สายตาเหวินเหยียนโจวเหมือนมีความหมายอื่น ๆ แต่ครั้งนี้โหลวฉางเยว่ หนึ่งคือปวดหัวไม่สบาย สองคือรู้สึกหนักใจ ไม่มีอารมณ์ไปอยากรู้เขาไม่อยากไล่เสิ่นเมี่ยวเมี่ยวออก เธอก็พูดอะไรไม่ได้มากสุดก็คือใบ้ให้กับเสิ่นซู่ชิน ให้เขาไปเตือนน้องสาวเขา อยากใส่ความรู้สึกให้กับเหวินเหยียนโจวมากเกินไป เหวินเหยียนโจวกลับพูดอย่างตั้งใจ “คุณเป็นหัวหน้าเลขา พวกเธอเป็นลูกน้องคุณ ถ้าคุณคิดว่าไม่เหมาะสม อยากไล่พวกเธอออก ก็ไล่พวกเธอออกซะ เรื่องแค่นี้ ไม่ต้องถามผม” ความหมายนี้ก็คือ ยอมไล่เสิ่นเมี่ยวเมี่ยวออกงั้นเหรอ?เหวินเหยียนโจวมักจะเป็นแบบนี้ ทำให้คนคาดเดาไม่ได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?เสิ่นเมี่ยวเมี่ยวพูดถูก คนอย่างเขา ทำให้คนอยากครอบครอง อยากเห็นใจจริงของเขาเป็นยังไงแต่โหลวฉางเยว่เคยลอง ล้มเหลวอย่างมาก ตอนนี้ไม่กล้าไปโหยหาความรักของเขาแล้วขอแค่เขายอมกลัวตัวเองไปอย่างสงบ ๆ ก็พอเหวินเหยียนโจวลุกขึ้นเดอนไปตรงหน้าเธอ โหลวฉางเยว่เงยหน้าโดยสัญชาตญาณ และเขาก็จับคางเธอ“สกุลเสิ่นกรุ๊ป กับพวกเราปี๋หยุน มีธุรกิจอุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน และเป็นคู่แข่ง คงไม่ต้องให้ผมสอนเหตุผลกับเลขาโหลวใช่ไหมครับ? รักษ
โหลวฉางเยว่แต่งหน้าก็จริงแต่เวลานี้สีหน้าซีดขาวอย่างงี้นี่เองอย่างงี้นี่เองถึงว่าผ่านกว่าครึ่งปีจู่ ๆ เหวินเหยียนโจวก็จะพาเธอเข้าร่วมงานเลี้ยงถึงว่าสายตาพวกผู้ชายพวกนั้นมองเธออย่างประหลาดถึงว่าผู้หญิงอยู่ ๆ ก็ด่าเธอพวกผู้ชายมองเธอเป็นของเล่นและพวกผู้หญิงก็มองเธอเป็นคู่แข่งมีแค่เธอคนเดียวที่อยู่ในกะลามีแค่เธอคนเดียวที่ถูกเหวินเหยียนโจวหมกอยู่ในกะลาปฏิกิริยายาแรกที่โหลวฉางเยว่รู้ความจริงก็คือไปจากที่นี่แต่ก็นึกได้ว่านี่คือทะเลรอบๆไม่มีชายฝั่งเธอหนีไปไหนได้?เหวินเหยียนโจวเคยบอกแล้ว“หนึไปไหนไม่ได้”เขาวางแผนไว้ทุกอย่างโหลวฉางเยว่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวไม่มีใครช่วยหรือเพราะสิ้นหวังขอบตาจึงแดงขึ้นมาทันทีน้ำตาเพิ่งไหลลงมาเธอก็รีบเช็ดออกทำไมเธอร้องไห้เสียแล้วล่ะ?เธอไม่ควรร้องไห้เพราะผู้ชายคนนั้นไม่ใช่วันแรกที่เขาไร้ความรู้สึกกับเธอเทียบกับร้องไห้ตอนนี้สิ่งที่เธอควรทำก็คือช่วยเหลือตัวเองเธอไปจากเรือลำนี้ไม่ได้ศัตรูเยอะกว่าถ้าหากลงมือขึ้นมาจริง ๆ เธอก็โต้กลับไม่ได้เธอทำได้แค่ตั้งสติคว้าทุกโอกาสที่สามารถช่วยตัวเองได้ไม่ให้ตัวเองเป็นเครื่องมือที่รับผลประโยชน์ของเหวินเหยียนโจว
เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนอยู่ที่การตัดสินของเหวินเหยียนโจวเหวินเหยียนโจวน้ำเสียงนิ่งเฉย “ประธานหลิวรู้เรื่องนี้ดีนี่ครับ?”“แน่นอนครับ ผู้หญิงที่ถูกผมสั่งสอน พูดแบบไม่อวยเลย ไม่ถึงร้อย ก็แปดสิบ” ประธานหลิวมั่นใจเหวินเหยียนโจวยิ้มมุมปาก “ถึงว่าได้มีเด็กขนาดนี้ คิดว่าเด็กกว่านี้ ประธานหลิวก็เคยมาแล้วใช่ไหมครับ?”ประธานหลิวทำปากจุ ๆ แกล้งทำท่าทางขี้กลัว แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่กลัวเลยสักนิด ยิ้มได้เล่ห์แหลมมาก ราวกับคนที่ตั้งกฎขึ้นมาเป็นตัวตลก“นี่คือพูดในที่สาธารณะไม่ได้ ไม่ได้ยินพวกเขาพูดเหรอครับ ยังไงนั่นก็ผิดกฎนะครับ ฮ่า ๆ”โหลวฉางเยว่ฟังต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นทันที แต่ถูกเหวินเหยียนโจวกดมือไว้เขาไม่ให้เธอไปประธานหลิวนำเก้าอี้เข้าใกล้เหวินเหยียนโจว “แต่ว่า ถ้าประธานเหวินมีความสนใจในด้านนี้ ผมก็สามารถแนะนำช่องทางให้ประธานเหวินได้นะครับ”สายตาเหวินเหยียนโจวมองเขาอย่างนิ่งเฉย ประธานหลิวคิดว่ามีความสนใจ เขาใกล้เขาอีกหน่อย ยิ้มและพูดว่าเอาอะไร แต่ไม่คิดเลยว่า วินาทีต่อมา เหวินเหยียนโจวนำไวน์สาดใส่หน้าเขา“โอ้ย!”เหวินเหยียนโจวหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกมาเช็ดมือ ภายใต้สายตาที่ตะลึงของประธา
เสิ่นซู่ชินเลิกคิ้วขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา โหลวฉางเยว่เป็นผู้หญิงที่รู้จักกาลเทศะมากแม้แต่การกินข้าว ดื่มกาแฟด้วยกัน ในด้านพฤติกรรมต่าง ๆ ก็ไม่เคยทิ้งความสัมพันธ์คลุมเครือใด ๆนี่เป็นครั้งแรกที่เธอจับมือเขาแบบนี้เหมือนคนที่ตกลงไปในน้ำ พยายามคว้าไม้ที่ลอยอยู่เพียงอันเดียวเสิ่นซู่ชินมองไปที่เธอและสังเกตเห็นรอยแดงในดวงตาของเธอมันยากสำหรับเขาที่จะไม่ใจอ่อน จึงถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ ก้มหน้าลงและถามอย่างอ่อนโยนว่า "คุณโหลวเป็นอะไรไปครับ? เจอปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?"โหลวฉางเยว่รู้สึกถึงลมทะเลที่พัดมา และด้านหลังศีรษะรู้สึกเจ็บปวด ถามด้วยท่าทีสับสน "ศาสตราจารย์เสิ่นพาเพื่อนผู้หญิงมาด้วยหรือเปล่าคะ?""เปล่าครับ""แล้วพี่ใหญ่ของคุณเพื่อนผู้หญิงมาด้วยหรือเปล่าคะ?""พามาครับ""แฟน?"เสิ่นซู่ชินตอบแบบก้ำกึ่ง "เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"ไม่ใช่แน่นอนถ้าเป็นคนที่มีสถานะเป็นแฟน คำตอบของเขาจะต้องไม่ใช่แบบนี้ เขาจะไม่รู้จักพี่สะใภ้ของเขาเหรอ?บอกไม่รู้ จริง ๆ แล้วก็คือการแสดงออกอย่างคลุมเครือว่าเป็นคนที่พี่ใหญ่ของเขาพามาแลกเปลี่ยนก็ใช่ อยู่บนเรือสำราญแล้ว จะไม่รู้กฎของเกมได้อย่างไรไม่ใช่ทุกคนที่เป็
พนักงานเสิร์ฟนำกาแฟมาให้พวกเขาเหวินเหยียนโจวยกมือขึ้นแล้วหยิบที่หนีบเล็ก ๆ หยิบน้ำตาลก้อนเล็กแล้วทิ้งลงไปในกาแฟ เสียงดังปุ๋ม ผิวน้ำที่สงบนิ่งก็กระเพื่อมทันทีเขาคนมันเบา ๆ ด้วยช้อนกาแฟแขนเสื้อของชุดสูทถูกพับขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นนาฬิกาด้วยหน้าปัดมาลาไคต์ ซึ่งดูเรียบง่ายและล้ำค่าเขาหรี่ตาลง ไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ในดวงตาได้ชัดเจน "โปรเจ็กต์เมืองเก่าเป็นโปรเจ็กต์ที่ดีมาก ไม่เพียงแต่เราสนใจเท่านั้น แต่บริษัทลงทุนเฉิงซื่อกรุ๊ปก็สนใจเช่นกัน"เสิ่นไหชินพูดอย่างใจเย็น "ดังนั้นการถอนตัวของเสิ่นซื่อกรุ๊ป จะทำให้ปี๋หยุนกรุ๊ปมีโอกาสชนะมากขึ้น"เหวินเหยียนโจวปล่อยช้อนกาแฟ เงยหน้าขึ้น สายตาสงบ "คุณเสิ่นเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่เถอะ"ไม่ต้องพูดถึงการหยุดชั่วคราวเล็กน้อยของเสิ่นไหชิน แม้แต่โหลวฉางเยว่ที่ซ่อนตัวอยู่ในร้านกาแฟก็ตกตะลึงเช่นกันเขา...ปฏิเสธเหรอ?ปฏิเสธที่จะใช้เธอแลกเปลี่ยน?โหลวฉางเยว่เม้มริมฝีปากของเธอ"เงื่อนไขนี้ คุณเหวินยอมรับได้ยากเหรอ?" เสิ่นไหชินถาม "หรือว่า คุณเหวินมีโปรเจ็กต์อื่นที่ต้องการมากกว่า ต้องการ 'ใช้งาน' เลขาโหลว"เหวินเหยียนโจวไม่ตอบ "คุณเสิ่นก็จะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ
งานเลี้ยงอาหารค่ำที่กล่าวถึงครั้งแล้วครั้งเล่านี้เป็นงานเลี้ยงที่สำคัญที่สุดของการเดินทางครั้งนี้ ทุกคนจะปรากฏตัวในงานเลี้ยงเหวินเหยียนโจวได้เตรียมชุดหลายชุดไว้ให้โหลวฉางเยว่เลือก ชุดทั้งหมดถูกแขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อและมีทีมแต่งหน้ามืออาชีพคอยสแตนด์บายอยู่ยิ่งเขาแต่งตัวเธอมากเท่าไหร่ โหลวฉางเยว่ก็รู้สึกเย็นชาขึ้นในใจมีความรู้สึกว่าตกแต่งแล้วจะขายได้ในราคาดีเธอไม่มีอารมณ์ ชี้ไปที่ชุดใดชุดหนึ่งเหวินเหยียนโจวกำลังอ่านนิตยสารบนโซฟา เหลือบมองแวบหนึ่ง "ชุดนี้ไม่คู่ควรกับปิ่นหยกอันนั้น"อ๋อ นึกออกแล้ว เหวินเหยียนโจวประมูลปิ่นหยกอันนั้นได้เมื่อคืนก็พูดว่า ให้เธอใช้ปิ่นหยกอันนั้น จับคู่กับกระโปรงชุดหนึ่งโหลวฉางเยว่อดทนต่อความรู้สึกไม่สบายใจและเลือกใหม่เป็นชุดกี่เพ้ากี่เพ้าเป็นสีเขียวอ่อน ยาวถึงข้อเท้า เมื่อมองจากด้านหน้าดูเรียบร้อยและสง่างาม ด้านหลังเป็นฉลุเพื่อแสดงกระดูกผีเสื้อสองข้างโดยไม่สูญเสียความเซ็กซี่ตามธรรมชาติของผู้หญิงสไตลิสต์จับผมของเธอไว้ด้านข้าง ปักด้วยปิ่นหยกนั้น แต่งหน้าของเธอให้ดูสดใสและสง่างามช่างแต่งหน้าลังเลเมื่อเลือกลิปสติก ในเวลานี้ มีมือหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังโหล
ขณะนี้ เจ้าภาพก็เข้ามาทักทาย "เหยียนโจว!"เหวินเหยียนโจวยิ้มและกระซิบกับโหลวฉางเยว่ "อีกเดี๋ยวงานเต้นรำเริ่มขึ้น คุณเดินไปทางซ้ายมือ ผมจะดึงคุณไว้"ทำไมต้องไปทางซ้าย? โหลวฉางเยว่ไม่รู้ว่าทำไม แต่ชายวัยกลางคนก็มาหาพวกเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงได้แต่กลืนสิ่งที่เธอต้องการจะถามเท่านั้น"คุณลุง" เหวินเหยียนโจวพยักหน้าชายผู้นี้อายุเกือบหกสิบปี และมีท่าทางที่เป็นมิตร "นายนะนาย ทุกคนมาที่นี่เพียงเพื่อความสนุกสนาน และมีเพียงความเป็นมิตรเท่านั้นที่จะทำให้นายหาเงินได้ นายกลับดีทำให้คนอื่นกลัวจนหนีไป"คำพูดของเขาดูเหมือนจะกล่าวโทษ แต่จริง ๆ แล้วน้ำเสียงของเขาดูแซวเล่นมากกว่า เห็นได้ชัดว่าเขาชื่นชมเหวินเหยียนโจวผู้เป็นรุ่นน้องเหวินเหยียนโจวก็ดูสนิทกับเขามาก โหลวฉางเยว่ไม่เคยเห็นเขาพูดแบบนี้กับผู้ใหญ่คนไหน รวมทั้งพ่อของเขา"คุณลุงโทษผมเหรอครับ ผมกำจัดแกะดำแทนคุณลุงอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เศษซากแบบนั้นทำให้เรือของท่านมัวหมอง""นายมีเหตุผลเสมอ!" บอสซางระเบิดเสียงหัวเราะ "แต่ฉันจะโทษนายเพราะคนนอกได้จริง ๆ เหรอ? นายถือว่าเป็นลูกชายฉันครึ่งหนึ่ง ยังไงฉันก็ต้องเห็นแก่คนในครอบครัว!"โหลวฉางเยว่คิดกับตัวเองลูกช
"...อะไรนะ?"โหลวฉางเยว่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงพูดถึงซางฉือสุนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับซางฉือสุนเกิดขึ้นเรียนตอนมัธยมปลาย และตอนนั้นเธอไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ"ฉันไม่เข้าใจหมายถึงของคุณเหวิน"เหวินเหยียนโจวพูดอย่างไร้ความรู้สึก "จะดีมากถ้าคุณฟังไม่เข้าใจจริง ๆ"โหลวฉางเยว่ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขาจริง ๆเหวินเหยียนโจวจ้องมองดวงตาของเธออย่างเย็นชา ทันใดนั้นรู้สึกเบื่อหน่ายเขาปล่อยเอวของเธอแล้วพูดว่า "อย่าให้ผมเห็นคุณสักพัก" แล้วเดินจากไปโหลวฉางเยว่จ้องมองไปที่แผ่นหลังของเขาอย่างว่างเปล่า สับสนไปหมดว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เขาอารมณ์เสียอย่างกะทันหัน?เธอยืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพังท่ามกลางแขกแปลกหน้า และทำอะไรไม่ถูกโชคดีที่เธอได้เข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้หลายครั้ง และเธอก็คุ้นเคยและผ่านมันไปได้เธอเดินไปที่มุมห้องจัดเลี้ยงและอยู่คนเดียวหากทำได้จนกว่างานเลี้ยงจะสิ้นสุดลง สำหรับโหลวฉางเยว่แล้ว จะเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งจบคืนนี้ พรุ่งนี้ลงเรือ ออกจากงานวันมะรืน ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีแต่นี่เป็นไปไม่ได้อย่างเห็นได้ชัดไฟทั้งห้องก็ดับลงทันที โหลวฉางเยว่ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สัมผัสโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ