“และบุคคลผู้นั้นแท้จริงมิใช่ข้า ที่มิยอมบอกความจริงแต่แรกเพราะข้าเองก็ต้องการสืบเรื่องนี้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่”“ถึงตอนนี้เจ้าก็ยังจะโกหกข้าอยู่อีกหรือเปล่า ฟางซิน...ได้โปรดพูดความจริงมาเถิด อย่างน้อยข้าก็จะได้สบายใจก่อนตายว่าเจ้าได้แสดงความจริงใจออกมาให้ข้าเห็นสักครั้ง”“ใยเวลาที่คนพูดโกหกท่านเชื่อ แต่เวลาที่มีคนพูดความจริงท่านกลับหาว่าเป็นการสร้างเรื่อง ข้ารู้ดีว่ามันยากยิ่งที่จะทำให้ท่านเชื่อข้าอีกครั้งในเวลานี้ แต่เชื่อเถิดท่านหวังซื่อว่าความจริงจะออกจากปากของคนใกล้ตาย...ข้าคือนางมารหมื่นบุปผา แต่ข้ามิเคยคิดร้ายกับท่านและจิ้นเหอ และข้าก็มิใช่ผู้พรากชีวิตคู่หมายของเขา”“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของใคร” “นี่พวกเจ้าเตรียมพร้อมกันแล้วหรือ?” เสียงที่ดังแทรกเข้ามาทำให้การสนทนาของทั้งสองหยุดลงในฉับพลัน มี่อิงและผู้ติดตามอีกเกือบสิบคนก้าวลงมาตามขั้นบันไดหินซึ่งทอดลงไปยังคุกใต้ดิน นางก้าวมาหยุดทางเดินตรงกลางระหว่างห้องขังของหวังซื่อและฟางซินที่กำลังยืนหันหน้าเข้าหากัน นางมารดอกไม้เงินหัวเราะร่าเมื่อเห็นสภาพของประมุขพรรคมารที่ต้
“ข้าเพ่ยหลิน....ขอประกาศต่อหน้าทุกคนในที่นี้ว่าบัดนี้ถึงเวลาของการทำพิธีอันสำคัญ นั่นคือการปลดฟางซินออกจากตำแหน่งประมุขพรรคบุปผาสวรรค์ และนับแต่บัดนี้นางมิใช่คนของพรรคเรา นางต้องถูกลงโทษสถานหนักโทษฐานที่ละเมิดกฎอันสำคัญยิ่ง นั่นคือ...นางได้ทรยศต่อการเป็นประมุขพรรค ช่วยเหลือฝ่ายศัตรูและที่สำคัญ...นางมีความรัก...นางมอบความรักโง่งมของนางให้แก่คนที่ต้องการโค่นล้มพรรคเรา!” คำประกาศเลื่อนลั่นนั้นยังผลให้ทุกคนที่ยืนรายรอบต่างแสดงสีหน้าตกใจ ทั้งประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ เพ่ยหลินจึงกล่าวต่อไปว่า “และทุกคนก็รู้ว่าการลงโทษสถานหนักของผู้ล่วงกฎพรรคนั้นเป็นเช่นไร ฟางซินจะต้องกลืนพิษกุหลาบพันปีและถูกขับไล่ไปให้พ้นจากสำนัก นางต้องกลายเป็นคนวิปลาสและต้องตายในเวลามินาน ส่วนเจ้า...คนที่มาจากราชสำนัก เจ้าคือผู้ติดตามแม่ทัพที่ฟางซินให้การช่วยเหลือ จะต้องถูกมัดมือมัดเท้าแล้วจับโยนลงจากหน้าผาแห่งนี้ เบื้องล่างนั้นคือป่าหินและไม้ที่มีหนามแหลมคม ทั้งยังมีสัตว์ป่าที่คอยแทะกินซากศพ ผู้ใดเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคบุปผาสวรรค์ย่อมมิมีโอกาสรอดออกไปจากที่นี่ได้แม้แต่คนเดียว!”
“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้! พวกเจ้ามันรนหาที่ ที่ตายนับหมื่นมีแต่อุตส่าห์ดั้นด้นมาตายถึงพรรคมาร” จิ้นเหอเห็นเช่นนั้นก็ขบกรามดังกรอด “นี่เป็นความจริงที่คนพรรคบุปผาสวรรค์มิเคยฟังผู้ใด ฆ่าคนเป็นผักปลาจิตใจอำมหิต สมแล้วที่คนทั้งยุทธภพเกลียดชังนักหนา ที่ข้ามาก็เพื่อขอตัวหวังซื่อ คนของข้ากลับไปเพราะเขาหาเป็นวรยุทธ์ไม่ เขามิใช่คู่ต่อสู้หรือศัตรูของท่าน” “แน่ใจหรือว่าเจ้ามาเพื่อช่วยคนของเจ้า” เพ่ยหลินเลิกคิ้วยิ้มหยันใส่จิ้นเหอ “เจ้าบอกว่ามาที่นี่เพื่อช่วยคนของเจ้าเพียงเท่านั้นรึ แล้วเจ้ามิคิดจะช่วยฟางซินหรืออย่างไร นางกำลังจะตายเพราะทำผิดกฎพรรคที่ไปช่วยศัตรูเช่นเจ้า ต้องกลืนยาพิษกลายเป็นคนวิปลาสและตายอย่างทรมาน!”13 ทัณฑ์รักเสียงประกาศก้องของเพ่ยหลินยิ่งกว่ามีดนับหมื่นเล่มทิ่มแทงลงไปถึงใต้บึ้งของแม่ทัพหนุ่ม หากแต่เขากลับมิได้สำแดงความสะทกสะท้านมีเพียงแววตาสะท้อนความอ่อนไหววาบขึ้นมาเพียงเสี้ยวลมหายใจก่อนมันจะจมหายไปในดวงตาดำยาวรีราวกับเขาปราศจากความรู้สึก จิ้นเหอไม่ตอบกลับแต่กุมดาบไว้มั่น เมื่อเห็นเขายืนนิ่งเพ่ยหลินจึงหันไปยังฟางซินแล้วหัวเราะลั่น
นางใช้วิชาด้ายสกัดวิญญาณรัดตัวหวังซื่อไว้ก่อนจะกระชากร่างของชายหนุ่มหวังให้ลอยลิ่วหล่นลงจากหน้าผาหากทว่าจิ้นเหอกลับกระโดดขึ้นไปรับร่างของหวังซื่อไว้ได้ทันท่วงทีก่อนจะใช้ปลายดาบคมฟาดฟันเส้นด้ายนับร้อยนั้นจนขาดสิ้นท่ามกลางความตื่นตะลึงของมี่อิงและคนอื่น ๆ แม่ทัพหนุ่มกระชากตัวคนของเขากลับไปได้อย่างปลอดภัยแต่ทำให้หวังซื่อทั้งตกใจและแปลกใจในความคล่องแคล่วว่องไวของผู้เป็นนายที่มีมากกว่าแต่ก่อน“ท่านแม่ทัพ...นี่ท่านก็มีวรยุทธ์ใช้วิชาตัวเบาได้ด้วยหรือนี่”หวังซื่อถามแต่จิ้นเหอไม่ได้ตอบคำถามนั้นแม้เขาเองก็ยังประหลาดใจในตัวตนราวกับมีพลังบางอย่างแล่นไหลในสายเลือด แต่แล้วหวังซื่อก็ดึงแขนเสื้อเขาไว้พร้อมทั้งกล่าวหน้าตื่น“นายท่าน...ได้โปรดช่วยแม่นางฟางซินด้วย นางกำลังจะถูกลงโทษให้กลืนพิษกุหลาบพันปี”สีหน้าและแววตาของหวังซื่อแสดงความเป็นห่วงอย่างจริงใจหากแต่เขากลับเห็นแววตาอันแน่วแน่ของจิ้นเหออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าคมคายยังเข้มเครียดและโกรธขึ้ง“เหตุใดนางจึงไม่ใช่พลังจากการฝึกวิชาคัมภีร์ฟ้าคำรามเล่า ข้ามิเชื่อดอกว่านางจะยอมตายง่าย ๆ แค่พลิกฝ่ามือนางมารหมื่นบุปผาก็สามารถถล่มยอดเขานี้ให้ทลายส
“เฉิงจิ้นเหอ...อย่าหวังว่าจะรอดไปจากที่นี่ได้ เจ้าต้องตายอยู่ที่พรรคบุปผาสวรรค์!” เสียงคำรามของเพยหลินดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นจากพลังฝ่ามือทรงพลังของนางที่ทำให้ลานหินบนหน้าผาเกิดรอยปริแยก ฟางซินตกตื่นเพราะรู้ว่าอานุภาพพลังลมปราณของมารดาบุญธรรมนั้นร้ายกาจขนาดไหน แรงสะท้านไหวใต้ฝ่าเท้าของสองหนุ่มสาวทำให้ทั้งคู่ไม่อาจยืนอย่างมั่นคงบนแผ่นหินที่เริ่มแยกตัวจากผาสูง และเพียงชั่วพริบตาที่แผ่นพื้นขนาดใหญ่เริ่มพลังทลายจากกัน ฟางซินรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงใช้ช่วงจังหวะที่จิ้นเหอไม่ทันตั้งตัวผลักเขาออกห่างและใช้พลังที่หลงเหลือกระแทกร่างสูงใหญ่ให้พ้นไปจากแผ่นพื้นที่กำลังจะทลายลงเบื้องล่าง “ฟางซิน!!” แม่ทัพหนุ่มตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นร่างของหญิงสาวที่หงายหลังลงไปพร้อมลานหินที่กำลังถล่มแต่แล้วเขากลับตัดสินใจกระโดดลงไปทันคว้าข้อมือของนางไว้ได้ “ฟางซิน!...” จิ้นเหอหยัดตัวบนผาชันขณะจับมือของนางมารหมื่นบุปผาที่งห้อยต่องแต่งและจับมือเขาไว้มั่น ดวงตาของนางราวมิได้หวั่นหวาดต่อหุบเหวเบื้องล่างขณะแหงนขึ้นจ้องมอ
“ฟ้าใกล้มืดแล้ว” จิ้นเหอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มก่อนตัดสินใจกล่าวขึ้น “ถ้าธารแสงจันทร์นั้นไปทางใด”“ข้าจะบอกทางให้...ไปทางนี้”หญิงสาวกระซิบบอกเขา แรงกำลังของนางตกลงทุกขณะด้วยไม่ได้เดินลมปราณเพื่อรักษาพลังภายใน พลังวัตต์ที่สูญหายไปยังไม่กลับคืนมาเต็มที่ แต่จิ้นเหอก็ไปตามเส้นทางที่นางบอก ลัดเลาะไปตามเขาสูงชัน เขายังคงสงบนิ่งและเย็นชาแม้ในกายจะเริ่มรุ่มร้อนเมื่อแผ่นหลังเบียดอยู่กับร่างนุ่มนิ่มของอิสตรี แม้เตือนหัวใจเท่าใดว่าอย่าหวั่นไหวแต่ในส่วนลึกช่างไม่ต่างจากศิลาที่ใกล้พังทลายด้วยสายน้ำ หากเขาก็พยายามอดทน เตือนสติตัวเองว่าจะไม่โอนอ่อนให้ผู้หญิงซึ่งครั้งหนึ่งเขาตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าต้องลากตัวกลับไปลงโทษให้สาสมความคิดของเขาหยุดลงเมื่อม้าคู่ใจเดินเหยาะย่างไปกระทั่งหยุดที่หน้าปากถ้ำซึ่งเขายังจดจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งเคยรอดตายจากการช่วยเหลือของคนที่เขาเกลียดชัง ณ ที่แห่งนี้ ขณะที่เขายังไม่ทันกล่าวอะไรออกมาฟางซินก็ขยับตัวลงจากหลังม้าอย่างทุลักทุเลก่อนที่เขาจะกระโดดตามลงไป แม่ทัพหนุ่มจูงม้าไปล่ามไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนหันกลับไปยังร่างบอบบางที่ยืนสงบนิ่ง ฟางซินจึงเอ่ยข
“ข้าจะบอกท่านเหมือนที่หัวใจของข้านึกคิด ข้ามิเคยเสียดายที่จะต้องถูกถอดออกจากการเป็นประมุข มิเคยเสียดายที่ต้องถูกขับไล่จากสำนัก สิ่งที่ข้าต้องการคือแก้แค้นเท่านั้น”“เจ้าเอาความแค้นที่มีต่อคนอื่นมาลงที่คนบริสุทธิ์มากมายนับไม่ถ้วน หรือต้องฆ่าคนทั้งยุทธภพเจ้าถึงจะพอใจ” “จิ้นเหอ...”เสียงแผ่วเบาลอดจากปากของฟางซิน นางจะขยับตัวออกห่างแต่ถูกแขนหนาทั้งสองของแม่ทัพหนุ่มกระหวัดรัดจนร่างบอบบางเบียดชิดติดกับอกกว้างจนแทบเขยื้อนไม่ได้ ทว่าแววตาของจิ้นเหอนั้นขุ่นข้น ใบหน้าของนางห่างจากเขาไม่ถึงคืบ ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนรุ่มที่เป่ารด เขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกโด่งชนปลายจมูกเล็ก“ใยเจ้ามิฆ่าข้าเสียตั้งแต่วันที่พบกันครั้งแรก ตอนนั้นข้ามิรู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าจะมีพลังน่ากลัวกว่าผู้ใดในยุทธภพ ถึงตอนนี้เจ้าก็ทำได้ ใช้ฝ่ามือทะลวงร่างฆ่าข้าให้ตายเหมือนอย่างที่เจ้าใช้มันกับไป๋เจี้ยน”“ทำไมท่านชอบบีบบังคับข้านัก บอกแล้วอย่างไรว่าท่านไม่ใช่...”เสียงของนางขาดหายโดยไม่ทันตั้งตัวและคาดคิดที่จิ้นเหอก้มหน้าลงมาและประกบริมฝีปากของฟางซินไว้ด้วยริมฝีปากของเขาแนบแน่น เป็นครั้งแรกที่กลีบปากนุ่มนวลดุจกลีบกุหลาบป่
คำตอบของหญิงสาวทำให้เขาชะงักชั่วขณะ แล้วคำกล่าวของไป๋เจี้ยนก็ดังขึ้นในมโนนึกของแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง“หากนางมีความรักหรือต้องสูญเสียพรหมจรรย์ร่างกายของนางจะแตกสลายด้วยกำลังภายในแตกซ่านและพลังมหาศาลที่มีจะค่อย ๆ ทำลายตัวนางเอง”“จิ้นเหอ...ท่านเป็นอะไร?”ฟางซินกระซิบเสียงปร่าเมื่อเห็นเขาเงียบงันราวกับมีเรื่องครุ่นคิดพลางไล้ปลายนิ้วบนสันกรามแกร่ง ชายหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากัน“ฟางซิน...บอกข้าได้ไหมว่า วันนั้นที่เจ้าถอนพิษให้ข้า เจ้าทำเช่นไร”เขากระซิบถามกลับและหญิงสาวนิ่งเงียบไปก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วมาแตะบนปากของเขาเบา ๆ และกระซิบตอบว่า“ข้าทำแบบนี้”อีกคราที่นางยกศีรษะขึ้นและป้อนปรนจุมพิตบนริมฝีปากหยักได้รูป จิ้นเหอเผยอปากออกและปล่อยให้ลิ้นเล็กหยั่งเข้าไปลึก ควานหาและซอกไซ้ ตวัดพลิ้วไปมาทั้งที่เขาเป็นบุรุษแรกที่นางยินยอมให้ล่วงล้ำและมองเห็นทุกส่วนสัดอันหมดจด มันทำให้จิ้นเหอเริ่มรำลึกถึงตอนที่เขาหลับใหล แม้ตกอยู่ในภวังค์ลึกเพราะต้องพิษแต่ก็ยังสำเหนียกได้ถึงความทรงจำอันหวานล้ำบนริมฝีปาก นางจุมพิตเขาเพื่อแลกพิษ ดูดซับความร้อนแรงในกายของเขาจนหมดสิ้น และยามนี้สัมผัสรันจวนทำให้เขาบังคับหัวใจตัวเองได้ย
“ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ
“เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้
หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก
แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ
มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม
“ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา
ดังนั้นนางจึงมิอาจต้านทานกำลังอันกล้าแกร่งของอีกฝ่ายได้จึงถูกซัดฝ่ามือใส่จังหวะที่นางพลาดท่าจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้น ฟางซินพยายามหยัดกายลุกขึ้นทั้งที่กระอักเลือดเปิดโอกาสให้ไป๋เจี้ยนพุ่งเข้าหาเพื่อหวังจะซัดฝ่ามือซ้ำแต่จิ้นเหอกลับเข้ามาขวางและถูกพลังลมปราณของไป๋เจี้ยนจนเขาเองก็ถึงกับหงายหลังลงไปนอนบนพื้น ไป๋เจี้ยนสบโอกาสหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วจ่อไปที่คอหอยของแม่ทัพหนุ่มอีกครั้งขณะหันไปยังฟางซินที่มองด้วยความตระหนก“จิ้นเหอ!”“นางมารหมื่นบุปผา เห็นหรือยังว่าพวกเจ้ามิอาจต้านกำลังของข้าได้ หากเจ้าอยากให้แม่ทัพเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็จงบอกที่ซ่อนคัมภีร์มาเดี๋ยวนี้”“อย่า!” จิ้นเหอตะโกนบอกทั้งที่ไป๋เจี้ยนกดปลายกระบี่ลงบนคอของเขาจนเลือดเริ่มซึมออกมา “อย่าบอกที่ซ่อนคัมภีร์ให้พวกคนใจชั่ว ถึงข้าตายก็มิเสียดายถือเสียว่าได้ทำคุณแก่แผ่นดินด้วยการปกป้องคนดีจากคนชั่ว”“ไม่...จิ้นเหอ...จิ้นเหอ”ฟางซินร่ำร้องเมื่อเห็นเลือดไหลจากรอยกรีดลึกของคมกระบี่บนคอแม่ทัพหนุ่ม หัวใจของนางราวกับจะขาดเสียให้ได้แต่มี่อิงกลับหัวเราะเย้ยเสียงดัง“หากเจ้าอยากให้คนที่เจ้ารักมีชวิตอยู่ใยจึงไม่บอกที่ซ่อนคัมภีร์แก่ท่านไป๋เจี้ยนเล่
“แม่ทัพเฉิง มีสิ่งใดน่าขัน”“หึ...จะมิให้ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องหัวเราะได้อย่างไร ท่านติดตามหาคัมภีร์เล่มนั้นจนแล้วจนรอดก็ยังมิได้ครอบครอง คิดว่าสวรรค์คงมีตามิเข้าข้างคนใจโฉดเช่นเจ้า”“ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังกล้าปากดีอยู่อีกรึ ยศฐาและตำแหน่งของเจ้าใช้ได้ต่อหน้าฮ่องเต้เท่านั้น หากแต่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็หาได้มีความหมายเพราะเจ้าเป็นเพียงเชลยที่มิรู้ชะตากรรมว่าจะตายเสียเมื่อใด”“ข้ายินดีตาย...หากมันจะแลกได้กับการไถ่โทษที่ข้าปรารถนามอบมันให้กับ...หญิงที่ข้ารัก”จิ้นเหอกล่าวขณะหันกลับไปยังฟางซินที่ยืนผงะนิ่งท่ามกลางเหมยเหม่ย หวังซื่อรวมทั้งหยางเซิงไต้ซือที่มองคนทั้งสอง ฟางซินมิคิดว่าจะได้ยินคำกล่าวนั้นจากปากของแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพหนุ่มผู้เคยมีหัวใจเย็นชาราวหินผาและครั้งหนึ่งเคยโกรธเกลียดเคียดแค้นนางมารหมื่นบุปผาถึงขนาดจะสับร่างนางเป็นหมื่นชิ้น ฟางซินน้ำตาซึม“จิ้นเหอ...”“ถึงข้าตายเสียตอนนี้ก็มิรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ข้ายอมสละตัวเองได้เพราะเจ้าจะมิมีวันได้คัมภีร์เล่มนั้นจากนางมารหมื่นบุปผาดอกไป๋เจี้ยน!”จิ้นเหอฉวยจังหวะที่ไป๋เจี้ยนพลั้งเผลอเพียงเวลาพลิกฝ่ามือดึงโซ่ตรวนที่พันธนาการข้อมือรวบ
เสียงที่ดังก้องขึ้นทำให้ทั้งหมดในที่นั้นหันกลับไปมองพร้อมกัน มี่อิงเลิกคิ้วขึ้นขณะไป๋เจี้ยนก็หันไปดังขวับส่วนจิ้นเหอเมื่อเหลียวกลับไปก็ได้เห็นคนที่เขาอยากพบมากที่สุดในเวลานี้ ฟางซินยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมด้วยเหมยเหม่ย หวังซื่อและหยางเซิงไต้ซือซึ่งเขาจำได้มิเคยลืมเมื่อครั้งเคยมาเยือนหวงซาน ณ อารามวัดโค้วอิงยี่ ทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางคนพรรคมารที่ต่างจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จิ้นเหอสบนัยน์ตานางมารหมื่นบุปผาด้วยหัวใจรุ่มร้อน หากมิตายเสียก่อนก็จะขอให้นางอภัยต่อความโง่เขลาที่เยขาหลงเชื่อคนใจคดอย่างมี่อิงและไป๋เจี้ยน แต่แล้วมี่อิงกลับระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น“ฮ่าๆๆๆๆ....มาแล้วรึเจ้าพวกแมงเม่า ฟางซิน...ข้านึกไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องหวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะเจ้าคงมิอาจทนเห็นคนรักของเจ้าตายอย่างทุกข์ทรมานอยู่ที่พรรคบุปผาสวรรค์เป็นแน่แท้”“มี่อิง เจ้าเลิกก่อกรรมเสียที มิรู้หรืออย่างไรว่าเจ้ากำลังเล่นกับสิ่งใด หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่ทัพเฉิงคนจากวังหลวงย่อมมิปล่อยเจ้าไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน”“ข้าไม่กลัว! คนจากวังหลวงหรือเป็นเพราะเจ้าห่วงเขากันแน่ มาวันนี้ก็ดีแล้วจะมาเป็นพยานให้กับข้าในการขึ้นเป็นป