ดวงหน้าที่งดงามของหานหยางนั้น หากสังเกตุตรงบริเวณเนินผมอย่างละเอียดนั้นจะพบได้ว่ามีแผลเป็นเล็กๆ อยู่ สำหรับองค์หญิงหลิวอวี้แล้วนั้นรอยแผลเป็นเล็กกลับชัดเจนในความทรงจำของพระนาง เพราะมันเชื่อมโยงกับอดีตที่นางลืมไม่ลงแผลเป็นนี้ทำให้องค์หญิงรู้สึกถึงบางสิ่งที่ยากจะอธิบายตอนนั้นในความชุลมุนที่เกิดขึ้นในขณะที่องค์หญิงหลิวอวี้นั้นและเด็กสาวในวัยเพียงไม่กี่ขวบปีได้ตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มศัตรู ขณะที่พวกนางกำลังจะเดินทางกลับไปยังแคว้นฉินองค์หญิงหลิวอวี้พยายามยื้อลูกสาวสุดความสามารถไม่ให้คนมาลักตัวไป แต่ก็ไม่สำเร็จ แถมการยื้อแย่งเด็กน้อยยังทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ฝากร่องรอยแผลเป็นไว้ที่ดวงหน้าของลูกอันเป็นที่รักอีกต่างหาก“แม่นาง...” หลิวอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางก้าวเข้ามาใกล้หานหยางท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนในที่นั้น“ข้าขอดูหลังใบหูของเจ้าด้วยได้หรือไม่?”หานหยางมององค์หญิงด้วยสายตาลังเล ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ นางหันศีรษะให้หลิวอวี้ดูเมื่อหลิวอวี้มองเห็นปานรูปหัวใจที่ซ่อนอยู่หลังใบหูของหานหยาง น้ำตาของนางก็ไหลรินลงอาบแก้มทันที“เป็นเจ้า...เจ้าคือลูกของข้า!” หลิวอวี้เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
หลี่เจ๋อยืนประจันหน้ากับฉู่หรงที่ถูกล้อมด้วยกำลังทหารของราชสำนัก ดวงตาสีน้ำตาลทองของเขาเยือกเย็นราวกับเหล็กกล้าที่พร้อมจะฟาดฟันศัตรูตรงหน้าของเขา“ฉู่หรง ตอนนี้เจ้าแพ้แล้ว เพราะบัดนี้ฮ่องเต้และเหล่าแม่ทัพหลวงได้จับคนของเจ้าที่แทรกซึมในเหมืองหลวงได้หมดสิ้น ทุกแผนการของเจ้าถูกข้าเปิดโปงหมดแล้ว”ฉู่หรงกัดฟันแน่น สายตาดุดันของเขาจับจ้องไปยังหลี่เจ๋อ พลางหัวเราะในลำคออย่างขมขื่น“เจ้ารู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...ว่าข้าแทรกซึมกำลังไว้ทั่วเมืองหลวง แถมยังรู้แม้กระทั่งวันเวลาที่พวกข้าจะลงมือ?”หลี่เจ๋อมองเขาอย่างสงบนิ่งก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะบอกให้ฉู่หรงได้ตระหนักรู้ว่าความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของเขาและกลุ่มกบฏเป็นเพียงการดิ้นรนที่ไร้ความหมาย“ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว และมั่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นตราประทับขุนนางอันนั้นที่เป็นของเจ้าอยู่ในหมู่บ้านชิงหรง คิดว่าตระกูลฉู่ของเจ้านั้นเฉลียวฉลาดอยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ?”คำพูดของหลี่เจ๋อราวกับเข็มแหลมที่ทิ่มแทงเข้าไปในใจของฉู่หรง ความคับแค้นใจที่เก็บกดไว้พลันปะทุขึ้นท่านพ่อบอกว่าตัวเขานั้นเฉลียวฉลาดกว่าฮ่องเต้และอ๋องทุกๆ คนในราชวงศ์ เขาตากห
"กลับไปแคว้นฉินหรือเพคะ?" หานหยางถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ"ใช่แล้ว" องค์หญิงหลิวอวี้เอื้อมมือไปจับมือนางไว้แน่น "เจ้าทำดีที่สุดแล้ว แต่หากเขายังไม่ทำอะไรเพื่อรักษาเจ้าไว้ เราก็ควรให้เขาได้คิด และให้เจ้ากลับไปในที่ที่เจ้าจะไม่ต้องทนกับความหวั่นไหวเช่นนี้"หานหยางนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะออกเดินทางกลับเป่ยโจวพร้อมกับมารดาของนางหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจปราบกบฏเพื่อไม่ให้ภัยใดๆ มาถึงหานหยางในอนาคตนั้น หลี่เจ๋อได้รับข่าวการจากไปของหานหยาง หญิงสาวที่เขาแอบรักมาโดยตลอด ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เสมือนฝ้าผ่าลงที่กลางใจภายในจวนที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับเงียบสงัดราวกับเวลาหยุดนิ่ง หลี่เจ๋อก้าวเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ แต่ทุกมุมของจวนกลับไม่มีวี่แววของคนที่เขาโหยหาเขายืนนิ่งอยู่กลางห้อง สองมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาชัดเจน ดวงตาที่เคยแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นกลับคลอด้วยหยาดน้ำตาที่เขาพยายามกลั้นไว้ "เจ้าจากข้าไปแล้วจริงๆ หรือ หยางเอ๋อร์..." เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับลมที่พัดผ่าน“ข้าผิดเองที่เอาแต่ทำงานจนไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา แต่เจ้าไม่ถามเห
หานหยางนั่งอยู่ใต้ต้นพลัมที่ผลิดอกงดงาม ดอกพลัมสีขาวร่วงโปรยลงมาบางเบาตามสายลม มือข้างหนึ่งของนางจับพู่กันตวัดลายเส้นอย่างอ่อนช้อย บนใบหน้าหวานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขสายตาจดจ่ออยู่กับภาพวาดตรงหน้า ขณะที่มืออีกข้างกลังลูบไล้เบาๆ บนหน้าท้องที่เริ่มขยายขึ้นเล็กน้อยสัมผัสอ่อนโยนนั้นราวกับกำลังส่งผ่านความรักและความอ่อนโยนไปยังชีวิตน้อยๆ ที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์ของนางดวงตาของหานหยางเปล่งประกายด้วยความอบอุ่นและความหวัง ท่ามกลางความเงียบสงบของธรรมชาติ เสียงนกร้องคลอไปกับสายลม พื้นที่แห่งนี้เหมือนเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนางและชีวิตใหม่ที่กำลังจะมาแต่แววตานั้นกลับแศร้าหมองลงเมื่อนึกถึงคนๆ หนึ่งที่อยู่ไกลกัน ป่านนี้แล้วทำไมถึงยังไม่มา ได้ข่าวว่าการปราบปรามพวกกบฏส่วนที่เหลือเป็นไปอย่างยากลำบากหานหยางเคยบอกกับตัวเอง และยังย้ำมาตลอดว่าจะสนับสนุนเขาอยู่เงียบๆ ด้วยตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมานั้น ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่นางก้รับรู้ได้ว่าหลี่เจ๋อนั้นต้องแบกภาระมากมายเพียงใด“ข้าอาจไม่ใช่คนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา แต่หากข้ารักเขาจริง ข้าก็ควรสนับสนุนเขาในสิ่งที่เขาพึงกระทำ”ขณะที่ตกอยู่ใน
“ข้า...อยู่ที่ไหนกัน?” หานหยางตกใจเป็นอย่างมากกับภาพแรกที่ได้พบเห็นเมื่อนางได้สติกลับคืนมา ห้องนอนใหญ่ที่ประดับไปด้วยเครื่องเรือนไม้แกะสลักชั้นดีผนวกกับผ้าไหมทอมือสีม่วงอ่อนสลับเข้ม กลางห้องมีโต๊ะกลมใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งมีแสงไฟจากตะเกียงส่องสะท้อนหานหยางก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง กระแสลมเย็นเยียบมิอาจหยุดยั้งความพยายามของหานหยางได้ ร่างบอบบางของนางสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหนาวหรือเพราะความหวาดกลัวที่แทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจ แววตาสีนิลคู่งามกำลังสอดส่องเพื่อหาทางหนี มือเรียวบางจับขอบหน้าต่างเตรียมพร้อมที่จะกระโดดออกไป แต่ทันใดนั้น...เสียงฝีเท้าหนักเสียงหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ประตูเรื่อยๆจากนั้นเสียงดาลประตูถูกเปิดออกอย่างรุนแรง กลิ่นสุราชั้นดีถูกสายลมหนาวพัดกรูเข้ามาในห้อง พร้อมกับเอกบุรุษรูปงามคนหนึ่งในอาภรณ์ชั้นดีสีน้ำเงินเข้ม ดวงหน้าของเขางดงามมากแต่ทว่าดวงตาสีน้ำตาลทองนั้นคมกริบราวกับเหยี่ยวร้ายและมันทำให้หานหยางสั่นสะท้านไปทั้งกาย“เจ้าคิดจะหนีข้าหรือ หานหยาง” น้ำเสียงของเขาช่างเยียบเย็นและมันก็ทำให้หานหยางนั้นกดดันได้อย่างดี“ท่านอ๋อง ข้า...” หญิงสาวพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อขออิสรภาพของต
โฉมสะคราญค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ความอ่อนล้าของร่างกายและน้ำตาที่แห้งกรังบนใบหน้า ร่างกายของนางเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นด้วยความทรมานที่ยากจะลืมเลือนหานหยางนั้นยังจำได้ดีถึงภาพเหตุการณ์ที่นำพานางมาสู่จุดนี้ ครอบครัวที่เคยมีอยู่กลับถูกตราหน้าว่าสมคบคิดกับกบฏ ทุกคนในจวนถูกจับและทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึดเป็นของหลวงเมืองหนานซานในแคว้นเป่ยโจวนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีทรัพยากรตามธรรมชาติมากมาย เป็นที่ตั้งของตระกูลคหบดีที่มั่งคั่งหลายตระกูลด้วยกัน และตระกูลหานเองก็เป็นหนึ่งในนั้นวันก่อน ณ จวนของคหบดีตระกูลหาน แม้จะเป็นในยามที่สายลมเย็นของฤดูหนาวโชยเข้ามาปะทะ แต่มือเรียวบางของหานหยางยังคงบรรจงจับพู่กันด้ามโปรดตวัดเส้นสวยลงบนผ้าใบสีขาวผืนใหญ่ ภาพทิวทัศน์และขุนเขาถูกหญิงสาวรังสรรค์ขึ้นมาอย่างสวยงาม ไม่เพียงแค่ลายเส้นงดงามมีเอกลักษณ์เท่าแต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับดูราวกับว่ามันมีจิตวิญญาณ“ภาพวาดของคุณหนูงดงามเช่นเคย ไม่ทราบว่าคราวนี้คุณหนูจะนำภาพไปเข้าประกวดอีกหรือไม่เจ้าคะ?”“ไม่ใช่หรอกอาเฟิ่ง ภาพวาดหุบเขาไป๋หูของข้าเพิ่งได้รับรางวัลมาไม่นานนี้เอง ข้าจึงยังไม่คิดจะลงประ
ไม่นานนักอาเฟิ่งก็กลับมาหาผู้เป็นนายพร้อมกับพู่กันด้ามใหม่ หานหยางจึงก้าวเท้าออกไปจากจวนใหญ่พร้อมกับกระเป๋าย่ามใบหนึ่งแต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลกกับตระกูลหาน ระหว่างที่หานหยางออกไปเที่ยวเล่นนอกจวน กลับมีเหล่าทหารหลวงนับสิบบุกเข้ามาอย่างกระทันหันพร้อมกับมอบข้อหาสมคบคิดกับกลุ่มกบฏแก่ตระกูลหาน คนในตระกูลถูกจับกุมแถมยังถูกยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปเป็นของท้องพระคลังบุรุษผู้สูงศักดิ์ผู้หนึ่งก้าวเท้าเข้ามาในจวนของคหบดีตระกูลหาน ร่างสูงโปร่งกำยำในอาภรณ์ชั้นดีสีนำเงินเข้มเดินสำรวจจวนใหญ่โดยมีคนผู้หนึ่งซึ่งดูแล้วคล้ายจะเป็นผู้ติดตามเดินรั้งท้ายตลอดการสำรวจจนถึงห้องๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยภาพวาดสวยงาม แต่ทว่าคนที่เป็นเจ้าของห้องนั้นกลับหายตัวไปจากจวน ไม่อยู่รวมกลุ่มกับผู้ที่ถูกจับกุม“ท่านอ๋อง หรือว่าจะเป็นนาง” เฟิงอี้เอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยความสงสัยงอี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาเฝ้าสังเกตผู้เป็นนายที่ดูร้อนใจผิดปกติ แม้ภารกิจครั้งนี้จะเป็นการตามจับกบฏตามราชโองการ แต่ความเร่งร้อนในท่าทางของท่านอ๋องกลับแฝงความไม่ปกติ “มิผิด เป็นนางอย่างไม่ต้องสงสัย” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ แววตาสีทองทอ
ในขณะที่หลี่เจ๋อกำลังครุ่นคิดอยู่ เป็นเฟิงอี้ที่เข้ามารายงานผู้เป็นนายถึงบุคคลที่มาใหม่“ท่านอ๋อง ตอนนี้แม่นางหานหยางไม่ยอมทานอาหารเลยพ่ะย่ะค่ะ”แม้จะเป็นห่วงมากเท่าไหร่แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เพราะหน้าที่การตามล่าของเบาะแสของตระกูลฉู่และการเค้นคำตอบจากภาพวาดของหานหยางยังค้ำคออยู่“เดี๋ยวข้าจะไปดูนางเอง” หลี่เจ๋อพูดพร้อมกับคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวมใส่และสาวเท้าก้าวยาวเดินจากห้องทำงานไปยังเรือนหลังงามที่อยู่ท้ายจวน“ปล่อยข้า!” รู้สึกตัวอีกทีหานหยางก็มาอยู่ที่ห้องๆ หนึ่งซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยกลิ่นกำยานของจันทน์หอมชวนให้แสบจมูกยิ่งนัก ข้างกายมีหญิงสาวสองคนที่แต่งกายคล้ายกัน ดูแล้วคงเป็นบ่าวของจวนใหญ่แห่งนี้กำยานกลิ่นจันทน์หอมอบอวลไปทั่วห้องหมายจะทำให้คนที่อยู่ในห้องสงบใจ แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นกลับให้ผลตรงกันข้ามกันในชีวิตนี้ข้าไม่เหลือสิ่งอื่นใดอีกแล้ว ทั้งท่านพ่อท่านแม่ จวนและทรัพย์สินถูกยึดกลับไปเป็นของแผ่นดินหมดแล้ว สมบัติตระกูลหานชิ้นสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่ในตอนนี้คงจะมีแค่ลมหายใจของข้ากระมังยิ่งได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ก็ยิ่งไม่เข้าใจในโชคชะ
หานหยางนั่งอยู่ใต้ต้นพลัมที่ผลิดอกงดงาม ดอกพลัมสีขาวร่วงโปรยลงมาบางเบาตามสายลม มือข้างหนึ่งของนางจับพู่กันตวัดลายเส้นอย่างอ่อนช้อย บนใบหน้าหวานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขสายตาจดจ่ออยู่กับภาพวาดตรงหน้า ขณะที่มืออีกข้างกลังลูบไล้เบาๆ บนหน้าท้องที่เริ่มขยายขึ้นเล็กน้อยสัมผัสอ่อนโยนนั้นราวกับกำลังส่งผ่านความรักและความอ่อนโยนไปยังชีวิตน้อยๆ ที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์ของนางดวงตาของหานหยางเปล่งประกายด้วยความอบอุ่นและความหวัง ท่ามกลางความเงียบสงบของธรรมชาติ เสียงนกร้องคลอไปกับสายลม พื้นที่แห่งนี้เหมือนเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนางและชีวิตใหม่ที่กำลังจะมาแต่แววตานั้นกลับแศร้าหมองลงเมื่อนึกถึงคนๆ หนึ่งที่อยู่ไกลกัน ป่านนี้แล้วทำไมถึงยังไม่มา ได้ข่าวว่าการปราบปรามพวกกบฏส่วนที่เหลือเป็นไปอย่างยากลำบากหานหยางเคยบอกกับตัวเอง และยังย้ำมาตลอดว่าจะสนับสนุนเขาอยู่เงียบๆ ด้วยตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมานั้น ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่นางก้รับรู้ได้ว่าหลี่เจ๋อนั้นต้องแบกภาระมากมายเพียงใด“ข้าอาจไม่ใช่คนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา แต่หากข้ารักเขาจริง ข้าก็ควรสนับสนุนเขาในสิ่งที่เขาพึงกระทำ”ขณะที่ตกอยู่ใน
"กลับไปแคว้นฉินหรือเพคะ?" หานหยางถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ"ใช่แล้ว" องค์หญิงหลิวอวี้เอื้อมมือไปจับมือนางไว้แน่น "เจ้าทำดีที่สุดแล้ว แต่หากเขายังไม่ทำอะไรเพื่อรักษาเจ้าไว้ เราก็ควรให้เขาได้คิด และให้เจ้ากลับไปในที่ที่เจ้าจะไม่ต้องทนกับความหวั่นไหวเช่นนี้"หานหยางนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะออกเดินทางกลับเป่ยโจวพร้อมกับมารดาของนางหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจปราบกบฏเพื่อไม่ให้ภัยใดๆ มาถึงหานหยางในอนาคตนั้น หลี่เจ๋อได้รับข่าวการจากไปของหานหยาง หญิงสาวที่เขาแอบรักมาโดยตลอด ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เสมือนฝ้าผ่าลงที่กลางใจภายในจวนที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับเงียบสงัดราวกับเวลาหยุดนิ่ง หลี่เจ๋อก้าวเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ แต่ทุกมุมของจวนกลับไม่มีวี่แววของคนที่เขาโหยหาเขายืนนิ่งอยู่กลางห้อง สองมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาชัดเจน ดวงตาที่เคยแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นกลับคลอด้วยหยาดน้ำตาที่เขาพยายามกลั้นไว้ "เจ้าจากข้าไปแล้วจริงๆ หรือ หยางเอ๋อร์..." เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับลมที่พัดผ่าน“ข้าผิดเองที่เอาแต่ทำงานจนไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา แต่เจ้าไม่ถามเห
หลี่เจ๋อยืนประจันหน้ากับฉู่หรงที่ถูกล้อมด้วยกำลังทหารของราชสำนัก ดวงตาสีน้ำตาลทองของเขาเยือกเย็นราวกับเหล็กกล้าที่พร้อมจะฟาดฟันศัตรูตรงหน้าของเขา“ฉู่หรง ตอนนี้เจ้าแพ้แล้ว เพราะบัดนี้ฮ่องเต้และเหล่าแม่ทัพหลวงได้จับคนของเจ้าที่แทรกซึมในเหมืองหลวงได้หมดสิ้น ทุกแผนการของเจ้าถูกข้าเปิดโปงหมดแล้ว”ฉู่หรงกัดฟันแน่น สายตาดุดันของเขาจับจ้องไปยังหลี่เจ๋อ พลางหัวเราะในลำคออย่างขมขื่น“เจ้ารู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...ว่าข้าแทรกซึมกำลังไว้ทั่วเมืองหลวง แถมยังรู้แม้กระทั่งวันเวลาที่พวกข้าจะลงมือ?”หลี่เจ๋อมองเขาอย่างสงบนิ่งก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะบอกให้ฉู่หรงได้ตระหนักรู้ว่าความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของเขาและกลุ่มกบฏเป็นเพียงการดิ้นรนที่ไร้ความหมาย“ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว และมั่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นตราประทับขุนนางอันนั้นที่เป็นของเจ้าอยู่ในหมู่บ้านชิงหรง คิดว่าตระกูลฉู่ของเจ้านั้นเฉลียวฉลาดอยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ?”คำพูดของหลี่เจ๋อราวกับเข็มแหลมที่ทิ่มแทงเข้าไปในใจของฉู่หรง ความคับแค้นใจที่เก็บกดไว้พลันปะทุขึ้นท่านพ่อบอกว่าตัวเขานั้นเฉลียวฉลาดกว่าฮ่องเต้และอ๋องทุกๆ คนในราชวงศ์ เขาตากห
ดวงหน้าที่งดงามของหานหยางนั้น หากสังเกตุตรงบริเวณเนินผมอย่างละเอียดนั้นจะพบได้ว่ามีแผลเป็นเล็กๆ อยู่ สำหรับองค์หญิงหลิวอวี้แล้วนั้นรอยแผลเป็นเล็กกลับชัดเจนในความทรงจำของพระนาง เพราะมันเชื่อมโยงกับอดีตที่นางลืมไม่ลงแผลเป็นนี้ทำให้องค์หญิงรู้สึกถึงบางสิ่งที่ยากจะอธิบายตอนนั้นในความชุลมุนที่เกิดขึ้นในขณะที่องค์หญิงหลิวอวี้นั้นและเด็กสาวในวัยเพียงไม่กี่ขวบปีได้ตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มศัตรู ขณะที่พวกนางกำลังจะเดินทางกลับไปยังแคว้นฉินองค์หญิงหลิวอวี้พยายามยื้อลูกสาวสุดความสามารถไม่ให้คนมาลักตัวไป แต่ก็ไม่สำเร็จ แถมการยื้อแย่งเด็กน้อยยังทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ฝากร่องรอยแผลเป็นไว้ที่ดวงหน้าของลูกอันเป็นที่รักอีกต่างหาก“แม่นาง...” หลิวอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางก้าวเข้ามาใกล้หานหยางท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนในที่นั้น“ข้าขอดูหลังใบหูของเจ้าด้วยได้หรือไม่?”หานหยางมององค์หญิงด้วยสายตาลังเล ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ นางหันศีรษะให้หลิวอวี้ดูเมื่อหลิวอวี้มองเห็นปานรูปหัวใจที่ซ่อนอยู่หลังใบหูของหานหยาง น้ำตาของนางก็ไหลรินลงอาบแก้มทันที“เป็นเจ้า...เจ้าคือลูกของข้า!” หลิวอวี้เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
กลุ่มกบฏเองไม่ได้นิ่งนอนใจเมื่อได้รับข่าวจากเจ้าเมืองหนานซานที่แอบลอบติดต่อมาว่าได้พบตัวหานหยาง ซึ่งเป็นคนที่วาดภาพฐานลับของกบฏแล้ว สิ่งนี้สร้างความปั่นป่วนและความตื่นตัวในหมู่กบฏทันที เพราะหานหยางถือเป็นกุญแจสำคัญที่อาจเปิดโปงที่ซ่อนของพวกมันทั้งหมดได้โดยแท้จริงแล้วนั้น เจ้าเมืองหนานซานหวังผลประโยชน์ส่วนตัวมาโดยตลอด จึงทำตัวเป็นนกสองหัวและเป็นสายลับให้กับทั้งสองฝ่าย แถมยังวางแผนส่งบุตรสาวของตนเข้าไปในจวนเป่ยอ๋องในฐานะสายสืบ ทำให้บุตรสาวของเจ้าเมืองสามารถล่วงรู้ได้ว่าหานหยางนั้นถูกหลี่เจ๋อซ่อนตัวไว้อย่างปลอดภัยในจวนของเขาข่าวนี้ทำให้กลุ่มกบฏเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาวางแผนที่จะตามสังหารหานหยางเพื่อให้มั่นใจว่านางจะไม่กลายเป็นภัยต่อแผนการใหญ่ที่ใกล้จะมาถึงแต่พวกมันหารู้ไม่ว่าหลี่เจ๋อเองก็เป็นคนระวังตัวและเจ้าแผนการมาก เขาได้พาหานหยางไปซ่อนในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งเรียบร้อย แถมยังรู้ถึงที่ซ่อนของพวกมันแล้วด้วยแผนที่ที่วาดขึ้นมาใหม่จากความทรงจำเก่าของหานหยางได้นำพาพวกของหลี่เจ๋อมาที่หมู่บ้านลับแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าชิงหรง ซึ่งมันเป็นอาณาเขตตีนเขาของหุบเขาลูกนั้นในกระท่อมหลังหนึ่งขอ
“ในวัยเด็ก ท่านพ่อมักจะทุ่มเทเวลาให้กับงานจนไม่สนใจข้ากับท่านแม่ ข้าจึงต้องคอยแอบหนีเพื่อไปติดตามท่านพ่อ ข้าจำได้ว่าท่านพ่อมักเดินทางไปยังภูเขาและหุบเขามากมาย เพื่อดูแลธุรกิจหรือเจรจาค้าขาย ข้าเองก็มักจะคอยจดจำภาพของหุบเขาและก็จะแอบนั่งวาดภาพเหล่านั้น แต่ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเป็นหลักฐานมัดตัวพวกกบฏไปได้ ข้าทำลายครอบครัวของข้าด้วยน้ำมือของข้าเอง เป็นข้าเองที่ผิดทั้งหมด”“ข้าคิดว่าหลิวจินหลันนั้นคงไม่ปรารถนาจะให้เจ้าเป็นเช่นนี้ นางคงอยากเห็นเจ้ากลับมายืนหยัดได้อย่างเข้มแข็ง และตามหาครอบครัวที่แท้จริงของเจ้าให้พบ”หัวใจของนางยังคงสั่นไหวเมื่อสายตาของหลี่เจ๋อจับจ้องมาที่นางอย่างลึกซึ้ง“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า จับกลุ่มกบฏมาลงโทษ และช่วยเจ้าตามหามารดาของเจ้าให้พบ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าจะไม่ทิ้งเจ้า หยางเอ๋อร์”หลี่เจ๋อยื่นมือไปแตะที่แก้มของหานหยางอย่างแผ่วเบา แม้คำว่า “รัก” จะยังไม่ออกมาจากปากของเขา ด้วยปณิธานว่าหากเรื่องทุกอย่างยังไม่จบ เขาจะไม่บอกความในใจอออกไป แต่ทุกการกระทำของเขานั้นมันคงจะชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดเสียอีกสัมผัสนั้นทำให้หานหยางตัวแข็งทื่อ ดวงตาคู่งามหลุบลงอย่างเขินอาย แต่ก็ไม
"ไม่…!" หลี่เจ๋อพุ่งเข้าหานาง แต่ทุกอย่างสายเกินไปเสียแล้ว เลือดแดงฉานไหลซึมออกมา นางพยายามเอื้อมมือจับหลี่เจ๋อ ขณะที่เสียงของนางแผ่วลง "ได้โปรดปกป้องนาง ปกป้องหยางเอ๋อร์”ในที่สุดหลิวจินหลันก็สิ้นลมในอ้อมแขนของหลี่เจ๋อ ร่างของนางถูกวางลงข้างศพของสามี ทิ้งไว้เพียงความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของหานหยางและเรื่องของกลุ่มกบฏที่ยังถูกเปิดเผยไม่หมดหลี่เจ๋อยืนนิ่งอยู่ในความมืด เขาจับธนูที่ปักอยู่ในร่างของหลิวจินหลันขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะหันไปมองความมืดของประตูด้านหน้าของคุกถึงแม้จะตามไปตอนนี้ก็คงไม่ทันการณ์ พวกนี้เป็นนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี เขาจึงได้แต่พึมพำคนเดียวด้วยเสียงทุ้มต่ำ“เป็นใครกัน ที่ต้องการฆ่าปิดปากพวกเจ้า?”ด้านหลังของจวนเป่ยอ๋อง หานหยางนั้นถูกเรียกตัวให้ออกมามาพบกับหลี่เจ๋อจากทางประตูด้านหลังจวนท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึม หานหยางเดินมาพบกับหลี่เจ๋อ โดยมีเกวียนที่บรรทุกศพของหลิวจินหลันและหานเจิ้งหานหยางที่ยืนรออยู่ในลานจวนมองเห็นเกวียนนั้นแต่ไกล นางวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังเล็กน้อยกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าโศกเมื่อเห็นร่างที่ไร้วิญญาณของคนที่น
ในยามสายของวันหนึ่ง ในวันนี้ไม่มีงานอันใดให้ต้องออกไปทำนอกจวน หลี่เจ๋อจึงหยิบคันธนูและลูกศรและนำมันมามอบให้กับหานหยาง“วันนี้ข้าจะสอนเจ้ายิงธนู”หานหยางขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอียงคอด้วยความสงสัย“เหตุใดท่านถึงต้องการสอนข้ากัน?”“ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจำเป็นต้องรู้วิธีป้องกันตัวเอง ข้าไม่อาจอยู่ข้างเจ้าได้ตลอดเวลา”หานหยางมองเขาด้วยความประหลาดใจ แม้เขาจะยังคงรักษาท่าทีสุขุมเยือกเย็น แต่นางเริ่มมองเห็นถึงความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เขามีต่อนางในช่วงหลายวันมานี้หลี่เจ๋อยืนอยู่ด้านหลังของหานหยาง มือใหญ่ของเขาจับมือของนางเพื่อช่วยประคองคันธนู“ยกคันธนูขึ้น... อย่างนี้” เขากระซิบบอกเบาๆ เสียงทุ้มนุ่มลึกของเขาทำให้หัวใจของหานหยางสั่นไหวเล็กน้อย“มองตรงไปยังด้านหน้า เล็งไปที่เป้าหมายและดึงสายแบบนี้” หลี่เจ๋อคอยกระซิบใกล้ๆ หูของนาง หานหยางต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการประคองสติของตนไม่ให้กระเจิงกับสัมผัสนี้ของเขาเมื่อลูกธนูถูกปล่อยออกไป มันพุ่งตรงไปยังเป้าทันที แม้จะไม่ค่อยแม่นยำนัก แต่ว่าฝีมือของนางก็ยังพอถูไถ ด้วยความที่หานหยางเป็นคนที่หัวไว เรียนรู้อะไรได้เร็ว หลี่เจ๋อแอบลอบมองด้วยความประ
หลี่เจ๋อตกตะลึงเล็กน้อยที่นางกล้าขัดจังหวะเขาในสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าของเขาขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ“หานหยาง เจ้าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาตั้งคำถามข้าเช่นนี้!”คำพูดนั้นเหมือนมีดที่ปักลงกลางใจของหานหยาง นางกัดริมฝีปากแน่น พยายามสะกดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา“ไม่มีสิทธิ์หรือ? เช่นนั้นท่านอ๋องช่วยบอกข้าเถิด ว่าข้าอยู่ในจวนนี้ในฐานะอะไร?” หานหยางขึ้นเสียงโต้กลับด้วยเสียงที่เริ่มจะสั่นสะท้าน“เจ้าเป็นแค่คนที่ข้าซื้อตัวมาเพื่อแผนการของข้า!” หลี่เจ๋อหลุดปากออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจคำพูดนั้นทำให้หานหยางชะงักทันที นางมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในที่สุดก็ได้รู้ความจริงจากปากของท่านอ๋องเสียที ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งคิดสำคัญตัวเอง“ข้าคิดว่าข้า...” เสียงของนางขาดหายไปกลางคัน ก่อนจะรีบหมุนตัวออกจากห้องไปหลี่เจ๋อยืนนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลทองของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นมัว นี่เขาเผลอทำอะไรลงไป?“ทำไมข้าถึงพูดเช่นนั้นออกไป” เสียงพึมพำในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับทำให้เขาต้องเลือกสิ่งที่สำคัญกว่าด้วยเขายังมีภาระหน้าที่มากมาย ทั้งแผนการปราบกบฏ ทั้งความป