#คฤหาสน์หลังใหญ่ตอนนี้ฉันกับคุณเหนือกำลังนั่งกินข้าวที่บ้านคุณพ่อของคุณเหนือ ที่ผ่านมาฉันได้เจอกับท่านบ่อยๆ จึงทำให้ไม่รู้สึกเกร็งแล้ว“ฉันได้ฤกษ์แต่งงานมาแล้ว ฤกษ์ดีที่สุดก็อีกสองเดือน”หัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวเมื่อได้ยินแบบนั้น นี่ฉันใกล้จะได้แต่งงานแล้วหรอเนี่ย“แกก็พาหนูรินไปลองชุดเดี๋ยวต้องสั่งตัดชุดอีกคงใช้เวลานาน ส่วนเรื่องสถานที่ฉันจะจัดการให้เอง”“ครับพ่อ” คุณเหนือตอบก่อนจะหันมายิ้มกริ่มให้ฉัน“แล้วนี่พร้อมจะมีลูกเมื่อไหร่ ฉันว่าทำลูกมันซะตอนนี้เลยก็ดีเหมือนกันนะ ยังไงก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ฉันเองก็อยากเห็นหน้าหลานเร็วๆ”“อะ เอ่อคือเรื่องนั้นริน….”“ยังไม่พร้อมสินะ อืมๆ ฉันเข้าใจว่าการมีลูกมันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็อย่าให้มันนานจนเกินไปแล้วกัน”ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพ่อของคุณเหนือนั้นเข้าใจและไม่ได้เร่งรัดอะไร แต่พอหันมองคุณเหนือก็ได้เห็นว่าตอนนี้เขากำลังทำหน้ายักษ์ใส่ฉันอยู่“กินข้าวสิคะ” ฉันยิ้มแบบกวนๆ ให้คุณเหนือไปหนึ่งกรุบก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อหลังจากกินข้าวเสร็จแล้วฉันกับคุณเหนือก็อยู่คุยเรื่องงานแต่งต่อสักพัก ด้วยความที่ฉันไม่มีญาติที่ไหนแล้วจึงไม่ต้องไปคุยกับผู
ฉันตั้งใจว่าจะไปหาพราวที่บ้านแต่จู่ๆ มันก็หน้ามืด เหมือนจะเป็นลม และก็ไม่รู้ว่าคุณเหนือมายังไง เขารีบวิ่งมาประคองตัวฉันไว้ ทั้งที่บอกว่าจะออกไปบริษัทแท้ๆ“ไปหาหมอ”“ไม่เอาค่ะ รินไม่ได้เป็นอะไรมาก”“ทำไมถึงไม่ยอมไปหาหมอ เธอเป็นแบบนี้บ่อยเกินไปแล้วนะวาริน”“เดี๋ยวรินกับคุณเหนือก็ต่างคนต่างนอนคนละห้องตั้งหนึ่งเดือน อาการคงจะดีขึ้นค่ะเพราะรินได้พักผ่อนเต็มที่” ฉันพูดในเชิงประชดประชัน“ฝันไปเถอะ! แค่คืนเดียวฉันก็นอนไม่หลับ”“ไม่โกรธรินแล้วเหรอคะ ?” ฉันยิงคำถามใส่คุณเหนือก็ทำหน้างอนๆ นั่นแหละ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “คิดว่าฉันทำได้หรือไง คิดว่าฉันไม่สนใจเธอได้หรือไง”“เมื่อกี้คุณเหนือก็เมินริน”“ฉันน้อยใจเธอต่างหาก แต่เธอแม่งไม่ง้อ” คุณเหนือบอกจากนั้นก็อุ้มตัวฉันขึ้นพาเดินมาที่ห้องรับแขก แล้ววางฉันลงบนโซฟาแปลกเนอะ เมื่อกี้เรายังทำเมินใส่กันแต่สุดท้ายเราก็ไม่สามารถโกรธกันได้นานกว่านี้จริงๆ“ไปหาหมอได้ไหม รู้บ้างไหมว่าฉันเป็นห่วงเธอมากขนาดไหน” คุณเหนือแสดงความเป็นห่วงออกมาผ่านแววตาของเขา“งั้นหลังจากรับปริญญารินจะไปหาหมอนะคะ”“สัญญา ?”“ค่ะ ^_^” บางทีฉันก็คืดว่าตัวเองอารมณ์แปรปรวนแปลกๆ
Talk ทิศเหนือก๊อกๆ เสียงเคาะห้องทำงานดังขึ้น ในขณะที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่ “เข้ามา” สิ้นสุดเสียงของผมประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา เผยให้เห็นร่างอรชรของผู้หญิงในชุดนักศึกษา เดินถือแฟ้มเอกสารตรงมายังโต๊ะทำงานของผม “เอกสารที่คุณทิศเหนือต้องเซ็นวันนี้ค่ะ พอดีพี่เอมติดธุระเลยฝากให้ฉันเอามาให้” “เป็นนักศึกษาฝึกงานคนใหม่สินะ” ผมถามผู้หญิงตรงหน้า สายตาโฟกัสหน้าอกสองเต้าของเธอที่มันแน่นซะจนเม็ดกระดุมจะกระเด็นออกจากกัน ท่าทางซื้อบื้อของเธอมันช่างขัดกับเสื้อที่ใส่อยู่ซะจริงๆ “…ค่ะ” “ชื่ออะไร ?”“วารินค่ะ” เธอตอบแต่กลับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม “อยากมีเงินใช้มั้ย ?” ถ้าผมถูกใจใคร ผมก็จะไม่ลังเลที่จะชักจูงผู้หญิงพวกนั้นด้วยเงิน อย่างที่ผมกำลังยื่นข้อเสนอให้กับผู้หญิงตรงหน้า “…คะ ?” ท่าทางซื้อบื้อของเธอดูจะไม่เข้าใจที่ผมพูดสักเท่าไหร่ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ กับผู้หญิงตรงหน้า ก่อนจะใช้มือโอบเอวเธอเอาไว้แบบหลวมๆ “คะ คุณทิสเหนือคะ” เธอดูจะตกใจมากพอสมควร รีบผลักผมให้ออกห่าง แต่ผมยังคงโอบเอวเธอไว้อยู่ “เรียกฉันว่า คุณเหนือ” “ฉันสามารถให้เงินเธอใช้ได้ไม่ขาดมือ สนใจมั้ยหื้ม…”
เช้าวันใหม่…สิ่งที่ฉันต้องทำเป็นประจำในทุกๆ เช้าคือการตื่นนอนอาบน้ำเพื่อไปฝึกงาน โชคดีหน่อยฝึกงานที่บริษัทนี้เขาให้เงินเดือน ไม่อย่างนั้นคงต้องหางานเสริมทำให้วุ่น กริ่ง~ เสียงโทรศัพท์ของฉันดึงขึ้นมาในขณะที่กำลังนั่งรถเมล์ประจำทางไปที่บริษัท เป็นพราวที่โทรมา พราวคือเพื่ินสนิทของฉันเอง แต่เราฝึกงานกันคนละบริษัท ( ว่าไงพราว ) ( ก็เหงาน่ะสิ แกเล่นเงียบหายไปเลย ) พราวตอบมาเสียงอู้อี้ในลำคอ ( ช่วงนี้ฉันยุ่งๆ นาลินก็อยู่โรงพยาบาล )( ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลเลยหรอ )( อื้อ รอบนี้เป็นหนักเลยแก ) ฉันลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ พูดถึงเรื่องน้องสาวทีไรก็รู้สึกหนักใจทุกครั้ง( เดี๋ยวนาลินก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แกไม่ต้องคิดมากนะริน ) ( แกเป็นไงบ้าง ) ( เหนื่อยนะสิ รุ่นพี่ที่บริษัทชอบใช้ให้ทำนู่นทำนี่แทบไม่ได้พักเลย ) ฉันคุยกับพราวมาจนถึงบริษัท เธอเป็นคนน่ารักนิสัยดีเรียบร้อย แต่ติดที่ว่าชอบบ่นจุกจิกไปหน่อย #บริษัท ฉันยิ้มและยกมือไหว้รุ่นพี่ที่บริษัทแทบจะทุกคน ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก ที่ฉันทำคือมารยาทและเป็นการผูกมิตรที่ดี เมื่อเดินมาถึงหน้าลิฟต์ฉันก็กดแล้วยืนรอสักพักประตูลิฟต์ก็เปิดออก จ
เฮือก!! รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้ยินคำพูดของคุณเหนือ ไม่คิดว่าเขาจะพูดมาแบบนั้น ทั้งที่ฉันปฏิเสธไปแล้วแท้ๆ “อยากเป็นเลขาของฉันมั้ย ถ้าสนใจทำตำแหน่งนี้ฉันจะเพิ่มเงินเดินให้สองเท่า”“…..” เขาจะกดดันฉันไปถึงไหนกัน ทำยังไงดีไม่อยากยืนอยู่ในห้องนี้แล้ว ฉันอยากออกไปข้างนอกแล้ว มันอึดอันมากจริงๆ “ว่าไงหื้ม…”ฉันเงยหน้าขึ้นมองคุณทิศเหนือพร้อมกับส่งยิ้มจางๆ ให้เขาแล้วเอ่ยตอบคำถามด้วยคำสุภาพ “ตำแหน่งเลขาคงไม่เหมาะกับรินหรอกค่ะ รินเป็นแต่นักศึกษาฝึกงาน อีกอย่างก็มีคนทำตำแหน่งนี้ได้ดีอยู่แล้ว”เมื่อสิ้นสุดคำตอบฉันก็ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ของคุณทิศเหนือ ท่าทางของเขาดูไม่พอใจกับคำตอบของฉันสักเท่าไหร่ “ฉันต้องการให้เธอทำ และถ้าฉันต้องการมันจะไม่มีคำว่าเหมาะหรือไม่เหมาะสม!!”“……” พอถูกตวาดแบบนั้นฉันจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ “ย้ายโต๊ะทำงานของเธอเข้ามาในห้องทำงานของฉันเลยดีมั้ย หื้ม?” “คะ คุณเหนือคะ คือ คือว่าริน…”“ฉันไม่ชอบการถูกปฏิเสธสักเท่าไหร่เลยนะวาริน” “……” ฉันค่อยๆ เม้มปากเข้าหากันแน่น เพราะว่าไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธ หากมันคือคำสั่งฉันก็ต้องทำตาม ไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นอะไรทั้
หลายวันผ่านไป ฉันพยายามหลบหน้าคุณทิศเหนือตลอดเวลา ปกติเขาไม่เคยเดินมาสั่งงานพี่เอมด้วยตัวเอง แต่หลายวันมานี้ฉันมักจะเห็นเขามาสั่งวานพี่เอมบ่อยๆ ซึ่งโต๊ะทำงานของฉันก็ยังอยู่ใกล้ๆ กับพี่เองด้วย ทุกครั้งที่คุณเหนือมาฉันก็จะเอาแต่ก้มหน้าก้มตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่าถูกจ้องมองเวลาเห็นหน้าเขามันก็ทำให้ฉันแทบจะกลั้นใจทุกครั้ง ถึงเวลาเลิกงาน…ช่วงนี้ฉันเริ่มรู้สึกไม่อยากมาที่บริษัทบ่อยขึ้น อยากให้เลิกงานเร็วๆ อยากให้ฝึกงานจบเร็วๆ เฮ้อ! “ฝนตกหนักเลยวันนี้” ฉันยืนอยู่ในบริษัทยังไม่ได้ออกไปไหน เพราะตอนนี้ฝนด้านนอกตกหนัก มีพี่ๆ พนักงานหลายคนที่ติดอยู่ในนี้ด้วย ค่อยสบายใจหน่อย ฉันนั่งรอฝนหยุดด้วยการเล่นมือถือไปพลางๆ ตอบแชตนาลินที่ถามว่าฉันจะไปหาเธอเมื่อไหร่ “น้องวารินจ้ะ พี่ไปก่อนนะ” พี่แก้วตาเป็นนุ่นพี่ที่บริษัทเอ่ยขึ้น ทำให้ฉันละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วยกมือไหว้ แต่!! ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าตอนนี้มีแค่ฉันกับพี่แก้วตาที่เหลืออยู่กันสองคน คะ คนอื่นๆ เขากลับไปตั้วแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งตอนนี้พี่แก้วตาก็กำลังจะกลับแล้วหลังจากที่พี่แก้วตาเดินออกไป ฉันก็หันมองที่กระจกหน้าต่างบานใหญ่ข
ฉันจำใจต้องชงกาแฟไปให้คุณเหนือตามคำสั่ง ไม่คิดว่าเขาจะยังอยู่ที่บริษัท แถมตอนนี้ก็ไม่มีใคร ฝนก็ยังตกหนัก ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ หลังจากชงกาแฟเสร็จฉันก็ถือแก้วอย่างระมัดระวังไปยังห้องทำงานของคุณเหนือ เมื่อถึงที่หน้าประตูห้องทำงานของผู้บริหารก็ไม่ลืมที่จะเคาะประตูตามมารยาท แต่กลับไร้เสียงตอบรับจากคนด้านใน ฉันจึงเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องมีควรจางๆ ของบุหรี่ลอยคลุ้งพร้อมกับกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของบุหรี่ลอยมาเตะจมูก ทำไมถึงมาสูบบุหรี่ในห้องทำงานแบบนี้กันนะฉันเอาแก้วกาแฟวางลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้าของคุณเหนือ ก่อนจะบอกเขา “ขะ ขอตัวก่อนนะคะ” “อยู่กับฉันสองต่อสองทีไร ทำไมเธอถึงดูรีบร้อนอยากจะหนีหน้าจังหื้ม ?” น้ำเสียงของเขา สายตาของเขา มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไหร่เลย “กะ ก็หมดธุระแล้วนี่คะ จะให้รินอยู่ต่อทำไม…”“นั่นสิ! อยู่ต่อทำไม ?”“คุณเหนือคะ อย่าทำให้รินลำบากใจไปมากกว่านี้เลยค่ะ” ฉันลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้ดีว่าการขัดความต้องการของผู้ชายตรงหน้าคงทำให้เขาไม่พอใจ แถมเขายังเป็นเจ้าของบริษัทที่จ่ายเงินให้ฉันทุกเดือนอีกต่างหาก แต่ฉันไม่อยากให้เขามองฉันเป็นอื่น อยากให้เขามองฉัน
หลังจากคุยกับหมอ ฉันก็แอบมาร้องไห้ในห้องน้ำเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ฉันไม่มีปัญญาหาเงินมากมายขนาดนั้นมาได้เพียงเวลาแค่ไม่กี่วันหรอก มันมากเกินไป มากเกินกว่าความสามารถของฉัน ฉันไม่อยากต้องมาเห็นน้องสาวของตัวเองจากไปแบบนี้ เธอเพิ่งอายุสิบเก้าปี ยังต้องมีอนาคตที่สดใส ทำไมกัน ทำไมต้องเป็นน้องสาวของฉัน ทำไมความโชคร้ายถึงมาเกิดขึ้นกับเรา 30 นาทีผ่านไป… ฉันพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุด ล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำเพื่อไปหานาลิน ตอนนี้นาลินหลับอยู่ นอกจากใบหน้าที่ซีดเผือดแล้ว ตัวของเธอเองก็เริ่มซีด พอเห็นน้องสาวที่อยู่ในสภาพนี้น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้มันก็เริ่มจะไหลออกมาอีกครั้ง “พี่ริน…” เสียงแหบแห้งของนาลินเอ่ยขึ้น มันเบามากซะจนฉันแทบจะไม่ได้ยิน ฉันก้มหน้าลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้น้ำตาไม่ไหลออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองน้องสาว “หนูคงไม่รอดแล้วใช่มั้ยพี่ริน…” คำถามของน้องสาวทำให้ฉันถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ ในที่สุดหยดน้ำใสๆ มันก็ไหลลงมาอาบพวงแก้มทั้งสองข้าง“อย่าพูดแบบนี้สินาลิน เธอต้องรอด อย่าทิ้งพี่ไปไหนนะ” “หนูรู้ว่าพี่รินทำงานหนักเพื่อหาเงินมารักษาหนู แต่คง