วันนี้โหลวฉางเยว่ตัดสินใจที่จะเอาชนะความกลัวนี้ให้ได้ เธอกัดฟันและเตรียมที่จะขี่ม้า แต่ผลลัพธ์คือแค่ม้าเคลื่อนตัวไปเพียงเล็กน้อย ก็กลับทำให้เธอถอยร่นออกไปทันที เสิ่นซู่ชินที่นั่งอยู่บนหลังม้าแล้ว เหลือบมองไปเห็นความรู้สึกนึกคิดที่มีชีวิตชีวาของเธอ เขาหัวเราะพลางโน้มตัวพิงหัวม้า “ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะมีสิ่งที่คุณกลัว ฉางเยว่” โหลวฉางเยว่ทำอะไรไม่ถูก “ในสายตาของศาสตราจารย์เสิ่น คุณคิดว่าฉันเป็นคนที่กลัวอะไรไม่เป็นอย่างนั้นเหรอคะ”เสิ่นซู่ชินเผยรอยยิ้ม “คงงั้นแหละมั้งครับ” ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้รู้จักเธอ เธอเป็นคนคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดที่เธอจะจัดการไม่ได้โหลวฉางเยว่เข้มงวดกับตัวเองมาโดยตลอด เธอยอมที่จะเสี่ยงทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งปีนขึ้นไปบนหลังม้าม้าก้าวไปเพียงแค่สองก้าว โหลวฉางเยว่ตกใจมากจนเธอรีบโอบท้องม้าทันที พลางจับสายบังเหียน และตะโกนด้วยเสียงต่ำ “อย่าขยับ!” เสิ่นซู่ชินรู้สึกว่ามันตลกมาก จนเขายอมลงจากหลังม้าแล้วเดินไปสอนเธอ “ไม่ต้องกลัวไปหรอก ม้าที่นี่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ค่อนข้างที่จะเชื่องพอสมควร ทันทีที่คุณดึงสายบังเหียน ม้าก็จะเริ่มวิ่งทันที”
ในที่สุด โหลวฉางเยว่ก็ถูกเสิ่นซู่ชินพาตัวกลับมาได้ คนสี่คนและม้าสี่ตัวมองหน้ากัน โหลวฉางเยว่ยังคงทักทายเสิ่นไหชิน “สวัสดีค่ะประธานเสิ่น”เสิ่นไหชินพยักหน้า“คุณโหลว ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ผมได้ยินมาว่าคุณทำงานเคียงข้างอาซู่ได้ดี เป็นคนที่มีความสามารถตามที่คาดไว้จริงๆ สามารถเปล่งประกายไปได้ทุกที่” โหลวฉางเยว่พูดอย่างนอบน้อม “ศาสตราจารย์เสิ่นสอนฉันมาดีน่ะค่ะ” เหวินเหยียนโจวหรี่ตาลงเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเย็นชา เสิ่นไหชินเหลือบมองโหลวฉางเยว่อีกครั้ง แล้วพูดกับเสิ่นซู่ชิน “เมื่อกี้เราเพิ่งผ่านคอกม้ามา เห็นลูกม้าที่นายรับมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ผู้ดูแลม้าต่างก็ล้อมรอบมันไว้อยู่ นายอยากจะไปดูสักหน่อยมั้ย?”เสิ่นซู่ชินไม่ค่อยเต็มใจที่จะปล่อยให้โหลวฉางเยว่และเหวินเหยียนโจวอยู่กันตามลำพัง แม้จะอยู่ในที่สาธารณะก็ตาม “ถ้าอย่างนั้นฉางเยว่ก็มากับผมด้วยสิครับ ผมเองก็ไม่อยากรบกวนการสนทนาระหว่างพี่ใหญ่กับประธานเหวิน” “พวกฉันเองก็มาถึงก่อนนานแล้ว เรื่องธุระเองก็คุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย งั้นฉันจะไปดูด้วยกันกับนายเอง” เห็นได้ชัดว่า เสิ่นไหชินดูเฉยเมยต่อ
โหลวฉางเยว่ต้องการตีตัวออกห่างจากเขา เธอรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยที่หน้าอกของเขาเมื่อเขาพูด แต่อานม้าก็เป็นอานสำหรับคนแค่คนเดียว อีกทั้งหลังม้าก็ใหญ่ซะขนาดนี้ ไม่ว่าอยากที่จะหลบยังไงก็หลบไม่พ้น “ฉันซาบซึ้งในความเมตตาของประธานเหวินมากค่ะ กรุณาปล่อยฉันลงไปเถอะค่ะ!” คำพูดสองสามคำสุดท้ายแทบจะพูดออกมาอย่างกัดฟัน เหวินเหยียนโจวเมินเธอ และเตะไปที่ท้องม้าให้เคลื่อนที่ไปต่อ “ไป! ” โหลวฉางเยว่ “ ! ”ม้าที่ก่อนหน้านี้อยู่ในการควบคุมของโหลวฉางเยว่ที่พยายามดิ้นรน แต่กลับเดินไปได้เพียงสองก้าวเท่านั้น ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อเปลี่ยนมาอยู่ในมือของเหวินเหยียนโจว มันกางกีบเท้าวิ่งอย่างดุเดือด ใครก็ตามที่เคยขี่ม้าจะรู้ดีว่าการรักษาสมดุลบนหลังม้าเป็นเรื่องยาก ไม่ต้องพูดถึง โหลวฉางเยว่ ที่ยังเป็นมือใหม่โดยสมบูรณ์ เธอต้องจับราวจับเหล็กของอาน เพื่อให้ร่างกายที่สั่นไหวของเธอนั้นมั่นคงโหลวฉางเยว่หัวเสียมากจนแทบจะระเบิด ไอ้คนงี่เง่านั่นตั้งใจชัดๆ! เดิมทีเหวินเหยียนโจวไม่ได้สนใจที่จะสอนเธอขี่ม้าตั้งแต่แรก แต่เขาแค่อยากจะให้บทเรียนบางอย่างแก่เธอ! สนามแข่งม้ามีขนาดใหญ่มาก มีเนินเข
เหวินเหยียนโจวขมวดคิ้ว “ผมไม่เชื่อ ดังนั้นผมจึงอยากจะสอบถามรายละเอียดจากคุณ ดูว่าคุณจะโกหกอะไรผมอีกหรือเปล่า” “หากประธานเหวินอยากฟังนิทานก็ไปที่โรงละครเถอะค่ะ” โหลวฉางเยว่ เหลือทนที่จะไม่เป็นคนเริ่ม และผละตัวออกจากมือของเขาที่จับคางของเธออยู่ แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่อยากจะเอ่ยออกมาเหวินเหยียนโจวมองดูเธอสองวินาที คิ้วของเขาขมวด และไม่ได้ถามคำถามใดๆต่อ เขาจับมือเธอทั้งสองข้างเพื่อกุมสายบังเหียน พร้อมกับเสียงใสไร้ความอบอุ่น “จับบังเหียนด้วยมือทั้งสองข้าง ซ้ายและขวากำหนดทิศทาง ให้ความแน่นกำหนดความเร็ว อย่าเตะท้องม้าบ่อยๆ จะทำให้ม้าไม่รู้สึกต่อการเคลื่อนไหวของขาเพราะความเคยชินจนเกินไป”“……” หมายถึงอะไร? นี่เขากำลังสอนเธอขี่ม้าอย่างงั้นเหรอ? เหวินเหยียนโจวเตะน่องของเธอ “ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าเหยียบโกลนมันไม่สามารถปกป้องคุณได้ หากคุณบังเอิญตกจากม้าและเท้าของคุณติดอยู่ในโกลน คุณจะถูกม้าลากและได้รับ บาดเจ็บเข้าใจไหม?” โหลวฉางเยว่ บอกว่าเข้าใจไม่ว่าเธอจะเข้าใจจริงๆหรือไม่ก็ตาม เขาเริ่มแยกไม่ออกระหว่างอารมณ์ดีและความโกรธมากขึ้น บางครั้งเย็นและบางครั้งก็อบอุ่น เธอไม่ต้องการที่จะค
เสิ่นซู่ชินเกิดความไม่มั่นคงขึ้น ท้ายที่สุดพี่ชายของเขาก็ได้วิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียในระดับนั้นเอาไว้หมดแล้ว เขาไม่ได้อยู่ในเสิ่นกรุ๊ป แต่เขาเป็นสมาชิกของตระกูลเสิ่น เป็นหนึ่งเดียวกับตระกูลเสิ่นเสิ่นซู่ชินพาเธอไปลูบหัวม้า เมื่อคุ้นเคยกันแล้วก็จะได้ไม่กลัว“ผมอยากให้คุณมาที่เสิ่นกรุ๊ปตั้งนานแล้ว เพียงแต่เมื่อสองเดือนก่อนสุขภาพของคุณไม่ค่อยดีนัก ถ้าตอนนั้นคุณมาร่วมงานกับเสิ่นกรุ๊ป คุณจำเป็นต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับงานใหม่ ไหนยังจะต้องยุ่งอยู่กับเรื่องของพ่อแม่อีก ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จะทำให้คุณไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ผมจึงให้คุณมาอยู่ข้างกายผม”การได้อยู่เคียงข้างเขาไม่เพียงแต่ทำให้เธอมีงานทำเพื่อหาเงินเท่านั้น แต่ยังทำให้เธอไม่ยุ่งจนเกินไปและให้เวลาเธอได้หายใจหายคออีกด้วย ต่างก็มีผลดีกับทั้งสองฝ่ายเขาคิดเพื่อเธอมากขนาดนี้ แน่นอนว่าโหลวฉางเยว่จึงต้องตอบแทนความมีน้ำใจนี้ของเขาและช่วยเขาทำโปรเจกต์นี้ให้สำเร็จยิ่งไปกว่านั้น คุณยังสามารถทำงานที่เสิ่นกรุ๊ปได้อีกด้วย หากคุณไปที่เสิ่นกรุ๊ป งานของคุณจะมั่นคงและรายได้ของคุณก็จะยิ่งมั่นคงยิ่งขึ้น เธอเคยตรวจดูว่าหัวใจเทียม ค่าเครื่องมื
วันรุ่งขึ้น ทีมของเสิ่นซู่ชินได้เซ็นสัญญากับปี๋หยุนและได้รับแจ้งว่าปี๋หยุนกำลังจะเดินทางไปสุ่ยเฉิงเพื่อทำธุรกิจในช่วงสุดสัปดาห์ และพวกเขาจำเป็นต้องติดตามไปด้วย ซึ่งสมเหตุสมผลมากเลยทีเดียว พวกเขายังต้องการข้อมูลการสำรวจ ณ สถานที่จริงก่อนจึงจะสามารถดำเนินการวิจัยและพัฒนาขั้นต่อไปได้ เสิ่นซู่ชินก็จะต้องไป โหลวฉางเยว่เองก็จะไปด้วยเช่นกัน หลังจากลงนามในสัญญาเสร็จ ทั้งสองฝ่ายก็เลิกการประชุม โหลวฉางเยว่เดินออกจากห้องประชุมและเห็นสายที่ไม่ได้รับในโทรศัพท์ของเธอซึ่งเป็นสายของพี่สาวคนโตของเธอโหลวฉางเยว่โทรกลับทันที "ค่ะพี่" “ฉางเยว่ ยุ่งอยู่หรือเปล่า?”“ตอนนี้ไม่อะไรแล้วค่ะ พี่มีอะไรรึเปล่าคะ?”พี่สาวเอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันอยากจะพูดกับเธอเกี่ยวเรื่องของแม่นิดหน่อยน่ะ” “สองวันที่ผ่านมาเธอบ่นว่าแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก กินข้าวไม่ไม่ลง สีหน้าดูไม่ดีเลย ฉันหลัวว่าโรคหัวใจของเธอจะกลับมารุนแรงอีกครั้ง”โหลวฉางเยว่ตอบโดยไม่ลังเล “ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้ค่ะ แล้วพาแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาล”พี่สาวพูดว่า “ฉันจะไปกับเธอด้วย” “ไม่เป็นไรค่ะ พี่ยังต้องพาเสี่ยวหยูกลับบ้าน หากมีเรื่องอะไร ฉันจะบอกนะคะ
“พ่อของลูกกับแม่ เราเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆด้วยกัน ลูกกับอาเสี่ย อาซิน เด็กสามคนที่อยู่ในวัยกำลังโต หลังเลิกเรียนก็พากันวิ่งไปยังร้านขายขนม พ่อของลูกโกรธมากจนเขาเรียกพวกลูกว่าลูกเศรษฐี พวกเราเปิดร้านขายของแท้ๆยังไม่พอให้พวกลูกกิน พ่อถือไม้มาจะตีพวกลูก แล้วพวกลูกก็วิ่งมาหลบที่หลังแม่ แม่ก็ช่วยป้องพวกลูกไว้ แล้วพวกลูกก็ พากันหัวเราะคิกคักวิ่งออกประตูไปเล่นกัน”“พ่อไม่ได้อยากจะตีพวกลูกจริงๆหรอก แม่ ห้ามเขาได้สองครั้งเขาก็ไม่เอาความแล้ว บอกพวกลูกว่าอย่ากินเยอะ คืนนี้เขาจะทำกุ้งตุ๋น......วันนั้นมันเป็นวันที่ดีมากจริงๆ......” นั่นสิ วันนั้นมันดีจริงๆ ก่อนหน้าที่กับดักชีวิตนั่นจะพังลงมา ชีวิตของพวกเขาเรียบง่ายและได้ถูกเติมเต็ม มันเป็นกับดักที่ทำให้ครอบครัวของพวกเขาไม่เหลือชิ้นดี โหลวฉางเยว่ยังนึกไม่ออกว่าสิ่งต่างๆ มันเปลี่ยนแปลงไปจนถึงจุดนั้นได้อย่างไร พอหลังจากที่เธอมีลู่ทางในการเชื่อมต่อแล้ว เธอก็พยายามที่จะลองตรวจสอบดู แต่คนเหล่านั้นก็หายไปราวกับอากาศ ไม่พบร่องรอยใด ๆ บางครั้งเธอก็สงสัยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะกับดักนั้น ชีวิตของเธอในตอนนี้ จะแตกต่างไปจากเดิมมากแค่ไหนกันนะ? “อ
ในช่วงฤดูหนาวหาวันที่อากาศดีๆอย่างนี้ยากนัก เหวินเหยียนโจวและซิ่วอวี้จึงนัดกันไปเล่นกอล์ฟ วันนี้ซิ่วอวี้พกทักษะการเล่นกับโชคที่ดีมากๆมาด้วย เขาทำโฮลอินวันได้ทันทีที่ตี ทั้งยังถูกเกลี้ยกล่อมให้แจกอั่งเปาและเลี้ยงข้าว ซิ่วอวี้เองก็ใจกว้างเช่นกัน เขาเซ็นเช็คให้ทีละคน และแจกเงินมากถึงห้าล้านกว่าบาทสำหรับหนึ่งเกม เหวินเหยียนโจวสวมชุดกีฬาสีขาว เสื้อสีดำ และแว่นกันแดด เขามองไปที่หลุมกอล์ฟบนเนินเขาและโบกไม้กอล์ฟในมือ “นายไม่จำเป็นต้องให้อั่งเปากับฉันก็ได้ ฉันจับตาดูบรั่นดีขวดนั้นของนายอยู่นานแล้ว ให้ขวดนั้นกับฉันก็พอ” ซิ่วอวี้ยิ้ม พร้อมกับตำหนิ “ฉันเก็บไว้สำหรับเปิดในงานเลี้ยงแต่งงาน นี่นายกล้ามากนะที่คิดเรื่องนี้” ลู่ไจ่เย่ไม่สนใจกีฬาประเภทนี้และแค่อยากร่วมสนุกเพียงเท่านั้น “พี่หรานแต่งงานแล้ว พี่อวี้จะแต่งงานเมื่อไหร่? พี่กับพี่สะใภ้อยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ?” “ปีนี้ซีหยุนไม่มีเวลา เพราะงั้นปีหน้าเราถึงจะเริ่มปรึกษากันเรื่องการแต่งงาน” ซิ่วอวี้หันไปหาเหวินเหยียนโจว “ยังไงก็ตาม ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้คุณโหลวเป็นเลขาของเสิ่นซู่ฉินแล้วเหรอ?” เหวินเหยียนโจวเพียงพูดว่า “
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ