เย่หนานโจวกวาดตามองเวินหนี่แวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ให้เธอเข้ามา"เวินหนี่เม้มริมฝีปาก ยังไม่ทันจะพูดอะไร ลู่ม่านเซิงก็เดินเข้ามาจากประตูโดยมีเสียงรองเท้าส้นสูงดังก้องเข้ามาเวินหนี่ไม่ได้มองเธอแต่เสียงของลู่ม่านเซิงก็ดังขึ้นข้าง ๆ "ฉันเอาเสื้อผ้ามาให้คุณน่ะ"ลู่ม่านเซิงเดินไปอยู่ตรงหน้าเย่หนานโจวเธอเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว เป็นชุดสูทกระโปรงสีเขียวอ่อน พร้อมกับผมลอนใหญ่ที่ทำให้ลู่ม่านเซิงดูสูงเพรียวและสวยงาม"ไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่หรอก"เวินหนี่หันไปมองเย่หนานโจวแวบหนึ่งสีหน้าของเขาดูเย็นชาและไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนักแต่คำพูดของเขา…ลู่ม่านเซิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ถ้าฉันไม่มาส่งเอง ฉันคงจะไม่สบายใจ ไม่คิดเลยว่าคุณจะกำลังกินข้าวอยู่ อาหารพวกนี้เลขาเวินทำเองเลยสินะคะ?""อืม"เย่หนานโจวตอบรับอย่างเรียบ ๆลู่ม่านเซิงจึงมองไปที่เวินหนี่ด้วยความคาดหวัง “เลขาเวิน ฉันขอลองชิมฝีมือทำอาหารหน่อยได้ไหม? พอดีวันนี้ฉันว่างเลยคิดว่าจะมาเรียนทำอาหารจากคุณบ้าง”เวินหนี่ปฏิเสธ “ฉันเตรียมจานชามให้คุณได้นะ แต่เรื่องเรียนทำอาหารคงไม่ไหว ฉันไม่ใช่มืออาชีพ แล้วก็ไม่มีเวลา”พ
เวินหนี่ตอบโต้ทุกคำพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ คำพูดเหล่านั้นกำลังกดลู่ม่านเซิงให้จมลงไปในความเจ็บปวดสีหน้าของคนฟังจึงดูแย่ถึงขีดสุด ไฟโทสะลุกโชนในใจแต่เหตุผลบอกเธอว่าต้องสงบสติอารมณ์"เธอก็ไม่ต้องดีใจไป หนานโจวก็ไม่เคยยอมรับสถานะของเธอต่อสาธารณะเหมือนกัน และที่สำคัญเขาปกป้องฉันมากกว่า" ลู่ม่านเซิงคว้ามีดผลไม้ขึ้นมาแล้วยื่นมีดให้เวินหนี่ "เลขาเวิน ช่วยสอนฉันหั่นผักหน่อยสิ"เวินหนี่ขมวดคิ้ว มองลู่ม่านเซิงแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้รับมีดเธอเรียกแม่บ้านหลี่ "คุณลู่ ฉันไม่มีความอดทนพอจะสอนใครได้ แม่บ้านหลี่ดูจะมีความอดทนมากกว่า มาช่วยสอนคุณลู่แทนฉันที"สีหน้าของลู่ม่านเซิงเย็นชาไปกว่าเดิมเวินหนี่ไม่แม้แต่จะรับของจากเธอและไม่ยอมสอนอะไรเธอเลย!แผนการที่ลู่ม่านเซิงวางไว้ไม่เป็นไปตามคาด เธอจึงหมดความตั้งใจทันทีแล้วโยนมีดลงบนเขียงอย่างแรง "ช่างเถอะ อยู่ดี ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ไว้วันหลังฉันจะมาเรียนใหม่"แม่บ้านหลี่มาถึงกับนิ่งไปเดี๋ยวจะเรียน เดี๋ยวไม่เรียน คุณลู่คนนี้ ช่างแปลกจริง ๆ!…ลู่ม่านเซิงเห็นว่าชุดที่เธอนำมาให้เย่หนานโจวนั้นถูกวางไว้บนโซฟาเวินหนี่นั่งอยู่บนโซฟาในขณะที่ถือโท
คำพูดนั้นส่งผลกระทบต่อทั้งเวินหนี่และลู่ม่านเซิงสำหรับเวินหนี่เธออยู่ข้างเย่หนานโจวมานานเจ็ดปี เธอรู้จักนิสัยของเขาเป็นอย่างดี ขณะที่เธอยืนอยู่ตรงนั้น ในฐานะเลขาของเขา หากเป็นปกติเย่หนานโจวคงจะให้เธอไปช่วยพยุงลู่ม่านเซิงขึ้นแต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้นชัดเจนว่าเย่หนานโจวนั้นเข้าข้างลู่ม่านเซิงอย่างไรก็ตามเวินหนี่ยังคงสงบนิ่งเธอถือโทรศัพท์ตั้งแต่ต้นจนจบและไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย เพราะคนบริสุทธิ์ย่อมเป็นที่ประจักษ์เมื่อดูกล้องวงจรปิดก็จะเห็นได้ชัดว่าลู่ม่านเซิงเป็นเพียงตัวตลกที่แสดงละครเท่านั้นสำหรับลู่ม่านเซิงนั้น…เย่หนานโจวกำลังแสดงความรังเกียจเธอโดยเฉพาะน้ำเสียงที่เย็นชาของเย่หนานโจว ชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อเธออีกต่อไปแต่เธอกำลังเดิมพันอยู่ประมาณสองนาทีต่อมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เปิดภาพจากกล้องวงจรปิดในภาพตอนที่ลู่ม่านเซิงเดินผ่านเวินหนี่มุมของกล้องถูกบังพอดี และในชั่วพริบตาลู่ม่านเซิงก็ล้มลงไปข้างหลังดูจากภาพแล้วเหมือนว่ามีคนผลักเธออย่างชัดเจนเย่หนานโจวส่งสายตาเย็นชาและดุดันไปยังเวินหนี่ “ขอโทษซะ”นี่คือคำสั่งในบ้านมีกล้องวงจรปิดก็จริง แต่ไม่ใช่กล้องที่สาม
”ดูสิ”ลู่ม่านเซิงเองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้พูดถึง เธอคิดว่าเย่หนานโจวกำลังจะเล่นงานเวินหนี่ แจึงเดินจากไปด้วยความพึงพอใจ“ทำไมเมื่อกี้เธอถึงไม่พูด?” เย่หนานโจวขมวดคิ้วคำพูดของเวินหนี่ทำให้เขาตระหนักได้ถึงปัญหาข้อนี้เช่นกันรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเวินหนี่ “สิ่งที่คุณปักใจไปแล้วจะเปลี่ยนไปเพราะคำพูดไม่กี่คำของฉันงั้นเหรอคะ?”ทันทีที่พูดจบ เวินหนี่ก็สะบัดเย่หนานโจวออก จากนั้นเธอก็หันหลังจากไป ทิ้งไว้เพียงเงาเบื้องหลังให้กับเย่หนานโจวเย่หนานโจวไม่ได้ไล่ตามเธอและไม่ได้เรียกเธอไว้แต่ดวงตาดำขลับกลับมองตามแผ่นหลังของเวินหนี่ไป…ทันทีที่เย่หนานโจวจุดบุหรี่ ลู่ม่านเซิงก็โทรเข้ามาเขากดเปิดสปีกเกอร์โฟนเสียงที่ดังมาจากปลายสายของลู่ม่านเซิงฟังดูแหบแห้ง “พี่หนานโจว พี่อย่าดุเวินหนี่มากเกินไปเลยนะคะ ฉันรู้ว่ามันเป็นความผิดของฉันเอง และฉันจะควบคุมตัวเองไม่ให้สร้างปัญหาให้กับพี่อีก”“ได้แบบนั้นก็ดี”น้ำเสียงเย็น ๆ ออกมาจากปากของเย่หนานโจว เมื่อลู่ม่านเซิงได้ยินแบบนั้นเธอก็ตกตะลึงเย่หนานโจวเชื่อว่าเวินหนี่ผลักเธอไม่ใช่เหรอ?กล้องวงจรปิดจับภาพอะไรไว้ไม่ได้นี่เ
เย่หนานโจวผลักอาหารไปตรงหน้าเวินหนี่ “จะให้ฉันป้อนไหม?”เย่หนานโจวพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งเวินหนี่ไม่เชื่อว่าเขาจะป้อนอาหารให้เธอจริง ๆเวินหนี่พูดอย่างเฉยชา “ไม่หิวก็คือไม่หิว แม้แต่เรื่องกินข้าวฉันก็ยังไม่มีอิสระในการตัดสินใจเองงั้นเหรอคะ?”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรแต่วินาทีต่อมา เขาก็นำอาหารจ่อมาที่ปากของเวินหนี่จริง ๆในเวลานั้น ดวงตาสีดำของเย่หนานโจวได้แต่มองดูเธออย่างเงียบ ๆแววตาของเขาไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนเวินหนี่นิ่งอึ้งแต่เขาก็พูดขึ้นช้า ๆ “แต่ยังไงก็ต้องกินข้าว”เขาพูดอย่างอ่อนโยน เวินหนี่รู้สึกประหลาดใจในการได้รับความสำคัญอย่างไม่คาดฝัน แล้วจึงรีบรับช้อนต่อจากเขา “ฉันจะกินเองค่ะ”ด้วยความกลัวว่าเย่หนานโจวจะป้อนเธออีกครั้ง เธอจึงรีบกินไปอีกสองสามคำ เย่หนานโจวยื่นน้ำให้เธออย่างใส่ใจ “อย่าสำลักล่ะ”เวินหนี่ไม่ได้สำลัก แต่เธอตกใจกับพฤติกรรมของเย่หนานโจวก่อนที่เธอจะพูดอะไร เย่หนานโจวชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ฉันให้เผยชิงจองตั๋วแล้ว”“ตั๋วไปประเทศฝรั่งเศสเหรอคะ?”เวินหนี่รู้สึกเหลือเชื่อเย่หนานโจวตอบ “ใช่”และเสริมขึ้นอีกว่า “เธออย่าลืมบอกพ่อแม่ของเธอไว้ด้วยล่ะ
การที่เขาพูดเรื่องที่ไม่เคยพูดถึงมาก่อนมันทำให้เวินหนี่รู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ย “ฉันเป็นเลขาของคุณ แล้วก็มีรถมากมายในโรงรถของคุณ ฉันจะต้องการรถไปทำไมกัน?”แต่เมื่อดูการกระทำในปัจจุบันของเย่หนานโจวแล้ว เหมือนว่าเขาต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ “เธอจะขับรถของฉันหรือนั่งแท็กซี่ไปไหนมาไหนตลอดไม่ได้นี่”เย่หนานโจวนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เวินหนี่มองไปข้างหน้าเพราะกำลังขับรถ เย่หนานโจวจึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเธอได้แต่ฟังจากน้ำเสียงของเธอ เย่หนานโจวรู้สึกได้ว่าเวินหนี่ไม่สนใจเรื่องนี้เลยเธอพูดนิ่ง ๆ “ฉันขับรถของคุณเวลาทำงาน ส่วนเรื่องรถส่วนตัว...หากฉันซื้อรถราคาหลายล้าน คนอื่นจะคิดว่าฉันเป็นแค่เลขาของคุณหรือไง แล้วหากฉันซื้อรถถูก ๆ คุณคิดว่าฉันทำให้คุณอับอายหรือเปล่า?”คำพูดของเวินหนี่ชัดเจนมากทุกคำเย่หนานโจวเม้มริมฝีปากแต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไร เวินหนี่ก็แทรกขึ้นก่อนว่า “หากฉันซื้อรถหรู บวกกับสถานะของฉัน ฉันจะถูกคนเยาะเย้ยอีกหรือเปล่า?”เธอไม่มีรถและทำงานแทบตลอดเวลา แบบนี้เธอรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจกว่ายิ่งไปกว่านั้นเธอกำลังจะจากไปแล้วดังนั้นรถก็ยิ่งไม่จำเป็นเข้าไ
เย่หนานโจวคิดอยู่ครู่หนึ่งและเลือกที่จะไปกับเจียงซิงถง “ไปกันเถอะ”เพราะแบบนี้เวินหนี่จึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เธอไม่มีความคิดที่จะอยู่เผชิญหน้ากับผู้ช่วยของเจียงซิงถงในห้องส่วนตัวและยิ่งคิดขึ้นมาได้ว่างานเลี้ยงครบรอบหนึ่งเดือนของลูกชายของเยว่เผิงเฟยได้ถูกเลื่อนเข้ามาเร็วขึ้น และถังเยาจะต้องไปแน่นอน ดังนั้นเธอจึงติดต่อถังเยาขณะเดินออกไปยังไม่ทันได้ต่อสายหาถังเยา ก็มีคนเห็นเธอเข้าเสียก่อน “โอ้ นั่นเวินหนี่เพื่อนร่วมชั้นของเราไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เป็นถึงเลขาของประธานเย่ ลืมไปแม้กระทั่งพื้นฐานความเป็นมนุษย์!”“ก็นั่นน่ะสิ! ให้เงินสองหมื่นห้ากับเพื่อนนักเรียนตง บอกว่าตัวเองมีธุระมาไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่”“ไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้เธอออกมาจากห้องส่วนตัว?”“ชิ! ไม่อยากมาเจอเพื่อนร่วมชั้น แต่มีเวลาเหลือเฟือที่จะรับใช้คนใหญ่คนโต!”…เดิมทีเวินหนี่ไม่คิดจะสนใจเรื่องนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าคนพวกนี้จะพูดคำพูดรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆแถมยังเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นในวิทยาลัยของเธอ แต่กลับพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังยิ่งนัก ดวงตาที่เย็นชาของเวินหนี่กวาดมองพวกเธอ “หุบปากเน่า ๆ ของพวกเธอไปซะ และห
แม้ว่าจะจับคนเหล่านี้เข้าคุกไม่ได้ แต่แค่การตักเตือนนั้นทำได้แน่ “เวินหนี่ ไม่มีใครเลวทรามเท่าเธออีกแล้ว!”“คนที่เลวทรามคือพวกเธอต่างหาก! ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน พวกเธอคงรุมเวินหนี่ไปแล้ว!” ลู่เซินด่าผู้หญิงเหล่านั้นอย่างไม่พอใจ“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงจะชั่วร้ายต่อกันได้ถึงขนาดนี้”“พวกเราปกป้องตัวเองไม่ได้หรือไง?”ผู้หญิงผมสั้นยังคงหยิ่งผยองมากลู่เซินอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เวินหนี่ก็ห้ามเขาไว้แล้วพูดว่า “พูดกับพวกที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ไปก็ไร้ความหมาย”หัวใจของลู่เซินกระตุกเพราะว่าเวินหนี่ดึงแขนเขา!แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความหมายอะไร แต่สำหรับเขา เวินหนี่คือผู้หญิงที่เขาชอบมากที่สุด และเธอก็เป็นคนที่เขาไม่สามารถรักได้แค่เวินหนี่ทำกับเขาแบบนี้ เขาก็มีความสุขมาก ๆ แล้ว แต่ฉากนี้ถูกเย่หนานโจวที่กลับมาเห็นเข้าอย่างชัดเจน ดวงตาของเย่หนานโจวเต็มไปด้วยความเยือกเย็น เขาโกรธไปทั้งตัวเจียงซิงถงที่อยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนว่านี่คือความหึงหวงของของผู้ชาย ยิ่งกว่านั้นคือความโกรธ“เลขาเวิน แค่พริบตาเดียวทำไมถึงได้มีคนมากมายอยู่ตรงหน้าคุณแบบนี้ล่ะคะ?” ใบหน้าข
อาจ้านตอบว่า “ช้าอีกหน่อยแล้วกัน สถานที่เดิม”หญิงผมแดงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้เลย ฉันจะรอคุณตรงเวลานะ”พูดจบหญิงผมแดงก็รีบเดินออกจากบริเวณของเขาไป พอเธอจากไปแล้ว อาจ้านก็ค่อย ๆ เอาหัวใจของสัตว์กลับใส่ที่เดิม จากนั้นเขาก็เย็บปิดแผลอย่างประณีต แม้ว่าเมื่อครู่จะดูโหดร้ายเลือดสาดสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้หัวใจของสัตว์นั้นก็ยังสามารถเต้นได้อีกครั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว อาจ้านถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดออก ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและสบู่หลายรอบ จนกระทั่งไม่เหลือกลิ่นใด ๆ แล้วจึงออกไป เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังฟาร์มที่หน้าประตูมีคนยืนเฝ้าอยู่ พอเห็นรถของอาจ้านเข้ามาก็รีบเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในฟาร์มมีการปลูกดอกไม้บางชนิดตกแต่งไว้ แต่มีเพียงสตรอเบอร์รีเท่านั้นที่เป็นพืชหลักของฟาร์มสตรอเบอร์รีในแปลงไม่ได้ถูกเก็บไปขาย หลายลูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้น อาจ้านลงจากรถ สายตาเขาเหลือบมองทุ่งสตรอเบอร์รีที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีอย่างพอใจ บนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆผู้คุมหน้าประตูส่งตะกร้าให้ อาจ้านรับตะกร้ามาแล้วเดินตรงเข้าสู่แปลงสตรอเบอร์รี ทุ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยผลสตรอเบอร์รีที่สุกงอมจนเป็นส
[ฉันว่าคุณพูดถูกนะ เทียบกันแล้วฉันชอบคลิปสั้นของจางจื่อฉีมากกว่า ชอบบทของเธอในละครเรื่องนั้นจริงๆ!]ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธคนพวกนี้พูดบ้าอะไรกัน! บอกว่าจางจื่อฉีถ่ายได้ดีกว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง! เธอหน้าตาสวยกว่าจางจื่อฉีตั้งเยอะผู้ช่วยของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นยอดไลค์ในคลิปสั้นของจางจื่อฉีพุ่งทะลุสิบล้านแล้ว จึงพูดจาดูถูกขึ้นมาทันที “พวกชาวเน็ตเขียนอะไรกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณเซิงสวยกว่า จางจื่อฉีน่ะอาศัยแค่กระแสความทรงจำ ไม่ได้มีความสามารถจริงจังอะไรเลย แถมดันไปถ่ายคลิปสั้นแบบนี้อีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเขาเล่นกันทั้งนั้น ดาราจะไปโพสต์คลิปบนแอปแบบนี้ได้ยังไง ไร้เกียรติมาก!”ผู้ช่วยของเธอดูถูกวิธีการนี้มาก เพราะส่วนใหญ่ดาราที่โพสต์บนแอปสั้นมักจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยดัง พยายามหารายได้จากตรงนี้ เธอจึงไม่สนใจสิ่งนี้เลย“อ๊า!” ลู่ม่านเซิงโมโหถึงกับปามือถือลงพื้น!ผู้ช่วยที่ตอนแรกตั้งใจจะปลอบเธอ ถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นลู่ม่านเซิงปามือถือด้วยความโกรธ “คุณเซิง…”ลู่ม่านเซิงโกรธจนตาแดงก่ำ “ทำไมยอดไลค์ของจางจื่อฉีถึงได้ถึงสิบล้าน มีคนชอบเธอตั้งมา
ทางด้านลู่ม่านเซิงก็กำลังถ่ายทำเช่นกันเธอแต่งกายสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับจางจื่อฉี“ดีมากเลย เซิงเซิง สวยมาก!” ช่างภาพกล่าวพลางถ่ายจากหลายมุม“มุมนี้ดูดีมาก ได้ภาพสวยเลย!”ช่างภาพชมเธอไม่หยุดระหว่างถ่ายทำลู่ม่านเซิงเองก็มั่นใจในตัวเองสูง เธอตั้งใจถ่ายมาก เพราะรู้ดีว่าเสน่ห์และความงามของเธอเหนือกว่าจางจื่อฉี ซึ่งในวงการบันเทิงแล้ว ความงามถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง หลายคนดังได้จากเพียงรูปลักษณ์เธอเองก็แสดงละครได้ดี แถมยังมีหน้าตาที่โดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะเอาชนะจางจื่อฉีได้แน่นอนจริง ๆ แล้วเป้าหมายของเธอไม่ใช่จางจื่อฉี แต่เป็นเวินหนี่เธอจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับจางจื่อฉีเพื่อโค่นล้มเวินหนี่ หากเธอชนะจางจื่อฉีได้ ก็จะถือว่าชนะเวินหนี่ด้วยและหากชนะครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อไปเมื่อดูภาพถ่ายของตัวเอง เธอก็พึงพอใจมาก เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเทรนด์ในโลกออนไลน์ได้“รีบปล่อยภาพนี้ไปให้เร็วที่สุดนะ ใช้ความร้อนแรงของงานในวันนี้ให้เต็มที่” ลู่ม่านเซิงสั่ง“แน่นอนครับ คาดว่าค่ำนี้น่าจะได้เห็นกันแล้ว!”ริมฝีปากของลู่ม่านเซิงเผยรอยยิ้มมั่นใจ คิดว่าความสำเร็จอยู่ในมือเธอแล้วค่ำวันนั้น สื่อ
เธอยังคงเป็นคนของบริษัทเย่หนานโจว หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น บริษัทก็ย่อมต้องคุ้มครองเธออยู่แล้ว ช่วงนี้ยังมีข่าวมากมายที่ออกมาช่วยลบล้างข่าวเสียของลู่ม่านเซิงอีกด้วยเวินหนี่มองลู่ม่านเซิงในชุดนี้อย่างเย้ยหยัน “เลียนแบบจนได้ดี มันสนุกมากไหม?”คำพูดนี้จี้จุดของลู่ม่านเซิง แต่คราวนี้เธอไม่สนใจ เธอต้องการชนะเสียครั้งหนึ่ง จึงยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เวินหนี่ เธอไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะไปรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่คนดูชอบ คนที่สวยก็ย่อมมีคนติดตามมากกว่า หรือเธอว่าไม่จริง?”ความหมายก็คือเธอเชื่อว่าตัวเองสวยกว่าจางจื่อฉี แต่แม้ว่าลู่ม่านเซิงจะพูดอย่างนั้น จางจื่อฉีก็มีฝีมือการแสดงที่เหนือกว่า ความเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเรื่องความสวยจางจื่อฉียืนอยู่อย่างสงบ สีหน้าเยือกเย็น ไม่คิดจะโต้เถียงใด ๆ กับลู่ม่านเซิง ราวกับไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับเธอเลยเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจจะโต้แย้งอะไรในเรื่องนี้ เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ลู่ม่านเซิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ได้ยั่งยืน “ในเมื่อเธอชอบนัก ก็เอาไปเถอะ จางจื่อฉีไม่ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ใช้ที่นี่”พอเห็นเวินหนี่รู
เวินหนี่ถ่ายรูปให้จางจื่อฉีไปหลายรูป แม้เธอจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นเพราะความสวยงาม แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเธอที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้นักแสดงชายหลายคนมีชื่อเสียงได้เช่นกัน ความไม่ถือตัวและความเป็นกันเองของจางจื่อฉีเป็นสิ่งที่เวินหนี่ชื่นชมเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์เกือบสิ้นสุดลง เวินหนี่เดินหาช่างภาพเพื่อนำไปถ่ายภาพเสร็จสมบูรณ์พอเสี่ยวอิ่งเห็นจางจื่อฉี เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จางจื่อฉี! ฉันได้เจอตัวจริงแล้ว!”เวินหนี่เห็นเสี่ยวอิ่งมีปฏิกิริยาขนาดนี้ก็อดแซวไม่ได้ “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสี่ยวอิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนสิ! ฉันดูละครที่เธอเล่นมาตั้งหลายเรื่อง นี่มันเหมือนฝันไปเลย ฉันได้เจอไอดอลของฉัน ฉันชอบเธอมาก ๆ เลยล่ะ!”จางจื่อฉียิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี ฉันคือจางจื่อฉีค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไปจับมือกับเสี่ยวอิ่งเสี่ยวอิ่งมองมือของจางจื่อฉีด้วยความตื่นเต้น ราวกับอยู่ในความฝัน เธอจับมือจางจื่อฉีแล้วพูดอย่างซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉันดูละครที่คุณแสดงมาทุกเรื่องเลยนะคะ ฉันรู้ประวัติของคุณด้วย คุณมาจากต่างจังหวัดแล้วต่อสู้ในวงการบันเทิงตั้งนาน ฉ
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถของลู่ม่านเซิงในการสร้างกระแสดังในทางลบ กับความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจางจื่อฉีที่ปฏิเสธไม่รับเล่นบทละครที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว เวินหนี่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่าในวงการบันเทิงยุคนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว นักแสดงหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่คนเก่าก็ถูกลืมไปได้ง่ายบางคนอาจโด่งดังจากละครเรื่องเดียว แต่ถ้าไม่มีผลงานต่อไปคอยสนับสนุนจากคนดังแถวหน้าก็อาจตกไปเป็นระดับล่างได้ในพริบตา การแข่งขันในวงการนี้โหดร้ายและไร้ปรานี ต่อให้เวินหนี่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเอง เธอก็ยังเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแม้การเล่นละครที่ด้อยคุณภาพจะทำให้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ถ้ามันสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้ นักแสดงคนนั้นก็สามารถนับเป็น ‘สินค้าทางการตลาด’ ที่ประสบความสำเร็จแล้วเวินหนี่มองจางจื่อฉีและพูดว่า “คุณเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงที่ดี แต่ยังไม่ยอมตามกระแสแบบทั่วไป คนที่เป็นแบบนี้หาได้ยากมาก ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าสักวันคุณจะต้องโด่งดังแน่นอน”จางจื่อฉีรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำชมจากเวินหนี่ เธอจึงยิ้มและพูดด้วยความขอบคุณ “ตอนน
นักข่าวที่มางานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอ เพราะสื่อออนไลน์พัฒนาไปไว ทุกคนต่างก็พยายามเป็นคนแรกในการปล่อยข่าว รายงานแรกที่แม่นยำที่สุดย่อมได้เรตติ้งดีที่สุดแม้งานเดินแบบเวทีทีสเตจนี้จะไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่การถ่ายทอดสดก็ทำให้ทุกสื่อแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของกระแสบนรันเวย์ตอนนี้มีนางแบบเดินอยู่บ้างแล้ว บรรดาดาราหลายคนก็อยู่ที่นั่งฝั่งผู้ชม เวินหนี่กำลังมองหามุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพ“คุณเวิน”ทันใดนั้นเสียงเรียกเธอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เวินหนี่หันกลับไปก็พบว่าจางจื่อฉีกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นแต่ทีมงานและดาราที่อยู่ด้านใน“คุณจาง ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้คะ?”จางจื่อฉีตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณจางหรอก เรียกว่าจื่อฉีก็พอ”เวินหนี่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว “ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ? เข้าไปด้านในเถอะนะ ตรงนี้มีแต่ทีมงาน เดี๋ยวถ้าโดนนักข่าวรุมถ่ายจะลำบากเอานะคะ!”เวินหนี่รู้ดีว่าพวกนักข่าวนั้นดุดันแค่ไหน การที่จางจื่อฉีออกมาแบบนี้อาจทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายได้จางจื่อฉีไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เธอมองไปยังพวกนักข่าวและช่างภาพที่กำล
เย่หนานโจวหัวเราะเย็นชา “เคยเห็นการยินยอมพร้อมใจแบบนี้ด้วยหรือไง?”ปลายสายถึงกับเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ในเมื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ถึงกับถูกหลอกกันง่าย ๆ เขารู้สึกว่าเย่หนานโจวกังวลเกินไปแต่พอคิดอีกที คงเป็นเพราะความห่วงใยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จึงเข้าใจได้ว่าความกังวลของเย่หนานโจวก็มีเหตุผลอยู่เย่หนานโจวเปิดม่านหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกังวลใจ "เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย ถ้ามีใครสักคนเข้ามาหว่านล้อมไม่กี่คำแล้วเธอดันหลงเชื่อขึ้นมาล่ะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย"ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เขาจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหลังจากวางสาย เย่หนานโจวเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนชุด เวินหนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี เห็นเขาเดินเข้ามาตรงเวลา เธอจึงหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “ฉันจัดการเองได้”เย่หนานโจวไม่คัดค้าน แต่จ้องมองเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องไปทำธุระสักพัก คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน”“ค่ะ” เวินหนี่พูดขณะเป่าผม โดยไม่หันไปมองเขาเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เวินหนี่เดินออกมาพร้อมกับเย่หนานโจว“หน
เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังเธอไม่วางตาโดนมองแบบนี้แล้ว เวินหนี่ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ว่ายน้ำเสร็จแล้วหรือยังคะ? ถ้าเสร็จแล้ว ช่วยปล่อยให้ฉันออกไปจะได้ไหม?”เย่หนานโจวสบตาเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำขึ้นทุกที “เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะ?”เวินหนี่ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขากลับ “ฉันไม่ได้โกหก”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ “เธอโกหกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เธอโกหกอีกเป็นครั้งที่สอง”เวินหนี่นิ่งเงียบ ตอนนี้ในสถานการณ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่ามันจะเป็นการโกหกหรือไม่ ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว การปกป้องตัวเองด้วยการโกหกก็เป็นเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เย่หนานโจวไม่ทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้เวินหนี่เดินเข้าไปข้างในทันที แล้วเลขาหญิงก็ตามเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เป็นชุดกีฬาที่สวมใส่สบายและโปร่ง “คุณเวินคะ นี่เป็นชุดที่ท่านประธานเตรียมไว้ให้ค่ะ”เวินหนี่ทั้งตัวเปียกชุ่มไปหม