้องถามนางก่อนว่ายินยอมหรือไม่” การพูดเช่นนั้นทำให้ตงเนี่ยนเจินหุบปากไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกเพราะคิดว่าได้ปัดสวะพ้นตัวแล้วที่จริงหากเขารู้ว่าบิดากำลังจะเอ่ยอะไรเขาอาจจะเสียดายก็ได้ คนเป็นแม่อย่างตงฮูหยินก็แสดงสีหน้ายินดีอย่างเปิดเผย คนนอกอาจมองว่านางยังรักษาคำมั่นที่ให้เอาไว้กับสหายได้ อย่างไรตงห่าวก็ได้ขึ้นชื่อเป็นบุตรชายของนางตามฐานะ แม้เปลี่ยนเป็นบุตรชายคนโตจะต้องไปตบแต่งกับหญิงสาวอัปลักษณ์ได้ยินแล้วแต่ที่แปลกใจคือตงห่าวกลับอ้าแขนรับอย่างไม
บทที่13 เยว่เหลียนมองปิ่นที่ตงห่าวหยิบขึ้นมาไม่วางตา สิ่งที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไปจากชาติก่อน เพียงแค่นางขี้ริ้วขี้เหร่อย่างนั้นหรือ“ที่จริงปิ่นอันนี้ข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้านานแล้ว แต่มิมีโอกาสได้ให้” เยว่เหลียนย่อมเข้าใจถึงความหมายของชายหนุ่มที่คิดจะซื้อปิ่นเป็นของขวัญแทนใจอยู่แล้ว เพียงแต่ชาติที่แล้วนางไม่ได้มองตงห่าวเช่นนั้น แม้จะรู้ว่าเขารู้สึกเช่นไรกับนางก็ตาม เมื่อคิดถึงสายตาของชายหนุ่มไม่ว่าจะตอนนี้หรือชาติก่อนอีกฝ่ายก็ทั้งหวังดีและมองนางด้วยแววตาที่สื่อความหมายเสมอ แต่ทั้งเขาและนางก็ต่างหลบเลี่ยงที่จะพูดคุยในเรื่องนั้น เป็นเพราะสถานะของนางในตอนนั้น“ปักให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” ตงห่าวแทบจะเสียอาการเมื่อได้ยินเสียงหวานเอ่ย เพราะคำนั้นเหมือนกับนางบอกเขากลาย ๆ ว่าไม่ได้รังเกียจเขา“ย่อมปักให้เจ้าได้อยู่แล้ว เพราะยามนี้เจ้ามิได้เป็นของตงเนี่ยนเจินอีกแล้ว” ตงห่าวขยับเข้าใกล้เยว่เหลียน และทันทีที่ปิ่นปักลงไปที่ผมยาวสวยของหญิงสาว ชายหนุ่มก็จบประโยคที่เขาเริ่มก่อนหน้า “เพราะเจ้ากำลังจะเป็นของข้า”ตงห่าวถอยกลับไปยืนที่เดิม “ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้าเร็วกว่านี้ แต่ดูเหมือนแผนการของเจ้าจ
บทที่31“ที่ช่วงนี้พระชายาทรงรู้สึกเพลีย ๆ มิได้เป็นเพราะพระองค์ทรงงานหนักไปหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นเพราะกำลังทรงตั้งครรภ์ต่างหาก” ใบหน้าของเยว่เหลียนแดงซ่าน นางเพิ่งคลอดอาฉีออกมาได้ไม่นานนัก เหตุใดจึงตั้งครรภ์อีกแล้วเล่า “เช่นนี้เองที่เขาบอกว่าหัวปีท้ายปี จริงไหมตาเฒ่าหงเฉิน” คนเป็นตาทั้งสองที่ตอนแรกเป็นห่วงรีบมาเยี่ยมหลานและหลานสะใภ้ที่หมดสติ กลายเป็นว่านี่คือเรื่องมงคลจะต้องกลับไปฉลองกันเสียแล้ว“ทำไมทำหน้าเช่นนั้น เจ้าไม่ดีใจหรือ” หลังจากทุกคนออกไปจากห้องตงห่าวก็เอ่ยถามชายาของตน “มิใช่ไม่ดีใจ แต่ข้าอาย” เยว่เหลียนไม่เคยรู้สึกเขินอายเท่านี้มาก่อน นางเพิ่งคลอดลูกไปได้ไม่นานแท้ ๆ“อายทำไมกันเล่า เรื่องธรรมชาติ ใครก็เป็นเช่นนี้กันได้ทั้งนั้น ดีเสียอีก อาฉีจะได้มีน้องอายุไล่ ๆ กัน ถ้าคนนี้เป็นชายก็ดีนะสิ ตระกูลหงของท่านตาก็จะได้มีคนสืบต่อ”และทั้ง ๆ ที่สองคนหมายมั่นเอาไว้เช่นนั้นแต่ท้องที่สองกลับกลายเป็นธิดาไปเสียได้ มิใช่มิยินดี แน่นอนว่าเด็กหญิงก็น่ารักไปอีกแบบ และครานี้ตงชี่จวิ้นก็หลงรักหลานตัวน้อยของเขาเอามาก ๆ ถึงขนาดมาอยู่เมืองฉีนานนับปีจนคนเป็นตงฮูหยินต้องกลับไปเมืองหลวงก่อน เพรา
บทที่30ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ หลังจากช่วยเลี้ยงหลานอยู่นานนับเดือน ตงชี่จวิ้นก็กลับไปเมืองหลวงพร้อมกับฮูหยินของตน เพราะได้ข่าวว่าอนุ ต้องบอกว่ายามนี้นางเป็นฮูหยินเอกของคุณชายรองตงเนี่ยนเจินก็กำลังจะคลอดลูกไม่ต่างกัน และเพราะคำนั้นทำให้เยว่เหลียนแกล้งเอ่ยถามกับสามีของนางเกี่ยวกับเยว่เม่ย“ข้าขอโทษที่ปิดบังเจ้า แต่สถานการณ์ของตระกูลเยว่ไม่ดีนัก”ทั้ง ๆ ที่ตงห่าวกังวลกลัวว่าพระชายาของตนจะรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับข่าวของตระกูลทางบิดา แต่ก็เปล่าใบหน้าของเยว่เหลียนนิ่งสนิท “หม่อมฉันไม่ได้เป็นคนที่สูงส่งขนาดจะไม่รู้สึกอะไรกับคนที่ทำร้ายมารดาหรอกเพคะ”ตงห่าวดึงพระชายาตนเข้ามากอด “ใช้คำพวกนี้อีกแล้ว ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร” เยว่เหลียนมองพระสวามีของนางที่ตอนนี้รับตำแหน่งแทนท่านตาเรียบร้อยแล้ว“เรื่องบางเรื่องก็ควรทำเพื่อให้คนอื่นดู แต่หากพระองค์อยากได้ยินหม่อมฉันคุยกับท่านอ๋องเช่นพระองค์เหมือนแต่ก่อน คงต้องรอยามที่อยู่กันสองต่อสองแล้ว” ตงห่าวมองคนรักของเขาที่นับวันก็ดูคล้ายจะยั่วยวนมากขึ้นทุกขณะ“ว่าแต่เจ้าแน่ใจนะเรื่องตระกูลเยว่”เยว่เหลียนพยักหน้า “หากพระองค์จะช่วยอะไรก็ทำแต่พอดีเถอะเพคะ แต่
บทที่29หลังจากคำนั้นของสามีเยว่เหลียนก็ต้องปลอบใจคนตัวใหญ่ใจเล็กอยู่นาน อีกฝ่ายทั้งอายุมากกว่า ทั้งเก่งกาจ ทำทุกอย่างได้ดีไปหมดจนบางครั้งหญิงสาวก็ลืมไปว่าบางอย่างก็ต้องพูดกันตรง ๆ “ท่านพี่ข้าขอโทษ เพราะเป็นฝ่ายที่ถูกท่านรักจนเคยชินจึงลืมที่จะเอ่ยความในใจออกไป ข้ารักท่านมานานมากแล้ว งานมงคลของเราก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความไม่เต็มใจ ท่านพี่อย่ากังวลใจไปนะเจ้าคะ” มือเรียวประคองใบหน้าของผู้เป็นสามีเข้ามาจุมพิตเบา ๆ หลังจากรับรู้ความรู้สึกของตงห่าวในวันนี้ เยว่เหลียนต้องยอมรับเลยว่าทุกสิ่งมันทำให้นางมองตงห่าวไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่มิใช่ในทางที่ไม่ดี นางกลับรู้สึกว่าชายหนุ่มนั้นดูเป็นคนธรรมดามากขึ้น มิได้เพียบพร้อมไปเสียทุกสิ่ง"ท่านพี่ ข้าเองก็ไม่เคยรักใครมาก่อน ไม่เคยต้องกังวลใจเพราะใครมาก่อนนอกจากคนในครอบครัวเช่นนั้นแล้วหากมีเรื่องอะไร ท่านพี่สามารถพูดกับข้าได้เลยนะเจ้าคะ อย่างไรเราก็เป็นคู่ชีวิตกันแล้ว อย่างเช่นเรื่องนี้หากข้าไม่เอ่ยคำว่ารักออกไปชั่วชีวิตนี้ท่านพี่ก็จะอยู่ไปกับความรู้สึกที่ไม่แน่ใจนี่หรือ เรื่องบางเรื่องก็ต้องพูดต้องคุยนะเจ้าคะ” เยว่เหลียนจำต้องเอ่ยต่อว่าสามีของนางไ
บทที่28วันเวลาผ่านไปท้องของเยว่เหลียนก็โตขึ้นทุกที อาการของท่านตาก็ดีขึ้นที่จริงก็ต้องบอกว่าท่านตาทั้งสอง เพราะตอนนี้ทั้งคู่ชอบมานั่งเล่นหมากล้อมด้วยกันเกือบทุกวันชีวิตของเยว่เหลียนดีแตกต่างจากทางตระกูลเยว่ของนางยิ่งนัก และก็ไม่มีใครกล้าเล่าเรื่องราวหลาย ๆ อย่างในตระกูลเยว่ให้หญิงสาวได้ฟัง นั่นก็เพราะตงห่าวห้ามเอาไว้ เขากลัวภรรยาจะรู้สึกไม่ดีหากได้รับรู้ข่าวที่น่าอดสูหลาย ๆ เรื่องจากตระกูลของบิดา“ท้องเจ้าใหญ่มากหรือจะมิได้มีคนเดียว” คำพูดของสามีทำให้เยว่เหลียนกังวลไม่ใช่น้อย เพราะนางเคยได้ยินหญิงสาวที่ในหนึ่งท้องมีบุตรสองคน ได้ข่าวมาว่าอันตรายยิ่งนัก ทั้งยังคลอดยาก“อย่าเลยเจ้าค่ะ ข้ากลัว ค่อย ๆ ท้องค่อย ๆ คลอดทีละคนดีกว่า” ตงห่าวยิ้มมือแกร่งก็ลูบไปบนหน้าท้องที่นูนขึ้นมา “พูดเช่นนี้เจ้าอยากจะให้ข้าทำให้ตามที่เจ้าขอหรือ” เมื่อเข้าใจความของคำพูดสามีใบหน้าสวยก็แดงซ่าน แม้จะอยู่ด้วยกันมานาน แต่เยว่เหลียนก็ยังเขินอายการได้อยู่กับตงห่าวมันทำให้เยว่เหลียนรู้แล้วว่าสิ่งที่นางรู้สึกกับตงเนี่ยนเจินในชาติก่อนนั้นมันไม่ใช่ความรักเลยแม้แต่นิด กับตงห่าวสิถึงจะเรียกว่าความรักได้ยามนี้หญิงสาว
บทที่27ข่าวการตั้งครรภ์ของเยว่เหลียนที่มาถึงตระกูลเยว่ยิ่งทำให้เยว่เม่ยที่เพิ่งได้รับหนังสือหย่าจากสามีมาหมาด ๆ เกิดความริษยา ที่ของเยว่เหลียนควรจะเป็นของนางตั้งแต่แรก ชีวิตของนางไม่ควรจะต้องมาติดอยู่กับผู้ชายเฮงซวยอย่างตงเนี่ยนเจิน ทั้ง ๆ ที่เป็นพี่น้องกับตงห่าวแต่ทำไมก็ไม่รู้นิสัยถึงไม่ได้เหมือนกันเลยแม้แต่นิดหญิงสาวนั่งอยู่หน้าป้ายวิญญาณของท่านแม่ของนาง ไม่มีใครสนใจที่จะนำป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปร่วมกับศาลบรรพชนของตระกูล นางเองที่กลับมาอยู่ในจวนหลังจากหย่าร้างกับตงเนี่ยนเจินก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนของตัวเอง นางไม่มีหน้าไปสู้หน้าใครอีกแล้ว ท่านพ่อไม่สนใจนางตั้งแต่สงสัยเรื่องท่านแม่ฆ่าฮูหยินเอก แม้ท่านแม่จะบอกกับท่านพ่อว่าไม่ได้ทำอะไร แต่ความสงสัยเมื่อเกิดแล้วก็ไม่สามารถจะทำให้มันหายไปได้ ที่จริงนางรู้เรื่องทั้งหมด ท่านแม่เคยเล่าให้ฟัง หากฮูหยินยังอยู่ แม่ของนางที่เป็นเพียงอนุก็ไม่มีทางที่จะมีที่ยืนในตระกูลเยว่แห่งนี้ ในตอนที่มารดาของนางตั้งครรภ์ท่านจึงลงมือฆ่าอดีตตงฮูหยิน แสร้งทำเป็นอุบัติเหตุ มันได้ผล ได้ผลเท่าอายุของนางจนถึงวันที่ท่านแม่จากไป เยว่เม่ยคิดอย่างเศร้าใจ มารดาของน
บทที่25หลังจากกินอาหารและอาบน้ำกันเรียบร้อยทั้งสองก็มานอน เยว่เหลียนนอนไม่หลับ เฉกเช่นเดียวกันกับตงห่าว คนหนึ่งไม่หลับเพราะเป็นห่วงท่านตาของตน แต่อีกคนเป็นห่วงภรรยา และแน่นอนท่านตาของภรรยา“ท่านพี่ถาวกู่นั่น...” เยว่เหลียนกำลังจะบอกว่านางไม่ได้ตั้งใจจะเก็บของที่ตงเนี่ยนเจินให้เอาไว้ดูต่างหน้านะ แต่ก็เป็นตงห่าวที่พูดออกมาเสียก่อน “ถาวกู่ที่ข้าซ่อมให้เจ้าน่ะหรือ” เยว่เหลียนพยักหน้า“มีสิ่งใดหรือ” เยว่เหลียนที่ได้ยินคำถามก็ตัดสินใจอยู่นานนางกับสามีไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรกัน นางก็ไม่อยากให้ผิดใจกันเพราะเรื่องเช่นนี้ “ที่ข้าเก็บเอาไว้เพราะลืมทิ้งนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้คิดอะไรกับตงเนี่ยนเจินจริง ๆ ” ตงห่าวยิ้ม ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริง ๆ แม้จะมีเรื่องไม่สบายของท่านตา แต่ปกติเยว่เหลียนไม่ค่อยเปิดเผยความในใจ ตอนนี้นางกลับดูกระวนกระวายเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด“ที่จริงข้าเองก็มีความจริงจะบอกเจ้า แล้วก็ดีแล้วที่เจ้าไม่ทิ้งมันไป เพราะถาวกู่อันนั้นข้าเป็นคนให้เจ้าเอง ที่จริงตงเนี่ยนเจินไม่เคยส่งอะไรมาให้เจ้า ขนมหรือของฝากก็ล้วนเป็นข้าทั้งสิ้น หลัง ๆ ข้าไม่อยากโกหกเจ้าแล้วเลยบอกว่าเป็นของฝากข้าเอ
บทที่24“ท่านตา ท่านตาอยู่ที่ใดเจ้าคะ” เยว่เหลียนเดินไปรอบ ๆ เรือนจนไปเจอเข้ากับสาวใช้ “ท่านตาข้าอยู่ที่ใดกัน” สาวใช้ทำท่าอึกอักก่อนจะเดินนำไปยังห้องพักของเจ้าของเรือน“ท่านตาของคุณหนูไม่ยอมให้พวกเราส่งข่าวไป ท่านเจ็บออด ๆ แอด ๆ มาพักใหญ่แล้วเจ้าค่ะ กินอาหารก็ไม่ค่อยได้ ให้หมอมาดูแล้วก็ไม่ดีขึ้น ที่ทำได้ตอนนี้ก็แค่รักษาตามอาการไปเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ” คำของสาวใช้ทำให้เยว่เหลียนรู้สึกว่านางนั้นเป็นหลานที่อกตัญญูยิ่งนักที่ไม่ดูดำดูดีท่านตาที่เลี้ยงนางมาอย่างดีแม้ว่านางจะไม่ได้เพียบพร้อมแบบคุณหนูในเมืองแต่ท่านตาก็เลี้ยงนางมาได้ดีมาก นางไม่เคยรู้สึกขาดอะไรเลยแม้แต่น้อย “ท่านตา เหลียนเอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ ท่านตาได้ยินหลานไหมเจ้าคะ” หญิงสาวจับมือที่เหี่ยวแห้ง ส่วนตงห่าวก็บอกให้คนสนิทของเขาที่ติดตามมาด้วยส่งคนไปตามหมอฝีมือดีในเมืองฉีให้เร่งเดินทางมาที่นี่โดยไว“เหลียนเอ๋อร์รึ” เสียงแหบแห้งของคนชราดังขึ้น “น้ำ ขอน้ำหน่อย” เยว่เหลียนเร่งรินน้ำใส่ถ้วยให้ท่านตาของนาง “น้ำเจ้าค่ะท่านตา” เมื่อคนสูงอายุลุกขึ้นมาดื่มน้ำได้แล้วเยว่เหลียนก็ยิ่งร้องไห้หนัก “ทำไมท่านตาไม่ส่งจดหมายไปบอกข้า ข้าส่งข่าวทุกอย่
บทที่23ผ่านไปไม่ถึงปีความสามารถของฮูหยินของซื่อจื่อก็เป็นที่เล่าลือไปทั่ว และนั่นก็ต้องขอบคุณท่านแม่นมเป็นอย่างมาก “เหนื่อยไหม” เยว่เหลียนหันกลับไปยิ้มให้สามีของตน ตงห่าวดึงร่างสวยขึ้นจากโต๊ะหนังสือ “เพลา ๆ งานบ้างนะ” เยว่เหลียนยิ้ม จะให้นางเพลาได้เช่นไร เพราะท่านยายของตงห่าวสิ้นไปนานแล้ว หน้าที่การดูแลตำหนักจวิ้นอ๋องจึงไม่มีพระชายาจัดการ ก่อนหน้านี้ก็ถูกแบ่งหน้าที่กันไป แต่ยามนี้มีเยว่เหลียน จวิ้นอ๋องจึงให้หลานสะใภ้เป็นคนจัดการ โดยบอกว่าเป็นการฝึกเอาไว้ล่วงหน้า แน่นอนว่าหากเยว่เหลียนไม่เคยได้จัดการบัญชีจวนตระกูลตงมาก่อน นางจะต้องหัวหมุนเป็นแน่ ตอนนั้นก็เหมือนการฝึกงาน งานตรงนี้ต่างหากที่เป็นงานที่รับมือยากจริง ๆ เพราะทั้งคนที่ต้องดูแลก็จำนวนมากกว่า และเงินที่ต้องใช้จ่ายแต่ละเดือนก็มากกว่าหลายสิบเท่าเลยทีเดียวนี่ไม่ใช่งานเพียงอย่างเดียวที่เยว่เหลียนต้องจัดการ เพราะถึงแม้หน้าที่ดูแลตำหนักจวิ้นอ๋องจะสำคัญ แต่ท่านตาของซื่อจื่ออย่างตงห่าวนั้นสนใจเรื่องทายาทมากกว่า แล้วทั้งสองก็ดูเหมือนจะเอาแต่ทำงานกันทั้งคู่จนท่านตาเริ่มกังวล“เดินทางครานี้ก็พาเหลียนเอ๋อร์ไปด้วยสิ” คำของท่านตาไม่ได้
บทที่22เยว่เหลียนทิ้งความรู้สึกทั้งหมดไปแล้วและตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนข้างกาย “ต้องเดินทางไกลเจ้าไม่กังวลใช่หรือไม่” หญิงสาวส่ายหน้าตอบสามีของตน ม่านของรถม้าถูกเปิดออกเพื่อรับอากาศ “เรื่องตอนนี้เหมือนกับความฝันเลยรู้หรือไม่” ตงห่าวอยากบอกความในใจของตนให้กับเยว่เหลียนรู้ อย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีใครมาแย่งหญิงสาวไปจากเขาได้อีกแล้ว“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” คำของเยว่เหลียนทำให้ดวงใจของตงห่าวสั่นไหว “ก่อนหน้านี้เจ้าเองก็ชอบข้าเช่นนั้นหรือ” เยว่เหลียนละสายตาจากบรรยากาศข้างทางกลับมามองหน้าสามีของนางก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “เจ้าค่ะ” แม้จะยากที่จะตอบคำถามนี้แต่เยว่เหลียนก็ตอบไปตามตรง ยามนี้ตงห่าวไม่ได้เป็นเพียงหมากที่ใช้ในการแก้แค้นอีกแล้วเมื่อลองนึกดูดี ๆ หากชายหนุ่มที่เอาแต่มาเยี่ยมเยียนนาง เอ่ยคำว่ารักตั้งแต่นางยังไม่กลับไปเมืองหลวงบางทีเยว่เหลียนก็อาจจะตอบรับอีกฝ่ายไปนานแล้ว ต่อให้ท่านพ่อจะตำหนิก็เถอะ แต่ไม่ใช่เยว่เหลียนคิด ตอนนั้นนางเป็นเพียงสาวบ้านนอกหากนางเข้าไปเจอกับจวิ้นอ๋องหรือคนอื่นๆ ในตอนนั้นชีวิตของนางก็อาจจะจบลงในแบบที่เป็นในตอนที่แต่งไปกับตงเนี่ยนเจินบางทีชีวิตตอนนี้อาจจะเหมา