“ข้าได้เตรียมคนของข้าไว้พร้อมแล้วในการออกเดินทางอีกสองวันข้างหน้า แล้วเจ้าล่ะ เตรียมพร้อมสำหรับการนี้แล้วหรือยัง”ไป๋เจี้ยนกล่าวขึ้น ฟางซินได้ยินเสียงก้องกังวานของเขาชัดเจนยิ่งและนางรอฟังเสียงของอีกคนที่ยืนหันหลังให้กับเจ้าสำนักเฟิงอี้ เป็นหญิงสาวซึ่งฟางซินคุ้นท่าทีนั้นอย่างยิ่งกระทั่งได้ยินเสียงที่นางกล่าวขึ้น“ข้ารอให้ท่านไปที่นั่น...ท่านไปเมื่อไหร่ข้าก็พร้อมทำตามแผนที่ข้าวางไว้ทุกเมื่อ”สำเนียงนั้นทำให้ประทุขพรรคมารผงะและยิ่งเมื่อเจ้าของเสียงหันกลับมาก็ยิ่งทำให้ฟางซินถึงกับเบิกตาด้วยความตระหนก“มี่อิง!”นางมารดอกไม้เงิน ศิษย์ร่วมสำนักที่เติบโตมาพร้อมกับนางนั่นเอง แต่เหตุไฉนจึงมาปรากฎตัวอยู่ในสำนักเฟิงอี้ซึ่งเป็นฝ่ายธรรมะและอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพรรคบุปผาสวรรค์เสียได้ นางได้ยินเสียงมี่อิงหัวเราะร่วน“ข้ารอวันนี้มานานแล้ว วันที่ข้าจะได้เอาคืนคนที่แย่งทุกอย่างไปจากข้าอย่างสาสม มันควรต้องได้รับการตอบแทนในสิ่งที่กระทำไว้กับข้า”“เจ้าเป็นคนฉลาดยิ่งนัก นางมารดอกไม้เงินที่ยอมมาผูกมิตรกับเราเพื่อโค่นอำนาจพรรคมาร หากไม่มีเจ้าข้าก็มิอาจล่วงรู้ความเป็นไปของสำนักบุปผาสวรรค์และมิอาจวางแผนในครั้งนี้ไ
“ท่านไป๋เจี้ยน...พวกเราต่างมีวรยุทธ์สูงส่งเยี่ยงยี้ ใยจึงตามมิทันไอ้คนที่มันมาแอบฟังเราเล่า ท่านเห็นหรือไม่ว่ามันไปทางใด”ไป๋เจียนหันกลับมาและตอบด้วยเสียงตึงเครียด “มันหายไปทางริมบึงดอกบัว เหมือนจะมุ่งไปยังบ้านดอกท้อ”“บ้านดอกท้อเช่นนั้นรึ?”“มันเป็นบ้านที่ข้าให้แม่ทัพของฮ่องเต้ซึ่งจะร่วมเดินทางไปยังพรรคบุปผาสรรค์พักอยู่”“หรืออาจเป็นเขา”“ไม่ดอก” ไป๋เจี้ยนปฏิเสธอย่างใช้ความคิด เขาตวัดสายตามองไปยังแสงจากโคมแดงซึ่งถูกจุดหน้าบ้านกลางบึงบัว “เขามิมีวิชาตัวเบา หากทำได้ก็เพียงกระโดดได้ไกลแต่มิอาจลอยตัวหายไปในความมืดได้อย่างว่องไวเช่นนี้ บุคคลลึกลับนั้นเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงมาก”“ท่านรู้ได้อย่างไร”“ข้ารู้สึกถึงแรงสะเทือนบนหลังคา มันเป็นพลังแกร่งกล้าที่คนธรรมดามิอาจกระทำได้”“แล้วท่านจะทำเช่นไร”“ข้าจะลองตามไปดูที่บ้านดอกท้อเผื่อว่าจะพบอะไรบ้าง”“ให้ข้าตามท่านไปหรือไม่”“ไม่จำเป็น...หากเจ้าตามไปอาจเป็นที่สงสัยของท่านแม่ทัพ เจ้าจงกลับไปก่อน ข้าว่ามันอาจเป็นคนที่พยายามตามสืบข่าวของข้า”“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านเถิด ข้าคงต้องขอตัวกลับไปก่อน แต่ท่านอย่าลืมสัญญาที่ให้ข้าไว้ด้วย”ไป๋เจี้ยนยกยิ้ม “นา
“มิเป็นไร”จิ้นเหอกล่าวตอบแต่ก็ยังเห็นสีหน้าไม่สบายใจและแววตาที่ยังสงสัยของเจ้าสำนักก่อนเขาจะกลับออกไป หวังซื่อชะเง้อมองตามแล้วเกาหัว“นี่มันอะไรกัน ข้าคิดว่าเรื่องในราชวังวายวุ่นแล้ว เรื่องของยุทธภพยิ่งวุ่นวายมากกว่า”“ดูท่าว่าเราก็ต้องระวังตัวกันไว้ด้วยแล้วล่ะหวังซื่อ อาจเป็นคนของพรรคมารมาสืบข่าวอย่างที่ท่านไป๋เจี้ยนว่าไว้...ฟางซิน”จิ้นเหอหันไปยังหญิงสาวที่ยังยืนจ้องสะพานข้ามบึงบัวเบื้องหน้า ฟางซินรีบตอบว่า“คะ...ท่านจิ้นเหอ”“เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มาก เห็นแล้วหรือไม่ว่าเป็นเช่นไร ข้าได้เตือนเจ้าแล้วก่อนติดตามมายังสำนักเฟิงอี้ว่าภาระของข้านั้นเต็มไปด้วยอันตราย และข้ามิอยากให้ใครต้องมาร่วมเผชิญภยันตราย ยิ่งเจ้าเป็นหญิงและไม่มีวรยุทธ์ด้วยแล้วข้าก็ยิ่ง...”แม่ทัพหนุ่มเกือบพลั้งปากกล่าวคำคำหนึ่งออกมาแต่ก็ยั้งได้ทันขณะที่หวังซื่อนึกประหลาดใจต่อท่าทีของแม่ทัพผู้เกรียงไกรและได้ชื่อว่าเย็นชายิ่งนัก ข้ารับใช้หนุ่มมิได้ตาฝาด เขาเห็นอะไรบางอย่างฉายวาบขึ้นมาในดวงตาดำยาวรีของจิ้นเหอก่อนมันจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนฟางซินก็จ้องหน้าคนพูดและยิ่งรู้สึกไหวหวั่นมากขึ้นทุกครั้งที่เห็นหน้า“ท่านจิ้นเ
“แต่คนดีอย่างท่านมิควรต้องมาสละชีวิตเช่นนี้!”ฟางซินเผลอจับมือจิ้นเหอไว้แน่น นัยน์ตาของนางมีน้ำรื้นขึ้นมาแต่แม่ทัพหนุ่มไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเบื้องหลังนั้นฝูงนกตัวเล็กแตกตื่นโผบินจากยอดไม้ราวกับมันรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่แผ่ออกมามหาศาล ขณะนั้นเขาเองยังตกตะลึงกับท่าทีของหญิงสาวที่ยิ่งนับวันความใกล้ชิดก็ยิ่งทำให้เขาไหวหวั่น หากแต่ด้วยความตั้งมั่นและความเป็นนายทหารทำให้จิ้นเหอต้องเก็บกดความรู้สึกที่เขามิอาจเปิดเผยมันออกมาทั้งหมดได้ เขาเตือนตัวเองเสมอว่าจะคงมั่นในรักเดียวต่อสตรีผู้เป็นคู่หมายแม้นางจะจากไปก็จะมิขอรักใคร ทว่าบัดนี้มันกลับกลายเป็นเงื่อนไขสร้างความทุกข์ทรมานใจแก่เขามากขึ้นทุกที ฟางซินบีบมือแกร่งของเขาไว้แน่น น้ำตาของนางไหลออกมา“จิ้นเหอ...ท่านมิควรต้องมาสละชีวิตให้แก่คนไร้ศักดิ์ศรี ไร้สัจจะ ชีวิตของท่านมีความหมายต่อบ้านเมืองและองค์ฮ่องเต้มากกว่านั้นมากมายนัก ได้โปรด...อย่าเดินทางไปยังพรรคบุปผาสวรรค์เลย”“ฟางซิน...เจ้าเป็นห่วงข้าเช่นนั้นรึ”“ข้า...”หญิงสาวชะงักงันต่อคำพูดของตัวเอง นางเงียบไปชั่วลมหายใจแต่เมื่อจะดึงมือกลับแม่ทัพหนุ่มกลับจับมือเรียวบางไว้และจ้องลึกลงไปในดวงตาของ
“ฟางซิน...เจ้าเป็นหญิงจึงมีความกลัวเป็นธรรมดา ให้พี่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับหลวนคุนเถิด”จิ้นเหอปรามหญิงสาว นั่นเองจึงทำให้ฟางซินต้องรีบสงบคำพูดแม้อยากบอกให้คนทั้งหมดในที่นั้นรู้ว่าไม่ควรประเมินกลต่อสู้ของพรรคมารต่ำเกินไป หากก็มิอาจพูดได้ด้วยเกรงว่าหลวนคุนจะสงสัยในตัวนาง จิ้นเหอถอนหายใจแต่เป็นการระบายลมหายใจอย่างโล่งเบา“ข้ามิเคยกลัว กลับดีใจด้วยซ้ำที่พวกท่านจะเร่งการเดินทางให้เร็วขึ้น ยิ่งเดินทางไปเร็วเท่าไหร่ข้าก็จะได้ทำในสิ่งที่ข้าตั้งปณิธานไว้ได้เร็วเท่านั้น”“หากเราจู่โจมพรรคบุปผาสวรรค์ได้สำเร็จ นางมารหมื่นบุปผาก็คงมิอาจทำอะไรได้หากคนในพรรคทั้งหมดตกเป็นตัวประกันของเรา”“ข้าจะช่วยพวกท่านอีกแรงด้วยการส่งข่าวไปยังวังหลวงเพื่อส่งทหารมาช่วยเหลือ หากโจมตีพรรคมารได้สำเร็จข้าจะจับตัวนางมารใจอำมหิตมาลงโทษด้วยตัวข้าเอง”“หวังว่าเราจะทำได้สำเร็จ ตอนนี้ท่านลุงของข้ากำลังฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เจียนหลิวจนถึงกระบวนท่าสุดท้าย แม้เจียนหลิวเป็นคัมภีร์ที่มิอาจเทียบได้กับคัมภีร์ฟ้าคำรามแต่ข้าแน่ใจว่านางมารหมื่นบุปผาคงต้องพบศึกหนักเพราะนางก็ยังฝึกมิสำเร็จในขั้นสุดท้าย”“ข้ารอวันที่จะได้ตัวนางมารับโทษ และข
“อ้าว...เหมยเหม่ย...นี่เจ้าก็พึ่งกลับมาหรอกหรือ ข้ากับท่านแม่กำลังพูดถึงนายของเจ้า มิรู้ว่าตอนนี้ฟางซินไปอยู่ที่ใดกัน หรือว่าท่องเที่ยวยุทธจักรจนลืมหน้าที่ประมุขพรรคเสียแล้ว”“ข้าได้ออกติดตามหาท่านประมุขเช่นกันค่ะ แต่ก็ยังมิรู้ว่านางอยู่ที่ใด แต่ก็แน่ใจว่านางจะกลับมาในอีกไม่กี่ราตรีนี้”เหมยเหม่ยตอบตามความจริง เพ่ยหลินถอนใจเบา ๆ ก่อนกล่าว“แล้วเจ้าได้พบคนของเราที่ข้าส่งไปสืบข่าวความเคลื่อนไหวข้างนอกบ้างหรือไม่”“ข้าไม่พบใครเลยค่ะ ท่านเพ่ยหลิน”จะพบได้เช่นไรในเมื่อคนจากพรรคมารที่เพ่ยหลินส่งออกไปถูกฆ่าตายจนหมด...มี่อิงนึกกระหยิ่มในใจกับแผนของนางที่วางไว้เพื่อปิดหูปิดตาคนภายในจากความเคลื่อนไหวภายนอกรวมทั้งข่าวการเดินทางมาของคนจากพรรคเฟิงอี้ ให้พรรคบุปผาสวรรค์อยู่ในความมืดบอดก่อนจะถูกจู่โจมเหมือนดอกไม้ถูกพายุมิทันตั้งตัว เพ่ยหลินย่นคิ้วอย่างสงสัย“เกิดอะไรขึ้น...ปกติคนของข้าต้องมาส่งข่าวทุก ๆ เจ็ดราตรี แต่นี่หายไปเลย หรือว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น”“ถ้าหากท่านเพ่ยหลินเป็นกังวล ข้าเหมยเหม่ยขออาสาออกไปติดตามคนของเราที่สืบข่าวให้ท่านเองค่ะ”“ท่านเพ่ยหลิน!...ท่านเพ่ยหลิน!”เสียงที่ดังขึ้นทำให
เหมยเหม่ยรีบวิ่งตามออกไปและเมื่อไปถึงบริเวณหน้าสำนักก็ต้องตกใจเมื่อเห็นกำลังผู้คนนับร้อยที่ยืนรออยู่แล้วหน้าหอบุปผาสวรรค์ ท้องฟ้ายามนี้มืดทะมึนด้วยเมฆบดบัง เห็นเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านอาบยอดเขาราวดินแดนลับเร้นในราตรีกาล เบื้องหน้าคนเหล่านั้นซึ่งทุกคนอยู่ในชุดรัดกุมและมีศาตราวุธทั้งหอกดาบและธนูมีชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ ท่าทีนั้นหมายมั่นปั้นมือทั้งรอยยิ้มเหยียดหยันเมื่อเห็นเพ่ยหลินก้าวออกไปหยุดประจันกันซึ่งหน้า“ยังจำข้าได้หรือไม่...เพ่ยหลิน”ไป๋เจี้ยนถามขึ้นท่ามกลางสายลมพัดเหนือยอดเขาสูงเสียดฟ้าที่นำพาความเหน็บหนาวแทรกเข้าถึงกระดูก ข้าง ๆ เขาคือหลวนคุนและจิ้นเหอ แม่ทัพหนุ่มมองไปรอบสถานที่อันเป็นที่ตังของพรรคมาร แสงจากโคมไฟส่องสว่างทำให้เห็นหอหมื่นบุปผาสูงเสียดขึ้นฟ้าแข่งกับหนึ่งในยอดเขาสูงสุดแห่งหวงซาน รอบตัวเขาเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่แม้ยามค่ำคืนเช่นนี้ก็ยังเห็นความโอ่โถงและกว้างใหญ่ ทั้งหอสูงและรูปปั้นมากมาย แม้แต่ศิษย์ในสำนักซึ่งล้วนเป็นหญิงอาจมีหลายร้อยชีวิตทีเดียว พรรคบุปผาสรรค์มิใช่พรรคเล็กอย่างที่เขาเข้าใจ จิ้นเหอเลื่อนสายตากลับมายังหญิงวัยเจ็ดสิบในชุดกรุยกรายและการแต่งกายข
สิ้นเสียงนั้นนางมารหมื่นบุปผาจึงใช้วิชาตัวเบาลอยลิ่วลงมาจากระเบียงหอสูงท่ามกลางสายตาของทั้งไป๋เจี้ยนและคนอื่น ๆ ที่อยากเห็นหน้าประมุขพรรคมารชัด ๆ และเมื่อนางลงจากหอเบื้องบนมายืนเคียงข้างเพ่ยหลินกลับทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงเพราะนางปกปิดใบหน้าตัวเองด้วยการคาดผ้าแพรบางไว้เห็นแค่ดวงตางดงามแต่ส่องประกายเหี้ยมเกรียม นางมารหมื่นบุปผาแม้ปกปิดใบหน้าแต่ก็ช่างน่าเกรงขามราวกับมีรังสีอันน่าครั่นคร้ามแผ่ออกมาจากร่างของนาง ในเวลานั้นจิ้นเหอนิ่งงันไปชั่วขณะ แม้ยังเห็นหน้าประมุขพรรคมารไม่ชัดแต่ความคั่งแค้นในใจกลับถาโถมดุจไฟผลาญ เขาคิดถึงคู่หมายที่ต้องตายด้วยน้ำมือของนางมารแล้วเกิดความฮึกเหิม แม้นางเป็นหญิงหากแต่ความโหดเหี้ยมที่ฆ่าคนบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนทำให้เขาอยากลงดาบฟาดฟันนางให้ย่อยยับไปต่อหน้า ไป๋เจี้ยนหัวเราะกังวาน“ฮ่าๆๆๆๆ...นางมารหมื่นบุปผา ข้ามิเชื่อเสียงลือเลี่องที่บอกว่าเจ้ามีวรยุทธ์กล้าแข็งขนาดฆ่าคนให้ตายเพียงแค่ตวัดฝ่ามือ เจ้ามันก็แค่หญิงใจชั่วที่สร้างความวุ่นวายแก่ยุทธภพเท่านั้น”“ท่านเจ้าสำนัก...ท่านมิต้องลงมือให้เสียแรงดอก ข้าเองจะเป็นคนกำราบนางให้รู้เสียบ้างว่าคนของสำนักเฟิงอี้นั้นน่า
“ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ
“เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้
หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก
แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ
มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม
“ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา
ดังนั้นนางจึงมิอาจต้านทานกำลังอันกล้าแกร่งของอีกฝ่ายได้จึงถูกซัดฝ่ามือใส่จังหวะที่นางพลาดท่าจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้น ฟางซินพยายามหยัดกายลุกขึ้นทั้งที่กระอักเลือดเปิดโอกาสให้ไป๋เจี้ยนพุ่งเข้าหาเพื่อหวังจะซัดฝ่ามือซ้ำแต่จิ้นเหอกลับเข้ามาขวางและถูกพลังลมปราณของไป๋เจี้ยนจนเขาเองก็ถึงกับหงายหลังลงไปนอนบนพื้น ไป๋เจี้ยนสบโอกาสหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วจ่อไปที่คอหอยของแม่ทัพหนุ่มอีกครั้งขณะหันไปยังฟางซินที่มองด้วยความตระหนก“จิ้นเหอ!”“นางมารหมื่นบุปผา เห็นหรือยังว่าพวกเจ้ามิอาจต้านกำลังของข้าได้ หากเจ้าอยากให้แม่ทัพเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็จงบอกที่ซ่อนคัมภีร์มาเดี๋ยวนี้”“อย่า!” จิ้นเหอตะโกนบอกทั้งที่ไป๋เจี้ยนกดปลายกระบี่ลงบนคอของเขาจนเลือดเริ่มซึมออกมา “อย่าบอกที่ซ่อนคัมภีร์ให้พวกคนใจชั่ว ถึงข้าตายก็มิเสียดายถือเสียว่าได้ทำคุณแก่แผ่นดินด้วยการปกป้องคนดีจากคนชั่ว”“ไม่...จิ้นเหอ...จิ้นเหอ”ฟางซินร่ำร้องเมื่อเห็นเลือดไหลจากรอยกรีดลึกของคมกระบี่บนคอแม่ทัพหนุ่ม หัวใจของนางราวกับจะขาดเสียให้ได้แต่มี่อิงกลับหัวเราะเย้ยเสียงดัง“หากเจ้าอยากให้คนที่เจ้ารักมีชวิตอยู่ใยจึงไม่บอกที่ซ่อนคัมภีร์แก่ท่านไป๋เจี้ยนเล่
“แม่ทัพเฉิง มีสิ่งใดน่าขัน”“หึ...จะมิให้ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องหัวเราะได้อย่างไร ท่านติดตามหาคัมภีร์เล่มนั้นจนแล้วจนรอดก็ยังมิได้ครอบครอง คิดว่าสวรรค์คงมีตามิเข้าข้างคนใจโฉดเช่นเจ้า”“ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังกล้าปากดีอยู่อีกรึ ยศฐาและตำแหน่งของเจ้าใช้ได้ต่อหน้าฮ่องเต้เท่านั้น หากแต่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็หาได้มีความหมายเพราะเจ้าเป็นเพียงเชลยที่มิรู้ชะตากรรมว่าจะตายเสียเมื่อใด”“ข้ายินดีตาย...หากมันจะแลกได้กับการไถ่โทษที่ข้าปรารถนามอบมันให้กับ...หญิงที่ข้ารัก”จิ้นเหอกล่าวขณะหันกลับไปยังฟางซินที่ยืนผงะนิ่งท่ามกลางเหมยเหม่ย หวังซื่อรวมทั้งหยางเซิงไต้ซือที่มองคนทั้งสอง ฟางซินมิคิดว่าจะได้ยินคำกล่าวนั้นจากปากของแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพหนุ่มผู้เคยมีหัวใจเย็นชาราวหินผาและครั้งหนึ่งเคยโกรธเกลียดเคียดแค้นนางมารหมื่นบุปผาถึงขนาดจะสับร่างนางเป็นหมื่นชิ้น ฟางซินน้ำตาซึม“จิ้นเหอ...”“ถึงข้าตายเสียตอนนี้ก็มิรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ข้ายอมสละตัวเองได้เพราะเจ้าจะมิมีวันได้คัมภีร์เล่มนั้นจากนางมารหมื่นบุปผาดอกไป๋เจี้ยน!”จิ้นเหอฉวยจังหวะที่ไป๋เจี้ยนพลั้งเผลอเพียงเวลาพลิกฝ่ามือดึงโซ่ตรวนที่พันธนาการข้อมือรวบ
เสียงที่ดังก้องขึ้นทำให้ทั้งหมดในที่นั้นหันกลับไปมองพร้อมกัน มี่อิงเลิกคิ้วขึ้นขณะไป๋เจี้ยนก็หันไปดังขวับส่วนจิ้นเหอเมื่อเหลียวกลับไปก็ได้เห็นคนที่เขาอยากพบมากที่สุดในเวลานี้ ฟางซินยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมด้วยเหมยเหม่ย หวังซื่อและหยางเซิงไต้ซือซึ่งเขาจำได้มิเคยลืมเมื่อครั้งเคยมาเยือนหวงซาน ณ อารามวัดโค้วอิงยี่ ทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางคนพรรคมารที่ต่างจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จิ้นเหอสบนัยน์ตานางมารหมื่นบุปผาด้วยหัวใจรุ่มร้อน หากมิตายเสียก่อนก็จะขอให้นางอภัยต่อความโง่เขลาที่เยขาหลงเชื่อคนใจคดอย่างมี่อิงและไป๋เจี้ยน แต่แล้วมี่อิงกลับระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น“ฮ่าๆๆๆๆ....มาแล้วรึเจ้าพวกแมงเม่า ฟางซิน...ข้านึกไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องหวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะเจ้าคงมิอาจทนเห็นคนรักของเจ้าตายอย่างทุกข์ทรมานอยู่ที่พรรคบุปผาสวรรค์เป็นแน่แท้”“มี่อิง เจ้าเลิกก่อกรรมเสียที มิรู้หรืออย่างไรว่าเจ้ากำลังเล่นกับสิ่งใด หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่ทัพเฉิงคนจากวังหลวงย่อมมิปล่อยเจ้าไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน”“ข้าไม่กลัว! คนจากวังหลวงหรือเป็นเพราะเจ้าห่วงเขากันแน่ มาวันนี้ก็ดีแล้วจะมาเป็นพยานให้กับข้าในการขึ้นเป็นป