“เรียกแล้วแต่กู้ภัยบอกจะมาจับให้ก็ตอนที่ผมเห็นตัวงูแล้ว” นั่นคือสิ่งที่บอสหนุ่มได้หลังจากคุยกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเขาก็พอเข้าใจได้ “อ้าว! ต้องเจองูก่อนด้วยเหรอถึงจะมาช่วย แล้วถ้าหาไม่เจอไม่ต้องอยู่กับงูไปตลอดหรือไง แล้วรปภ.หมู่บ้านละคะ บอสบอกไปหรือยัง” ก่อนจะถามถึงรปภ.หมู่บ้านรติชาก็บ่นเรื่องกู้ภัยยาวเหยียด “บอกแล้วครับแต่คงมาไม่ได้เพราะท้องเสียหนัก”“เอ่อ...งั้นบอสรอก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันไปช่วยหางู” เอ่ยบอกเสร็จรติชาก็วางสายจากปิลันธน์ทันที จากนั้นก็คว้ากระเป๋าและกุญแจรถมาไว้ในมือ รีบรุดไปยังรถที่จอดอยู่ในชั้นห้าของคอนโดมิเนียมเมื่อมาถึงก็บึ่งไปหาชายหนุ่มอย่างไม่ลังเล ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถของรติชาก็จอดเทียบอยู่ข้างๆ รั้วบ้านของปิลันธน์ “งูยังอยู่ในบ้านไหมคะ” ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสบายๆ สวมรองเท้าแตะสีชมพูเอ่ยถามผู้ชายตัวโตกว่าขึ้นอย่างมาดแมน พร้อมกับรวบผมขึ้นแล้วมัดไว้ตรงหลังศีรษะ สีหน้าจริงจัง“อยู่ครับ” เจ้าบ้านเอ่ยบอกเพราะทันทีที่เห็นงูเลื้อยเข้าไปภายในบ้านเขาก็รีบออกมาแล้วปิดประตูหน้าต่างทุกบานเพื่อขังมันไว้ข้างในเพื่อรอคนมาจับออกไป รติชาอดที่จะขำสีหน้าที
“อืม...ไม่น่าจะใช่นะคะ แต่ฉันขอหาข้อมูลก่อน” เอ่ยบอกเสร็จรติชาก็เอาสีและลายของงูที่ตอนนี้ตายแล้วไปเสิร์ชหาชื่อมันในอินเตอร์เน็ต หาไปหามาจึงรู้ว่ามันคืองูเขียวพระอินทร์ “งูเขียวพระอินทร์ค่ะ มีพิษแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก” “ชื่อเพราะแต่ไม่น่าคบสักเท่าไหร่” คำพูดของปิลันธน์ทำให้รติชาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันไปจัดการฝังซากงูให้เรียบร้อย ท่าทางจับพลั่วขุดดินของเธอมันอิมแพคเข้าที่หัวใจของบอสหนุ่มอย่างจัง ให้ตายสิทำไมเขาต้องแพ้ทางผู้หญิงแบบนี้ด้วยเมื่อฝังงูเสร็จรติชาก็ยืนเท้าสะเอวมองแถวต้นไทรเกาหลีที่ปลูกไว้ริมรั้วบ้านของปิลันธน์ เพราะทุกต้นใบของมันร่วงจนเกือบหมดแล้วที่ไม่ร่วงก็เหลืองรอวันร่วงโรยเช่นกัน“บอสให้คนมาดูสวนบ้างหรือเปล่าคะ”“เปล่าครับ ทำไม”“ต้นไทรเกาหลีมันกำลังจะตายนะคะ”“ไทรเกาหลีคือต้นไหนครับ” ปิลันธน์เอ่ยถามอย่างงุนงงเพราะวันๆ เขานั้นทำแต่งานจึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องต้นไม้รอบๆ บ้านสักเท่าไหร่ “ต้นที่บอสปลูกไว้ติดรั้วพวกนี้ไงคะ” รติชาชี้นิ้วไปยังต้นไม้ที่ว่า “อ้อ...ต้นที่ทางโครงการให้มาตอนซื้อบ้าน งั้นพรุ่งนี้เช้าคุณปิ่นไปช่วยผมเลือกต้นไม้ได้ไหมครับ พอดีผมไม่มีความรู้เรื่
ทุกวันทำงานของรติชาช่างมีอะไรให้ทำและลุ้นตลอดเวลา บางวันต้องออกไปประชุมกับปิลันธน์ที่กินเวลาแทบทั้งวัน บางวันก็ว่างจนนั่งตบยุงรองาน บางวันก็ต้องจับเจ้าตั๊กแตนตำข้าวที่แอบเข้ามาในห้องทำงานของชายหนุ่มไปปล่อย รติชามองออกว่ามันคนละตัวกันซึ่งไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมมันถึงขยันเข้ามากันนักพอนั่งนับนิ้วดูแล้วเธอก็ทำงานที่นี่มาเกือบสองเดือน เวลามันผ่านไปเร็วจนรติชาเองยังนึกใจหายและพลอยทำให้คิดถึงเพื่อนรุ่นพี่ขึ้นมา หลังเลิกงานวันนั้นเธอจึงเข้าไปเยี่ยมอรสาที่บ้าน แม้ก่อนหน้าจะโทรคุยโทรถามไถ่กันตลอดแต่ก็ไม่เท่ากับการได้เจอตัวจริง“สวัสดีค่ะน้องอุ่น” รติชาเอ่ยทักทายหลานสาวตัวน้อยที่ตอนนี้อ้อแอ้อยากพูดอยากคุยกับทุกๆ คนไปหมด “อ้อแอ้แบบนี้อยากคุยกับพี่เหรอคะ” คำแทนตัวเองว่าพี่ของรติชาทำให้คุณแม่มือใหม่อย่างอรสาหัวเราะออกมา เพราะดูเหมือนใครๆ ก็อยากเป็นพี่ของลูกสาวเธอ“ชีวิตตอนนี้เป็นไงบ้างปิ่น”“เรื่อยๆ ค่ะ ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ซึ่งบอสก็ยังเป็นบอส เยอะแยะเรื่องงานสารพัด”“นั่นแหละคือคุณปิลันธน์”“แต่เพราะเขาเป๊ะและเยอะแบบนั้นมั้งคะธุรกิจถึงได้โตวันโตคืน”“ใช่จ้ะ กว่าจะมีวันนี้บอสก็เริ่มทุกอย่างม
ในขณะที่ปิลันธน์เองก็คิดแบบเดียวกับเธอ บอสหนุ่มนั่งจิบวิสกี้ไปด้วยพร้อมกับคิดเรื่องตัวเอง ความรู้สึกที่เขามีให้รติชามันอาจเกิดขึ้นเพียงแค่ฝ่ายเดียว ที่คิดแบบนั้นเพราะเท่าที่ได้ทำงานด้วยกันหรือจังหวะที่มีโอกาสได้ไปไหนมาไหนนอกเหนือจากเวลางานตามลำพัง เขามองไม่ออกจริงๆ ว่ารติชารู้สึกอะไรกับเขาแต่เพราะเธอเป็นแบบนั้นเขาจึงยิ่งต้องใจเย็น ไม่บุ่มบ่ามจนทำให้เธอระแวงก่อนครบสามเดือนมีโปรเจกต์ใหญ่ที่รติชาต้องรับผิดชอบ นั่นคือทริปท่องเที่ยวประจำปีของบริษัท โดยก่อนลาคลอดอรสาทำไว้แล้วบางส่วนรติชาจึงเข้ามาสานต่อให้ลุล่วง ทางปิลันธน์ยกให้เธอเป็นแม่งานซึ่งตัวรติชาเองก็อยากใช้โปรเจกต์นี้ส่งท้ายการทำงานที่นี่เช่นกัน บอสหนุ่มรู้ว่าเหลือเวลาที่ตัวเองจะได้ทำงานกับเลขาอย่างรติชาอีกไม่นาน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรหากจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปในทิศทางอื่น สิ่งเดียวที่เขากังวลตอนนี้คือเธอยังคงยืนกรานที่จะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ โปรเจกต์ส่งท้ายทำให้ตารางงานชีวิตของรติชาค่อนข้างยุ่ง เพราะอยากทำให้พนักงานเกือบร้อยชีวิตประทับใจ หัวหน้าแผนกทุกคนต่างเสนอแนะกิจกรรมที่พวกเขาอยากทำ บางอย่างก็ได้รับการอนุมัติแต่บางอย่างก็ถูก
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาทริปท่องเที่ยวของบริษัทก็เกิดขึ้น โดยครั้งนี้มีการแบ่งกลุ่มเพื่อแข่งแรลลี่หาผู้ชนะที่จะได้เงินรางวัลถึงหนึ่งแสนบาท รติชาลงชื่อเข้าร่วมแข่งอย่างไม่ลังเลแต่กลับไม่มีคนมาจับคู่กับเธอด้วยเหตุเกรงใจสายตาของบอสหนุ่ม นั่นจึงเปิดโอกาสให้ปิลันธน์ลงมาแจมแต่ก็วางฟอร์มว่าเขาไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่จุดสตาร์ทคือที่หน้าบริษัทส่วนจุดเริ่มต้นนั้นคือหน้าโรงแรมที่พัก โดยมีทั้งหมดสิบฐานและต้องเก็บแต้มแต่ละฐานให้ได้มากที่สุด รติชาจริงจังกับกิจกรรมทุกๆ ฐานเธอนึกสนุกแต่ไมได้หวังเงิน ส่วนปิลันธน์ก็ใจเย็นเป็นน้ำแข็ง บางจังหวะยังแกล้งขับรถหลงทาง“บอส”“มองผมแบบนั้นทำไม ผมไม่ได้ตั้งใจพาคุณหลงนะ” คนไม่ได้ตั้งใจรีบออกตัว รถวันนี้ที่เขาใช้คือรถสปอร์ตคันสวยคู่ใจที่รติชาเคยขับรถมาชนท้ายจนต้องส่งไปซ่อมนั่นเอง “ก็ฉันบอกแล้วนี่ค่ะว่าให้บอสเลี้ยวซ้ายๆ บอสจะเลี้ยวขวามาทำไม” จีพีเอสสาวหน้างอเพราะฉุนชายหนุ่มเล็กน้อย เธอนั่งมองแผนที่แบบกระดาษให้ปิลันธน์มาตลอดทางจนตาล้าไปหมด เพราะการแข่งแรลลี่ครั้งนี้ห้ามใช้จีพีเอสจากโทรศัพท์มือถือหรือที่ติดมาในรถยนต์อย่างเด็ดขาด“ผมขอโทษๆ เดี๋ยวกลับรถให้” ปิลันธน์เอ่ยบอกอ
“ขอบคุณค่ะ”“ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยรับจากนั้นก็อาสาเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้ เมื่อเสร็จทั้งสองก็กลับเข้าการแข่งแรลลี่อีกครั้ง แม้ตอนนี้จะอยู่รั้งท้ายก็ตามแต่ดูเหมือนผลแพ้ชนะจะไม่สำคัญเท่ากับการได้รู้จักตัวตนของอีกฝ่าย ถึงอย่างนั้นปิลันธน์ก็ยังคงไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมาอย่างชัดเจน ส่วนรติชาก็ยังคงปกติไม่ได้แสดงท่าทางเชื้อเชิญใดๆ เช่นกัน ทั้งๆ ที่ในใจของทั้งคู่นั้นค่อยๆ เชื่อมเข้าหากันทีละนิดช่วงพักเบรกจู่ๆ รติชาก็เผลอมองหาปิลันธน์อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พอรู้ว่าเขากำลังทำอะไรก็เอาแต่มองอยู่แบบนั้น กระทั่งส่ายหน้าไล่ความรู้สึกบ้าๆ ของตัวเองให้ออกไปจากสมองพร้อมคว้าโทรศัพท์ออกมากดโทรหาโสภิตา“ฉันว่าตัวเองต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ”“ไม่เพี้ยนหรอก แกกำลังปิ๊งบอสปิลันธน์อยู่ต่างหาก” คนโสดอีกหนึ่งคนเอ่ยอย่างรู้ใจรติชา เพื่อนสนิทเธอคนนี้เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจสักเท่าไหร่หรือต่อให้รู้ใจตัวเองก็ยังต้องการกองหนุน“ไม่...หรอก...มั้งแก”
แต่ยิ่งเห็นว่าใครต่อใครให้ความสนใจเธอมากขึ้นปิลันธน์ก็เกิดอาการหวง พอหวงมากเข้าก็ดื่มเหล้าข่มอารมณ์ตัวเองไปหลายต่อหลายแก้วเช่นกัน ขณะที่หูก็พยายามฟังว่าโต๊ะของรติชากำลังคุยกันเรื่องอะไร แต่จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาชนแก้วกับเขา“คุณแองจี้”“บังเอิญจังเลยนะคะ ที่เราได้เจอกันที่นี่” แองจี้คือหนึ่งในลูกค้าวีไอพีของปิลันธน์ เธอเองก็มาพักผ่อนที่รีสอร์ตแห่งนี้และบังเอิญรู้ว่าบริษัทชายหนุ่มเองก็จัดทริปประจำปีและเข้าพักเช่นกัน จึงถือวิสาสะเดินเข้ามาหาทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง“ครับ...คุณแองจี้มาพักผ่อนหรือครับ”“ใช่ค่ะแองจี้มาพักผ่อนกับเพื่อนๆ เราสองคนไปนั่งดื่มกันตรงริมชายหาดดีไหมคะ ตรงนี้เสียงดังมากแองจี้แสบหูไปหมดแล้ว” แองจี้เอ่ยชวน แม้ปิลันธน์จะอยากปฏิเสธแต่เพราะเธอคือลูกค้ากระเป๋าหนักและคิดว่าไปคุยกันไม่นานก็คงแยกย้าย สุดท้ายชายหนุ่มจึงตอบรับคำเชิญนั้นรติชาหันไปเห็นจังหวะที่ปิลันธน์กำลังเดินออกไปกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้าพอดี ซึ่งผู้หญิงคนนั้นสวยและเซ็
“ไม่อยากรู้ค่ะ”“แต่ผมอยากบอก” ปิลันธน์เงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มกำลังชั่งใจว่าจะพูดความรู้สึกออกไปตอนนี้ดีไหมหรือรอจนกว่ารติชาสร่างเมาเสียก่อน แต่อีกใจก็อยากพูดให้มันหายอึดอัด “เพราะผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอ”“บอสใจร้าย ไปหักอกผู้หญิงสวยๆ แบบนั้นได้ยังไง”“เพราะผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เธอคนนั้นดูจริงใจไม่วางฟอร์ม ทำอะไรที่ผู้หญิงเขาไม่ทำกันตั้งหลายอย่างและที่สำคัญเธอไม่กลัวแมลง” ปิลันธน์สารภาพรักทางอ้อมกับรติชา แต่คนเมาก็แกล้งทำเป็นทิ้งตัวนอนหลับทั้งๆ ที่ใจนั้นเต้นแรงจนกลัวว่าบอสหนุ่มจะได้ยินปิลันธน์รู้ว่ารติชาได้ยินที่เขาพูดทุกคำอย่างชัดเจน แต่ในเมื่อเธอแกล้งหลับเพราะขัดเขินเขาจึงไม่อยากปลุกเธอขึ้นมา บอสหนุ่มใช้จังหวะนั้นนั่งมองใบหน้าที่แดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้าของคนตรงหน้า นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยรู้สึกพิเศษกับผู้หญิงคนไหนเท่ารติชามาก่อนเธอกำลังทำให้หัวใจเขาเต้นด้วยจังหวะแปลกๆเธอกำลังทำให้ผู้ชายที่ไม่เคยคิดว่าจะรักใคร
“ก็ยังอยากมาทำงานนี่คะ”“สงสัยผมต้องเรียกรถพยาบาลมาสแตนบายรอคุณแล้วมั่งเนี่ย”“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ น้ำเดินแล้วค่อยไปโรงพยาบาลก็ได้ ว่าแต่เหตุการณ์ตอนนี้มันคุ้นๆ เหมือนกันนะคะบอส ตอนนั้นเอมก็ท้องแก่แบบนี้แล้วก็ให้ปิ่นมาช่วยงาน ทำงานอยู่ดีๆ เอมก็น้ำเดินจนต้องรีบไปโรงพยาบาล พูดแล้วก็คิดถึงปิ่น ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” อรสาคิดถึงรติชามากจริงๆ แต่เพราะยุ่งๆ ระยะนี้จึงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าที่ควร“สบายดีครับ วันก่อนพึ่งจะไปเล่นสกีมา”“เอมประทับใจความรักของบอสกับปิ่นจริงๆ นะคะ อยากให้มีคนเอาไปทำละครจัง”“งั้นช่วยตัดช่วงที่ผมกลัวแมลงออกก็ดีนะครับ” ปิลันธน์เอ่ยติดตลก เพราะคงไม่มีพระเอกที่ไหนกลัวแมลง“เอางั้นเหรอคะ”“ครับ”“สรุปบอสจะไม่รับเลขาจริงๆ เหรอคะ” อรสาเอ่ยถามอีกครั้ง“ไม่ครับ ผมจัดการงาน
“ทำไมหรือว่าคุณปิลันธน์ไม่อยากให้ปิ่นทำงาน”“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ แต่ปิ่นคิดว่าที่บริษัทไม่เหมาะกับปิ่น ยังไงปิ่นฝากพี่ฤดีดูแลและรักษามันด้วยนะคะ” รติชาส่งยิ้มให้ฤดี ซึ่งอีกคนก็ส่งยิ้มที่ออกมาจากใจให้รติชาเป็นครั้งแรกเช่นกัน“พี่สัญญา” ฤดีเอ่ยรับอย่างหนักแน่น เมื่อหยุดคิดว่าตัวเองนั้นดีหรือวิเศษกว่าใครลงได้ ก็เหมือนเปิดโลกให้ฤดีมองเห็นความดีของคนอื่นและใช้ชีวิตในเส้นทางที่ถูกที่ควรหลังจากนั้นอีกสามวันรติชาก็พาปิลันธน์ไปหาโสภิตาที่เชียงราย ซึ่งครั้งนี้คนที่ถูกแซวจนหน้าแดงก่ำคือเธอบ้าง ส่วนปิลันธน์นั้นก็เหมือนจะชอบการใช้ชีวิตที่ไร่ของโสภิตามากเช่นกัน จนอยากมีบ้านที่นี่สักหลัง“ถามจริงๆ นะ แกยังอยากไปต่างประเทศอยู่อีกหรือเปล่า”“ไป”“คุณปิลันธน์ไปด้วยใช่ไหม”“ไม่รู้” รติชาตอบเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ นั่นเพราะปิลันธน์เองก็มีงานที่ต้องทำที่นี่ คงไปอยู่กับเธออย่างถาวรที่ต่างประเทศไม่ได้ แต่จะใ
“ครับผม” ปิลันธน์เอ่ยรับแล้วหลับตาพริ้มรอรับสัมผัสที่จะเกิดขึ้น รติชาส่ายหน้าให้เขาเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวขึ้นไปหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่ตามที่เขาร้องขอแต่จังหวะที่เธอกำลังขยับออกก็ถูกคนเมารวบตัวไว้แล้วมอบจูบให้อย่างดูดดื่มซึ่งรติชาเองก็จูบเขากลับไปเช่นกัน รสจูบของทั้งคู่ร้อนแรงเต็มไปด้วยความต้องการ ยิ่งมีกลิ่นแอลกอฮอล์เจืออยู่จางๆ ในรสจูบด้วยแล้วก็ยิ่งกระตุ้นให้เลือดในตัวสูบฉีดจนร้อนรุ่ม“อันที่จริงผมไม่อยากเมาแบบนี้เท่าไหร่ เพราะมันจะทำให้คุณพลอยเดือดร้อนไปด้วย” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยบอกเมื่อถอนจูบออก แววตาของปิลันธน์นั้นแพรวพราวเจ้าเล่ห์นัก“เดือดร้อนยังไงคะ” รติชาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะตอนนี้ปิลันธน์ก็ไม่ได้ทำให้เธอเดือดร้อนอะไรด้วยซ้ำ อีกอย่างการดูแลคนเมาเธอเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร“เพราะถ้าเมาผมยิ่งต้องการคุณ ผมจะกลืนกินจนคุณเข่าอ่อนมากกว่าทุกๆ ครั้ง”“ไม่เชื่อ”“ผมชอบจังที่คุณเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แบบนี้ เพร
“ปิ่นรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจังที่ได้รู้จักคุณ” คำพูดของรติชาทำให้ปิลันธน์ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับยื่นมือมาสัมผัสแก้มของเธออย่างอ่อนโยน“ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอปิ่น” ทั้งคนพูดและคนฟังต่างยิ้มออกมาอย่างมีความสุขกับช่วงเวลาในขณะนี้ แต่ความรักที่ปิลันธน์มอบให้จากใจจริงก็ทำให้รติชารู้สึกผิดกับเขาอย่างบอกไม่ถูก นั่นเพราะแผนที่จะย้ายไปต่างประเทศก็ยังคงอยู่ เธอเหมือนคนโลภที่ไม่อยากเสียอะไรไปแม้แต่อย่างเดียวในที่สุดฤดีก็ยอมออกจากห้องและไปร่วมงานเผาศพของลูกชาย แม้จะทำใจยอมรับได้แต่ถึงอย่างนั้นก็ร้องไห้และเป็นลมล้มพับไปหลายต่อหลายครั้งโดยมีสามีและลูกสาวคอยอยู่ข้างๆ งานวันนี้มีญาติ เพื่อนและคนรู้จักเดินทางมาเพื่อแสดงความเสียใจต่อครอบครัวและร่วมส่งร่างที่ไร้วิญญาณของน้องเอเป็นครั้งสุดท้ายมากมาย หนึ่งในนั้นคืออรสาและสามี ก่อนจะแปลกใจที่เห็นปิลันธน์อยู่ในงานด้วยอรสากำลังประติดประต่อเรื่องราว ยิ่งเห็นว่าทั้งคู่สนิทกันกว่าที่คิดก็ยิ่งให้จินตนาการไปไกล แต่ไม่ว่าความสัมพันธ์ของปิลันธน์กับรต
ฤดีคว้ารูปของลูกชายมากอดอย่างคิดถึงยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้าทุกคน เธอยังคงร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสารจนตัวไหวสะอื้น เสียงร้องไห้ของฤดีดังลงไปถึงชั้นล่างส่งผลให้ทุกคนที่ได้ยินอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกันรติชาเข้าไปสวมกอดพี่สะใภ้เป็นครั้งแรก แม้จะดูขัดๆ ไปบ้างแต่เธอก็อยากกอดเพื่อให้ฤดีรับรู้ว่าไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เพียงแค่คนเดียว อ้อมกอดของรติชายิ่งกระตุ้นให้ฤดีร้องออกมาหนักกว่าเดิมเสียอีก นั่นเพราะความรู้สึกผิดที่เคยทำไว้ต่อรติชามันผุดขึ้นมาเช่นกันและคนที่ตรงเข้ามากอดฤดีต่อจากนั้นคือสามีและลูกสาวคนเล็ก สามคนพ่อแม่ลูกนั่งร้องไห้และกอดกันกลมราวกับต้องการให้น้ำตาช่วยชะล้างความเสียใจครั้งนี้ออกไป รติชายืนปาดน้ำตาตัวเองเช่นกัน หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เธอหวังแบบนั้นจริงๆ เมื่อเสร็จเรื่องเธอจึงขอตัวกลับ“นี่ก็ค่ำมากแล้วไม่นอนด้วยกันที่บ้านหรือปิ่น” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามขึ้น เพราะหลังจากกลับจากวัดรติชาก็ตรงมาบ้านเพื่อเข้าไปคุยกับฤดี“ไม่ดีกว่าค่ะแม่”“
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลสิ่งที่รติชาเห็นคือภาพการร้องห่มร้องไห้ของพี่สะใภ้พร้อมกับเอ่ยโทษทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่พรากลมหายใจของลูกชายสุดที่รักไป ฤดีกอดร่างที่ไร้วิญญาณของลูกชายไม่ยอมปล่อย ร้องไห้ปานจะขาดใจตายตาม ไม่สนใจใครทั้งนั้นแม้กระทั่งสามีและลูกสาวอีกคนการเสียชีวิตของน้องเอทำให้ชีวิตของฤดีเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ว่าได้ อาจเพราะความเสียใจอย่างกะทันหันเธอจึงตั้งสติรับไม่ทันจนกลายเป็นคนซึมเศร้าและไม่เอาอะไรทั้งนั้น วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้องลูกชายไม่ยอมออกไปไหนแม้กระทั่งงานศพก็ไม่ไปร่วมงานแม้แต่วันเดียว“ออกไป ฉันบอกให้ออกไป” ฤดีขว้างปาข้าวของใส่สามีที่พยายามเข้าไปคุยเรื่องลูกชาย แจกันดอกไม้ลอยมากระแทกเข้ากับใบหน้าจนเลือดอาบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่นึกโกรธเคืองแต่อย่างใดสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทำให้รติชาต้องยื่นมือเข้าไปช่วยจัดการงานศพของหลานชาย เธอแทบไม่ได้พักด้วยซ้ำยังดีที่มีปิลันธน์คอยดูแลไม่งั้นกว่าจะเสร็จงานก็คงล้มพับไม่สบายไปอีกคน แม้ใครในงานจะสงสัยว่าปิลันธน์นั้นเป็นอะไรกับรติชา แต่บรรดาญาติๆ ก็ไม่กล้าถาม
“คุณมีพี่น้องไหมคะ”“ไม่มีครับ ผมเป็นลูกคนเดียว”“อืม...ส่วนฉันพ่อกับแม่ท่านยังมีชีวิตอยู่ค่ะ สุขสบายตามอัตภาพ ฉันมีพี่ชายคนหนึ่งแต่ตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ด้วยความที่ฉันเป็นลูกผู้หญิงงานบริหารพ่อเลยยกให้พี่ชายดูแล คนจีนอะเนอะอะไรๆ ก็ลูกผู้ชายไว้ก่อนพี่ชายกับพี่สะใภ้สองคนนั้นช่วยกันบริหารธุรกิจของพ่อจนตอนนี้มั่นคงและใหญ่โต จะว่าไปเราสองคนก็มีเรื่องที่เหมือนกันอยู่นะคะ”“เรื่องไหนครับ”“เรื่องที่เราต่างก็ถูกที่บ้านส่งไปเรียนต่อที่เมืองนอกน่ะค่ะ พอเรียนจบฉันก็ตั้งใจกลับไปช่วยบริหารงานแต่สุดท้ายก็เข้ากับพี่สะใภ้ไม่ได้ เลยถอนตัวออกมาแล้วหางานทำดูแลตัวเอง ยังดีหน่อยที่พอจะมีหุ้นเลยได้เงินปันผลบ้าง เอาง่ายๆ ฉันกับพี่สะใภ้ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่อะไรที่พี่สะใภ้สร้างไว้ฉันก็ไม่อยากเข้าไปแตะ” ทุกอย่างมันค่อยๆ สะสม ความอัดอั้นค่อยๆ ก่อตัวเพราะฤดีมักจะทำเหมือนเธอนั้นไม่มีตัวตนเสมอ พูดจากระทบกระเทียบไม่เว้นแต่ละวัน สุดท้ายรติชาจึงเลือกที่จะเดินออกมา“แต่อะไรที่เป็นของผม คุณสามารถแ
“ถึงอย่างนั้นผมก็คงต้องขยันทำงานเก็บเงินให้มากกว่านี้ เดี๋ยวเลี้ยงคุณไม่ไหว” คนเจ้าเล่ห์เอ่ยบอก ทั้งๆ ที่ตอนนี้เงินในบัญชีเขาสามารถเลี้ยงดูรติชาได้อย่างสุขสบายเป็นร้อยๆ ปีก็ตาม“ใครบอกว่าฉันจะให้คุณเลี้ยง”“คุณพ่อมักจะสอนผมเสมอว่า สามีที่ดีต้องเลี้ยงดูภรรยาให้มีความสุขทั้งกายและใจ”“งั้นเอามาเลยสามแสน โทษฐานที่คุณทำให้ฉันแพ้เมื่อวาน” รติชาแกล้งแบมือขอเงิน ส่วนปิลันธน์กลับเอาจริง เพราะชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาถือไว้ ทำการสแกนนิ้วมือเพื่อปลดล็อคหน้าจอจากนั้นก็กดเข้าไปยังแอปธนาคารแล้วส่งโทรศัพท์ให้รติชา“คุณโอนเงินจากโทรศัพท์ผมเข้าบัญชีคุณได้เลย”“ไม่กลัวฉันโอนออกทั้งหมดหรือไง”“ไม่กลัว กลัวคุณไม่โอนออกสักบาทมากกว่า”“รู้อีก เอาคืนไปค่ะ” รติชาส่งโทรศัพท์คืนให้ปิลันธน์ ทว่าบอสหนุ่มกลับไม่ยอมรับมันคืนมาแต่อย่างใด สิ่งที่เขาทำต่อจากนั้นคือการดึงตัวรติชามาจูบ เธอตกใจจึงนั่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรับจูบจากเขาด้วยความเต็มใจพร้อมกับมอบจูบใ
นั่นคือประโยคที่รติชาแย้งปิลันธน์ขึ้นมาในใจ“คุณคิดยังไงกับฉันหรือคะ” ทั้งๆ ที่นี่เป็นประโยคที่รติชาไม่ควรเอ่ยออกมา เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับปิลันธน์นั้นก้าวไปไกลแล้วก็ตาม แต่เธออยากรู้จริงๆ ว่าเขาคิดยังไง“คุณดูอ๊องๆ ตลกๆ ดี”“ตอบไม่ตรงคำถาม” คนในอ้อมกอดหน้างอ“ผมชอบคุณ”“แล้วทำไมถึงชอบคะ ทั้งๆ ที่ผู้หญิงที่เหมาะกับคุณก็น่าจะมียาวเป็นหางว่าว”“เหมาะแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องรักเธอเหล่านั้นนี่ เวลางานคุณจริงจังทุ่มเท นอกเวลางานคุณดูเพี้ยนๆ แต่เป็นความเพี้ยนที่ทำให้ผมมีความสุข คุณเติมเต็มบางอย่างที่ผมไม่มี ที่สำคัญคุณคือผู้หญิงคนเดียวที่กล้าจับแมลงให้ผม” ทุกคำพูดปิลันธน์เอ่ยออกมาจากหัวใจและอยากสื่อให้รติชารู้ว่าเขานั้นจริงจังกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์ฉาบฉวยมาแล้วจบไป“ข้อสุดท้ายนี่ฉันควรจะดีใจใช่ไหม”“ครับ...แต่รวมๆ แล้วคือผมชอบ