เมื่อลู่ม่านเซิงกำลังจะลงจากรถ โทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น เป็นสายจากพนักงานส่งของ"สวัสดีครับ คุณลู่ มีพัสดุหลายชิ้นต้องให้คุณลงมาเซ็นรับหน่อยครับ"ลู่ม่านเซิงเห็นว่าพนักงานส่งของอยู่ไม่ไกลจากรถ และมีพัสดุหลายชิ้นบนรถเข็นเธอจึงขอความช่วยเหลือจากเย่หนานโจว "พี่หนานโจวช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ นี่เป็นหลอดไฟที่ฉันซื้อมา พอดีหลอดไฟในบ้านเสียน่ะ"เย่หนานโจวไม่ได้ตอบอะไรทันที แต่ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็ลงจากรถห้านาทีต่อมา…เย่หนานโจวให้เผยชิงลากรถเข็นคันเล็กและพาลู่ม่านเซิงขึ้นไปยังชั้นที่เธออาศัยอยู่เขาได้ให้สัญญาณทางสายตากับเผยชิง หลังจากนั้นเผยชิงก็เข้าใจและช่วยแกะพัสดุแล้วเปลี่ยนหลอดไฟให้ลู่ม่านเซิงเย่หนานโจวตั้งใจจะโทรหาเวินหนี่ แต่พอหันตัวกลับมาก็ชนเข้ากับลู่ม่านเซิงที่เดินสวนมา“อ้า!” หญิงสาวร้องออกมาโดยไม่ทันคิดน้ำบลูเบอร์รี่ในมือของเธอสาดไปทั่วตัวร่างสูงทันทีเย่หนานโจวขมวดคิ้วทันที จากนั้นไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงลู่ม่านเซิงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ขอโทษนะคะพี่หนานโจว น้ำบลูเบอร์รี่นี่เป็นแบรนด์ที่เพื่อนฉันทำเอง ฉันเคยดื่มแล้วมันอร่อยมาก เลยตั้งใจจะให้พี่ลองดื่
หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที เย่หนานโจวก็เอ่ยขึ้นช้า ๆ "อีกสามวันข้างหน้าจองตั๋วเครื่องบินให้ฉันกับเวินหนี่ไปประเทศฝรั่งเศส"“ได้ครับ”เผยชิงตอบรับ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘แคร่ก’ ดังขึ้น เห็นเย่หนานโจวผลักประตูแล้วลงจากรถ เขาก้าวเดินทีละก้าวเข้าสู่ว่างเจียงหยวนเวินหนี่กำลังยุ่งอยู่ในครัว ขณะที่เขาเดินผ่านประตูเข้าไป เวินหนี่ก็นำถ้วยซุปไก่เดินออกมาจากครัวพอดี“กลับมาแล้วเหรอคะ พอดีเลยทานข้าวกันเถอะ”เวินหนี่มองเย่หนานโจวเพียงแวบเดียว ก่อนจะละสายตาออกอย่างรวดเร็วเธอดูสงบนิ่งมากแต่คิ้วของเย่หนานโจวกลับขมวดแน่นไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เดินเข้าไปหาเวินหนี่เธอจึงสังเกตเห็นคราบสกปรกและคราบเลือดบนเสื้อของเขา"คุณป้าช่วยยกอาหารที่เหลือออกมาทีนะคะ" เวินหนี่หันไปสั่ง จากนั้นจึงมองไปที่เย่หนานโจว "คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะเตรียมชุดไว้ให้"ขณะที่เวินหนี่พูดเธอก็ถอดผ้ากันเปื้อนออกเธอไม่แม้แต่จะถามว่าคราบสกปรกบนตัวเขามาจากไหนยิ่งไปกว่านั้นแววตาของเธอก็ไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง“เวินหนี่ เธอคิดว่าเธอเป็นภรรยาที่ดีพอหรือยัง?” ในที่สุดเย่หนานโจวก็ทนไม่ไหวเธอไม่ได้โต้เถียงหรือ
เย่หนานโจวกวาดตามองเวินหนี่แวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ให้เธอเข้ามา"เวินหนี่เม้มริมฝีปาก ยังไม่ทันจะพูดอะไร ลู่ม่านเซิงก็เดินเข้ามาจากประตูโดยมีเสียงรองเท้าส้นสูงดังก้องเข้ามาเวินหนี่ไม่ได้มองเธอแต่เสียงของลู่ม่านเซิงก็ดังขึ้นข้าง ๆ "ฉันเอาเสื้อผ้ามาให้คุณน่ะ"ลู่ม่านเซิงเดินไปอยู่ตรงหน้าเย่หนานโจวเธอเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว เป็นชุดสูทกระโปรงสีเขียวอ่อน พร้อมกับผมลอนใหญ่ที่ทำให้ลู่ม่านเซิงดูสูงเพรียวและสวยงาม"ไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่หรอก"เวินหนี่หันไปมองเย่หนานโจวแวบหนึ่งสีหน้าของเขาดูเย็นชาและไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนักแต่คำพูดของเขา…ลู่ม่านเซิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ถ้าฉันไม่มาส่งเอง ฉันคงจะไม่สบายใจ ไม่คิดเลยว่าคุณจะกำลังกินข้าวอยู่ อาหารพวกนี้เลขาเวินทำเองเลยสินะคะ?""อืม"เย่หนานโจวตอบรับอย่างเรียบ ๆลู่ม่านเซิงจึงมองไปที่เวินหนี่ด้วยความคาดหวัง “เลขาเวิน ฉันขอลองชิมฝีมือทำอาหารหน่อยได้ไหม? พอดีวันนี้ฉันว่างเลยคิดว่าจะมาเรียนทำอาหารจากคุณบ้าง”เวินหนี่ปฏิเสธ “ฉันเตรียมจานชามให้คุณได้นะ แต่เรื่องเรียนทำอาหารคงไม่ไหว ฉันไม่ใช่มืออาชีพ แล้วก็ไม่มีเวลา”พ
เวินหนี่ตอบโต้ทุกคำพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ คำพูดเหล่านั้นกำลังกดลู่ม่านเซิงให้จมลงไปในความเจ็บปวดสีหน้าของคนฟังจึงดูแย่ถึงขีดสุด ไฟโทสะลุกโชนในใจแต่เหตุผลบอกเธอว่าต้องสงบสติอารมณ์"เธอก็ไม่ต้องดีใจไป หนานโจวก็ไม่เคยยอมรับสถานะของเธอต่อสาธารณะเหมือนกัน และที่สำคัญเขาปกป้องฉันมากกว่า" ลู่ม่านเซิงคว้ามีดผลไม้ขึ้นมาแล้วยื่นมีดให้เวินหนี่ "เลขาเวิน ช่วยสอนฉันหั่นผักหน่อยสิ"เวินหนี่ขมวดคิ้ว มองลู่ม่านเซิงแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้รับมีดเธอเรียกแม่บ้านหลี่ "คุณลู่ ฉันไม่มีความอดทนพอจะสอนใครได้ แม่บ้านหลี่ดูจะมีความอดทนมากกว่า มาช่วยสอนคุณลู่แทนฉันที"สีหน้าของลู่ม่านเซิงเย็นชาไปกว่าเดิมเวินหนี่ไม่แม้แต่จะรับของจากเธอและไม่ยอมสอนอะไรเธอเลย!แผนการที่ลู่ม่านเซิงวางไว้ไม่เป็นไปตามคาด เธอจึงหมดความตั้งใจทันทีแล้วโยนมีดลงบนเขียงอย่างแรง "ช่างเถอะ อยู่ดี ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ไว้วันหลังฉันจะมาเรียนใหม่"แม่บ้านหลี่มาถึงกับนิ่งไปเดี๋ยวจะเรียน เดี๋ยวไม่เรียน คุณลู่คนนี้ ช่างแปลกจริง ๆ!…ลู่ม่านเซิงเห็นว่าชุดที่เธอนำมาให้เย่หนานโจวนั้นถูกวางไว้บนโซฟาเวินหนี่นั่งอยู่บนโซฟาในขณะที่ถือโท
คำพูดนั้นส่งผลกระทบต่อทั้งเวินหนี่และลู่ม่านเซิงสำหรับเวินหนี่เธออยู่ข้างเย่หนานโจวมานานเจ็ดปี เธอรู้จักนิสัยของเขาเป็นอย่างดี ขณะที่เธอยืนอยู่ตรงนั้น ในฐานะเลขาของเขา หากเป็นปกติเย่หนานโจวคงจะให้เธอไปช่วยพยุงลู่ม่านเซิงขึ้นแต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้นชัดเจนว่าเย่หนานโจวนั้นเข้าข้างลู่ม่านเซิงอย่างไรก็ตามเวินหนี่ยังคงสงบนิ่งเธอถือโทรศัพท์ตั้งแต่ต้นจนจบและไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย เพราะคนบริสุทธิ์ย่อมเป็นที่ประจักษ์เมื่อดูกล้องวงจรปิดก็จะเห็นได้ชัดว่าลู่ม่านเซิงเป็นเพียงตัวตลกที่แสดงละครเท่านั้นสำหรับลู่ม่านเซิงนั้น…เย่หนานโจวกำลังแสดงความรังเกียจเธอโดยเฉพาะน้ำเสียงที่เย็นชาของเย่หนานโจว ชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อเธออีกต่อไปแต่เธอกำลังเดิมพันอยู่ประมาณสองนาทีต่อมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เปิดภาพจากกล้องวงจรปิดในภาพตอนที่ลู่ม่านเซิงเดินผ่านเวินหนี่มุมของกล้องถูกบังพอดี และในชั่วพริบตาลู่ม่านเซิงก็ล้มลงไปข้างหลังดูจากภาพแล้วเหมือนว่ามีคนผลักเธออย่างชัดเจนเย่หนานโจวส่งสายตาเย็นชาและดุดันไปยังเวินหนี่ “ขอโทษซะ”นี่คือคำสั่งในบ้านมีกล้องวงจรปิดก็จริง แต่ไม่ใช่กล้องที่สาม
”ดูสิ”ลู่ม่านเซิงเองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้พูดถึง เธอคิดว่าเย่หนานโจวกำลังจะเล่นงานเวินหนี่ แจึงเดินจากไปด้วยความพึงพอใจ“ทำไมเมื่อกี้เธอถึงไม่พูด?” เย่หนานโจวขมวดคิ้วคำพูดของเวินหนี่ทำให้เขาตระหนักได้ถึงปัญหาข้อนี้เช่นกันรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเวินหนี่ “สิ่งที่คุณปักใจไปแล้วจะเปลี่ยนไปเพราะคำพูดไม่กี่คำของฉันงั้นเหรอคะ?”ทันทีที่พูดจบ เวินหนี่ก็สะบัดเย่หนานโจวออก จากนั้นเธอก็หันหลังจากไป ทิ้งไว้เพียงเงาเบื้องหลังให้กับเย่หนานโจวเย่หนานโจวไม่ได้ไล่ตามเธอและไม่ได้เรียกเธอไว้แต่ดวงตาดำขลับกลับมองตามแผ่นหลังของเวินหนี่ไป…ทันทีที่เย่หนานโจวจุดบุหรี่ ลู่ม่านเซิงก็โทรเข้ามาเขากดเปิดสปีกเกอร์โฟนเสียงที่ดังมาจากปลายสายของลู่ม่านเซิงฟังดูแหบแห้ง “พี่หนานโจว พี่อย่าดุเวินหนี่มากเกินไปเลยนะคะ ฉันรู้ว่ามันเป็นความผิดของฉันเอง และฉันจะควบคุมตัวเองไม่ให้สร้างปัญหาให้กับพี่อีก”“ได้แบบนั้นก็ดี”น้ำเสียงเย็น ๆ ออกมาจากปากของเย่หนานโจว เมื่อลู่ม่านเซิงได้ยินแบบนั้นเธอก็ตกตะลึงเย่หนานโจวเชื่อว่าเวินหนี่ผลักเธอไม่ใช่เหรอ?กล้องวงจรปิดจับภาพอะไรไว้ไม่ได้นี่เ
เย่หนานโจวผลักอาหารไปตรงหน้าเวินหนี่ “จะให้ฉันป้อนไหม?”เย่หนานโจวพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งเวินหนี่ไม่เชื่อว่าเขาจะป้อนอาหารให้เธอจริง ๆเวินหนี่พูดอย่างเฉยชา “ไม่หิวก็คือไม่หิว แม้แต่เรื่องกินข้าวฉันก็ยังไม่มีอิสระในการตัดสินใจเองงั้นเหรอคะ?”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรแต่วินาทีต่อมา เขาก็นำอาหารจ่อมาที่ปากของเวินหนี่จริง ๆในเวลานั้น ดวงตาสีดำของเย่หนานโจวได้แต่มองดูเธออย่างเงียบ ๆแววตาของเขาไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนเวินหนี่นิ่งอึ้งแต่เขาก็พูดขึ้นช้า ๆ “แต่ยังไงก็ต้องกินข้าว”เขาพูดอย่างอ่อนโยน เวินหนี่รู้สึกประหลาดใจในการได้รับความสำคัญอย่างไม่คาดฝัน แล้วจึงรีบรับช้อนต่อจากเขา “ฉันจะกินเองค่ะ”ด้วยความกลัวว่าเย่หนานโจวจะป้อนเธออีกครั้ง เธอจึงรีบกินไปอีกสองสามคำ เย่หนานโจวยื่นน้ำให้เธออย่างใส่ใจ “อย่าสำลักล่ะ”เวินหนี่ไม่ได้สำลัก แต่เธอตกใจกับพฤติกรรมของเย่หนานโจวก่อนที่เธอจะพูดอะไร เย่หนานโจวชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ฉันให้เผยชิงจองตั๋วแล้ว”“ตั๋วไปประเทศฝรั่งเศสเหรอคะ?”เวินหนี่รู้สึกเหลือเชื่อเย่หนานโจวตอบ “ใช่”และเสริมขึ้นอีกว่า “เธออย่าลืมบอกพ่อแม่ของเธอไว้ด้วยล่ะ
การที่เขาพูดเรื่องที่ไม่เคยพูดถึงมาก่อนมันทำให้เวินหนี่รู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ย “ฉันเป็นเลขาของคุณ แล้วก็มีรถมากมายในโรงรถของคุณ ฉันจะต้องการรถไปทำไมกัน?”แต่เมื่อดูการกระทำในปัจจุบันของเย่หนานโจวแล้ว เหมือนว่าเขาต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ “เธอจะขับรถของฉันหรือนั่งแท็กซี่ไปไหนมาไหนตลอดไม่ได้นี่”เย่หนานโจวนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เวินหนี่มองไปข้างหน้าเพราะกำลังขับรถ เย่หนานโจวจึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเธอได้แต่ฟังจากน้ำเสียงของเธอ เย่หนานโจวรู้สึกได้ว่าเวินหนี่ไม่สนใจเรื่องนี้เลยเธอพูดนิ่ง ๆ “ฉันขับรถของคุณเวลาทำงาน ส่วนเรื่องรถส่วนตัว...หากฉันซื้อรถราคาหลายล้าน คนอื่นจะคิดว่าฉันเป็นแค่เลขาของคุณหรือไง แล้วหากฉันซื้อรถถูก ๆ คุณคิดว่าฉันทำให้คุณอับอายหรือเปล่า?”คำพูดของเวินหนี่ชัดเจนมากทุกคำเย่หนานโจวเม้มริมฝีปากแต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไร เวินหนี่ก็แทรกขึ้นก่อนว่า “หากฉันซื้อรถหรู บวกกับสถานะของฉัน ฉันจะถูกคนเยาะเย้ยอีกหรือเปล่า?”เธอไม่มีรถและทำงานแทบตลอดเวลา แบบนี้เธอรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจกว่ายิ่งไปกว่านั้นเธอกำลังจะจากไปแล้วดังนั้นรถก็ยิ่งไม่จำเป็นเข้าไ
“ไม่ใช่ค่ะ” เวินหนี่ตอบสีหน้าของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปและเขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ใกล้จะเป็นอดีตภรรยาแล้วครับ!”คุณหมอถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ เขาจึงรีบตอบไปว่า “ผู้ป่วยมีอาการกระทบกระเทือนเล็กน้อยและกระดูกมือร้าว เธอจะหายดีหลังจากพักผ่อนสักระยะหนึ่ง พวกคุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป”นี่เป็นเรื่องที่ดี เวินหนี่ตอบไปทันที “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”“ด้วยความยินดีครับ”ทั้งสองตามเย่จื่อเข้าไปในวอร์ดเวินหนี่เห็นว่าริมฝีปากของเย่จื่อดูแห้งผาก ดังนั้นจึงรีบหาน้ำอุ่นมา และชุบด้วยสำลีก่อนจะเช็ดให้ชุ่มชื้นเย่หนานโจวเฝ้าดูจากด้านข้างในวอร์ดมีคนไม่มากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเวินหนี่ไม่วางใจ ดังนั้นเธอจึงนั่งลงตรงข้ามเขาอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่การเฝ้าเย่จื่อหลังจากที่เฝ้าได้สักพัก เธอก็รู้สึกง่วงจนเปลือกตาสั่น จากนั้นเธอก็เผลอฟุบหลับไปเมื่อเวินหนี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะความตกใจ เธอฝันว่ามันมืดสนิทและอยู่ในพื้นที่แคบ ๆกลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น แม้แต่ในความฝันก็ยังไม่ปล่อยเธอไป เธอมักจะฝันแบบนี้ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลยเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีเสื้อคลุม
หรือว่าเขาจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว?เธอเคยได้ยินเย่จื่อพูดอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ได้คิดถึงเหตุผลบางทีเย่หนานโจวอาจรู้มานานแล้ว จึงเข้าใจโดยปริยาย“เวินหนี่”ลู่เซินเข้ามาหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักสักหน่อยไหม เดี๋ยวร่างกายจะทนไม่ไหวเอานะ”เวินหนี่ยืนนานแล้วและรู้สึกปวดหลัง แต่เธออยากรอให้เย่จื่อออกมา จึงนั่งลงข้าง ๆ “ฉันอยากรอจนกว่าคุณอาจะฟื้น”“ผมจะรอเป็นเพื่อนคุณเอง” ลู่เซินพูดขึ้นอีกครั้งเวินหนี่พยักหน้าไปทางเขาร่างสูงของเย่หนานโจวเอนตัวไปที่กรอบประตูและเหลือบมองความกังวลของลู่เซินที่มีต่อเวินหนี่ ดวงตานั้นแทบจะมีน้ำล้นออกมาได้ และเวินหนี่ก็ดูเหมือนพร้อมยอมรับน้ำใจของเขาคลื่นแห่งความกระสับกระส่ายโจมตีร่างกายของเย่หนานโจวอีกครั้งดวงตาของเขาเย็นขึ้นและจงใจเตะเก้าอี้ข้าง ๆ ให้มีเสียงนั่นคือเก้าอี้ที่ลู่เซินนั่งอยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เย่หนานโจวก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “โทษที บังเอิญเตะโดนเข้าน่ะ!”“ไม่เป็นไร” ลู่เซินไม่ได้ติดใจอะไรเย่หนานโจวกลับพูดขึ้นอีกว่า “ตรงนี้คือพื้นที่รอสำหรับญาติ ไม่ทราบว่าคุณลู่มาที่นี่ทำไมกัน ที่บริษัทของคุณไม่ยุ่งเหรอครับ?”
เขาไม่ได้โต้เถียงกับเธอ และเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเธอสำหรับเขา น้ำตาของเย่ซูเฟินนั้นไร้ค่าเย่ซูเฟินในฐานะผู้หญิง เมื่อเห็นความเฉยชาของสามี มันก็ค่อย ๆ ทำลายแนวป้องกันในใจของเธอทีละน้อยและโวยวายขึ้นอย่างอารมณ์ร้อน “พูดมาสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ ในสายตาของคุณ เย่จื่อสำคัญกว่าฉันใช่ไหม ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ เย่เหว่ยถิง คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”เธอร้องไห้จนตาแดง อยากให้สามีเอาใจใส่เธอบ้างแค่หันมามองเธอสักครั้งก็สามารถสงบความโกรธและความกังวลของเธอได้เย่เหว่ยถิงเงียบและทำเหมือนเย่ซูเฟินคือคนแปลกหน้าอย่างเย็นชาเย่หนานโจวมองการอยู่ร่วมกันของพวกเขา เขาเห็นสิ่งนี้จนชินจึงไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆสำหรับเขา พวกเขาคือพ่อแม่ของตนเพียงในนามเท่านั้นการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้เขาชินมานานแล้วถึงขั้นทำให้เขารู้สึกไม่แยแสเย่เหว่ยถิงทนเย่ซูเฟินไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้นและพูดกับเย่หนานโจวว่า “ฉันจะลงไปแล้ว ถ้าเย่จื่อฟื้นค่อยบอกฉัน!”เย่หนานโจวลดสายตาลงด้วยสายตาเย็นชาและไม่ตอบอะไรเย่เหว่ยถิงเองก็ไม่ได้รอคำตอบจากเขา เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเย่หนานโจว เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
เมื่อเห็นความเฉยเมยของเขา เย่ซูเฟินจึงพูดขึ้นว่า “หนานโจว!”เย่หนานโจวไม่ต้องการฟังเธออีกและเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาเย่ซูเฟินต้องการพูดอะไรบางอย่างกับเย่หนานโจว แต่ลู่ม่านเซิงร้องไห้และถูกรังแก เธอจึงไปไหนไม่ได้ และทำได้เพียงเดินไปพยุงลู่ม่านเซิง “เซิงเซิงลุกขึ้นเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว”ลู่ม่านเซิงถูกพยุงขึ้น เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟิน “คุณป้า หนูมันน่ารำคาญมากจนทุกคนไม่ชอบใช่ไหมคะ!”“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันชอบเธอ ทุกคนต่างก็ชอบเธอ”เย่ซูเฟินตบหลังลู่ม่านเซิงเพื่อปลอบเธอลู่ม่านเซิงยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟินเห็นแบบนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ใครจะกล้าไปว่าอะไรเธอได้ ถ้าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลและมีคนอยู่มากมาย เวินหนี่คงอยากจะฉีกหน้ากากของลู่ม่านเซิงออกเพื่อดูว่าเธอจะเสแสร้งได้สักแค่ไหน แน่นอน เธอรู้ดีว่าไม่ว่าลู่ม่านเซิงจะจริงหรือเท็จแค่ไหน เย่ซูเฟินก็จะยังคงปกป้องเธอความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอดูเหมือนไม่ชัดเจนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น “เย่จื่อเป็นยังไงบ้าง?”เวินหนี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเย่เหว่ยถิงเดินเข้ามาเขาสวมชุดสูทแ
ขณะที่เย่ซูเฟินกำลังปกป้องลู่ม่านเซิง เวินหนี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาเมื่อเย่ซูเฟินเห็นเวินหนี่พูดแบบนั้น เธอจึงพูดขึ้นว่า “เวินหนี่ เซิงเซิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่าอาศัยโอกาสนี้ซ้ำเติมเธออีก!”ปฏิกิริยาแรกของเธอคือปกป้องคนที่อ่อนแอไว้เวินหนี่เดินเข้าไป เห็นลู่ม่านเซิงร้องไห้หนักและดูอ่อนแอจนเกินบรรยาย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ พวกคุณมีใครกังวลเกี่ยวกับคุณอาบ้าง สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าลูกชายจะไม่เอา ส่วนลู่ม่านเซิงเธอกล้วว่าถูกกล่าวโทษเลยมาเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารที่นี่ ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณผลักคุณอาลงมา และลู่ม่านเซิงก็น่าจะเป็นผู้ที่ยุยง!”คุณอาถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เวินหนี่ไม่ต้องการไว้หน้าพวกเธอ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ!” เย่ซูเฟินตวาด “ฉันผลักเย่จื่อก็จริง แต่ฉันแค่ผลักเบา ๆ ทำไมเธอถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าเย่จื่อจงใจล้มลงไปเอง”เวินหนี่มองไปที่เย่ซูเฟิน “แรงผลักของคุณมันไม่ได้เบา เราทุกคนต่างก็เห็น”เมื่อเย่ซูเฟินเห็นท่าทีของเวินหนี่ น้ำเสียงของเธอก็ดังมากยิ่งขึ้น “เวินหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นแม่สามีขอ
“ไม่ใช่นะ…” เย่ซูเฟินกล่าว “ลูกยังเป็นลูกชายของแม่ แม่เสียใจมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้ให้ลูก…”“ผมไม่ต้องการมันแล้ว” ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “การเรียกคุณว่าแม่มันคือความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และคุณก็ควรจะพอใจได้แล้ว!”เย่ซูเฟินอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าวและพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ลูกจะทำกับแม่แบบนี้ไม่ได้นะ อย่าเป็นเหมือนพ่อของลูก ไม่อย่างนั้นแม่พาลูกกลับมามันจะมีความหมายอะไร!”เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชา “หากมีผม การเอาชนะใจสามีของคุณมันถึงจะมีความหมาย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของคุณมันไร้ประโยชน์!”ทุกคำพูดเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจของเย่ซูเฟินในตอนนั้นการแต่งงานของเธอกับเย่เหว่ยถิงนั้นค่อนข้างน่าขัน เป็นเพียงเพราะเธอดื้อดึงที่จะแต่งงานกับเขาเย่เหว่ยถิงไม่ได้รักเธอเลย ตรงกันข้ามเขาเกลียดเธอเธอคิดว่าตราบใดที่เธอแต่งงานกับเขา เย่เหว่ยถิงก็จะเป็นของเธอเมื่อเรื่องราวมันเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขได้ มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้อีก?แต่เธอคิดง่ายเกินไป เย่เหว่ยถิงไม่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องที่อ้างว่างเธอใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาชนะใจสามีแม้กระทั่ง
“หนานโจว”ในระหว่างที่โต้เถียงกับเย่จื่ออยู่นั้นเย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นเขา และเธอก็ตกใจเล็กน้อยเวินหนี่เองก็มองไปและเห็นเย่หนานโจวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเย็นชาและดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่พวกเธอพูดกลับกัน เขากลับยอมรับความจริงนี้อย่างสงบนิ่งเย่จื่อตกใจเมื่อเห็นดวงตาของเย่หนานโจวในขณะนี้ สิ่งที่เธอเสียใจคือการที่เธอหุนหันพลันแล่นพูดออกไปว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเย่ซูเฟิน เพราะมันถือเป็นการโจมตีเขาเธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองเพียงเย่หนานโจว “หนานโจว…”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงแค่รู้ว่าพวกเธอมาที่สุสานและอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงเป็นกังวลและแวะเข้ามาดูหน่อยเท่านั้น เย่ซูเฟินโกรธมากขึ้น “เย่จื่อ เธอกำลังพูดอะไร เธอจะให้ฉันมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม เธอมันสมควรตายจริง ๆ!”เธอผลักเย่จื่ออย่างแรงความสนใจของเย่จื่อมุ่งไปที่เย่หนานโจว ความโกรธของเธอลดลงมากและลดความเกรี้ยวกราดลง ในใจคิดแต่ว่ามันจะสร้างบาดแผลให้เขาหรือไม่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการกระทำของเย่ซูเฟินและเธอก็ถูกผลักลงบันไดไปทันทีสติของเวินหนี่ยังไม่ทันกลับมาจากการที่เย่หนานโจวไม่ใช่ลูกแท้
“ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเพื่อทำลายครอบครัวทีละครอบครัว! เธอไม่เคยคิดถึงความผิดของตัวเองเลย!”“ฉันไม่ผิด!” เย่ซูเฟินพูดอย่างเดือดดาล “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอบีบบังคับฉันเอง!”เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ร้อน ลู่ม่านเซิงจึงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “คุณอา อย่าเถียงกับคุณป้าเลยค่ะ เธอแค่หุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น ฉันไม่เป็นไรค่ะ และฉันก็ไม่ได้โทษคุณอาเลย คุณป้าพวกคุณต่างก็ถอยคนละก้าวเถอะนะคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เย่จื่อมองไปที่ลู่ม่านเซิง และพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ถ้าเธอไม่ได้โทษฉัน แล้วจะเล่าให้เย่ซูเฟินฟังทำไม เธออยากให้เย่ซูเฟินออกหน้าให้ไม่ใช่เหรอ? เสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ ฉันล่ะเกลียดคนแบบเธอที่สุด!”เมื่อเห็นแบบนั้นเย่ซูเฟินก็ผลักเธอทันที “เธอกำลังดุใคร รู้ว่าเซิงเซิงสูญเสียการได้ยิน แต่ยังแอบพูดไม่ดีลับหลังเธอ เธอมันชั่วร้ายแค่ไหนกัน?!”“ถึงฉันจะชั่วร้ายแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณธรรมเหมือนเธอ!” เย่จื่อก็ผลักกลับคืนไปเช่นกัน“เธอลงมือกับฉันงั้นเหรอ?”เย่ซูเฟินจ้องเธอด้วยความโกรธ “วันนี้มีเธอก็ไม่มีฉัน!”“ลองดูสิว่าฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ไหม!”เย่จื่อไม่พูดพล่ำทำเพลงเข้าไปต
เย่จื่อไม่คาดคิดว่าเย่ซูเฟินจะโทรมาหาเธอ ซึ่งทำให้เธออารมณ์เดือดขึ้นทันที "ทำไม? หรือว่าเป็นลู่ม่านเซิงที่บอกอะไรกับเธอ ฉันจัดการเธอแล้วยังไงล่ะ!""ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?" เย่ซูเฟินพูดด้วยความโกรธ เพราะอยากจะจัดการกับเย่จื่อให้ได้"ฉันต้องบอกด้วยเหรอ? คิดว่าเธอเป็นใคร!" เย่จื่อไม่สนใจที่จะเคี้ยวเมล็ดแตงโมแล้ว ปัดมันออกไปพร้อมกับกำลังมองหาที่ระบายความโกรธเย่ซูเฟินหัวเราะเยาะ "กลัวสินะ กลัวฉันจะหาตัวเจอ ฉันรู้แล้วว่าโรงงานเสริมความงามของเธอโดนพังเสียหายหมด ตอนนี้ถึงกับต้องหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหดหัวแล้ว!""ฉันเนี่ยนะกลัว? ฉันเคยกลัวเธอสักครั้งไหม! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับเย่เว่ยถิง ฉันไม่เคยนับเธอเป็นคนของตระกูลเย่ด้วยซ้ำ!" เย่จื่อตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น"งั้นก็ออกมาสิ มาสู้กันต่อหน้า!" เย่ซูเฟินท้าทาย"ก็ได้ ออกมาก็ออกมา เย่ซูเฟิน ถ้าเธออยากจะตัดขาดกับฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว!" พูดจบ เย่จื่อก็ตัดสายทิ้งและหยิบกระเป๋าขึ้น เตรียมออกไปข้างนอกทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เวินหนี่รีบพูดขึ้น "คุณอาคะ คุณอาจะไปไหนคะ หนูจะไปด้วย"เย่จื่อหันมามองเวินหนี่ "เธอไม่ต้องไป เย่ซูเฟิ