ชายคนนั้นสอดมือลงในกระเป๋าเสื้อและจ้องมองเวินหนี่ด้วยสายตาอ่อนโยนครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ลู่เซิน พวกเราอยู่ห้องเดียวกันทั้งตอนประถมและมัธยมต้น”เวินหนี่จมอยู่ในความคิดเป็นเวลานานจากภาพจำของเธอ ลู่เซินนั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงตอนนั้นเขาเป็นเด็กอ้วนตัวเล็ก ๆ และนั่งอยู่แถวหลังเงียบ ๆ ทุกภาคเรียนเธอไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเขามากนักเธอเป็นหนึ่งในผู้ที่มีผลการเรียนดีที่สุดมาโดยตลอด เธอทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการการศึกษาในชั้นเรียน และมากสุดก็แค่พูดคุยกันสองสามคำตอนเก็บการบ้านเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะกลายเป็นคนที่หล่อเหลาขนาดนี้ “ลู่เซิน?” ริมฝีปากของเวินหนี่โค้งขึ้นเล็กน้อย “ทำไมนายถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ล่ะ? ฉันจำนายไม่ได้เลย”“ใช่น่ะสิ ฉันเปลี่ยนไปมาก ไม่แปลกที่เธอจะจำไม่ได้” ลู่เซินมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง “เพื่อนร่วมชั้นหลายคนก็จำฉันไม่ได้ แต่ฉันจำเธอได้นะ”เวินหนี่มีความสุขมากที่ได้พบเพื่อนร่วมชั้นเก่าหลังจากที่เธอเริ่มทำงาน เธอก็ไม่ค่อยได้ไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นเลย เพราะทุกครั้งมัวแต่ยุ่งกับการทำงานชีวิตของเธอนั้นซ้ำซากจำเจ มีแค่งานและครอบครัว นอกเหนือจากเพื่อนร
เวินหนี่เห็นว่าลู่เซินยังอยู่ใกล้ ๆ กลัวว่าเขาจะได้ยินเข้า แล้วสถานการณ์จะกระอักกระอ่วน จึงบอกให้ถังเยาหยุดพูดไร้สาระถังเยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อฟังและไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นลู่เซินทักทายผู้อื่นอย่างสุภาพพอเป็นพิธี และกลับมาหาเวินหนี่ถังเยาเอ่ยทัก “คุณลู่ คุณเป็นแขกที่หาตัวได้ยากนะคะ”ลู่เซินตอบ “นิทรรศการของคุณถังประสบความสำเร็จมาก ผมคิดว่ามันจะต้องมีอิทธิพลมากแน่ ๆ ครับ”“งานอดิเรกของนักวิชาการเทียบไม่ได้กับคุณลู่เลยค่ะ” ถังเยาสะกิดเวินหนี่ “ฉันได้ยินมาว่าพวกคุณเป็นเพื่อนร่วมชั้นเก่ากัน งั้นคุณช่วยไปส่งเวินหนี่หน่อยได้ไหมคะ ตอนบ่ายเธอต้องกลับบริษัทน่ะค่ะ”จู่ ๆ เวินหนี่ก็ถูกดันออกไป เธอรู้สึกสับสนเล็กน้อย และก่อนที่จะได้พูดอะไร ลู่เซินก็ตอบกลับทันที “ได้สิครับ ผมไม่ได้มีธุระอะไร เดี๋ยวผมจะไปส่งเธอให้เอง”ถังเยาขยิบตาให้เวินหนี่และพูดขึ้นอย่างสุภาพ “รบกวนด้วยนะคะ”เธอผลักเวินหนี่ไปข้าง ๆ ลู่เซิน “เพื่อนร่วมชั้นเก่าคงอยากลำลึกความหลังกัน พวกคุณค่อย ๆ คุยกันไปก็แล้วกันค่ะ ฉันขอไม่ไปส่งก็แล้วกันนะคะ”เธออยากให้พวกเขามีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นเวินหนี่มองไปที่ถังเยาด้ว
แต่กลับเห็นเวินหนี่ยืนอยู่ในอ้อมแขนของชายอีกคนทั้งสองใกล้ชิดกันมาก พวกเขามองตากันอย่างเสน่หาเย่หนานโจวขมวดคิ้วทันที ใบหน้าที่เย็นชาของเขาเปลี่ยนเป็นดำมืด และดวงตาของเขาจ้องไปที่ทั้งสองที่กอดกันอยู่อย่างเฉียบคมเท่าที่เย่หนานโจวจำได้ ดูเหมือนว่าเวินหนี่จะไม่มีเพื่อนผู้ชายอย่างไรเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อนจู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ และไม่ชอบใจเอาเสียเลย เขาอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าเดินออกไปเวินหนี่รู้สึกตกใจตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตระหนักว่าระยะห่างระหว่างคนทั้งสองนั้นใกล้กันเกินไปและดูไม่ค่อยเหมาะสม เธอจึงรีบผละออกจากอ้อมแขนของเขา“เธอโอเคไหม เจ็บตรงหรือเปล่า?” ลู่เซินถามอย่างเป็นห่วง “ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณนะ” เวินหนี่ยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ“ไม่ต้องขอบคุณ” ลู่เซินกล่าว “ดูสิ เธอเพิ่งเจอฉัน ไม่พูดขอโทษก็พูดขอบคุณ อย่าทำเหมือนเราห่างเหินกันขนาดนั้นสิ”ลู่เซิงยังอยากสนิทกับเธอให้มากขึ้นเวินหนี่เป็นคนสุภาพและมีน้ำใจต่อผู้อื่นแต่เห็นได้ชัดว่า ลู่เซินไม่ต้องการให้เธอสุภาพกับเขามากเกินไป ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการที่จะกดดันเขามากเกินไปเช่นกัน
เวินหนี่ตกใจมากที่เขาพูดสิ่งนี้ นี่เป็นความลับส่วนตัวที่สุดระหว่างเธอกับเย่หนานโจวทำไมเขาถึงพูดมันออกมาอย่างนั้นเธอยังคงรู้สึกตกใจลู่เซินรู้สึกประหลาดใจมาก เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถามกลับอย่างใจเย็น “แล้วคุณเย่รู้ได้ยังไงครับ?”เย่หนานโจวขยับปาก แต่เวินหนี่แทรกขึ้นก่อน “ประธานเย่เขาล้อเล่นน่ะ”เธอขัดจังหวะเย่หนานโจวทันที และหลุดออกมาจากมือของเขา แต่บนใบหน้ายังคงยิ้มเล็กน้อย “หลายปีมานี้ฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน จะแต่งงานได้ยังไงกัน อย่าคิดมากเลย” เธอพูดกับลู่เซินเมื่อได้ยินแบบนั้นเย่หนานโจวก็เงยหน้าขึ้น เขามองเวินหนี่ด้วยสายตาที่หนักหน่วง พร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่นดูไม่พอใจเอามาก ๆ “อย่างนี้นี่เอง” ลู่เซินถอนหายใจด้วยความโล่งอก “งั้นก็ไม่มีอะไร ก็ว่าทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินข่าวแต่งงานของเธอเลย”หากเธอแต่งงานแล้ว เขาคิดว่าเขาต้องรู้ข่าวแล้วสิ เวินหนี่เปลี่ยนเรื่องทันทีโดยไม่ให้โอกาสเย่หนานโจวได้เป็นบ้าอาละวาด “ลู่เซิน ฉันตกลงไว้ว่าจะกลับบริษัทพร้อมกับคุณเย่ นายไม่ต้องไปส่งฉันก็ได้ ไปทำธุระของนายเถอะ”ลู่เซินมองดูทั้งสองและตระหนักได้ว่า เขาเองก็ยังไม่คุ้นชินทาง กล
เฉินเพ่ยหลินรีบหยิบมันออกมาจากถุง “ตัวนี้ค่ะ ดิฉันกลัวว่าเวินหนี่จะยุ่งจนไม่มีเวลา บังเอิญเป็นทางผ่านพอดี ก็เลยขอให้คนไปช่วยรับคืนมาให้ก่อนน่ะค่ะ”เมื่อมองดูสูทที่ไม่ใช่ของตัวเอง ดวงตาของเย่หนานโจวก็เริ่มมืดมนสูทผู้ชายจู่ ๆ เขาก็นึกถึงลู่เซินดูเหมือนว่าหลังจากที่เวินหนี่พบกับลู่เซินที่นิทรรศการ เธอก็ถือถุงใบนี้ ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่าของที่อยู่ด้านในคืออะไรที่แท้ก็คือสูทของลู่เซินงั้นเหรอเย่หนานโจวกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัวเฉินเพ่ยหลินสังเกตว่าสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่เธอก็รู้ด้วยว่าเย่หนานโจวเป็นคนไม่ชอบแสดงสีหน้า แต่ในใจเขาคงไม่พอใจอยู่มาก เธอถามขึ้นอีกครั้ง “ประธานเย่ ให้ดิฉันวางไว้ตรงนี้หรือไหมคะ?”เย่หนานโจวเม้มริมฝีปากแล้วพูดอย่างเย็นชา “วางไว้ตรงนั้น”เฉินเพ่ยหลินยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “ค่ะ งั้นดิฉันขอตัวออกไปก่อนนะคะ”หลังจากดำเนินการทุกอย่างเสร็จ เฉินเพ่ยหลินก็ออกไปด้วยความพึงพอใจ มาดูกันว่าเวินหนี่จะยังได้รับความไว้วางใจจากเย่หนานโจวได้อีกสักกี่ครั้งเย่หนานโจวมีความขุ่นเคืองอยู่ในใจ และมันก็น่ารำคาญมากเมื่อเขาเห็นสูทตัวนี้ในเวลาทำงานพอถึงเวลาเลิกง
เดินมาถึงประตูห้องส่วนตัว สภาพแวดล้อมบนชั้นสองนั้นดูหรูหรากว่ามาก และคนก็ไม่เยอะเท่ากับชั้นล่างเมื่อเปิดประตูออก คนที่อยู่ข้างในก็ตะโกนขึ้นอย่างกระตือรือร้น “ประธานลู่ ประธานลู่มาแล้ว!”“ลู่เซิน นายเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ทำไมถึงได้หล่อขนาดนี้ ทั้งหล่อทั้งรวย สาว ๆ ที่ชอบนายคงเข้าคิวยาวแน่ ๆ”ลู่เซินตอบอย่างติดตลก “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องหันกลับไปดูว่ามีหรือเปล่า”“พูดแบบนี้แสดงว่านายยังโสดอยู่งั้นเหรอ เอาล่ะ สาว ๆ ลู่เซินเป็นหนุ่มโสด ต้องรีบคว้าโอกาสกันไว้แล้วนะ!”พวกเขาพูดคุยกับลู่เซินอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเวินหนี่ยืนอยู่ข้างหลังเขา พวกเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้มีแขกที่หายากมาด้วยอีกคน เวินหนี่เธอเองก็มาด้วย”เวินหนี่พูดขึ้นว่า “ขอโทษที่มาสายนะ”“เวินหนี่ เธอนี่ไม่ใจเลย ทำไมถึงไม่เคยมาร่วมงานเลี้ยงเลยล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เซิน พวกเราก็คงไม่ได้เห็นหน้าเธออีก”“แต่เวินหนี่เธอยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ”“สวยน่ะดีแล้ว ความสวยคือทุน เธอเป็นถึงเลขานุการของประธานเย่แห่งเย่กรุ๊ป แถมยังมาพร้อมกับประธานลู่อีก”หลังจากท
ทุกคนต่างก็อยากรู้คำตอบของเขาลู่เซินเงียบไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้ามอง เขาก็ขยับริมฝีปากเล็กน้อย “ไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกนายไม่รู้จัก”แล้วความสนใจของทุกคนก็หายไปทันที“เฮ่อ ฉันนึกว่าเป็นเวินหนี่ซะอีก ที่แท้ก็ไม่ใช่ ดูเหมือนว่าพวกเราจะคิดมากกันไปเองจริง ๆ”เวินหนี่ไม่เคยคิดว่าเป็นตัวเองความสัมพันธ์เธอกับเขาสนิทกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเท่านั้นเป็นเพราะทุกคนเดามั่วกันไปเองหลังจากนั้น เธอก็ไม่ได้ตกเป็นจุดสนใจอีกต่อไป และเธอก็ผ่อนคลายที่ไม่ต้องตกเป็นหัวข้อพูดคุยของทุกคนในงานเลี้ยงรุ่น พวกผู้ชายคุยกันไปคุยกันมา ก็ถือแก้วไวน์พูดคุยกันเรื่องงาน เรื่องธุรกิจ เวินหนี่ดื่มไวน์ได้ไม่นานก็รู้สึกเวียนหัวและมึนเมา อาจเป็นเพราะเธอไม่ได้ดื่มมานานมากแล้ว เธอได้ยินเสียงคนคุยกันอย่างคลุมเครือ แถมยังเอ่ยถึงชื่อของเธอด้วย“ในบรรดาพวกเรา เวินหนี่ดูจะไปได้สวยที่สุดเลยนะ ได้อยู่รอบตัวสองประธานยักษ์ใหญ่ คงได้ประโยชน์มาไม่น้อยเลย”“ชีวิตที่สวยหรูแบบนี้ฉันไม่ต้องการหรอก ชื่อเสียงก็ไม่ชัดเจน พวกเธอไม่เคยได้ยินใช่ไหมล่ะว่า เวินหนี่เป็นลูกสาวของครอบครัวที่ร่ำรวย ครอบครัวธรรมดา ๆ จะมีเงินซื้อ
แม้แต่คนที่อยากจะตบเวินหนี่ก็ยังทำได้เพียงเปลี่ยนสีหน้า และระงับความคับแค้นใจเอาไว้เย่หนานโจวจ้องมองพวกเธออย่างเย็นชา “ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกเหรอว่าพวกคุณควรขอโทษใคร!”กลุ่มเพื่อนสาวเข้าใจทันที และรีบเดินไปหาเวินหนี่พลางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ขอโทษนะเวินหนี่ พวกเราไม่ควรเดามั่วกันเอง พวกเรารู้ตัวแล้วว่าผิด เราจะไม่ทำมันอีก”พวกเธอรู้ว่าเย่หนานโจวทรงอิทธิพลากแค่ไหน ในที่นี้ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็อย่าได้คิดที่จะมีปัญหากับเย่กรุ๊ปหากทำให้เขาขุ่นเคือง ในอนาคตก็อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตที่ดีในบริษัทเลยพวกเธอยังมีครอบครัว มีลูก มีพ่อแม่ จึงไม่กล้าเอาอาชีพของตัวเองเข้าไปเสี่ยง เวินหนี่ไม่ได้ติดใจเอาความ แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจ เธอจ้องไปที่เย่หนานโจวอย่างว่างเปล่าแล้วถามขึ้นว่า “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”เย่หนานโจวมองย้อนกลับไปที่เวินหนี่ด้วยความไม่พอใจอย่างมากเขาจับแขนเธอทั้งที่ยังโกรธอยู่และพูดขึ้นอย่างเย็นชา “กลับบ้านกับฉัน!”เวินหนี่สะบัดมือของเขาออก “ทำไมฉันต้องกลับไปกับคุณด้วย ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณสักหน่อย”การสนทนาของพวกเขาทำให้คนที่อยู่ที่นั่นงุนงงทุกคนรู้ดีว่า เวินหนี่เป็นเลข
อาจ้านตอบว่า “ช้าอีกหน่อยแล้วกัน สถานที่เดิม”หญิงผมแดงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้เลย ฉันจะรอคุณตรงเวลานะ”พูดจบหญิงผมแดงก็รีบเดินออกจากบริเวณของเขาไป พอเธอจากไปแล้ว อาจ้านก็ค่อย ๆ เอาหัวใจของสัตว์กลับใส่ที่เดิม จากนั้นเขาก็เย็บปิดแผลอย่างประณีต แม้ว่าเมื่อครู่จะดูโหดร้ายเลือดสาดสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้หัวใจของสัตว์นั้นก็ยังสามารถเต้นได้อีกครั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว อาจ้านถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดออก ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและสบู่หลายรอบ จนกระทั่งไม่เหลือกลิ่นใด ๆ แล้วจึงออกไป เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังฟาร์มที่หน้าประตูมีคนยืนเฝ้าอยู่ พอเห็นรถของอาจ้านเข้ามาก็รีบเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในฟาร์มมีการปลูกดอกไม้บางชนิดตกแต่งไว้ แต่มีเพียงสตรอเบอร์รีเท่านั้นที่เป็นพืชหลักของฟาร์มสตรอเบอร์รีในแปลงไม่ได้ถูกเก็บไปขาย หลายลูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้น อาจ้านลงจากรถ สายตาเขาเหลือบมองทุ่งสตรอเบอร์รีที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีอย่างพอใจ บนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆผู้คุมหน้าประตูส่งตะกร้าให้ อาจ้านรับตะกร้ามาแล้วเดินตรงเข้าสู่แปลงสตรอเบอร์รี ทุ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยผลสตรอเบอร์รีที่สุกงอมจนเป็นส
[ฉันว่าคุณพูดถูกนะ เทียบกันแล้วฉันชอบคลิปสั้นของจางจื่อฉีมากกว่า ชอบบทของเธอในละครเรื่องนั้นจริงๆ!]ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธคนพวกนี้พูดบ้าอะไรกัน! บอกว่าจางจื่อฉีถ่ายได้ดีกว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง! เธอหน้าตาสวยกว่าจางจื่อฉีตั้งเยอะผู้ช่วยของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นยอดไลค์ในคลิปสั้นของจางจื่อฉีพุ่งทะลุสิบล้านแล้ว จึงพูดจาดูถูกขึ้นมาทันที “พวกชาวเน็ตเขียนอะไรกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณเซิงสวยกว่า จางจื่อฉีน่ะอาศัยแค่กระแสความทรงจำ ไม่ได้มีความสามารถจริงจังอะไรเลย แถมดันไปถ่ายคลิปสั้นแบบนี้อีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเขาเล่นกันทั้งนั้น ดาราจะไปโพสต์คลิปบนแอปแบบนี้ได้ยังไง ไร้เกียรติมาก!”ผู้ช่วยของเธอดูถูกวิธีการนี้มาก เพราะส่วนใหญ่ดาราที่โพสต์บนแอปสั้นมักจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยดัง พยายามหารายได้จากตรงนี้ เธอจึงไม่สนใจสิ่งนี้เลย“อ๊า!” ลู่ม่านเซิงโมโหถึงกับปามือถือลงพื้น!ผู้ช่วยที่ตอนแรกตั้งใจจะปลอบเธอ ถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นลู่ม่านเซิงปามือถือด้วยความโกรธ “คุณเซิง…”ลู่ม่านเซิงโกรธจนตาแดงก่ำ “ทำไมยอดไลค์ของจางจื่อฉีถึงได้ถึงสิบล้าน มีคนชอบเธอตั้งมา
ทางด้านลู่ม่านเซิงก็กำลังถ่ายทำเช่นกันเธอแต่งกายสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับจางจื่อฉี“ดีมากเลย เซิงเซิง สวยมาก!” ช่างภาพกล่าวพลางถ่ายจากหลายมุม“มุมนี้ดูดีมาก ได้ภาพสวยเลย!”ช่างภาพชมเธอไม่หยุดระหว่างถ่ายทำลู่ม่านเซิงเองก็มั่นใจในตัวเองสูง เธอตั้งใจถ่ายมาก เพราะรู้ดีว่าเสน่ห์และความงามของเธอเหนือกว่าจางจื่อฉี ซึ่งในวงการบันเทิงแล้ว ความงามถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง หลายคนดังได้จากเพียงรูปลักษณ์เธอเองก็แสดงละครได้ดี แถมยังมีหน้าตาที่โดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะเอาชนะจางจื่อฉีได้แน่นอนจริง ๆ แล้วเป้าหมายของเธอไม่ใช่จางจื่อฉี แต่เป็นเวินหนี่เธอจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับจางจื่อฉีเพื่อโค่นล้มเวินหนี่ หากเธอชนะจางจื่อฉีได้ ก็จะถือว่าชนะเวินหนี่ด้วยและหากชนะครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อไปเมื่อดูภาพถ่ายของตัวเอง เธอก็พึงพอใจมาก เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเทรนด์ในโลกออนไลน์ได้“รีบปล่อยภาพนี้ไปให้เร็วที่สุดนะ ใช้ความร้อนแรงของงานในวันนี้ให้เต็มที่” ลู่ม่านเซิงสั่ง“แน่นอนครับ คาดว่าค่ำนี้น่าจะได้เห็นกันแล้ว!”ริมฝีปากของลู่ม่านเซิงเผยรอยยิ้มมั่นใจ คิดว่าความสำเร็จอยู่ในมือเธอแล้วค่ำวันนั้น สื่อ
เธอยังคงเป็นคนของบริษัทเย่หนานโจว หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น บริษัทก็ย่อมต้องคุ้มครองเธออยู่แล้ว ช่วงนี้ยังมีข่าวมากมายที่ออกมาช่วยลบล้างข่าวเสียของลู่ม่านเซิงอีกด้วยเวินหนี่มองลู่ม่านเซิงในชุดนี้อย่างเย้ยหยัน “เลียนแบบจนได้ดี มันสนุกมากไหม?”คำพูดนี้จี้จุดของลู่ม่านเซิง แต่คราวนี้เธอไม่สนใจ เธอต้องการชนะเสียครั้งหนึ่ง จึงยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เวินหนี่ เธอไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะไปรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่คนดูชอบ คนที่สวยก็ย่อมมีคนติดตามมากกว่า หรือเธอว่าไม่จริง?”ความหมายก็คือเธอเชื่อว่าตัวเองสวยกว่าจางจื่อฉี แต่แม้ว่าลู่ม่านเซิงจะพูดอย่างนั้น จางจื่อฉีก็มีฝีมือการแสดงที่เหนือกว่า ความเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเรื่องความสวยจางจื่อฉียืนอยู่อย่างสงบ สีหน้าเยือกเย็น ไม่คิดจะโต้เถียงใด ๆ กับลู่ม่านเซิง ราวกับไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับเธอเลยเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจจะโต้แย้งอะไรในเรื่องนี้ เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ลู่ม่านเซิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ได้ยั่งยืน “ในเมื่อเธอชอบนัก ก็เอาไปเถอะ จางจื่อฉีไม่ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ใช้ที่นี่”พอเห็นเวินหนี่รู
เวินหนี่ถ่ายรูปให้จางจื่อฉีไปหลายรูป แม้เธอจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นเพราะความสวยงาม แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเธอที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้นักแสดงชายหลายคนมีชื่อเสียงได้เช่นกัน ความไม่ถือตัวและความเป็นกันเองของจางจื่อฉีเป็นสิ่งที่เวินหนี่ชื่นชมเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์เกือบสิ้นสุดลง เวินหนี่เดินหาช่างภาพเพื่อนำไปถ่ายภาพเสร็จสมบูรณ์พอเสี่ยวอิ่งเห็นจางจื่อฉี เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จางจื่อฉี! ฉันได้เจอตัวจริงแล้ว!”เวินหนี่เห็นเสี่ยวอิ่งมีปฏิกิริยาขนาดนี้ก็อดแซวไม่ได้ “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสี่ยวอิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนสิ! ฉันดูละครที่เธอเล่นมาตั้งหลายเรื่อง นี่มันเหมือนฝันไปเลย ฉันได้เจอไอดอลของฉัน ฉันชอบเธอมาก ๆ เลยล่ะ!”จางจื่อฉียิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี ฉันคือจางจื่อฉีค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไปจับมือกับเสี่ยวอิ่งเสี่ยวอิ่งมองมือของจางจื่อฉีด้วยความตื่นเต้น ราวกับอยู่ในความฝัน เธอจับมือจางจื่อฉีแล้วพูดอย่างซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉันดูละครที่คุณแสดงมาทุกเรื่องเลยนะคะ ฉันรู้ประวัติของคุณด้วย คุณมาจากต่างจังหวัดแล้วต่อสู้ในวงการบันเทิงตั้งนาน ฉ
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถของลู่ม่านเซิงในการสร้างกระแสดังในทางลบ กับความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจางจื่อฉีที่ปฏิเสธไม่รับเล่นบทละครที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว เวินหนี่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่าในวงการบันเทิงยุคนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว นักแสดงหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่คนเก่าก็ถูกลืมไปได้ง่ายบางคนอาจโด่งดังจากละครเรื่องเดียว แต่ถ้าไม่มีผลงานต่อไปคอยสนับสนุนจากคนดังแถวหน้าก็อาจตกไปเป็นระดับล่างได้ในพริบตา การแข่งขันในวงการนี้โหดร้ายและไร้ปรานี ต่อให้เวินหนี่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเอง เธอก็ยังเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแม้การเล่นละครที่ด้อยคุณภาพจะทำให้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ถ้ามันสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้ นักแสดงคนนั้นก็สามารถนับเป็น ‘สินค้าทางการตลาด’ ที่ประสบความสำเร็จแล้วเวินหนี่มองจางจื่อฉีและพูดว่า “คุณเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงที่ดี แต่ยังไม่ยอมตามกระแสแบบทั่วไป คนที่เป็นแบบนี้หาได้ยากมาก ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าสักวันคุณจะต้องโด่งดังแน่นอน”จางจื่อฉีรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำชมจากเวินหนี่ เธอจึงยิ้มและพูดด้วยความขอบคุณ “ตอนน
นักข่าวที่มางานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอ เพราะสื่อออนไลน์พัฒนาไปไว ทุกคนต่างก็พยายามเป็นคนแรกในการปล่อยข่าว รายงานแรกที่แม่นยำที่สุดย่อมได้เรตติ้งดีที่สุดแม้งานเดินแบบเวทีทีสเตจนี้จะไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่การถ่ายทอดสดก็ทำให้ทุกสื่อแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของกระแสบนรันเวย์ตอนนี้มีนางแบบเดินอยู่บ้างแล้ว บรรดาดาราหลายคนก็อยู่ที่นั่งฝั่งผู้ชม เวินหนี่กำลังมองหามุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพ“คุณเวิน”ทันใดนั้นเสียงเรียกเธอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เวินหนี่หันกลับไปก็พบว่าจางจื่อฉีกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นแต่ทีมงานและดาราที่อยู่ด้านใน“คุณจาง ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้คะ?”จางจื่อฉีตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณจางหรอก เรียกว่าจื่อฉีก็พอ”เวินหนี่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว “ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ? เข้าไปด้านในเถอะนะ ตรงนี้มีแต่ทีมงาน เดี๋ยวถ้าโดนนักข่าวรุมถ่ายจะลำบากเอานะคะ!”เวินหนี่รู้ดีว่าพวกนักข่าวนั้นดุดันแค่ไหน การที่จางจื่อฉีออกมาแบบนี้อาจทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายได้จางจื่อฉีไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เธอมองไปยังพวกนักข่าวและช่างภาพที่กำล
เย่หนานโจวหัวเราะเย็นชา “เคยเห็นการยินยอมพร้อมใจแบบนี้ด้วยหรือไง?”ปลายสายถึงกับเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ในเมื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ถึงกับถูกหลอกกันง่าย ๆ เขารู้สึกว่าเย่หนานโจวกังวลเกินไปแต่พอคิดอีกที คงเป็นเพราะความห่วงใยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จึงเข้าใจได้ว่าความกังวลของเย่หนานโจวก็มีเหตุผลอยู่เย่หนานโจวเปิดม่านหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกังวลใจ "เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย ถ้ามีใครสักคนเข้ามาหว่านล้อมไม่กี่คำแล้วเธอดันหลงเชื่อขึ้นมาล่ะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย"ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เขาจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหลังจากวางสาย เย่หนานโจวเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนชุด เวินหนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี เห็นเขาเดินเข้ามาตรงเวลา เธอจึงหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “ฉันจัดการเองได้”เย่หนานโจวไม่คัดค้าน แต่จ้องมองเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องไปทำธุระสักพัก คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน”“ค่ะ” เวินหนี่พูดขณะเป่าผม โดยไม่หันไปมองเขาเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เวินหนี่เดินออกมาพร้อมกับเย่หนานโจว“หน
เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังเธอไม่วางตาโดนมองแบบนี้แล้ว เวินหนี่ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ว่ายน้ำเสร็จแล้วหรือยังคะ? ถ้าเสร็จแล้ว ช่วยปล่อยให้ฉันออกไปจะได้ไหม?”เย่หนานโจวสบตาเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำขึ้นทุกที “เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะ?”เวินหนี่ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขากลับ “ฉันไม่ได้โกหก”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ “เธอโกหกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เธอโกหกอีกเป็นครั้งที่สอง”เวินหนี่นิ่งเงียบ ตอนนี้ในสถานการณ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่ามันจะเป็นการโกหกหรือไม่ ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว การปกป้องตัวเองด้วยการโกหกก็เป็นเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เย่หนานโจวไม่ทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้เวินหนี่เดินเข้าไปข้างในทันที แล้วเลขาหญิงก็ตามเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เป็นชุดกีฬาที่สวมใส่สบายและโปร่ง “คุณเวินคะ นี่เป็นชุดที่ท่านประธานเตรียมไว้ให้ค่ะ”เวินหนี่ทั้งตัวเปียกชุ่มไปหม