เมื่อเห็นว่าเขาดูไม่รู้จริง ๆ และเหมือนจะจำอะไรไม่ได้เลย เวินหนี่ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเธอส่ายหัว “เปล่า ไม่มีอะไรค่ะ”เย่หนานโจวเงียบเวินหนี่นอนลงและพลิกตัวไปด้านข้าง โดยไม่ได้มองหน้าเย่หนานโจวอีกเลยแต่เธอสังเกตเห็นสีหน้าของเขาเมื่อครู่ เขาดูสงบอย่างมากทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าอาจ้านก็คือตัวเขาเองเขาลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้นไปหมดแล้วจริง ๆ เหรอ?แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ควรจำชื่อเก่าของตัวเองได้ไม่ใช่เหรอปัญหามันอยู่ตรงไหนกัน?ยิ่งเวินหนี่คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกตกอยู่ในทางตันมากขึ้นเท่านั้นเธอหลับตาและหยุดคิดเย่หนานโจวจัดผ้าห่มให้เธออย่างดี ก่อนจะนั่งมองเธออยู่ข้าง ๆ สักพัก จนกระทั่งเธอหายใจสม่ำเสมอแล้วถึงค่อย ๆ เดินออกไปเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา มีสายที่ไม่ได้รับหลายสิบสายเขาโทรกลับด้วยสีหน้าจริงจัง และสิ่งที่เขาได้ยินทางโทรศัพท์ก็คือ “ประธานเย่ หุ้นของบริษัทร่วงลงหลายจุดเพราะเหตุการณ์ของลู่ม่านเซิง เราก็ติดต่อคุณไม่ได้และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร คุณต้องให้วิธีแก้ปัญหากับพวกเราด้วยนะครับ”เย่หนานโจวไม่มีเวลาจัดการ “มีข่าวเกี่ยวกับลู่ม่านเซิงไหม?”“ไม่เลย
เพียงแค่เธอพ้นจากเรื่องพวกนี้ไปได้ ก็จะสามารถยืนหยัดในวงการบันเทิงได้ และบริษัทจะยืนหยัดเคียงข้างเธออย่างไม่มีเงื่อนไขลู่ม่านเซิงเดินออกมาไม่นาน ก็ถูกคนเห็นทันทีและมีคนพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่ลู่ม่านเซิงคนที่โกหกหลอกลวงหรอกหรอ?”เมื่อเห็นว่าผู้คนจำเธอได้ ลู่ม่านเซิงก็ตื่นตระหนกและรีบปิดหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว“ใช่เลย เธอนั่นแหละ เธอรู้สึกผิดเลยไม่กล้ามองหน้า!”ลู่ม่านเซิงสวมแว่นกันแดดและหน้ากากอยู่แล้ว และไม่คาดคิดว่าจะมีคนจำเธอได้ เมื่อมีคนหนึ่งพูดขึ้นมา แล้วก็มีหลายคนหันมามองเธอทันใดนั้น เธอก็ถูกผู้คนล้อมรอบ“ทำไมเธอถึงยังมีหน้ามาออกมาอีก ไม่กลัวคนโยนไข่เน่าใส่หรือไง?”“เธอจะรักษาหน้าไปทำไมกันล่ะ?! ถ้าเธอมีความละอายก็คงไม่ทำเรื่องเลว ๆ แบบนี้หรอก!”“จอมโกหก! ชักชวนแฟนคลับไปกลั่นแกล้งคนอื่นในโลกออนไลน์ เธอสมควรตกนรก!”ลู่ม่านเซิงมองพวกเขาที่มีสีหน้าดุดัน ใบหน้าของเธอซีดเผือด หัวใจก็เต้นระรัว เธอรีบอธิบายว่า “ฉันไม่ได้กลั่นแกล้งใครในโลกออนไลน์ แล้วฉันก็ไม่ได้โกหก...”เพียะ!มีคนหยิบก้อนโคลนจากกระถางต้นไม้ขึ้นมาขว้างใส่เธอด้วยความโกรธลู่ม่านเซิงกลัวมากและกอดหัวตัวเองไว้โดยไ
ทำไมเป็นเขาล่ะ?“ทำไมคุณถึงมาหาฉันถึงที่นี่?”เวินหนี่ยังคงระมัดระวัง เธอมีการติดต่อกับเขาน้อยมาก ก่อนหน้านี้มีแค่ครั้งเดียวที่ได้เจอกันเพราะเรื่องของลู่ม่านเซิงที่เขาโผล่มาที่นี่ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าว่าเขาสะกดรอยตามเธอมาและมีจุดประสงค์บางอย่างสายตาของเย่หวูโหยวกลับดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ห้องข้าง ๆ คือคุณงั้นเหรอ”เวินหนี่มองเขา ยังไม่เข้าใจความหมายที่เขาพยายามจะบอกเย่หวูโหยวเห็นสายตาของเธอที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังและความสงสัย จึงชี้ไปที่ห้องข้าง ๆ และอธิบายว่า “ผมอาศัยอยู่ห้องข้าง ๆ เป็นเพื่อนบ้านของคุณที่พึ่งย้ายเข้ามาใหม่”เวินหนี่มองไปที่ประตูห้องข้าง ๆ ที่เปิดอยู่ และเริ่มเข้าใจ ห้องว่างข้าง ๆ มีคนย้ายเข้ามาอยู่แล้วเธอหันมามองเย่หวูโหยวอีกครั้ง แล้วถามว่า “คุณย้ายมาตอนไหน?”“เช้านี้”“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนที่ฉันไปหาคุณ ที่ทำงานของคุณดูเหมือนที่อยู่อาศัยมากกว่านี้เสียอีก” เวินหนี่คิดว่าเขาน่าจะอาศัยอยู่ที่นั่น “เปล่า เวลายุ่ง ๆ ก็จะนอนพักที่นั่น แต่ยังไงก็ต้องมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองด้วยเหมือนกัน”เวินหนี่เริ่มนึกถึงการพบกันในครั้
แม้ว่าเธอจะจ่ายเงินให้เขาไปแล้ว แต่บุญคุณนี้ก็ยังคงอยู่ในใจเธอ“ไว้มีโอกาสนะคะ” เวินหนี่ไม่ได้ปฏิเสธ “รอครู่หนึ่งนะ คุณให้สตรอเบอร์รี่มา งั้นฉันก็จะให้ของบางอย่างกับคุณเหมือนกัน”พูดเสร็จเธอก็รีบเดินเข้าไปในห้อง เย่หวูโหยวไม่ได้ตามเข้าไปในบ้าน แต่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูเวินหนี่ยังไม่รู้ว่าจะให้ของขวัญอะไรกับเขาจนกระทั่งเห็นขวดนมสดอยู่ในบ้าน เธอก็หยิบมันมาทั้งหมดเย่หวูโหยวมองแผ่นหลังของเธอพลางยิ้มเล็กน้อย ดวงตาของเขาดูอบอุ่นจนกระทั่งเมื่อเวินหนี่หันมาจึงรีบซ่อนอารมณ์ที่แฝงอยู่ในดวงตาของเขากลับคืนไป“ในบ้านไม่มีอะไร พวกนี้เป็นนมที่ฉันชอบดื่ม กลิ่นนมจะค่อนข้างเข้ม ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณไหม” เวินหนี่พูดเย่หวูโหยวไม่ปฏิเสธ รับนมทั้งสองขวดมาจากมือเธอ “ขอบคุณครับ”“ไม่เป็นไร คุณเคยช่วยฉันไว้ บุญคุณนี้ฉันจะจำไว้เสมอ”“คุณจ่ายเงินซื้อข่าว ผมคิดว่าคุณไม่มีอะไรติดค้างผมแล้ว” เย่หวูโหยวตอบ“ข่าวของลู่ม่านเซิงไม่ใช่ข่าวธรรมดา” เวินหนี่มองเขาตรง ๆ “ในเมื่อคุณยอมขายมันให้ฉัน ฉันก็จะจำมันเอาไว้ค่ะ”เย่หวูโหยวถูขวดนมในมือและพูดด้วยน้ำเสียงมีความหมายว่า “คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้ตั้งใจเข้
พวกเธอทั้งสองเดินนำเข้าไปข้างในเย่หวูโหยวตามหลังเข้าไปขณะที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เขาก็ยังมีความลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็เดินเข้าไปถังเยาวางกระเป๋าไว้ข้าง ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเวินหนี่เดินไปที่ห้องครัว เตรียมทำบะหมี่สามชามเย่หวูโหยวยืนอยู่ที่ประตู ดวงตาสีน้ำตาลของเขามองสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง โดยไม่พูดอะไร ก่อนที่ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยถังเยาเห็นเขายืนอยู่จึงพูดขึ้นว่า “ทำไมยืนอยู่ล่ะ รีบนั่งลงสิคะ”เย่หวูโหยวมองไปที่ถังเยาแล้วเดินไปนั่งถังเยาเดินไปเทน้ำชาให้เขาเธอรู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้มากกว่า เพราะเขาหน้าตาดีขนาดนี้ดวงความรักของเวินหนี่นั้นดีจริง ๆทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเธอมีแต่คนหล่อเหลาทั้งนั้น“คุณทำงานอะไรเหรอ? อายุเท่าไร? ในครอบครัวมีกี่คน?” ถังเยาจิบชา ทำตัวเหมือนคนในครอบครัวของเวินหนี่ที่กำลังถามถึงฐานะของอีกฝ่าย“หมอ” เย่หวูโหยวตอบแค่คำนี้แรกเสียงเบา แล้วหยิบแก้วชาขึ้นมาดื่มถังเยาสังเกตเห็นเขามีสร้อยข้อมือที่ทำจากลูกปัดห้อยอยู่ มันดูน่าสนใจมาก และรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีความลึกลับ “ที่มือของคุณใส่ลูกปัดด้วย ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย คุณเชื่อ
เวินหนี่มองไปที่เย่หวูโหยว “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น”เย่หวูโหยวตอบ “ผมไม่ค่อยชอบกินผลไม้ สตรอเบอร์รี่หากปล่อยทิ้งเอาไว้ก็สุกจนเน่า เอามาให้คุณกินจะไม่ดีกว่าเหรอ”ถังเยามองไปที่เย่หวูโหยว และรู้สึกแปลก ๆเขาดูเหมือนจะใส่ใจเวินหนี่มาก“รีบกินบะหมี่เถอะ ไม่งั้นมันจะเย็นแล้วจับตัวเป็นก้อน” เวินหนี่พูดพวกเขากินบะหมี่ด้วยกันแต่เย่หวูโหยวกลับมองบะหมี่ในชามอยู่นาน ก่อนจะเริ่มกินเขากินช้า ๆตอนที่เวินหนี่กินเสร็จ เขายังเหลือบะหมี่อยู่เกือบครึ่งชามเวินหนี่เก็บชามไปที่ครัว ถังเยาตามไปและผลักไหล่เธอเบา ๆ “เขาชอบเธอหรือเปล่า?”เวินหนี่แทบจะอ้วกบะหมี่ออกมา “จะเป็นไปได้ยังไง รวมวันนี้พวกเราพึ่งจะเจอกันแค่สามครั้งเอง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรกันมากด้วย”ถังเยาคิดตาม เหมือนว่าจะไม่เคยเห็นคนแบบเขามาก่อนจริง ๆ“แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าเธอกับเขารู้จักกันมานานแล้วกันนะ” ถังเยาพูด “สายตาที่เขามองเธอมันเหมือนรู้จักกันมานานแล้วเลย แถมเขายังเอาสตรอเบอร์รี่มาให้เธอด้วย เธอชอบกินสตรอเบอร์รี่มากไม่ใช่เหรอ? ทั้งผลใหญ่ทั้งแดงสด เธอต้องชอบมันมากแน่ ๆ แบบนี้มันบังเอิญเกินไปหน่อยไหม”“ไม่น่าจะขนาดนั้นหร
“เกินไปแล้วมั้ง ซุปก็ซดหมด” ถังเยาแซวเวินหนี่ใช้ข้อศอกผลักถังเยาเบา ๆ ไม่อยากให้เธอพูดมาก แล้วก็รับชามจากเย่หวูโหยวมาเย่หวูโหยวกล่าว “ผมชอบทานน้ำซุปน่ะ”หลังจากนั้นเขาก็พูดกับพวกเธอว่า “ผมยังมีงานต้องทำ งั้นก็ไม่รบกวนพวกคุณแล้วก็แล้วกัน”เวินหนี่กล่าวตอบ “ค่ะ”เย่หวูโหยวพยักหน้าก่อนที่จะเดินออกจากห้องเวินหนี่เดินไปส่งเขา ก่อนจะปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงประตูปิด เย่หวูโหยวก็หยุดเดินชั่วขณะ แล้วค่อย ๆ หันกลับมามองที่ประตูอยู่นาน ก่อนจะเดินจากไปเขาลงไปที่ชั้นล่าง พบว่ามีรถเบนซ์จอดอยู่เมื่อกำลังจะเข้าไปในรถ ทันใดนั้น รถสปอร์ตคันข้าง ๆ ก็เปิดกระจกลงผู้หญิงผมแดง หน้าตาสะสวย ผมลอนยาว และดวงตาที่เย้ายวนกำลังเท้าคางแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมถึงย้ายที่อยู่ล่ะ? แล้วยังไม่บอกฉันสักคำ”เมื่อเห็นเธอ เย่หวูโหยวก็ปิดประตูรถ และยิ้มตอบไปว่า “หาเจอเร็วดีนี่”ผู้หญิงผมแดงลงจากรถสปอร์ต เดินท่าทางสูงสง่า สวมรองเท้าส้นสูงที่มีส้นบางเฉียบ สายตากวาดมองไปรอบ ๆ “ทำไมเลือกที่นี่? มันไม่ค่อยเหมือนสไตล์ของคุณเลย”ต้องบอกก่อนว่าเย่หวูโหยวเป็นคนรักความสะอาดสุด ๆ ของใช้ทุกชิ้นที่พกติดตัวจึงต้องดูเร
“สตรอเบอรี่พวกนี้มันมีอะไรพิเศษเหรอคะ?” เวินหนี่ถามอย่างสงสัย เพราะไม่อย่างนั้นผู้หญิงคนนี้ก็คงจะไม่สนใจขนาดตามเธอมาตลอดทางแถมยังพูดว่าอิจฉาเธออีก ผู้หญิงผมแดงมองไปที่เวินหนี่อย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะรู้สึกว่าเธอดูคุ้นหน้ามาก “หากถามว่ามีอะไรพิเศษก็คงเป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาปลูกเอง แล้วคนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง ไม่ว่าใครก็ตาม”เมื่อพูดจบ เวินหนี่ก็หยุดชะงักทันที“ฉันมีธุระ ต้องขอตัวก่อน” ผู้หญิงผมแดงพูดก่อนที่จะเร่งเครื่องและขับรถออกไปจากตรงนั้นเวินหนี่มองสตรอเบอรี่ในมือของตัวเองและตกอยู่ในภวังค์ เธอเริ่มสงสัยสิ่งที่เย่หวูโหยวพูดว่าเพื่อนบ้านได้รับกันทุกคน หรือว่ามีเธอเพียงคนเดียวที่ได้สตรอเบอรี่นี้?เธอรู้สึกแปลกใจและสงสัย แต่ก็ไม่มีเวลามากนัก จึงตัดสินใจรีบกลับไปที่บริษัทตั้งแต่ที่เจียงเมิ่งเหยาออกไปแล้ว เธอกับเสี่ยวอิ่งต่างก็ได้พลิกชีวิต เสี่ยวอิ่งดูจะดีใจมากเพราะในที่สุดเธอก็ไม่ได้แค่นั่งพิมพ์งานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ยังสามารถออกไปทำงานข้างนอกได้ด้วยขณะที่เวินหนี่กำลังรีบทำต้นฉบับอยู่นั้น เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเติ้งจวน“แม่คะ”เติ้งจวนถามด้วยความเป็นห่วงจากปลา
อาจ้านตอบว่า “ช้าอีกหน่อยแล้วกัน สถานที่เดิม”หญิงผมแดงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้เลย ฉันจะรอคุณตรงเวลานะ”พูดจบหญิงผมแดงก็รีบเดินออกจากบริเวณของเขาไป พอเธอจากไปแล้ว อาจ้านก็ค่อย ๆ เอาหัวใจของสัตว์กลับใส่ที่เดิม จากนั้นเขาก็เย็บปิดแผลอย่างประณีต แม้ว่าเมื่อครู่จะดูโหดร้ายเลือดสาดสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้หัวใจของสัตว์นั้นก็ยังสามารถเต้นได้อีกครั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว อาจ้านถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดออก ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและสบู่หลายรอบ จนกระทั่งไม่เหลือกลิ่นใด ๆ แล้วจึงออกไป เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังฟาร์มที่หน้าประตูมีคนยืนเฝ้าอยู่ พอเห็นรถของอาจ้านเข้ามาก็รีบเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในฟาร์มมีการปลูกดอกไม้บางชนิดตกแต่งไว้ แต่มีเพียงสตรอเบอร์รีเท่านั้นที่เป็นพืชหลักของฟาร์มสตรอเบอร์รีในแปลงไม่ได้ถูกเก็บไปขาย หลายลูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้น อาจ้านลงจากรถ สายตาเขาเหลือบมองทุ่งสตรอเบอร์รีที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีอย่างพอใจ บนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆผู้คุมหน้าประตูส่งตะกร้าให้ อาจ้านรับตะกร้ามาแล้วเดินตรงเข้าสู่แปลงสตรอเบอร์รี ทุ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยผลสตรอเบอร์รีที่สุกงอมจนเป็นส
[ฉันว่าคุณพูดถูกนะ เทียบกันแล้วฉันชอบคลิปสั้นของจางจื่อฉีมากกว่า ชอบบทของเธอในละครเรื่องนั้นจริงๆ!]ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธคนพวกนี้พูดบ้าอะไรกัน! บอกว่าจางจื่อฉีถ่ายได้ดีกว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง! เธอหน้าตาสวยกว่าจางจื่อฉีตั้งเยอะผู้ช่วยของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นยอดไลค์ในคลิปสั้นของจางจื่อฉีพุ่งทะลุสิบล้านแล้ว จึงพูดจาดูถูกขึ้นมาทันที “พวกชาวเน็ตเขียนอะไรกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณเซิงสวยกว่า จางจื่อฉีน่ะอาศัยแค่กระแสความทรงจำ ไม่ได้มีความสามารถจริงจังอะไรเลย แถมดันไปถ่ายคลิปสั้นแบบนี้อีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเขาเล่นกันทั้งนั้น ดาราจะไปโพสต์คลิปบนแอปแบบนี้ได้ยังไง ไร้เกียรติมาก!”ผู้ช่วยของเธอดูถูกวิธีการนี้มาก เพราะส่วนใหญ่ดาราที่โพสต์บนแอปสั้นมักจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยดัง พยายามหารายได้จากตรงนี้ เธอจึงไม่สนใจสิ่งนี้เลย“อ๊า!” ลู่ม่านเซิงโมโหถึงกับปามือถือลงพื้น!ผู้ช่วยที่ตอนแรกตั้งใจจะปลอบเธอ ถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นลู่ม่านเซิงปามือถือด้วยความโกรธ “คุณเซิง…”ลู่ม่านเซิงโกรธจนตาแดงก่ำ “ทำไมยอดไลค์ของจางจื่อฉีถึงได้ถึงสิบล้าน มีคนชอบเธอตั้งมา
ทางด้านลู่ม่านเซิงก็กำลังถ่ายทำเช่นกันเธอแต่งกายสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับจางจื่อฉี“ดีมากเลย เซิงเซิง สวยมาก!” ช่างภาพกล่าวพลางถ่ายจากหลายมุม“มุมนี้ดูดีมาก ได้ภาพสวยเลย!”ช่างภาพชมเธอไม่หยุดระหว่างถ่ายทำลู่ม่านเซิงเองก็มั่นใจในตัวเองสูง เธอตั้งใจถ่ายมาก เพราะรู้ดีว่าเสน่ห์และความงามของเธอเหนือกว่าจางจื่อฉี ซึ่งในวงการบันเทิงแล้ว ความงามถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง หลายคนดังได้จากเพียงรูปลักษณ์เธอเองก็แสดงละครได้ดี แถมยังมีหน้าตาที่โดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะเอาชนะจางจื่อฉีได้แน่นอนจริง ๆ แล้วเป้าหมายของเธอไม่ใช่จางจื่อฉี แต่เป็นเวินหนี่เธอจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับจางจื่อฉีเพื่อโค่นล้มเวินหนี่ หากเธอชนะจางจื่อฉีได้ ก็จะถือว่าชนะเวินหนี่ด้วยและหากชนะครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อไปเมื่อดูภาพถ่ายของตัวเอง เธอก็พึงพอใจมาก เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเทรนด์ในโลกออนไลน์ได้“รีบปล่อยภาพนี้ไปให้เร็วที่สุดนะ ใช้ความร้อนแรงของงานในวันนี้ให้เต็มที่” ลู่ม่านเซิงสั่ง“แน่นอนครับ คาดว่าค่ำนี้น่าจะได้เห็นกันแล้ว!”ริมฝีปากของลู่ม่านเซิงเผยรอยยิ้มมั่นใจ คิดว่าความสำเร็จอยู่ในมือเธอแล้วค่ำวันนั้น สื่อ
เธอยังคงเป็นคนของบริษัทเย่หนานโจว หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น บริษัทก็ย่อมต้องคุ้มครองเธออยู่แล้ว ช่วงนี้ยังมีข่าวมากมายที่ออกมาช่วยลบล้างข่าวเสียของลู่ม่านเซิงอีกด้วยเวินหนี่มองลู่ม่านเซิงในชุดนี้อย่างเย้ยหยัน “เลียนแบบจนได้ดี มันสนุกมากไหม?”คำพูดนี้จี้จุดของลู่ม่านเซิง แต่คราวนี้เธอไม่สนใจ เธอต้องการชนะเสียครั้งหนึ่ง จึงยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เวินหนี่ เธอไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะไปรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่คนดูชอบ คนที่สวยก็ย่อมมีคนติดตามมากกว่า หรือเธอว่าไม่จริง?”ความหมายก็คือเธอเชื่อว่าตัวเองสวยกว่าจางจื่อฉี แต่แม้ว่าลู่ม่านเซิงจะพูดอย่างนั้น จางจื่อฉีก็มีฝีมือการแสดงที่เหนือกว่า ความเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเรื่องความสวยจางจื่อฉียืนอยู่อย่างสงบ สีหน้าเยือกเย็น ไม่คิดจะโต้เถียงใด ๆ กับลู่ม่านเซิง ราวกับไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับเธอเลยเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจจะโต้แย้งอะไรในเรื่องนี้ เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ลู่ม่านเซิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ได้ยั่งยืน “ในเมื่อเธอชอบนัก ก็เอาไปเถอะ จางจื่อฉีไม่ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ใช้ที่นี่”พอเห็นเวินหนี่รู
เวินหนี่ถ่ายรูปให้จางจื่อฉีไปหลายรูป แม้เธอจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นเพราะความสวยงาม แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเธอที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้นักแสดงชายหลายคนมีชื่อเสียงได้เช่นกัน ความไม่ถือตัวและความเป็นกันเองของจางจื่อฉีเป็นสิ่งที่เวินหนี่ชื่นชมเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์เกือบสิ้นสุดลง เวินหนี่เดินหาช่างภาพเพื่อนำไปถ่ายภาพเสร็จสมบูรณ์พอเสี่ยวอิ่งเห็นจางจื่อฉี เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จางจื่อฉี! ฉันได้เจอตัวจริงแล้ว!”เวินหนี่เห็นเสี่ยวอิ่งมีปฏิกิริยาขนาดนี้ก็อดแซวไม่ได้ “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสี่ยวอิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนสิ! ฉันดูละครที่เธอเล่นมาตั้งหลายเรื่อง นี่มันเหมือนฝันไปเลย ฉันได้เจอไอดอลของฉัน ฉันชอบเธอมาก ๆ เลยล่ะ!”จางจื่อฉียิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี ฉันคือจางจื่อฉีค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไปจับมือกับเสี่ยวอิ่งเสี่ยวอิ่งมองมือของจางจื่อฉีด้วยความตื่นเต้น ราวกับอยู่ในความฝัน เธอจับมือจางจื่อฉีแล้วพูดอย่างซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉันดูละครที่คุณแสดงมาทุกเรื่องเลยนะคะ ฉันรู้ประวัติของคุณด้วย คุณมาจากต่างจังหวัดแล้วต่อสู้ในวงการบันเทิงตั้งนาน ฉ
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถของลู่ม่านเซิงในการสร้างกระแสดังในทางลบ กับความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจางจื่อฉีที่ปฏิเสธไม่รับเล่นบทละครที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว เวินหนี่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่าในวงการบันเทิงยุคนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว นักแสดงหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่คนเก่าก็ถูกลืมไปได้ง่ายบางคนอาจโด่งดังจากละครเรื่องเดียว แต่ถ้าไม่มีผลงานต่อไปคอยสนับสนุนจากคนดังแถวหน้าก็อาจตกไปเป็นระดับล่างได้ในพริบตา การแข่งขันในวงการนี้โหดร้ายและไร้ปรานี ต่อให้เวินหนี่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเอง เธอก็ยังเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแม้การเล่นละครที่ด้อยคุณภาพจะทำให้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ถ้ามันสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้ นักแสดงคนนั้นก็สามารถนับเป็น ‘สินค้าทางการตลาด’ ที่ประสบความสำเร็จแล้วเวินหนี่มองจางจื่อฉีและพูดว่า “คุณเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงที่ดี แต่ยังไม่ยอมตามกระแสแบบทั่วไป คนที่เป็นแบบนี้หาได้ยากมาก ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าสักวันคุณจะต้องโด่งดังแน่นอน”จางจื่อฉีรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำชมจากเวินหนี่ เธอจึงยิ้มและพูดด้วยความขอบคุณ “ตอนน
นักข่าวที่มางานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอ เพราะสื่อออนไลน์พัฒนาไปไว ทุกคนต่างก็พยายามเป็นคนแรกในการปล่อยข่าว รายงานแรกที่แม่นยำที่สุดย่อมได้เรตติ้งดีที่สุดแม้งานเดินแบบเวทีทีสเตจนี้จะไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่การถ่ายทอดสดก็ทำให้ทุกสื่อแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของกระแสบนรันเวย์ตอนนี้มีนางแบบเดินอยู่บ้างแล้ว บรรดาดาราหลายคนก็อยู่ที่นั่งฝั่งผู้ชม เวินหนี่กำลังมองหามุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพ“คุณเวิน”ทันใดนั้นเสียงเรียกเธอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เวินหนี่หันกลับไปก็พบว่าจางจื่อฉีกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นแต่ทีมงานและดาราที่อยู่ด้านใน“คุณจาง ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้คะ?”จางจื่อฉีตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณจางหรอก เรียกว่าจื่อฉีก็พอ”เวินหนี่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว “ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ? เข้าไปด้านในเถอะนะ ตรงนี้มีแต่ทีมงาน เดี๋ยวถ้าโดนนักข่าวรุมถ่ายจะลำบากเอานะคะ!”เวินหนี่รู้ดีว่าพวกนักข่าวนั้นดุดันแค่ไหน การที่จางจื่อฉีออกมาแบบนี้อาจทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายได้จางจื่อฉีไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เธอมองไปยังพวกนักข่าวและช่างภาพที่กำล
เย่หนานโจวหัวเราะเย็นชา “เคยเห็นการยินยอมพร้อมใจแบบนี้ด้วยหรือไง?”ปลายสายถึงกับเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ในเมื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ถึงกับถูกหลอกกันง่าย ๆ เขารู้สึกว่าเย่หนานโจวกังวลเกินไปแต่พอคิดอีกที คงเป็นเพราะความห่วงใยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จึงเข้าใจได้ว่าความกังวลของเย่หนานโจวก็มีเหตุผลอยู่เย่หนานโจวเปิดม่านหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกังวลใจ "เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย ถ้ามีใครสักคนเข้ามาหว่านล้อมไม่กี่คำแล้วเธอดันหลงเชื่อขึ้นมาล่ะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย"ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เขาจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหลังจากวางสาย เย่หนานโจวเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนชุด เวินหนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี เห็นเขาเดินเข้ามาตรงเวลา เธอจึงหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “ฉันจัดการเองได้”เย่หนานโจวไม่คัดค้าน แต่จ้องมองเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องไปทำธุระสักพัก คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน”“ค่ะ” เวินหนี่พูดขณะเป่าผม โดยไม่หันไปมองเขาเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เวินหนี่เดินออกมาพร้อมกับเย่หนานโจว“หน
เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังเธอไม่วางตาโดนมองแบบนี้แล้ว เวินหนี่ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ว่ายน้ำเสร็จแล้วหรือยังคะ? ถ้าเสร็จแล้ว ช่วยปล่อยให้ฉันออกไปจะได้ไหม?”เย่หนานโจวสบตาเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำขึ้นทุกที “เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะ?”เวินหนี่ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขากลับ “ฉันไม่ได้โกหก”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ “เธอโกหกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เธอโกหกอีกเป็นครั้งที่สอง”เวินหนี่นิ่งเงียบ ตอนนี้ในสถานการณ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่ามันจะเป็นการโกหกหรือไม่ ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว การปกป้องตัวเองด้วยการโกหกก็เป็นเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เย่หนานโจวไม่ทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้เวินหนี่เดินเข้าไปข้างในทันที แล้วเลขาหญิงก็ตามเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เป็นชุดกีฬาที่สวมใส่สบายและโปร่ง “คุณเวินคะ นี่เป็นชุดที่ท่านประธานเตรียมไว้ให้ค่ะ”เวินหนี่ทั้งตัวเปียกชุ่มไปหม