เหม่ยอิงนั่งครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วก็กลับซึมออกมาอีก แต่นางก็ยกมือบางขึ้นบาดมันจนหมดเพราะมิมีประโยชน์ที่จะคร่ำครวญอีกแล้ว นางร้องไห้คร่ำครวญมาพอแล้ว แต่ความจริงที่ต้องเผชิญอยู่ขณะนี้ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ นางคงต้องยอมรับความจริง ว่าชีวิตคนเรานั้นมันไม่เที่ยงแท้ แม้อยู่สูงสุดก็อาจจะตกต่ำลงมาได้ในชั่วพริบตา ดังที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของนางในครั้งนี้ เหม่ยหันไปมองรอบๆกายแล้วก็เห็นโถเคลือบสีน้ำตาลวางอยู่มันมีจอกสองสามใบวางอยู่ในถาดดินเผาหยาบๆ อยู่ข้างๆ เหม่ยอิงที่กระหายน้ำอยู่ไม่น้อย จึงได้ลุกขึ้นไปเทน้ำในโถเคลือบนั้นแล้วยกดืื่มไปหลายจอกจึงได้รู้สึกดีขึ้นมา ยามยากนี้แม้น้ำเย็นที่มิมีราคาใดๆมันก็ยังให้ความชุ่มชื่นได้มากมาย เพราะตั้งแต่ถูกจับนางแทบจะไม่ได้กินอาหารและดื่มน้ำเลย
ขณะนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วก็เปิดออกทันที สาวใช้ที่มาส่งนางเมื่อตอนแรกยกถาดอาหารที่มีควันลอยกรุ่นเดินเข้ามา แล้ววางมันลงตรงโต๊ะตัวเล็กในห้องนั้น “ กินข้าวเสียนะ แล้วหากอยากจะไปอาบน้ำก็ไปก่อนมืด เพราะเจ้ายังไม่คุ้นชินกับที่นี่ อาภรณ์ข้าเอาวางไว้ที่บนชั้นนั่นลองค้นดูก็แล้วกัน หากขาดเหลืออะไรก็ให้บอกพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เพราะมาม่าฟางเซียนจะให้เจ้าไปเริ่มทำงานพรุ่งนี้แล้ว ” แล้วสาวใช้ผู้นั้นก็เดินออกไปจากห้องน้อยนี้แล้วเปิดประตูลงตามเดิม
เหม่ยอิงมองจานอาหารในถาดไม้ที่สาวใช้ผู้นั้นนำมาวางให้ มีต้มผัดกาดดองที่มีควันลอยกรุ่นอยู่ หมูทอดหนึ่งชิ้น และมีข้าวหนึ่งถ้วยวางอยู่ในถาดนั้น มีขนมกุ้ยฮวาวางอยู่ด้วยสองชิ้น เหม่ยอิงรีบผุดลุกไปนั่งที่เก้าอี้ที่มีเพียงตัวเดียวในห้อง นางหิวมากเหลือเกิน เมื่อเห็นอาหารที่วางในถาดความรู้สึกหิวยิ่งมากขึ้น เมื่อทรุดนั่งลงแล้วก็ลงมือกินข้าวทันที กับข้าวมื้อแรกหลังจากที่เกิดเรื่องร้ายกับครอบครัวของตนนั้น มันอร่อยยิ่งนัก กับข้าวพื้น ๆเช่นนี้หากเป็นในอดีต คุณหนูอย่างจ้าวเหม่ยอิงไม่ยอมกินเด็ดขาด เพราะมันเป็นอาหารพื้น ๆ ของชาวบ้านยากจนทั่วไปมิได้มีอะไรพิเศษพอจะขึ้นโต๊ะของเจ้านายในตระกูลคหบดีของนางได้ แม้สาวใช้ในจวนก็ยังพลอยมีอาหารดีกว่านี้กินไปด้วย แต่ยามนี้ อาหารบนถาดตรงหน้ามันอร่อยเลิศรสยิ่งนัก โดยเฉพาะแกงจืดผัดกาดดองนี้
เมื่อนำมันมาราดไปบนข้าวสวยท่ี่ยังอุ่นๆอยู่มันอร่อยยิ่งนัก เหม่ยอิง กินอาหารบนถาดไม้นั้นจนหมดทุกอย่างไม่เหลือแม้แต่ข้าวสักเม็ดเดียว เพราะนางรู้สึกหิวโหยเป็นอย่างมาก เมื่อได้กินอิ่มท้องแล้ว ความรู้สึกทั้งหลายก็เริ่มดีขึ้น อย่างน้อยเมื่อท้องอิ่มเต็มสมองก็ปลอดโปร่งขึ้น เมื่อนั่งพักอยู่ชั่วครุ่ก็ลุกไปค้นผ้าที่สาวใช้ผู้นั้นวางไว้บนชั้นวางของเล็กๆนั่น นางรื้อกองผ้าที่วางซ้อนไว้กันนั้น ออกมาคลี่ดู เครื่องแต่งกายเหล่านั้นเป็นชุดคล้ายของสาวใช้ที่ใส่กัน เนื้อผ้าหยาบๆ และมีปลอกหมอนที่ใช้หนุนนอนและผ้าผวยผืนบางอยู่ด้วย
เหม่ยอิงจึงได้ดึงผ้าสองชิ้นนั้นออกมาวางไว้บนเตียงเล็กนั่น แล้วก็ดึงผ้าพับใหญ่ที่ใช้ปูนอนที่วางอยู่ใต้สุดในกองผ้านั้นออกมาวางไว้บนฟูกแข็งๆบนเตียงเล็กนั่นด้วย เมื่อค้นอาภรณ์จนครบแล้วก็ถือเครื่องแต่งกายเหล่านั้นกับของใช้ที่จะนำไปอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านนอก จึงได้ลุกเดินออกจากห้องน้อยนั้นไปทันที เมื่อเปิดประตูออกไปก็มองไปรอบๆเห็นทางเดินเล็กที่มองตรงไปก็เห็นเป็นเรือนแถวเล็กมีห้องน้ำหลายๆห้อง เหม่ยอิงจึงได้เดินตรงไปทางนั้น เมื่อไปถึงก็เปิดประตูห้องอาบน้ำนั้นเข้าไป มันไม่ได้มีถังอาบน้ำใบใหญ่ที่นางเคยแช่ตัวเมื่อสมัยอยู่ที่จวนของบิดา แต่่เป็นแค่ถังทรงยาวใส่น้ำเอาไว้เต็มและมีเก้าอี้ตัวเล็กๆให้
นางหันไปมองรอบห้องด้านบนห้องน้ำนั้นสูงจรดเพดานมิมีช่องว่างด้านบน จึงได้รีบผลัดผ้าอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เมื่ออาบน้ำชำระกายขัดถูร่างกายที่ไม่ได้อาบน้ำมาสองวันเต็มเสร็จเรียบร้อยก็รีบเช็ดกายให้แห้ง แล้วรีบหยิบอาภรณ์ที่เอาวางพาดราวไม้ด้านข้างนั้นสวมใส่อย่างรวดเร็วดวงตาก็กวาดมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แล้วเมื่อสวมเครื่องแต่งกายของสาวใช้เนื้อหยาบนั้นแล้วก็รีบหยิบข้าวของทั้งหมดรวบไว้ในอ้อมแขนแล้วก็เดินออกไปจากห้องน้ำนั้นทัน ร่างอวบอิ่มขาวผ่องในชุดสาวใช้นั้นเร่งฝีเท้าเดินจนมาถึงเรือนนอนแถวยาวนั้นแล้วก็ก้าวเข้าไปในห้องของนอนน้อยตามเดิม เมื่อจัดแจงผึ่งผ้าทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งลงที่บนฟูกแข็งๆนั้นที่นางได้ปูผ้ารองนอนแล้ว นั่งอยู่เพียงครู่ก็ล้มตัวลงนอนแล้วก็ผล็อยหลับไปทันที เพราะเหนื่อยอ่อนเหลือเกิน
รุ่งเช้าวันต่อมา เสียงทุบประตูดังขึ้น เหม่ยอิงสะดุ้งตื่นทันที มองไปรอบๆตัวอย่างงุนงงเล็กน้อย แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าบัดนี้นางมิได้อยู่ในจวนของบิดาอีกต่อไปแล้ว แต่นอนอยู่ในห้องพักของสาวใช้ในหอคณิกาเลื่องชื่อของเมือง จึงได้รีบผุดลุกขึ้นแล้วตรงไปเปิดประตูออกช้าๆ “ เจ้าชื่อเหม่ยอิงใช่หรือไม่ มาม่าฟางเซียนให้เจ้าอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แล้วไปหามาม่าฟางเซียนที่บนหอเริงสำราญ แต่ไม่ต้องรีบร้อนมากเกินไปจนไม่ได้กินอาหารเช้าล่ะ ให้ไปกินข้าวเช้าที่โรงครัวด้านหลังหอก่อน เสร็จแล้วค่อยขึ้นไปหามาม่าฟางเซียน ”
จากนั้นสาวใช้ผู่้นั้นก็เดินจากไป เหม่ยอิงรีบเดินไปพับผ้าผวยและเก็บที่นอนให้เรียบร้อย จึงได้เดินไปหยิบอาภรณ์ตัวใหม่ที่วางอยู่ และเครื่องใช้ชั้นเลวที่ใช้ขัดถูผิวกายเวลาอาบน้ำ เดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำแล้วเร่งอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อทำธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้เดินไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของสาวใช้ที่เป็นผ้าเนื้อหยาบที่นางไม่คุ้นเคยนั่น หวีผมรวบไว้อย่างเรียบร้อยแล้วปักปิ่นไม้เก่าๆของอดีตสาวใช้คนสนิทของนางที่อุตส่าห์ยกให้นายสาวก่อนที่จะถูกทหารกวาดต้อนไปต่อหน้าของเหม่ยอิง เมื่อสำรวจตนเองว่าเรียบร้อยแล้ว แม้ไม่มีคันฉ่องก็ชั่งมันเถิด เพราะตอนนี้นางมิได้มีฐานะเป็นคุณหนูในห้องหออีกแล้ว คงเป็นเพียงสาวใช้ที่ต้องคอยรับใช้ในหอคณิกาแห่งนี้เท่านั้น มองยังไม่เห็นว่าจะมีทางหลุดพ้นจากชีวิตที่ตกต่ำในชั่วพริบตาเช่นนี้ไปได้อย่างไร
เหม่ยอิงเดินไปที่โรงครัวเพื่อกินอาหารเช้าที่มีเพียงข้าวต้มหนึ่งชามและเสี่ยวหลงเปาหนึ่งลูก เมื่ออิ่มแล้วจึงได้เดินขึ้นไปยังบันไดด้านหลังของหอคณิกา เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็ถามสาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดพื้น “ จะไปพบมาม่าฟางเซียนได้ที่ไหน ” สาวใช้ผู้นั้นหันมาแล้วชี้มือไปด้านบนของหอคณิกา เหม่ยอิงแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบน หอคณิกานี้มีห้าชั้นด้วยกัน เป็นอาคารที่สร้างจากไม้หลังใหญ่มาก แต่เป็นอาคารเดี่ยว ด้านหลังสร้างเป็นเรือนหลังเล็กๆหลายหลังด้วยกันเรียงรายกันอยู่ในหมู่แมกไม้น่าจะเป็นเรือนของพวกบริวารของเจ้าของสถานที่แห่งนี้ และมีเรือนไม้หลังใหญ่ที่สุดเยื้องไปด้านขวาสุดหนึ่งหลังแต่เรือนหลังนี้สร้างอย่างงดงามและมีสวนเล็กๆด้านหน้าแต่ก็ปิดไว้เงียบๆเหมือนไม่มีคนอยู่ แต่เรือนพักที่เหม่ยอิงนอนเมื่อคืนนี้เป็นของเหล่าสาวใช้ที่มาทำงานที่หอคณิกาแห่งนี้ ส่วนหญิงคณิกานั้นก็มีเรือนพักที่ดูดีกว่าเรือนพักของสาวใช้ ด้านหน้าของเรือนพักของเหล่าหญิงคณิกานั้นมีสวนอยู่ด้านหน้าและห้องแต่ละห้องดูเป็นสัดส่วนและกว้างกว่าของสาวใช้ เหม่ยอิงเดินขึ้นบันไดตรงไปชั้นบนตามที่สาวใช้ผู้นั้นบอกเมื่อมาถึงชั้นสองมองไปรอบๆก็ยังไม่พบ
ชายผู้นั้นมิได้ตอบคำถามนาง แต่หันไปบอกมาม่าฟางเซียนว่า “ เจ้าพานางออกไป แล้วทำตามที่ข้าสั่ง เมื่อนางร่ายรำได้ดีแล้ว ก็แต่งตัวให้นางแล้วพามาร่ายรำให้ข้าดูก่อน ว่าสินค้าเช่นนางจะขายได้ราคาหรือไม่ ” แล้วเขาก็หันหลังเดินกลับไปยืนที่ริมหน้าต่างบานกว้าง แล้วมองออกไปที่ทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างไม่ได้สนใจหญิงทั้งสองอีก “ เจ้าเดินตามข้ามา อย่าพูดมาก ควรจะรู้ตัวได้แล้วนะ ว่าทาสเช่นเจ้ามิควรมีปากเสียงให้มากนัก มิเช่นนั้นถ้าหากนายท่านรำคาญเจ้าขึ้นมา จะส่งเจ้าไปเป็นนางโลมชั้นต่ำไว้บำเรอพวกกุลีที่ท่าเรือก็ได้นะ หรือเจ้าอยากจะมีชะตากรรมเช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ” คำพูดนี้ปิดปากของอดีตคุณหนูตกอับไว้ได้ชะงัดนัก นางคิดไม่ออกเลยว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร หากถูกนายท่านผู้นี้ส่งไปบำเรอกุลีพวกนั้น เหม่ยอิงร้องไห้ออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ นางแค่เดินเข้าไปโดยไม่รู้ว่าห้องนั้นเป็นห้องของเจ้าของที่นี่ แล้วเขาเองที่เป็นฝ่ายมาจูบนางก่อนแท้ๆ นางมิได้เชิญชวนเขาเสียหน่อย แต่กลับมาด่าว่านางเหยียดหยามนางด้วยถ้อยคำรุนแรงยิ่งนัก มิเคยมีใครกล้าพูดจาเช่นนี้กับนางมาก่อนเลย เหม่ยอิงครุ่นคิดด้วยความโมโห แต่แล้วก็ชะงักไปตอนนี้นาง
เมื่อเรียนร่ายรำกับชุ่ยหลินจนคล่องแคล่ว จนชุ่ยหลินออกปากว่า “ เหม่ยอิงเจ้ามีความสามารถทางด้านนี้จริง ๆ เจ้าร่ายรำได้งดงามยิ่งนัก แล้วสตรีที่งดงามปานจะล่มเมืองเช่นเจ้าแถมยังมีรูปร่างอวบอิ่มขาวผ่องเป็นยองใยเช่นนี้ หนุ่มๆเห็นเข้าคงจะตะลึงไม่น้อย อีกไม่นานหากเจ้าได้ทำการแสดง เจ้าต้องม่ีแขกมาติดพันเจ้าอย่างแน่นอน และอีกไม่นานหากเจ้าได้รางวัลจากแขกแล้วสะสมเอาไว้จนพอที่จะไถ่ตัวเองออกไปจากหอคณิกาแห่งนี้ด้วยตนเอง หรือหากเจ้าโชคดีมีคุณชายที่ร่ำรวยมาไถ่ตัวเจ้าไปเป็นภรรยา เจ้าก็จะมีชีวิตใหม่ ไม่ต้องมาทำงานเช่นนี้อีกแล้ว เจ้ามีรูปเป็นทรัพย์โชคดีกว่าหญิงหลายๆคนในนี้นะ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ “ เหม่ยอิงมองหน้าของชุ่ยหลินนิ่งแล้วเอ่ยว่า ” ชุ่ยหลิน หากเป็นจริงอย่างที่เจ้าพูดมาก็ดีนะสิ ข้าจะได้หลุดพ้นไปจากที่นี่ ได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที “ ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันในห้องแต่งตัวของนางรำนั้น ร่างสูงล่ำสันที่ยืนฟังพวกนางคุยกันอยู่ที่หน้าประตูห้องแต่งตัวนั้น ได้ยินทุกคำพูดชัดเจน กรามแกร่งของเขาขบเข้าหากันแน่น และมือหนากำแน่นอยู่ข้างตัว ดวงตาของเขาเหมือนมีไฟลุกอยู่ในนั้น “ เจ้าคิดว่าจะหลีกหนีข้าไปง่ายๆเช่นนั้น
ร่างล่ำสันทรุดนั่งลงที่เดิมที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ และเขาดึงร่างอวบอิ่มของนางนั่งบนตักแกร่งของเขาด้วย “ นายท่านเจ้าคะ อย่าเจ้าคะ เหม่ยอิงไม่ ” เหม่ยอิงอ้าปากจะทัดทานเขาด้วยนางรู้สึกว่านางไม่ปลอดภัย ยิ่งสบตาคมที่จ้องมองนางแทบจะกลืนกินนั้น “ อย่าอะไรกัน ไหนลองบอกข้าสิ ฮึ ” เจ้าของหอคณิกาหนุ่มเอ่ยถามนางเบาๆ ที่ข้างใบหูน้อยๆ ของเหม่ยอิงที่กำลังจนถ้อยคำ ด้วยรู้สึกเสียวซ่านไม่น้อยยามที่เขาเป่าลมหายใจที่ข้างหูของนาง แล้วลิ้นสากที่เปียกชื้นก็ไล้เลียใบหูน้อยๆของนางช้าๆละเลียดชิมมันทีละนิด“ อ๊าย อย่านะ นายท่าน อย่านะ ” เหม่ยอิงพยายามเบือนหน้าหนีเขา แต่กลับกลายเป็นว่าริมฝีปากหนานั้นเปลี่ยนมาโจมตีริมฝีปากจิ้มลิ้มของนางแทน ลิ้นสากนั้นสอดเข้ามาในปากจิ้มลิ้มอย่างรวดเร็วไม่ปล่อยให้เหม่ยอิงตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อเข้ามาได้ก็ควานชิมความหวานในปากน้อยของนาง แล้วก็ตรงเข้าเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กของนางอย่างดูดดื่ม เขาดูดลิ้นเล็กและพัวพันมันอย่างเร่าร้อนจนร่างอวบของเหม่ยอิงอ่อนระทวยพิงอกแกร่งของเขา ในที่สุดลิ้นเล็กของนางก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยอมเกี่ยวพันกับลิ้นสากของเขาอย่างดูดดื่ม เร่าร้อนยิ่งนัก เหม่ยอิงเคลิบเ
เมื่อเหม่ยอิงนักเรียนฝึกหัดที่หัวไวไม่น้อย จับจังหวะรักของเขาได้ นางก็ยกสะโพกอวบนั้นกระแทกเขาขึ้นลงอย่างเร่่าร้อน นางหลับตาลงแล้วจินตนาการว่านางกำลังควบขี่ม้าตัวผู้ที่แสนจะพยศ นางจึงได้ขย่มเขาอย่างรุนแรง แขนเรียวยกขึ้นกอดลำคอหนาของเขาเอาไว้แล้วกดกระแทกลงหากายแกร่งของเขาอย่างร่านรัก ปากก็ร้องครวญคราง “ อ๊าย อ๊ะ อ๊าย อ๊าย นายท่าน อ๊าย ” เจ้าของหอคณิกาหนุ่มก็ร้องครางในลำคอกระหึ่ม เขาสุขสมยิ่งนัก ตาคมปรือมองนางอย่างหลงไหลพลางยกสะโพกหนาเสยขึ้นหานางอย่างอดใจไม่ไหว “ อ๊าย อ๊ะ อ๊าย อ๊ากก อ๊ากก อ๊าาก ” ทั้งสองต่างโยกขย่มกันอย่างเร่าร้อน และส่งเสียงร้องครวญครางเสียงดังไปทั้งห้องใหญ่นั้น จนกระทั่งสะโพกอวบของเหม่ยอิงกระตุกเกร็งหลายๆครั้งจนเสร็จสม ตัวนางอ่อนระทวยซบอกแกร่งของเขาอย่างอ่อนแรง ทั้งสองหอบหายใจเสียงดังอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อพักได้เพียงครู่ร่างล่ำสันก็ผุดลุกขึ้นอุ้มนางกระเตงไปทั้งอย่างนั้น แล้วเดินตรงไปที่เตียงใหญ่ของเขา เขาวางร่างอวบที่อ่อนระทวยของเหม่ยอิงลงบนฟูกหนานั่น แล้วขึ้นคร่อมร่างอวบของนางทันที เขาจับลูกชายที่เริ่มแข็งขึงขึ้นอีกครั้งของเขาสอดเข้าไปในร่องอวบที่ฉ่ำไปด้วยน้ำรักทั้ง
และเมื่อฮูหยินหยางพาบุตรชายคนเดียวมาที่จวนของคหบดีจ้าวเพื่อทวงถามเรื่องหมั้นหมายและขอความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย แต่กลับถูกปฎิเสธการช่วยเหลือ แต่คหบดีจ้าวก็ยังให้เงินมารดามายี่สิบตำลึงอย่างเสียไม่ได้ แต่เขาขอยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างบุตรสาวของเขากับอดีตคุณชายหยางตงเหวินบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพตงทันที และที่ทำให้เขาเสียใจเจ็บปวดเหลือเหลือเกินคือที่เขาได้ยินอดีตคู่หมั้นสาวน้อยผู้นั้นเอ่ยปฎิเสธการแต่งงานกับเขาเพียงเพราะเขาสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีทรัพย์สมบัติใดเหลืออยู่ ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคตที่นางจะฝากชีวิตไว้กับบุรุษเช่นเขาได้นางจึงเอ่ยปากของถอนหมั้นกับเขาต่อหน้าฮูหยินหยางมารดาของเขาที่กำลังเสียใจและนางมีร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว นางถึงกับเป็นลมไปด้วยความเสียใจที่สหายสนิทแปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อครอบครัวของนางตกยาก คุณชายหยางตงเหวินจึงได้รีบพามารดาเดินออกไปจากจวนของคหบดีจ้าวทันที แม้ในใจของเขาจะปวดร้าวแทบจะฝืนทนเดินต่อไปไม่ไหวเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินถ้อยคำเหยียดหยามดูหมิ่นเขาจากปากของคู่หมั้นสาวที่งดงามอ่อนหวานในสายตาของเขามาตลอด หลังจากนั้นเขาก็มุมานะสร้างตัวจนกลายเป็นเศรษฐีใหญ่
สายๆของวันต่อมา เหม่ยอิงสะดุ้งตื่นขึ้นนอนลืมตาแล้วกระพริบช้าๆ แล้วเหลียวมองไปรอบๆตัว นางยังนอนอยู่บนเตียงใหญ่ของเจ้าของหอคณิกานั่น เมื่อจดจำทุกอย่างได้นางก็ผุดลุกขึ้นทันใด แล้วค่อย หันมองไปรอบๆห้องไม่เห็นนายท่านอยู่ในห้องเหมือนในห้องนี้มีนางเพียงผู้เดียว จึงค่อยๆก้าวเท้าลงจากเตียงโดยมีผ้าผวยพันกายอยู่ นางมองหาอาภรณ์ของตนเองที่ถูกนายท่านถอดออกเมื่อคืนไปรอบๆทั้งบนเตียงและพื้นห้องจนทั่วก็ไม่พบ จึงได้พันกายด้วยผ้าผวยค่อย ๆ เดินไปที่หลังฉากกั้น และสาวเท้าไปที่ราวที่มีชุดคลุมของนายท่านพาดไว้บนนั้น นางดึงชุดคลุมผ้าไหมเนื้อนุ่มลื่นของเขามาแล้วใช้มันคลุมกายตนเองแล้วรัดเอวไว้จนแน่น แล้วก้มลงหยิบผ้าผวยที่นางใช้พันกายนั้นกลับไปยังเตียงใหญ่กลางห้อง แล้วลงมือเก็บเตียงนั่นโดยการดึงผ้าให้เรียบและพับผ้าผวยวางไว้ปลายเท้า จัดหมอนหนุนให้เข้าที่ เดินกลับมาที่หลักฉากกั้นอีกครั้ง แล้วเดินไปที่อ่างเคลือบใบใหญ่มุมห้องที่มีเหยือกน้ำวางอยู่ด้านใน นางเทน้ำในเหยือกล้างหน้าตนเองพอให้สดชื่นแล้วก็เดินออกไปด้านนอกที่เมื่อวานนางร่ายรำให้เขาดูจนเกิดเรื่องราวเร่าร้อนจนเลยเถิดตลอดบ่ายจนถึงค่ำคืน นางเห็นชุดคลุมของตนเองว
นายท่านตงเหวินร้องครางกระหึ่มในลำคอหนานั้น เมื่อร่างอวบอิ่มของเมียหมาดๆของเขาควบขี่เขาอย่างร่านรัก ปากจิ้มลิ้มของนางก็ครวญครางไม่ขาดปาก แต่ก็ยังควบขี่เขาอย่างรุนแรง “ เมียรัก เมียของพี่ อ๊ากก อ๊ะ อ๊ะ พี่รักเจ้า พี่รักเจ้าเหลือเกิน เหม่ยอิง อ๊าก อ๊ากก อ๊าากก ” ตงเหวินครวญครางกระหึ่มในลำคอหนา เขาร้องเรียกชื่อนาง สารภาพความในใจที่ซุกซ่อนไว้ในซอกหนึ่งของหัวใจของเขา สารภาพความจริงในใจออกมา แต่ทั้งสองต่างมัวเมาด้วยราคะที่มีต่อกันอย่างเร่าร้อน จึงมิได้ฉุกคิดถึงคำที่นายท่านตงเหวินสารภาพรักต่อเหม่ยอิงจนหมดสิ้นเขาทั้งคำรามและครวญครางกระเส่าเสียงดังไปทั้งห้อง ผสานกับเสียงครางของเหม่ยอิงที่หลับหูหลับตาเร่งกระแทกลำกายใหญ่ของนายท่านอย่างเร่าร้อนยิ่งนัก จนกระทั่งน้ำในถังใบใหญ่นั้นกระฉอกไปรอบๆแต่นางก็ยังเร่งกระแทกเขาอย่างเร่าร้อนจนกระทั่งทั้งสองกระตุกเกร็งเสร็จสมไปพร้อมๆกัน นายท่านตงเหวินปล่อยสายธารรักเข้าไปในร่องอวบของนางจนหมดสิ้น จากนั้นเขาก็ดึงนางลุกขึ้นแล้วจับร่างอวบหันหลังให้เขาแล้วลงมือกระแทกนางจากด้านหลังอย่างเร่าร้อน เหม่ยอิงครวญครางเสียงกระเส่าอย่างสุขสมยิ่งนัก นางเสร็จสมไปไม่รู้กี่ครั้งต่อ
คืนนั้นทั้งคืนเหม่ยอิงก็ร้องครวญครางใต้ร่างสามี เขาร้อนแรงยิ่งนัก มิได้ปล่อยให้นางได้พักร่างเลย แม้นางจะประท้วงว่านางกำลังตั้งครรภ์ แต่เขาก็ยังเคี่ยวกรำนางทั้งคืน แต่แล้วเหม่ยอิงก็เอาแต่ส่งเสียงร้องครวญครางและเคลิบเคลิ้มไปกับรสรักของสามีที่หลอกล่อจนนางหลงลืืมไปหมดจนได้ ทั้งสองเริงรักกันที่จวนนอกเมืองแห่งนี้จนหลายวันผ่านไป นายท่านถึงจะออกไปตรวจงานนอกจวนสักครั้ง กิจการใดที่เขาไว้วางใจคนดูแลเขาก็มักจะให้ส่งเพียงรายงานและบัญชีมาให้เขาตรวจสอบ เหม่ยอิงก็ช่วยงานสามีบ้างเท่าที่นางจะช่วยได้แต่เขามิอยากให้นางเคร่งเครียดเพราะนางกำลังตั้งครรภ์จึงให้ทำแต่งานเบาๆ ชีวิตของเหม่ยอิงตอนนี้ดียิ่งกว่าอดีตคุณหนูจ้าวเสียอีก นางอยากจะได้สิ่งใดปรารถนาสิ่งใด สามีของนางก็บันดาลให้ทุกอย่างเขาขอเพียงนางคลอดลูกให้เขาหลายๆคนเพียงเท่านั้น นางได้ข่าวคราวของบิดามารดาเพราะสามีให้คนไปสืบมาและได้ทำการช่วยเหลือไปแล้วจนครอบครัวของนางมีจวนขนาดกลางอยู่อาศัยและมีเงินทุนจำนวนมากเพื่อทำกิจการค้าต่อไป ทุกคนสบายดี และฝากความคิดถึงมาให้นางและอวยพรขอให้นางและสามีครองรักกันอย่างมีความสุข หากมีโอกาสขอให้พาหลานๆไปเที่ยวที่แคว้นสู่
ด้านเหม่ยอิงเมื่อรถม้าที่นางโดยสารมาหยุดนิ่งหลังจากที่วิ่งห้อตะบึงมานานนับชั่วยาม มันเกิดอะไรขึ้นกัน แต่นางก็นั่งฟังเสียงด้านนอกที่เงียบอยู่จากนั้นประตูรถม้าก็เปิดผางออก“ นายหญิงขอรับ นายท่านให้มารับกลับจวนขอรับ นายท่านไม่อนุญาติให้นายหญิงเดินทางไปไหนหากไม่มีนายท่านไปด้วย โปรดกลับไปกับข้าเถิดขอรับ ” แล้วชายในชุดดำนั้นก็ได้รอคำตอบ เขาเดินเข้ามาในรถม้าคล้ายจะกดดันนางให้ลุกขึ้น แต่มิได้แตะต้องตัวของนาง เหม่ยอิงจึงได้ลุกขึ้นช้าๆหอห่อผ้าที่มีเงินซุกซ่อนไว้ในนั้นโดยทิ้งของกินเอาไว้เพราะนางหอบหิ้วไปไม่ไหว แล้วยอมเดินออกไปจากรถม้านั้นแต่โดยดีเมื่อเดินลงมาจากรถม้าคันเดิม ก็มีอีกคันหนึ่งจอดรอรับนาง ชายชุดดำผายมือให้นางเดินไปขึ้นรถม้าคันนั้น เหม่ยอิงยอมเดินขึ้นไปอย่างว่าง่ายเพราะนางมิอาจขัดขืนชายชุดดำสามสี่คนที่ยืนขนาบข้างรถม้า และนางคิดว่าคนเหล่านี้คงจะเป็นคนของสามีของนางนั่นเอง เขาหูตาไวมากสมกับที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนร่ำรวยเป็นคหบดีใหญ่ด้วยตนเองโดยใช้เวลาไม่กี่ปีเท่านั้น นางจึงยอมขึ้นรถม้าคันใหม่นั้นแต่โดยดี ในรถม้าก็มีห่อของกินและน้ำดื่มเช่นกัน สองคนนี้สมกับเป็นแม่ลูกกันจริงๆ แม้สิ่งของที่จ
หลายวันต่อมามีคนของฮูหยินหยางมาส่งข่าวโดยฝากจดหมายน้อยมาให้เหม่ยอิง นางเปิดออกอ่านแล้วพบว่ารถม้าจะมารอรับนางที่หน้าหอคณิกาในอีกสองวัน แต่วันนั้นจะมาคนช่วยนางเบี่ยงเบนความสนใจของคนดูแลหอคณิกาและยามรักษาการณ์ของที่นี่ให้นาง และมิต้องขนข้าวของสิ่งใดติดตัวไป ฮูหยินหยางจะให้คนเตรียมของจำเป็นใส่ไว้ให้นางในรถม้า และเงินจะมีผู้นำมาให้นางระหว่างเดินทางเองมิต้องเป็นห่วงอะไรเพียงเตรียมตัวเดินทางเพียงเท่านั้นเมื่อรู้เวลาที่แน่นอนที่จะต้องจากสามีของนางแล้ว นางคอยปรนนิบัติเขาและเริงรักกันอย่างเร่าร้อน นางอยากจะดูแลเขาไปจนถึงวันสุดท้าย เขาไปที่ไหนนางมักจะอ้อนขอติดตามเขาไปในทุกที่ แม้เขาไปตรวจงานที่นอกเมือง นางก็จะติดตามไปด้วย เพราะเวลาของนางเหลืออีกไม่มากแล้ว วันที่จะต้องออกเดินทางไปจากแคว้นหนิงโจวมาถึงแล้ว นางขึ้นไปบนหอคณิกาและตรงไปพบชุ่ยหลินที่ห้องแต่งตัวของนางรำและมอบปิ่นเล็กๆที่มีพลอยหลากสีประดับไว้พร้อมกับเครื่องประทินโฉมหนึ่งตลับให้นาง “ นายหญิง ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะที่มอบของมีค่าเช่นนี้ให้กับข้า ตั้งแต่ท่านไม่ได้ทำการแสดงอีกแล้ว ข้าเหงามากเลยเจ้าค่ะ ไม่มีคนคุยด้วยเลย เพราะนางรำผู้อื่นรับงานก
เหม่ยอิงอึ้งงันไปทันที แม้ในใจของนางนั้นรักสามีเหลือเกิน แต่ในเมื่อแม่สามียื่นคำขาดต่อนางว่ามิอาจจะรับนางเป็นลูกสะใภ้มิว่าตำแหน่งใดๆและมิอยากจะให้หลานของนางกำเนิดมาจากสะใภ้เช่นเหม่ยอิง เมื่อแม่สามีพูดถึงขนาดนี้แสดงว่ามิให้อภัยอย่างเด็ดขาด เหม่ยอิงจึงคิดว่าแม้นางจะรักพี่ตงเหวินมาก แต่นางและครอบครัวก็ทำผิดต่อครอบครัวของพี่ตงเหวินไว้มากจนท่านป้าหยางมิอาจจะให้อภัยและยอมรับนางได้ จึงได้เอ่ยว่า“ หากท่านป้าต้องการเช่นนั้นข้าก็พร้อมจะทำตามเพื่อให้ท่านป้ากับพี่ตงเหวินมีความสุขและยอมให้อภัยข้าและท่านพ่อ หากท่านป้าจะให้รถม้าไปส่งข้าวันไหนก็ขอได้โปรดส่งคนไปบอกข้า ข้าจะรีบออกไปจากชีวิตของพี่ตงเหวินทันทีเจ้าค่ะ ” นางตัดสินใจเอ่ยด้วยมองไม่เห็นทางที่นางกับสามีจะครองรักกันได้ สามีของนางเป็นบุรุษที่หล่อเหลา เขาย่อมจะมีหญิงมาพึงใจมากมาย และยิ่งเขามีฐานะร่ำรวยแล้ว หากนางหนีไป เพียงไม่นานเขาคงจะลืมนางได้ ยิ่งมีสตรีที่งดงามน่ารักที่ท่านป้าเต็มใจอยากจะได้เป็นสะใภ้อยู่ใกล้ชิดเขา อีกไม่นานเขาก็คงจะลืมนางไปเอง เส้นทางชีวิตของนางกับพี่ตงเหวินเป็นเส้นขนานที่มิอาจจะมาบรรจบกันได้ แม้จะเพียงผ่านพบกันแค่ช่วงระยะเว
วันต่อมาคุณชายหยางตงเหวินพาอนุเหม่ยอิงไปที่จวนหยางเพื่อยกน้ำชาให้มารดาของเขา เพราะเขาคิดว่าหากจะปิดบังมารดาไปก็คงได้ไม่นานเพราะข่าวของเขาต้องมีคนนำไปบอกมารดาอย่างแน่นอน จึงได้ตัดสินใจพาเหม่ยอิงไปพบมารดาของเขาเสียในวันนี้ เมื่อไปถึงจวนหยางก็พานางเข้าไปหามารดาที่เรือนหลักเมื่อเดินเข้าไปก็พบมารดากำลังนั่งขัดถูเครื่องประดับของนางอยู่ที่โต๊ะกลมกลางห้องนั้น โดยมีหญิงงามผู้หนึ่งที่ดูงดงามน่ารักนั่งอยู่ข้างๆมารดา “ ท่านแม่ขอรับ วันนี้ข้าพาลูกสะใภ้มายกน้ำชาขอรับ ” มารดาของเขาเงยหน้าขึ้นจากกองเครื่องประดับตรงหน้านาง แล้วหันมามองบุตรชายและสตรีที่ยืนอยู่ข้างกายเขาใบหน้าของนางเปลี่ยนสีไปทันทีเมื่อเพ่งพิศมองใบหน้าของเหม่ยอิง “ จ้าวเหม่ยอิง นั่นนางใช่หรือไม่ ตงเหวินเจ้าบ้าไปแล้วหรือไร ถึงได้คิดแต่งหญิงใจดำเช่นนี้มาเป็นภรรยา ข้ามิอาจยอมรับได้หรอกนะ หากเจ้าอยากจะได้นางนัก ก็รับนางเป็นนางบำเรอก็พอแล้ว หญิงเช่นนางที่มาจากบิดามารดาที่ใจดำและไม่มีความจริงใจ หากเรายังมีประโยชน์ให้พวกเขาก็จะมองเราเป็นสหายหากเราตกต่ำพวกเขาก็พร้อมจะสลัดเราทิ้งอย่างไม่ไยดี ไม่ได้มีความจริงใจให้ใคร ที่นางยอมเป็นเมียของเจ้าก็
เมื่อรถม้าแล่นมาจนถึงที่หน้าหอคณิกา คุณชายตงเหวินก้าวลงจากรถม้า แล้วรอรับภรรยาของเขา จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปทางด้านข้างของหอคณิกาเพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการ จึงได้พากันเดินเข้าไปทางด้านข้างเพื่อกลับไปยังเรือนเล็ก ขณะนั้นพบมาม่าฟางเซียนยืนรอนายท่านหนุ่มอยู่จึงได้หยุดทักทาย“ นายท่านเจ้าคะ มีแต่คนมาขอพบเพื่อจะขอไถ่ถอนตัวของนายหญิง พวกเขายังไม่ทราบว่านางเป็นภรรยาของนายท่านและมิได้ทำการแสดงอีกแล้ว ” นายท่านฟังมาม่าฟางเซียนพูดจบก็เอ่ยบอกนางว่า “ บอกพวกเขาไปว่านางทำการแสดงแทนนางรำที่ไม่มาทำงาน แต่นางเป็นภรรยาของข้าที่ตอนนี้ไม่ให้นางทำการแสดงอีกแล้ว และข้ากำลังจะแต่งงานกับนางในอีกสองสามวันนี้ ” มาม่าฟางเซียนพยักหน้าอย่างยินดีและยิ้มกว้างให้กับทั้งสอง“ ยินดีกับนายท่านและนายหญิงจริงๆเจ้าค่ะ ข้าดูแลรับใช้นายท่านมาหลายปีแล้ว ต่อไปก็ขอฝากนายหญิงดูแลนายท่านให้ดีด้วยเจ้าคะ ข้ายินดีกับนายท่านจริงๆที่จะได้มีคนดูแลแล้วเช่นนี้ ” มาม่าฟางเซียนยิ้มกว้างอย่างยินดี นางติดหนี้บุญคุณนายท่านที่ช่วยชีวิตนางไว้และทำให้นางได้มีชีวิตที่ดีขึ้น พ้นความทุกข์ทรมานเมื่อครั้งอดีต และได้ช่วยเหลือครอบครัวของนางให
ยามซื่อ (เก้าโมงกว่าๆ) วันต่อมา ทั้งสองอาบน้ำชำระกายด้วยกัน เหม่ยอิงช่วยเปลี่ยนอาภรณ์ให้กับสามีหมาดๆของนาง “ พี่จะพาเจ้าไปหาซื้ออาภรณ์ที่ถูกใจเจ้า แล้วขอเวลาอีกสองสามวันค่อยแต่งเจ้าเป็นอนุนะ เราแค่ไหว้ทั้งสี่ตามประเพณีที่เรือนของเรานี้พอเป็นพิธีเจ้าจะขัดข้องหรือไม่ เพราะพี่ยังไม่ได้บอกท่านแม่เรื่องของเรา อาจจะต้องใช้เวลาสักพักให้ท่านแม่เข้าใจเรื่องของเราตอนนี้แต่งงานรับเจ้าเป็นอนุประตามประเพณีก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ เจ้าจะยินดีอยู่กับพี่หรือไม่ ” เขาเอ่ยกับนางขณะที่ช่วยเขาแต่งตัว “ ข้าแล้วแต่ท่านพี่เจ้าค่ะ เพราะข้าเองก็ไม่เหลือใครแล้ว มีแต่ท่านที่เป็นที่พึ่งพา หากท่านพี่รับข้าเป็นอนุข้าก็พอใจแล้ว อนาคตหากมีโอกาสข้าเพียงอยากจะพบครอบครัวของข้าสักครั้ง อยากจะรู้ว่าท่านพ่อท่านแม่สบายดีหรือไม่เพียงเท่านั้น ” คุณชายตงเหวินเชยคางเมียรักขึ้นมาสบตากับเขา“ โอกาสที่บิดามารดาของเจ้าจะกลับแคว้นนี้คงจะยากยิ่ง แม้ก่อนหน้าที่พี่วิ่งเต้นใช้เส้นสายเพื่อจะซื้อตัวเจ้ามาก็แทบเลือดตากระเด็น ใช้เงินไปมากมายยิ่งนัก แต่พี่จะส่งคนไปสืบดูและช่วยเหลือท่านอาทั้งสองเท่าที่จะทำได้ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าสบาย
เหม่ยอิงจึงได้จับลูกชายของเขาที่มันพรักพร้อมเหลือเกิน ขยายตัวยิ่งกว่าที่นางเคยเห็น สอดเข้าไปในร่องอวบของนางที่มีน้ำรักหล่อเลี้ยงเอาไว้ไม่น้อยแล้ว จากนั้นก็ค่อยยกสะโพกอวบขย่มเขาทันที จากช้าๆแล้วค่อยๆเร่งจังหวะอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นกระแทกเขาอย่างรุ่นแรง นางโยกบั้นเอวควงเป็นวงกลมเพื่อหยอกเย้าเขา“ เมียจ๋า ได้โปรดรักข้า อย่าทำเช่นนี้ อ๊าาก อ๊ากก อ๊า อ๊ากก ” สามีหมาดๆของนางร้องครวญครางปานจะขาดใจ พลางวิงวอนเมียรักให้รักเขาอย่างเร่าร้อน อย่าให้เขารอเช่นนี้อีกเลย แต่มีหรือเมียหมาดๆของเขาที่เพิ่งรู้สึกว่านางเพิ่งได้อำนาจควบคุมเขา“ อ้อนวอนข้าสิท่านพี่ อ้อนวอนให้ข้าพอใจแล้วข้าจะให้สิ่งที่ท่านต้องการ นางโน้มตัวไปกระซิบเขาด้วยเสียงกระเส่า ส่งสายตายั่วยวนเขาอย่างเป็นต่อยิ่งนัก “เมียจ๋า เมียรักของพี่ ได้โปรดเจ้าอย่าทรมานพี่เช่นนี้เลย ข้ารักเจ้า รักมากที่สุด อ๊าก อ๊ากกก อ๊ากก ” เมื่อเห็นสามีทรมานเช่นนี้ นางจึงได้เร่งขย่มร่างอวบบนร่างแกร่งของเขาอย่างรุนแรง นางโยกขย่มเขาอย่างเร่าร้อน นางหลับตาจินตนาการว่าตนเองควบขี่ม้าตัวผู้ที่กำลังคึกคะนองและแสนจะพยศนี้“ อ๊าย อ๊ะ อ๊าย อ๊ายย อ๊ากก อ๊ากก อ๊ากก” ทั้
เหม่ยอิงถูกนายท่านหนุ่มลากนางมาจนถึงเรือนเล็กของเขาแล้วผลักประตูลากนางเข้าไปจนถึงในห้องนอนด้านหลัง “ ต่อไปนี้เจ้าย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้มิต้องกลับไปพักที่เรือนของสาวใช้อีกแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเลือกอาภรณ์ใหม่ เครื่องประดับและเครื่องประทินโฉมใหม่ทั้งหมด เจ้าอยากจะได้สิ่งใดข้าจะซื้อหาให้เจ้าเอง มิต้องไปรับของๆบุรุษอื่นเช่นนี้ ” เหม่ยอิงที่ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะกลมกลางห้องนอนของเขา“ ท่านกับพวกเขาก็เป็นผู้อื่นสำหรับข้าเช่นกัน ใครจะมอบของกำนัลให้ก็มีค่าเท่ากัน ทำไมจะข้าจะรับของพวกเขามิได้ ท่านอย่าลืมสิ ท่านเกลียดชังข้ายิ่งนัก มิอาจจะรับข้าเป็นแม้กระทั่งอนุของท่าน เช่นนั้นแล้วระหว่างเรามิได้มีสถานะเป็นอะไรกัน ข้าจะชอบพอใครหรือจะพึงใจบุรุษคนไหนหัวใจของข้าคงจะเป็นอิสระแก่ตนเองอยู่กระมัง ” นายท่านหนุ่มหันขวับมาจ้องนางทันที “ เริงรักกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เจ้าคือเมียของข้าและข้าเป็นผัวของเจ้า แม้เราไม่ได้แต่งงานกัน แต่เจ้าก็คือเมียของข้า ข้ามิมีทางปล่อยให้เจ้าสวมหมวกเขียวให้ข้าเด็ดขาด ต่อไปไม่ต้องไปทำการแสดงแล้ว อยู่แต่ในเรือนเล็กนี้ ข้าจะให้คนมารับใช้เจ้า มิต้องทำสิ่งใด อาหาร