“ท่านจิ้นเหอ...ท่านยังมินอนอีกหรือ?”“ข้าอยากขอรบกวนเวลาของเจ้า เพียงอยากพูดคุยกับเจ้าสักเล็กน้อย”ฟางซินจ้องหน้าเขานิ่ง ยิ่งมองแม่ทัพหนุ่มก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกหวั่นไหวมากขึ้นทุกที เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ทั้งที่พึ่งพบและรู้จักกับจิ้นเหอเท่านั้น ที่สำคัญเขาก็ยังมิรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของนางคือผู้ที่เขาผูกใจอาฆาต หญิงสาวก้าวพ้นจากธรณีประตู แม้ต่อหน้าคนสำนักเฟิงอี้นางคือน้องสาวของจิ้นเหอแต่ในความเป็นจริงต่างรู้ดีว่าต่างคือคนแปลกหน้า เป็นพี่น้องต่างสายเลือดในวาระนี้เท่านั้น“ตามข้ามาทางนี้ก่อน”เขากล่าว ฟางซินปิดประตูห้องและเดินตามแม่ทัพหนุ่มออกไปยังหน้าระเบียงบ้านที่มองเห็นบึงน้ำอาบด้วยแสงจันทร์ส่องในคือเดือนหงาย แสงสว่างจากโคมไฟรอบบ้านหลังงามอาบร่างหนุ่มสาวทั้งสองที่เดินมาหยุดด้านหน้าระเบียงพร้อมกัน“ท่านมีอะไรอยากพูดกับข้าเช่นนั้นหรือ ท่านจิ้นเหอ”“ฟางซิน...การที่เจ้าติดตามข้ามาที่นี่เป็นความสมัครใจของเจ้า แต่หากเมื่อใดที่ข้าเสร็จสิ้นภารกิจในการตามล่าตัวนางมารหมื่นบุปผาแล้วเจ้าจะทำเช่นไร”เมื่อได้ฟังคำถามฟางซินกลับเงียบไป นางมีสีหน้าครุ่นคิดแต่แล้วแม่ทัพหนุ่มก็กล่าวขึ้น“คำว่าเสร็จสิ
“พวกเขาถูกฆ่าตาย”“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ฆ่าพ่อแม่ของเจ้าเป็นใคร”“ถึงรู้ข้าก็ยังทำอะไรมิได้...ช่างมันเถิด นั่นเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว ข้าขอตัวกลับไปที่ห้องก่อน คิดว่าท่านเองคงอยากพักผ่อน”“ฟางซิน...”ครานี้จิ้นเหอพลั้งเผลอจับไหล่หญิงสาวเมื่อนางกำลังจะหันหลังให้ ฟางซินหันกลับมาสบตากับแม่ทัพหนุ่มที่จ้องตอบอย่างจริงจัง“สัญญาได้หรือไม่...ว่าการที่ข้าไปตามล่าตัวนางมารหมื่นบุปผาผลจะเป็นเช่นไรก็ขอให้เจ้าช่วยข้า”“ท่านจะให้ข้าช่วยอะไร”“หากข้าตายก็ให้เจ้าฝังข้าไว้ที่เขาหวงซาน หรือหากข้ามีชีวิตรอดกลับมาและฆ่านางมารใจเหี้ยมผู้นั้นได้ ข้าจะช่วยนำตัวคนที่ฆ่าพ่อแม่ของเจ้ากลับมารับโทษ”“ท่านจิ้นเหอ...ขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน ข้า...ขอตัวก่อน”ฟางซินขยับตัวห่างและรีบกลับไปที่ห้องโดยไม่ยอมเหลียวหลังกลับไปมองแม่ทัพหนุ่มที่มองตามร่างบอบบางด้วยความรู้สึกที่เขามิอาจให้คำอธิบายแก่ตัวเอง เมื่อเข้าไปในห้องนางจึงรีบปิดประตูด้วยความว้าวุ่นและความทุกข์ทำให้กำลังลมปราณในกายเริ่มแล่นไหลไม่ปกติ นี่เป็นผลพวงจากการที่นางใช้พลังในการฝึกวิทยายุทธใกล้ถึงขั้นสูงสุด พลังวัตต์แกร่งกล้าทำให้นางต้องควบคุมอารมณ์แน่วนิ่งเป็น
ท่วงท่าการรำเพลงกระบี่นั้นสง่างามพลิ้วไหวและในขณะเดียวกันก็น่าเกรงขาม หญิงสาวเผลอก้าวออกไป แม้เพียงปลายเท้าของนางที่ย่างเหยียบปลายหญ้าทำให้ผู้ร่ายรำเพลงดาบชะงักด้วยสัญชาติญาณของนักรบที่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จิ้นเหอหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วและพุ่งร่างตรงมายังใต้ไม้ใหญ่ ดาบในมือแกร่งพุ่งพราดตรงไปยังร่างบอบบางและต้องหยุดกึกเมื่ออีกคืบเดียวปลายดาบก็จะทิ่มทะลุเข้าไปในอกของคนที่ยืนนิ่งราวหลักศิลา“ฟางซิน!”จิ้นเหอหยุดชะงักทั้งที่มือยังกุมดาบมั่น คมของมันจ่อตรงอกข้างซ้ายของฟางซินอย่างแม่นยำแต่นางกลับนิ่งเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชั่วเสี้ยวเวลาที่ลมวูบไหวหัวใจของนางมารหมื่นบุปผานั้นเล่ากลับอ่อนยวบ นี่คือสิ่งที่นางกลัวอย่างที่สุดทั้งที่นางมิเคยกลัวเกรงสิ่งใดมาก่อน หากวันใดวันหนึ่งจิ้นเหอรู้ว่านางคือคนพรรคมารและต้องเผชิญหน้ากันเช่นนี้เขาจะปล่อยให้คมดาบทะลุเข้าไปในหัวใจของนางหรือไม่“ฟางซิน...เจ้ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”แม่ทัพหนุ่มรีบตวัดดาบกลับ เขาแสดงความตกใจออกมาเพราะถ้าหากไม่เห็นว่าเป็นหญิงสาวอีกเพียวนิดเดียวเขาก็จะพลั้งมือเสียบปลายดาบลงไปใอกของนาง ในเวลานั้นเองที่จิ้นเหอก็ลืมคิดไปด
“การฝึกเพลงดาบหรือศาสตราวุธใด ๆ เจ้าต้องมีความมุ่งมั่นเสมือนหลอมหัวใจของเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น ฝึกดาบเจ้าต้องเป็นดาบ ฝึกหอกเจ้าก็ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับหอก อย่าได้ใส่ใจต่อสิ่งรอบข้าง เพราะตอนนี้เจ้าคือผู้กุมศาสตราวุธไว้ในมือ หากพลั้งเผลอเพียงนิดเดียวอาวุธที่เจ้าใช้มันเพื่อป้องกันตัวเองอาจกลับมาทำร้ายเจ้าได้”“ดาบนี้หนักอึ้ง ข้าอาจมิมีความสามารถจับมันร่ายรำได้พลิ้วไหวเยี่ยงท่าน”“แค่จับมันให้เป็น... ลองจับด้วยมือข้างเดียวดูเถิด”“จิ้นเหอ...”ฟางซินส่งเสียงเบาเมื่อแม่ทัพหนุ่มบังคับให้นางจับดาบด้วยมือเพียงข้างเดียว เขายังกอบกุมมือของนางด้วยมือเดียวไม่ยอมวางแล้วบังคับดาบที่ชี้ขึ้นบนฟ้าลดระดับลงมาให้อยู่ในท่าจับดาบเพื่อให้ปลายของมันพุ่งไปด้านข้าง เวลานั้นเองที่เขาประชิดตัวหญิงสาว มืออีกข้างจับไหล่กลมกลึงของนางและฟางซินก็เผลอจับเอวของเขาไว้“อยากกุมดาบให้มั่นเจ้าต้องย่อตัวลงสักเล็กน้อย เท้าของเจ้าต้องแกร่ง และ...หัวใจของเจ้าต้องมั่นคง”จิ้นเหอลดระดับเสียงลงขณะหันหน้ามายังฟางซินซึ่งนางตัวเล็กกว่าเขามากเงยหน้าขึ้นจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว ต่างคนต่างเงียบงันท่ามกลางสายลมพัดผ่านระยับแดดที่สาดส่อ
“เจ้ากลับไปรอข้าที่บ้านดอกท้อกับหวังซื่อ ข้าจะไปพบเจ้าสำนักเฟิงอี้ แล้วข้าจะรีบกลับหากเสร็จธุระแล้ว”“เชิญท่านพี่ตามสบายเถิดนะคะ เดี๋ยวน้องจะกลับไปรอท่านกลับมากินอาหารพร้อมกัน”นางรับคำก่อนที่จิ้นเหอจะเดินจ้ำออกไป หลวนคุนมองตามเบื้องหลังแม่ทัพหนุ่มแล้วหันมายิ้มกับหญิงสาว“ดูทีรึพี่ชายของแม่นางฟางซินช่างเป็นชายหนุ่มผู้สง่างามสมกับที่เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพหลวงขององค์จักรพรรดิ ท่าทางเขาเป็นคนเก่งมากทีเดียว”“พี่ชายของข้าเป็นคนเก่งมากค่ะท่านหลวนคุน เขามิเคยเกรงกลัวใคร ห้าวหาญและสง่างาม...เอ้อ...ว่าแต่ จริงหรือคะที่ท่านลุงของท่านจะพาคนไปที่วังบุปผาสวรรค์”“ใช่ แม่นาง...ลุงของข้าจะนำคนของสำนักที่มีนับร้อยไปพรรคมารในอีกไม่เกินสามวันนับจากนี้เพื่อที่จะท้าสับประยุทธกับประมุขพรรคบุปผาสวรรค์ นางมารหมื่นบุปผา”“ท้าสับประยุทธ์กับนางเช่นนั้นหรือ...และจะเดินทางในอีกไม่เกินสามวันนับจากนี้!”ฟางซินทำหน้าตกใจแต่หลวนคุนกลับคิดว่าการต้องเดินทางไปในที่เต็มไปด้วยภยันตรายอาจทำให้นางเป็นห่วงพี่ชายของนางเสียมากกว่า“มิต้องเป็นห่วงดอกนะแม่นาง การเดินทางในครั้งนี้แม้ยากลำบากและต้องเผชิญหน้ากับนางมารผู้ซึ่งได้ชื่อ
ฟางซินนึกอย่างสงสัยขณะกำลังจะเดินกลับไปยังบ้านดอกท้อ แต่เมื่อเดินออกจากสวนริมน้ำได้ชั่วครู่ก็รู้สึกราวกับมีพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากที่ใดที่หนึ่ง ด้วยวรยุทธ์อันสูง่งจึงทำให้นางเกิดสัญชาติญาณสัมผัสสิ่งผิดปกติได้ไวกว่าคนธรรมดา ชั่วขณะที่ลมไหววูบพัดผ่านใบหน้าสวยซึ้งทำให้ฟางซินผินหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วนางก็เห็นบางอย่างที่ทำให้เกิดความสงสัย หญิงสาวเดินไปตามเส้นทางซึ่งมิใช่ทางเดินกลับไปยังบ้านดอกท้อ นางก้าวไปอีกทางที่สัญชาติญาณบางอย่างบอกว่ามีพลังแผ่ซ่านออกมา อีกคราที่ฝูงนกตัวเล็กแตกตื่นโผบินจากยอดไม้ไหว และเมื่อเดินเข้าไปไม่กี่ก้าวร่างบอบบางก็ต้องชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้า มันเป็นหอขนาดใหญ่อิงแอบอยู่เบื้องหลังหมู่ไม้ ทว่าบรรยากาศรอบ ๆ นั้นจู่ ๆ ก็อึมครึมทั้งที่เมื่อครู่ยังมีแสงแดดอบอุ่นประมุขพรรคมารเดินเข้าไปหยุดที่หน้าประตูหอสูง นางหันไปมองรอบ ๆ ก็เห็นว่าที่นั่นไม่มีแม้เงาของใครสักคน น่าแปลกที่สำนักใหญ่และมีคนอยู่นับร้อยแต่กลับมิมีใครเลยในที่แห่งนี้ มันอาจเป็นสถานที่หวงห้ามในเขตแดนของสำนักเฟิงอี้ก็เป็นได้ ฟางซินตัดสินใจจะเปิดประตูแต่ไม่ทันที่มือของนางได้สัมผัสบานประตูก็เปิดออก
“ข้ามิได้คาดคั้นให้เจ้าเชื่อ”หญิงผู้งดงามลุกขึ้นยืนและหันหลังกลับไปยังประตูห้องที่ค่อย ๆ ปิดลงเองอย่างช้า ๆ ก่อนหันกลับมายังฟางซินที่มองนางอย่างไม่ไว้วางใจ รอยยิ้มจางผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นก่อนที่นางจะโรยกลีบดอกไม้สีแดงสดลงในหม้อเหล็กบนเตาไฟให้ควันพวยพุ่งขึ้นมาแล้วดับวูบได้อย่างน่าอัศจรรย์ นางตวัดสายตามองผู้มาเยือน จ้องมองหญิงสาวใบหน้าสวยซึ้งและผุดผ่องตรงหน้าที่จ้องตานางกลับมาเช่นกัน ฟางซินมองไปรอบ ๆ ห้องนั้นที่เต็มไปด้วยกระดาษและภาพเขียนวางบนพื้น “เจ้าคงเป็นคนของพรรคเฟิงอี้สินะ บอกได้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหนกัน มันดูราวกับเป็นสถานที่กักกันเพราะทางเข้ามานั้นเต็มไปด้วยค่ายกลที่คนธรรมดาคงมิอาจฝ่าเข้ามาได้โดยง่าย”“เรียกข้าว่า จิว...ที่นี่คือหอตะวันตก ข้าอยู่ที่นี่นานแล้ว”“ข้าชื่อฟางซิน...สิ่งที่ข้าคิดตอนนี้คือเจ้าคงเป็นคนสำคัญของสำนักเฟิงอี้มากกว่าเทพพยากรณ์ มิเช่นนั้นแล้วคงมิอยู่ในที่ที่ได้รับการปกป้องอย่างดี”จิวปรายยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มขื่นเสียมากกว่า “ผู้ใดเป็นประโยชน์ก็ย่อมได้รับการปกปักรักษา ไร้ค่าเมื่อใดก็หมายถึงความตายสถานเดียว มีหลายอย่างในโลกนี้ที่เป็นเรื่องยากจะเชื
“ข้ารู้เพียงว่าพวกเขายังอยู่และมิเป็นอะไร”“นี่หมายความว่าเจ้าถูกบังคับให้มาอยู่ที่นี่สินะ เขาให้เจ้าทำอะไรบ้าง”“เขาให้ข้าดูเวลาอันเหมาะสมเพื่อที่เขาจะออกไปปล้นสะดมพ่อค้าและเศรษฐี ให้ข้าดูอนาคตของเขาในทุกเจ็ดวัน”“ไป๋เจี้ยน...ไอ้คนใจชั่ว!...จิว...เอาอย่างนี้เถิด หากเจ้าอยากออกไปจากที่นี่ข้าจะช่วยเจ้า”จิวส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มและนัยน์ตาปราศจากความตื่นเต้นอันใด“ยังมิถึงเวลาที่ข้าจะออกไป”“เจ้ามิอยากออกไปเห็นโลกภายนอกดอกรึ ถูกกักขังอยู่ในนี้แทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ต้องอยู่กับคนใจชั่วอย่างไป๋เจี้ยนให้มันหลอกใช้เจ้าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”“ข้าต้องออกไปแน่...ฟางซิน...”จิวดึงมือเรียวบางของประมุขพรรคมารทั้งสองข้างมาจับไว้และจ้องลึกเข้าไปในดวงตางดงามคู่นั้น“ถึงข้ามิได้ออกไปวันนี้แต่วันหนึ่ง...เจ้าจะต้องกลับมาที่นี่”“บอกข้าได้ไหมเทพพยากรณ์ว่าเมื่อไหร่”“วันที่เจ้าต้องเสียสละเพื่อรักแท้ของเจ้า”ฟางซินดึงมือกลับ สีหน้าของนางฉายความหวั่นกลัวและไม่แน่ใจหากจิวกลับจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่ปราศจากความหวั่นไหวใด ๆ อย่างน่าแปลกประหลาด นางขยับเข้าใกล้ฟางซินและวางฝ่ามือบอบบางบนหน้าผากของประมุขพ
“ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ
“เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้
หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก
แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ
มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม
“ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา
ดังนั้นนางจึงมิอาจต้านทานกำลังอันกล้าแกร่งของอีกฝ่ายได้จึงถูกซัดฝ่ามือใส่จังหวะที่นางพลาดท่าจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้น ฟางซินพยายามหยัดกายลุกขึ้นทั้งที่กระอักเลือดเปิดโอกาสให้ไป๋เจี้ยนพุ่งเข้าหาเพื่อหวังจะซัดฝ่ามือซ้ำแต่จิ้นเหอกลับเข้ามาขวางและถูกพลังลมปราณของไป๋เจี้ยนจนเขาเองก็ถึงกับหงายหลังลงไปนอนบนพื้น ไป๋เจี้ยนสบโอกาสหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วจ่อไปที่คอหอยของแม่ทัพหนุ่มอีกครั้งขณะหันไปยังฟางซินที่มองด้วยความตระหนก“จิ้นเหอ!”“นางมารหมื่นบุปผา เห็นหรือยังว่าพวกเจ้ามิอาจต้านกำลังของข้าได้ หากเจ้าอยากให้แม่ทัพเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็จงบอกที่ซ่อนคัมภีร์มาเดี๋ยวนี้”“อย่า!” จิ้นเหอตะโกนบอกทั้งที่ไป๋เจี้ยนกดปลายกระบี่ลงบนคอของเขาจนเลือดเริ่มซึมออกมา “อย่าบอกที่ซ่อนคัมภีร์ให้พวกคนใจชั่ว ถึงข้าตายก็มิเสียดายถือเสียว่าได้ทำคุณแก่แผ่นดินด้วยการปกป้องคนดีจากคนชั่ว”“ไม่...จิ้นเหอ...จิ้นเหอ”ฟางซินร่ำร้องเมื่อเห็นเลือดไหลจากรอยกรีดลึกของคมกระบี่บนคอแม่ทัพหนุ่ม หัวใจของนางราวกับจะขาดเสียให้ได้แต่มี่อิงกลับหัวเราะเย้ยเสียงดัง“หากเจ้าอยากให้คนที่เจ้ารักมีชวิตอยู่ใยจึงไม่บอกที่ซ่อนคัมภีร์แก่ท่านไป๋เจี้ยนเล่
“แม่ทัพเฉิง มีสิ่งใดน่าขัน”“หึ...จะมิให้ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องหัวเราะได้อย่างไร ท่านติดตามหาคัมภีร์เล่มนั้นจนแล้วจนรอดก็ยังมิได้ครอบครอง คิดว่าสวรรค์คงมีตามิเข้าข้างคนใจโฉดเช่นเจ้า”“ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังกล้าปากดีอยู่อีกรึ ยศฐาและตำแหน่งของเจ้าใช้ได้ต่อหน้าฮ่องเต้เท่านั้น หากแต่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็หาได้มีความหมายเพราะเจ้าเป็นเพียงเชลยที่มิรู้ชะตากรรมว่าจะตายเสียเมื่อใด”“ข้ายินดีตาย...หากมันจะแลกได้กับการไถ่โทษที่ข้าปรารถนามอบมันให้กับ...หญิงที่ข้ารัก”จิ้นเหอกล่าวขณะหันกลับไปยังฟางซินที่ยืนผงะนิ่งท่ามกลางเหมยเหม่ย หวังซื่อรวมทั้งหยางเซิงไต้ซือที่มองคนทั้งสอง ฟางซินมิคิดว่าจะได้ยินคำกล่าวนั้นจากปากของแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพหนุ่มผู้เคยมีหัวใจเย็นชาราวหินผาและครั้งหนึ่งเคยโกรธเกลียดเคียดแค้นนางมารหมื่นบุปผาถึงขนาดจะสับร่างนางเป็นหมื่นชิ้น ฟางซินน้ำตาซึม“จิ้นเหอ...”“ถึงข้าตายเสียตอนนี้ก็มิรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ข้ายอมสละตัวเองได้เพราะเจ้าจะมิมีวันได้คัมภีร์เล่มนั้นจากนางมารหมื่นบุปผาดอกไป๋เจี้ยน!”จิ้นเหอฉวยจังหวะที่ไป๋เจี้ยนพลั้งเผลอเพียงเวลาพลิกฝ่ามือดึงโซ่ตรวนที่พันธนาการข้อมือรวบ
เสียงที่ดังก้องขึ้นทำให้ทั้งหมดในที่นั้นหันกลับไปมองพร้อมกัน มี่อิงเลิกคิ้วขึ้นขณะไป๋เจี้ยนก็หันไปดังขวับส่วนจิ้นเหอเมื่อเหลียวกลับไปก็ได้เห็นคนที่เขาอยากพบมากที่สุดในเวลานี้ ฟางซินยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมด้วยเหมยเหม่ย หวังซื่อและหยางเซิงไต้ซือซึ่งเขาจำได้มิเคยลืมเมื่อครั้งเคยมาเยือนหวงซาน ณ อารามวัดโค้วอิงยี่ ทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางคนพรรคมารที่ต่างจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จิ้นเหอสบนัยน์ตานางมารหมื่นบุปผาด้วยหัวใจรุ่มร้อน หากมิตายเสียก่อนก็จะขอให้นางอภัยต่อความโง่เขลาที่เยขาหลงเชื่อคนใจคดอย่างมี่อิงและไป๋เจี้ยน แต่แล้วมี่อิงกลับระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น“ฮ่าๆๆๆๆ....มาแล้วรึเจ้าพวกแมงเม่า ฟางซิน...ข้านึกไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องหวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะเจ้าคงมิอาจทนเห็นคนรักของเจ้าตายอย่างทุกข์ทรมานอยู่ที่พรรคบุปผาสวรรค์เป็นแน่แท้”“มี่อิง เจ้าเลิกก่อกรรมเสียที มิรู้หรืออย่างไรว่าเจ้ากำลังเล่นกับสิ่งใด หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่ทัพเฉิงคนจากวังหลวงย่อมมิปล่อยเจ้าไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน”“ข้าไม่กลัว! คนจากวังหลวงหรือเป็นเพราะเจ้าห่วงเขากันแน่ มาวันนี้ก็ดีแล้วจะมาเป็นพยานให้กับข้าในการขึ้นเป็นป