ฉันพยายามแกะมือคุณเหนือออกแต่เขาไม่ยอมปล่อย และในตอนนี้ลดาเธอก็กำลังจ้องฉันเขม็ง“คุณเหนือรินจะไปทำงาน” ฉันพูดย้ำอีกครั้งแล้วสะบัดแขนแรงๆ แต่ทว่ากลับถูกคุณเหนือดึงร่างเข้ามาแนบชิดกับตัวเองฉันเงยหน้าขึ้นมองคุณเหนืออย่างไม่เข้าใจ ทั้งไม่เข้าใจเขาและไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไม ทำไมยิ่งเจ็บมันก็ยิ่งรักเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกฉันในตอนนี้มันขาดเขาไปไม่ได้ฉันเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!!“คุณเหนือสนใจผู้หญิงคนนี้มากกว่าลดาอย่างนั้นเหรอคะ”สิ้นสุดคำพูดนั้นคุณเหนือก็หันไปมองเธอ แล้วพูด “จำได้หรือเปล่าว่าเธอทำกับฉันยังไง”“คุณเหนือยังรักลดาอยู่” ลดาเธอเดินมาดึงคุณเหนือไป “อย่าหลอกความรู้สึกตัวเองสิคะ”“ฉันเคยรักเธอ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”“คุณเหนือ!!”ลดาเธอตวัดสายตามาจ้องฉันเขม็ง ทั้งที่เมื่อกี้ฉันเห็นว่าคุณเหนือจูบกับเธอแล้วทำไมตอนนี้เขาถึงทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ไม่สนใจผู้หญิงคนนั้น หรือเป็นเพราะฉันยืนอยู่ตรงนี้อย่างนั้นเหรอ…“จะบอกลดาว่าคุณเหนือรักผู้หญิงคนนี้เหรอคะ”“……” คุณเหนือเงียบไม่ยอมตอบคำถามนั้น เขาคงไม่พูดแน่ๆ ว่ารักฉัน เพราะเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้น“ทำไมไม่ตอบลดาล่ะคะ”“ออกไปซะ แล้วอย่ามาให้ฉันเห
คุณเหนือเริ่มจูบหนักขึ้นและมือของเขาก็เริ่มไต่ไปมาเหมือนปลาหมึก ฉันจึงต้องรีบหยุดทุกอย่างเอาไว้ ก่อนที่มันจะเลยเถิดด้วยการดันแผงอกแกร่งให้ออกห่าง“รินเป็นประจำเดือนนะคะ” ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องให้ฉันพูดคำนี้ซ้ำอยู่เรื่อย“ฉันก็อยากจะลองว่ามันจะรู้สึกยังไง” คุณเหนือกระตุกยิ้มมุมปากแล้วโน้มใบหน้าลงมาอีกครั้งเขาพูดออกมาแบบนั้นมันน่าเกลียดจริงๆ นะ บ้าไปแล้วหรือยังไง“บะ บ้าเหรอคะ” ครั้งนี้ฉันรีบขยับตัวหนี กลัวว่าคุณเหนือจะทำอย่างที่พูดจริงๆหมับ!! คุณเหนือโอบเอวของฉันแล้วก้มหน้าลงมาใกล้ๆ จากนั้นเขาก็พูด “ฉันรอได้”“ไม่เห็นต้องรอเลยนี่คะ รินก็ไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวของคุณเหนือสักหน่อย” ฉันแกะมือคุณเหนือออกแต่เขาไม่ยอมปล่อย“แต่ฉันต้องการแค่เธอ” คุณเหนือจ้องฉันสายตาดุดัน “เลิกพูดสักทีว่าฉันต้องไปหาผู้หญิงคนไหน”“…….”คุณเหนือปล่อยกอดออก ฉันพูดแค่นั้นถึงกับต้องโกรธเลยหรือไง“วันนี้ฉันจะออกไปธุระข้างนอก”“ค่ะ”“เธอต้องไปกับฉัน”“ปะ ไปทำไมคะ รินไม่อยากถูกพนักงานคนอื่นมอง…” จริงๆ ตอนนี้พนักงานในบริษัทคนอื่นๆ ก็คงมองฉันในด้านลบไปแล้วแหละคุณเหนือไม่ได้บอกอะไรแถมยังไล่ให้ฉันมาเก็บของบนโต๊ะทำงานเพื่
ริมฝีปากของฉันถูกคุณเหนือดูดเม้มช้าๆ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ บรรจงจูบสลับกับขบเม้มและไล้เลียไปทั่วกลีบปากอย่างอ่อนโยน“เอาลิ้นออกมาสิ”ฉันค่อยๆ แลบลิ้นออกมาตามคำสั่ง คุณเหนือจึงใช้เรียวลิ้นของตัวเองตวัดลงมาเกี่ยวพันกับเรียวลิ้นของฉัน ก่อนที่เขาจะดูดดุนมันเบาๆ แล้วสอดแทรกเข้ามาภายในโพรงปาก“อื้ม” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นในลำคอ พร้อมกับมือที่สอดเข้ามาใต้แผ่นของฉันเพื่อปลดตะขอเสื้อใน แล้วเลื่อนลงมาถอดแพนตี้ข้างล่างเพียงไม่นานฉันก็เปลือยเปล่าต่อหน้าเขาริมฝีปากหนาผละออกไป พร้อมๆ กับที่คุณเหนือโน้มใบหน้าลงมาขบกัดและทิ้งรอยแดงเอาไว้ที่ลำคอของฉัน“พะ พอแล้วค่ะที่คอรินมีแต่รอยแดงเต็มไปหมดแล้ว” ถึงจะห้ามออกไปแต่คุณเหนือก็ไม่คิดจะเชื่อฟัง แถมเขายังทำเป็นหูทวนลมแล้วพรมจูบไปทั่วใบหน้าคมคายเลื่อนต่ำลงมาจนอยู่ในระดับเดียวกันกับหน้าอก สองมือหนากอบกุมประคองเต้านมอวบ ก่อนจะใช้เรียวลิ้นละเลงเลียยอดถันสลับกันอย่างมูมมาม“อ๊า~” ฉันแอ่นกายขึ้นแล้วครางออกมาเบาๆ ความเสียวซ่านที่กำลังก่อตัวขึ้นพรากสติของฉันไปจนสิ้น ถึงแม้จะถูกฟันคมงับลงมาที่หน้าอกแรงๆ หลายต่อหลายจุด ทว่าฉันกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บ ตรงกันข้าม ฉันเสียวซ่า
มาถึงที่ไทยคุณเหนือก็ให้คนขับรถมาส่งฉันกับน้องสาวที่คอนโดเพราะเขามีธุระด่วนต้องรีบไปจัดการ คอนโดนี้ที่คุณเหนือซื้อให้ แล้วเขาก็บอกว่าจะมารับแต่ฉันปฏิเสธไปพร้อมกับบอกว่าจะนั่งแท็กซี่กลับเอง“โหย! พี่รินทำไมห้องถึงกว้างแล้วก็สวยขนาดนี้ล่ะคะ” นาลินหันขวับมามองหน้าฉัน “พี่รินเอาเงินที่ไหนมาซื้อคอนโดหรูขนาดนี้อยู่”“พะ พี่ทำงานดีคุณเหนือก็เลยยกห้องนี้ให้ เขาเอ็นดูพี่น่ะ”“คุณเหนือดูเป็นคนใจดีจังเลยนะคะพี่ริน ขนาดพี่รินเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานเขายังใจดีมาก”“อะ อื้อ” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่านาลินไม่ได้สงสัยอะไรมากไปกว่านี้“ว่าแต่ทำไมในห้องไม่มีของใช้หรือพวกเสื้อผ้าของพี่รินเลยล่ะคะ”“พี่ คือพี่เอาลงไปซักไว้น่ะ”จบคำพูดของฉันนาลินก็เดินไปเปิดดูตู้เสื้อผ้า “นี่พี่รินซักผ้าหมดตู้เลยเหรอคะ”“อื้อ พอดีนานๆ พี่จะซักที่น่ะ ช่วงนี้ก็ยุ่งๆ ด้วย”“อ๋อ”“คืนนี้หนูอยากนอนกับพี่ริน” นาลินเดินมากอดฉันแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างออดอ้อน“ขอบคุณนะคะที่ทำให้หนูกลับมามีชีวิตที่สดใสอีกครั้ง ^_^”“พี่ก็ขอบคุณเธอเหมือนกันนะที่เข้มแข็งสู้กับโรคร้ายจนชนะได้ ^_^”“หมอที่นั่นเขาเก่งมากจริงๆ ค่ะ แถมยังดูแลหนู
ฉันเดินออกมาหน้าห้องแล้วปิดประตู เพราะกลัวว่านาลินจะได้ยินเข้า“คุณเหนือกลับไปก่อนนะคะ รินขอร้อง” สีหน้าของคุณเหนือในตอนนี้เหมือนว่าเขากำลังเมินคำขอร้องของฉันอยู่“คุณเหนือ”“ฉันง่วง” เขาตอบมาแค่สั้นๆ“ง่วงแล้วทำไมไม่ไปนอนที่บ้านล่ะคะ จะมาหารินทำไม”“ฉันนอนที่นี่ไม่ได้ ?”“มะ ไม่ได้ค่ะ รินบอกแล้วไงว่านาลินอยู่ในห้อง”“แต่คอนโดนี้ฉันเป็นคนจ่าย ฉันก็มีสิทธิ์จะนอน”“แต่ไม่ใช่เวลาแบบนี้นะคะ” คุณเหนือเอื้อมมือจะมาเปิดประตูห้อง ฉันจึงรีบผลักมือเขาออก “คุณเหนือไม่เข้าใจรินเลยใช่ไหมคะ”“หรือเธอจะให้ฉันเป็นคนพูดกับน้องสาวของเธอเอง” คุณเหนือหยุดพูดจากนั้นเขาก็โน้มใบหน้าลงมา “…ว่าเธอเป็นอะไรกับฉัน”“มะ หมายความว่ายังไงคะ”ลมหายใจร้อนผ่าวของคุณเหนือกระทบลงมาใส่ใบหน้าของฉัน “นี่เธอไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งกันแน่ว่าริน”ฉันกำมือทั้งสองข้างแน่นพร้อมกับเม้มปาก หัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเลยตอนนี้“ยะ อย่าทำแบบนั้นเลยค่ะ”“ถ้าไม่อยากให้ฉันพูดก็เปิดประตูห้อง”ตอนนี้ฉันต้องเลือก ไม่ว่าจะเลือกทางไหนมันก็ไม่เป็นผลดีทั้งนั้น เฮ้อ…สรุปแล้วฉันก็ต้องเลือกเปิดประตูให้คุณเหนือเข้ามาในห้อง ทางเลือกนี้คงจะดี
หลังจากเลิกงานคุณเหนือก็พาฉันมาที่บ้านของเขา เขากลายเป็นคนเงียบขรึมอีกแล้ว ตั้งแต่ออกจากบริษัทจนกระทั่งถึงบ้านไม่พูดอะไรเลยสักคำ“รินอยู่ได้ถึงหกโมงเย็นนะคะ เดี๋ยวนาลินจะสงสัยเอา” ฉันเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้องของคุณเหนือแล้วคำพูดของฉันทำให้คุณเหนือพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนที่ร่างของฉันจะถูกดันให้มาชนเข้ากับกำแพงห้องคุณเหนือใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นมายันกับกำแพงห้องไว้ ส่วนมืออีกข้างของเขาก็จับปลายคางฉันให้เงยขึ้นฉันมองคุณเหนืออย่างไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไร และในตอนนี้สายตาของเขาก็กำลังมองฉันอยู่ เราทั้งคู่ต่างจ้องมองกันอยู่นาน จนในที่สุดคุณเหนือก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน“สักวันน้องสาวของเธอก็ต้องรู้ คิดว่าจะปิดได้ตลอดหรือไง”“แต่ตอนนี้รินยังไม่พร้อมจะบอกนี่คะ”“แค่พูดว่าเป็นแฟนฉันมันยากตรงไหน ?”ตึกตัก! ตึกตัก! คำพูดของคุณเหนือทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงอีกแล้ว“กะ ก็มันไม่ได้เป็นแบบนั้นจริงๆ รินไม่กล้าพูดหรอกค่ะ”“หรือเธออยากจะเป็นแฟนฉันจริงๆ ?”“มะ ไม่ค่ะ รินไม่กล้าคิดแบบนั้น…” ฉันรีบหลบสายตาเมื่อถูกถามแบบนั้นคำตอบของฉันมันขัดจากความรู้สึก ทั้งที่จริงแล้วฉันต้องการ แต่ก็ต้องพูดปฏิเสธออกไป
แกร็ก! เสียงเปิดประตูห้องเข้ามา ทำให้ฉันหันไปมองและได้เห็นว่าคนที่เดินเข้ามาในห้องคือคุณเหนือ “ขะ เข้ามาทำไมคะ ออกไปนะ” ฉันออกปากไล่ เมื่อคุณเหนือเดินมาหยุดข้างๆ กับฉัน “คิดถึงเมีย” พูดจบคุณเหนือก็ดึงฉันเข้าไปสวมกอดแน่น นี่เขาดูไม่ออกเลยหรือไงว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติน่ะ “เธอบอกน้องสาวหรือยัง ว่าเธอเป็นแฟนของฉัน”“คุณเหนือ” ฉันเบิกตากว้างเมื่อเขาพูดมาแบบนั้น ฉันไปตกลงตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาพูดเองทั้งนั้น พอเห็นคุณเหนือกอดแล้วพูดกับฉันแบบนั้นนาลินก็แสดงสีหน้าออกมาว่าไม่พอใจเอามากๆ ทำให้ฉันต้องรีบผลักคุณเหนือให้ออกห่าง เมื่อฉันผลักคุณเหนือออกไปแล้วนาลินเธอก็เดินมาหยุดข้างๆ กับคุณเหนือแล้วพูด “หนูรู้ว่าพี่รินไม่ใช่แฟนของคุณเหนือ พี่รินขายตัวให้คุณเหนือ”คุณเหนือเงียบ เขามองหน้านาลินแต่ไม่ได้พูดอะไร นาลินจึงพูดต่อ “หนูยังเด็กกว่า และก็สดกว่าพี่รินนะคะ”ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองว่าจะได้ยินนาลินพูดแบบนั้นออกมา ตั้งแต่เด็กจนโตฉันมักจะตามใจน้องสาวตลอด ของเล่นทุกชิ้นของฉันถ้านาลินอยากได้ฉันก็จะยกให้ ถึงนาลินจะเป็นเด็กเอาแต่ใจในบางครั้ง แต่ไม่ใช่แบบตอนนี้ “แล้วยังไง ?” คุณเหนือถามกั
คุณเหนือลุกขึ้นจากเตียงเดินมาหาฉัน แต่สิ่งที่ฉันทำคือถอยหนี ฉันรู้ใจตัวเอง รู้ดีว่าต้องการเขา และมันก็ดีใจมากที่ได้ยินความในใจแบบนั้น แต่ก็อย่างที่ฉันพูดไปว่าในตอนนี้อะไรๆ มันก็ยังไม่ลงตัว“แค่จะกอดก็ไม่ได้ ?” คุณเหนือเลิกคิ้วถาม พอฉันไม่ตอบหัวคิ้วของเขาก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากันเป็นปม “จะเป็นแบบนี้อีกนานเท่าไหร่”“คุณเหนือกลับไปก่อนนะคะ ถ้าคุณเหนืออยู่ที่นี่นาลินคงจะยิ่งโกรธ”“ฉันรู้ว่าเธอรักน้องสาว แต่การที่เธอไล่ฉันแบบนี้มันเหมือนเธอไม่ได้รักฉัน” พูดจบคุณเหนือก็ทำหน้าเย็นชาใส่เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปที่ริมระเบียง แล้วจุดบุหรี่มวนสูบฉันไม่รู้จะต้องอธิบายยังไงให้คุณเหนือเข้าใจ ฉันอยากให้เขาเข้าใจโดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรเลยท่าทางของคุณเหนือและสายตาของเขา บ่งบอกว่าเขากำลังตัดพ้อฉันอยู่ ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่ริมระเบียงห้อง“มาทำไมกลับเข้าห้องไป” คุณเหนือไล่ฉันทันที เขาใช้มือที่คีบบุหรี่อยู่ไพล่ไปด้านหลังของตัวเอง“รินรอกลับเข้าห้องพร้อมคุณเหนือค่ะ”“ฉันสูบบุหรี่ จะมายืนเฝ้าทำไม”“ก็สูบต่อสิคะ”คุณเหนือพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ เขา
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ