ตอนที่ 5
เสียงเปียโนและเสียงพูดคุยเบา ๆ ของแขกที่ดังขึ้นมาบนชั้นสองของร้านอาหารที่มีเมนคอร์สเป็นเนื้อสเต๊กชั้นดียังคงความเพลิดเพลินให้นักเขียนมีชื่ออย่างปีย์วราได้ไม่จบสิ้น เธอชอบบรรยากาศยามเที่ยงของร้านโปรดที่มักมีผู้คนแวะเวียนกันเข้ามาแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของกันและแบบนี้ หากเป็นยามปกติเธอคงหยิบสมุดขึ้นมาจดบรรยากาศพวกนี้เก็บไปใช้ในงานของเธออย่างที่ชอบทำ แต่เพราะเวลานี้เธอมีคนอื่นอยู่ด้วย การจะจมลงในงานที่ต้องใช้ทั้งเวลา แรงกาย และมันสมองเพื่อนรังสรรค์มันขึ้นมาเห็นทีจะไม่เหมาะ อีกอย่างคือเธอเกรงใจนภัทรที่กำลังทานอาหารไปเหลือบมองเธอไป สลับกับมองโทรศัพท์ไปพลางมาตั้งแต่อาหารจานหลักถูกยกขึ้นเสิร์ฟ ใช่ เธอรู้ตัวว่าถูกชายหนุ่มจดจ้องแต่ในเมื่อแววตาราวกับสุนัขมองเจ้าของของนภัทรไม่ได้ทำให้เธออึดอัดเช่นนั้นเธอจะปล่อยมันผ่านไปและปล่อยให้ชายหนุ่มในความดูแลเมียงมองเธอให้เปรมปรี่ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตงดงามมองพนักงานและแขกในร้านทานอาหารไปพูดกันไปอย่างเพลิดเพลินและเมื่อใบหน้าของบริกรประจำโต๊ะโผล่เข้ามาในครรลองสายตาคำถามที่เธอยังไม่ได้รับคำตอบก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง คำถามเกี่ยวกับประโยคที่ว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ’ ของนภัทรที่เอ่ยกับพิงบริกรประจำโต๊ะของเธอในตอนรับออเดอร์ “ภัทร น้าถามอะไรหน่อยสิ” สรรพนามแทนตัวเองแสนแสลงหูเรียกความสนใจจากชายหนุ่มที่ก้มลงอ่านงานสำคัญในมือถือเมื่อครู่ให้กลับมายังปัจจุบัน ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติพร้อมรอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งให้ดูไม่ดุดันตามอารมณ์ที่ไม่ใคร่จะดีนักในตอนนี้ “อะแฮ่ม ครับ” “ตอนที่บริกรขอโทษ แล้วเราตอบว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ’ น่ะ มันหมายความว่าอะไร” นัยต์ตาที่ม่วงครามช้อนขึ้นมองดวงหน้างดงามของคนที่เขาแอบรักมาตั้งแต่วัยเยาว์ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้นิ่มที่สุดเท่าที่จะทำได้ “หมายความว่า...ผมเข้าใจที่เขามองคุณน้าด้วยแววตาชื่นชมและทุ่มเทความสนใจไปจนหมด เลยตอบว่าไม่เป็นไร ผมเข้าใจเขา เพราะเวลาเจอคนที่ตัวเองชอบ คนเราก็มักจะสนใจคนคนนั้นเพียงคนเดียวจนหลงลืมคนอื่น ๆ เสมอ” “อ่อ...” น้ำเสียงหวานตอบรับเบา ๆ ก่อนจะบอกปัดว่าไม่มีแล้วและปล่อยตัวเองไปกับบรรยากาศของร้านอีกครั้งแม้ในใจมีเรื่องอยากจะถามต่อ แต่เธอที่จะปล่อยมันไปแล้วซึมซับบรรยากาศที่นานครั้งจะได้สัมผัสอย่างเพลิดเพลิน เพราะหลังจากนี้เธอต้องกลับไปต่อสู้กับงานต่อและไม่รู้เลยว่าจะมีเวลามาที่นี่อีกเมื่อไร หรือถ้าได้มาก็ไม่รู้จะว่าตรงกับไทม์มิงดี ๆ แบบนี้ไหม เพราะงั้นเธอต้องตักตวงมันให้ได้มากที่สุด... เจ้าของร่างอรชรเลยปล่อยใจไปกับเสียงเพลง กลิ่นหอมของเครื่องเทศและถ่านไม้เนื้อหอมที่เจ้าของร้านจัดหามาเพื่อทำอาหารให้ลูกค้า แตกต่างจากนภัทรที่นึกเสียดายจังหวะเมื่อครู่ไม่หาย เพราะหากคุณน้าคนสวยเอ่ยถามเขาต่ออีกสักหน่อยว่าเขาคลั่งไคล้ใคร ชายหนุ่มจะเอ่ยตอบหญิงสาวไปอย่างไม่ลังเล ว่าคนที่เขาชอบจนเข้าขั้นคำว่าหลงนั้นคือตัวปีย์วราเอง “เสร็จจากทานข้าวแล้วคุณน้ามีธุระต่อไหมครับ” ทันทีมือเรียวที่จับส้อมและมีดวางคู่กันนภัทรก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ที่ปีย์วรารับรู้ได้ว่าเป็นน้ำเสียงที่ปั้นแต่งให้ไม่ดุ จนนึกอยากรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่มผู้นี้นั้นแท้จริงเป็นเช่นไร... เธออยากรู้จักหลานชายของตัวเอง แต่ทว่าอะไรบางอย่างร้องเตือนเธอว่าชายคนนี้กำลังปั้นแต่งทุกสิ่งอย่าง ทั้งน้ำเสียง การพูดจา รอยยิ้ม แม้กระทั่งเสียงหัวเราะ... ถึงมันจะไม่ได้ทำให้เธออึดอัด แต่ก็ไม่ได้ดีนัก เพราะนั่นหมายความว่าตลอด 5 เดือนนี้เธอจะไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของนภัทรเลยแม้แต่เงา แต่เหตุผลนั้นกลับย้อนแย้งด้วยแววตายามที่นภัทรลอบมองอยามเธอไม่สนใจ แววตาหลงใหลราวกับอีกาที่ลอบมองอัญมณียอดมงกุฎแสนงดงามที่มันยังไม่อาจฉกชิงเป็นของตัวเองได้ อีกประการที่ทำให้ขอสันนิษฐานว่านภัทรไม่ต้องการให้เธอรู้จักเขาจริง ๆ นั่นคือลักษณะของตัวตนที่นภัทรพยายามสร้าง เพราะไทป์ที่ชายหนุ่มกำลังทำอยู่คือลักษณะผู้ชายที่เธอชอบและอยากเข้าหา จนพาลอดคิดต่อไม่ได้ว่าเขาจงใจทำเพื่อให้เธอเข้าไปหาเขาทีละนิดทีละนิด แต่พอคิดไปถึงจุดนั้นก็น่าแปลกเพราะเธอไม่เคยเจอกับนภัทรมาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยบอกลักษณะคนที่เธอจะเข้าใกล้และไม่เข้าใกล้ให้ใครรู้ด้วยกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะปั้นแต่งตัวตนเข้าหาอย่างที่นภัทรทำอยู่ตอนนี้ “คุณน้า...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” นภัทรเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเหม่อมองหน้าเขาด้วยแววตาดุดันนานจนเกินไป “อ่อ ไม่มีอะไร คือ...ภัทร น้าขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม” “ครับ” “เลิกปั้นแต่งที” ดวงตาสีม่วงครามเบิกกว้าง เรือนร่างกำยำอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำชะงักด้วยไม่คิดว่าตนเองจะถูกจับได้เร็วถึงขนาดนี้ “ปั้นแต่ง...อะไรเหรอครับ...” “ปั้นแต่งรอยยิ้ม น้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่...นิสัย เลิกให้หมด” ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันในความประมาทของตนเองที่คิดดูถูกความสามารถของหญิงสาวที่ผ่านโลกมากกว่าเขาเบื้องหน้านี้ “ครับ ผมรับปาก ผมจะเลิกทำ แต่น้ารู้ใช่ไหมว่าผมไม่มีเจตนาไม่ดี” น้ำเสียงทุ้มติดไปทางดุดันเอ่ยขึ้นทำเอาปริมตัวสั่นหน่อยๆ แต่ก็เลือกที่จะทำใจให้สงบแล้วเอ่ยตอบหลานชายตัวดีของเธอไป “อืม รู้ แต่เธอไม่คิดว่าน้าอยากรู้จักตัวตนเธอจริง ๆ บ้างเหรอ?” “น้าอยากรู้จักตัวตนผมจริง ๆ เหรอ” “อืม น้าอยากรู้จักเธอ อย่างที่เธอเป็นไม่ใช่คนที่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อให้น้าพอใจและสบายใจจะอยู่ด้วยได้แบบนี้” “....” “เพราะงั้น เป็นตัวของตัวเองเถอะ น้าปรับตัวได้” นภัทรกำลังหูอื้อจากเสียงหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอกจนเขาเกือบไม่ได้ยินเสียงหวาน ๆ ของปริมที่คุยกับเขา โชคดีที่เขาตั้งสติได้เร็วพอจะได้ยินมันทั้งหมด นภัทรเคยคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อปริมในวัยเยาว์นั้นเป็นของปลอม แต่การกลับมาเจออีกครั้งและได้เรียนรู้อะไรบางอย่างหญิงสาวก็กลับทำให้เขาตกหลุมรักได้ซ้ำสองทั้งที่ผ่านมานานเกือบสิบปี แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยลืมรอยยิ้มของหญิงสาวในวัย 23 ปีที่ยิ้มกว้างหลังจากร่ำไห้จนตาบวมแดงได้เลยก็ตาม ช่วงแรก ๆ เขาก็วนเวียนเพ้อถึงในใจไม่ได้บอกใคร และคิดไปว่าคงเป็นแค่รักแรกของตัวเองในวัยนั้นที่เจอคนสวย ๆ แล้วตกหลุมรัก แต่วันนี้เขารู้แล้วว่าไม่ใช่... เพราะงั้น...อะไรที่เขาชอบ เขาจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปคว้ามันไว้ โอบกอด และ ปกป้องมันจากอะไรก็ตามที่จะทำให้สิ่งนั้นแตกสลาย ชายหนุ่มตั้งมั่นกับตัวเองในใจก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยรับปากคุณน้าคนสวยไปตามที่ตนคิด “ครับ ผมจะเลิกทำ แต่ถ้า...มันทำให้กลัว น้าบอกนะ” “เชื่อสิน้าไม่บอก ก็บอกแล้วไงน้าจะปรับตัว แต่เธอเองให้น้าพยายามคนเดียวไม่ได้นะ เธอต้องพยายามด้วย เพราะตัวตนน้า...น้าว่าตัวเองก็ไม่ได้ดีมากขนาดนั้นหรอก” มือหนารวบช้อนส้อมเข้าคู่กันตามมารยาทหลังทานอาหารเสร็จ ดวงหน้าคมคายเชิดขึ้นเล็กน้อยในขณะที่นึกคัดค้านสิ่งที่หญิงสาวพูดเมื่อครู่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะเอ่ยถามสิ่งอื่นออกไป “ครับผมรับปากว่าจะพยายามด้วยเหมือนกัน แต่...ทำไมน้าว่าตัวเองไม่ดีล่ะครับ?” “น้าบ้างาน เวลาทำงานจะไม่สนใจอะไรเลย อย่างที่เราเจอตอนมาถึง เสียงอินเตอร์คอมดังขนาดนั้นน้ายังไม่สนใจเลยและ...น้าเป็นคนเด็ดขาด ถ้าคนคนนั้นไม่สำคัญจริง ๆ น้าจะตัดทิ้งโดยไม่แยแสเลย ต่อให้ร้องไห้อ้อนวอนน้าก็ไม่สนใจ แต่ใครสำคัญน้าจะรับฟังและตามใจมาก ๆ ชนิดที่ว่าต่อให้เขาขอให้ทำอะไรที่เราไมถนัดน้าก็จะทำ เหมือนที่น้าตกลงให้เรามาอยู่ด้วยไง” คิ้วเรียวขมวดมุ่นกลับประโยคสุดท้ายก่อนจะเอ่ยถามไปตามตรงด้วยนิสัยเดิมเขาไม่ใช่คนอยากรู้อะไรแล้วไม่ถามอยู่แล้ว “หมายความว่าตอนแรกน้าจะไม่ให้ผมมาอยู่ด้วยเหรอ...” น้ำเสียงหงอย ๆ ราวกับลูกหมาโดนเจ้าของขู่ว่าจะทิ้งหากดื้อดึงดังให้ได้ยินจนปริมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ “อืม เพราะน้าไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็ก แล้วคิดว่าเธอเป็นเด็กเล็ก ๆ สัก 12 หรือ 13 ปีอะไรแบบนั้น เลยจะปฏิเสธแต่เพราะแพรขอร้องไปสะอึกสะอื้นไปเลยตอบตกลง” เธอตอบไปตามความสัตย์จริงโดยละเว้นเรื่องเงินค่าตอบแทนไว้ไม่ให้นภัทรรู้ตามที่ตกลงกับแพรไหม เพราะเพื่อนสาวของเธอกลัวว่าถ้านภัทรรู้เรื่องเงินว่าจ้างชายหนุ่มจะงอแงไม่ยอมอยู่กับเธอแล้วมองเธอไม่ดีไปแทน แม้ปริมจะบอกว่ามีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเงินนี้ไว้แล้วก็ตาม “ท่าทางแปลก ๆ ของน้าเมื่อเช้าก็เพราะน้าเข้าใจว่าผมเป็นเด็กสินะครับ” “ใช่จ้ะ แหม...ก็ใครจะคิดล่ะว่ายัยแพรจะมีลูกโตขนาดนี้ สงสัยเป็นบาปกรรมของคนบ้างานละมั่ง เพราะถึงน้ากับแพรจะสนิทกันแต่ก็นาน ๆ จะทักทายผ่านตัวอักษรกันสักที ครั้งสุดท้ายที่เจอตัวเป็น ๆ ก็งานแต่งเมื่อเกือบสิบปีก่อนนู้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้อัปเดตชีวิตเลย จะตกข่าวก็ไม่แปลก อย่าเอาไปทำตามเชียวนะ” “ครับ” “ว่าแต่เมื่อกี้เราถามใช่ไหมว่าน้าอยากไปไหนต่อรึเปล่า ขอวนกลับไปตอบแล้วกันว่าไม่มี เพราะตอนนี้น้าอยากกลับไปทำงานที่บ้านมากกว่า แต่ถ้าเราอยากไปก็ไปได้” หลังหมดเรื่องที่คาใจปริมก็วนกลับไปตอบเรื่องเดิมเมื่อครู่อย่างจริงใจ แววตาและรอยยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ของชายหนุ่มที่ทำออกมาจากนิสัยเดิม ๆ ทำให้นักเขียนสาวพอใจ จนนึกชมตัวเองที่ตัดสินใจเอ่ยทักเรื่องตัวตนของชายหนุ่มไป เพราะรอยยิ้มตอนนี้แม้จะยิ้มแค่มุมปาก แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มถึงดวงตา ดูมีเสน่ห์และจริงใจมากกว่าก่อนหน้านี้เป็นไหน ๆ “งั้นไปซื้อของเข้าห้องกันไหมครับ เมื่อเช้าผมทิ้งไปเยอะเลย พวกซอสหรือเครื่องปรุงที่หมดอายุ เอ่อ...ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ถามน้าก่อน” “ไม่เป็นไร ๆ ของพวกนั้นน้ารู้อยู่แล้วว่ามันหมดอายุ แค่ไม่มีเวลาเอาไปทิ้งเท่านั้นเอง น้าสิต้องขอบคุณที่เราช่วยทำความสะอาดให้ แถมทำเร็วซะด้วย สนใจเปิดบริษัททำความสะอาดไหม?” ปริมลองเชิงถามด้วยความใคร่รู้ เพราะเธอนี่นับเป็นเรื่องพนันกับตัวเองอีกเรื่อง ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มเอ่ยขอทำความสะอาดห้องให้เธอก็คาดเดาไปแล้วว่ายามอยู่ที่บ้านห้องของนภัทรจะเป็นห้องที่ทำความสะอาดตลอดและชายหนุ่มจะเป็นคนทำเองอย่างแน่นอน เพราะดูจากความเร็วที่ทำห้องเธอในวันนี้ หากไม่ใช่คนที่ทำมาก่อนจะไม่มีทางลำดับความสำคัญก่อนหลังในการทำเพื่อทำได้เร็วขนาดนั้น “ครับ? น่าสนนะครับ แต่แบบนั้นผมคงต้องลงไปทำเองเพราะพนักงานทำได้ไม่สาแก่ใจพอ” “แสดงว่าอยู่บ้านเธอทำความสะอาดห้องเองเหรอ” “ครับ ทำเอง พี่ ๆ ที่บ้านทำไม่ค่อยถูกใจ ทำแล้วสะอาดไม่จริง ตอนเด็กที่ยังแรงไม่มากผมเคยนอนดมฝุ่นจนภูมิแพ้ขึ้น โตขึ้นมาหน่อยเลยทำเองหมดทุกอย่าง” “เป็นภูมิแพ้นี่ต้องมียาไหม” เมื่อได้จังหวะถามเรื่องสุขภาพปริมก็เอ่ยถามต่อทันทีอย่างไม่รีรอเพราะจะให้ไปรู้ หรือไปรู้ตอนมีอาการเลยคงไม่ดีเท่าใดนัก “มีครับ แต่ทานไม่บ่อย ทานเมื่อมีอาการน่ะครับ” “อืม ดีแล้วกินยานอนโรงพยาบาลมันไม่มีหรอก ว่าแต่อาหารอร่อยไหม” “อร่อยมากเลยครับ ไม่เสียใจเลยที่เชื่อน้าปริม ร้านนี้อร่อยมากเลย” ตึกตัก เมื่อสิ่งที่เธอคิดไว้ก่อนหน้าถูกต้องหัวใจปริมก็เต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เธอคิดมาตั้งแต่เริ่มสั่งอาหารว่าชายหนุ่มแค่ฉลาดเลือกหรือเชื่อใจเธอ เธอคิดจนเลิกคิดและเลิกหวังแล้วว่าจะได้รับคำตอบ... แต่พอได้นอกจากความอบอุ่นในหัวใจแล้ว กลับมีความรู้สึกดีเพิ่มขึ้นมาด้วยอย่างน่าประหลาด... พอแล้วปริม นภัทรเป็นหลานเธอ ท่องไว้ เขาเป็นหลานชายของเธอ ลูกชายเพื่อนสนิทที่เธอรักมากที่สุด เลิก คิด ถึงความรู้สึกแบบนั้นไปซะ พอ พอ! ศีรษะเล็กส่ายไปมาสลัดความคิดที่ไม่สมควรในหัวออกไปจนหมดและพยายามย้ำกับตัวเองในใจว่าชายหนุ่มคือลูกของเพื่อนสาวคนสนิท นักเขียนสาวมากความสามารถพ่นลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะยกมือเรียกบริกรให้มาเช็กบิลค่าอาหารก่อนที่จะพาทั้งตัวเธอและหลานชายกลับไปที่รถแล้วขับทะยานมุ่งหน้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เพื่อซื้อของเข้าบ้านอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนที่ 6เสียงประกาศตามสายไม่สามารถหยุดปริมและนภัทรที่กำลังถกเถียงเรื่องขนมและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้พวกเขาเถียงกันมานานตั้งแต่เริ่มเข้ามาซื้อของเพราะทันทีที่เข้ามาในร้านปริมก็เดินตรงไปหยิบคว้าขนม น้ำอัด และ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทันทีด้วยความเคยชิน เพราะทานแต่ของพวกนี้แต่นภัทรมาห้ามไว้ทั้งยังบอกว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพและหยิบคืนชั้นวางของโดยไม่สนใจคำห้ามของปริม“ภัทร...” “มันไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ” “งั้นแค่ขนมข้าวอบ กาแฟ กับลูกอม ได้ไหม” “กาแฟทานเยอะก็ทำลายสุขภาพนะครับ” “แต่มันเป็นกาแฟดำ...” ร่างสูงโปร่งที่เป็นคนคุมรถเข็นแทนคนที่ศักดิ์เป็นน้า หมุนกายกลับมามองแพ็กกาแฟในมือของหญิงสาวก่อนจะเลือกหยิบเอายี่ห้อเดียวกันแต่เป็นแบบที่มีเพียงเมล็ดกาแฟมาใส่รถเข็นแทน“แบบนี้มันถูกกว่า น้าทานได้ไหม” “อืม ได้ๆ งั้นไปเลือกของสดกัน” ร่างเพรียวพยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะเอาลูกอมและขนมข้าวอบที่เธอชอบใส่รถเข็นอย่างรวดเร็วไม่เปิดโอกาสให้นภัทรเอ่ยห้ามใด ๆ อีกชายหนุ่มที่เป็นคนเข็นรถเข็นส่ายหัวเบา ๆ แต่ก็ยอมแพ้ให้กับคนติดขนมอย่างปริม พลางคิดหาวิธีที่จะทำให้คุณน้าคนสวยของตนติดอย่างอื่นแทนขนมแน่นอนว่าติดเขาคือหนึ่
ตอนที่ 7หลังจากปลอบให้ใจตนเองสงบได้แล้วปริมก็หอบเอาผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้านวมสีน้ำเงินเข้มที่นภัทรเลือกซื้อมาใหม่ไปอบฆ่าเชื้อที่เครื่องอบผ้าเพราะหากซักตอนนี้กว่าจะได้ปูก็คงเป็นช่วงค่ำและอาจทำให้ชายหนุ่มไม่มีที่นอนได้หากฝนตก เธอจึงตัดสินใจซักแห้งและฆ่าเชื้อเครื่องนอนของร่างสูงเท่านั้นมือเรียวดึงเครื่องนอนครบชุดออกมาจากเครื่องอบแล้วยัดเอาผ้านวมผืนนิ่มเข้าไปอบต่ออย่าไม่รีรอ ก่อนหอบเอาเครื่องนอนที่อบเสร็จแล้วขึ้นมาแนบอกแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนของชายหนุ่มปริมจัดแจงโยนเครื่องนอนในอ้อมแขนลงที่โซฟาเบดในห้องแล้วเลือกหยิบเอาผ้าปูที่นอนขึ้นสะบัด เพื่อที่จะให้มันปูได้ง่ายขึ้นแต่ในขณะที่กำลังจะจับมุมผ้าอยู่นั้น กลิ่นโคโลญจน์อันแสนคุ้นเคยก็ลอยฟุ้งกระทบกับโสตประสาทพร้อมกับฝ่ามือหนาที่พาดผ่านมากุมทับมือเธอจากทางด้านหลังความใกล้ชิดที่มากเกินไปจนไม่เหมาะสมกับสถานะของเธอ รวมทั้งศีลธรรมในใจเรียกร้องให้ปริมผินหน้าไปหวังจะต่อว่าคนที่ทำรุ่มร่ามกับเธอให้เข็ดหลาบทว่าปลายจมูกที่สัมผัสกับแก้มเนียนของนภัทรพาให้เจ้าของร่างเพรียวตกใจจนเสียหลักล้มลงกับเตียง แต่ปฏิกิริยาของคนจะล้มที่มักจะดึงเอาคนใกล้ตัวลงมา
ตอนที่ 8หลังทานอาหารด้วยกันเสร็จเรียบร้อยปริมก็รวบจานชามเตรียมจะไปล้างทำความสะอาดตอบแทนคนที่ลงมือทำอาหารวันนี้ให้เธอแต่กลับถูกนภัทรเอ่ยห้ามไว้ก่อน“เดี๋ยวผมล้างเองครับ” “ไม่เป็นไร เธอเป็นคนทำอาหารแล้วนี่ ให้น้าทำเถอะ” เจ้าของมือหนาไม่ฟังคำค้านพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงเอาจานชามที่ทานเสร็จแล้วออกจากมือบางแต่ปริมไม่ยอมปล่อยทั้งยังขืนแรงของชายหนุ่มไว้จนเส้นเลือดขึ้นที่หลังมือขาว“น้าครับ” “ขอร้องให้น้าทำเถอะ น้าต้องเป็นคนดูแลเราสิ ไม่ใช่เราดูแลน้า อีกอย่างแม่เราจ้างน้ามาดูแลเรานะ ควรเป็นน้าไหมที่ต้องเลี้ยงเราไม่ใช่เรามาเลี้ยงน้าแบบนี้” ปริมเอ่ยบอกร่างสูงไปตามเพราะตอนนี้เธอรู้แล้วว่าต่อให้เธอบอกว่าโดนจ้างนภัทรก็ไม่มีทางไปแน่นอน ด้วยท่าทีที่ดูติดเธอตั้งแต่วันแรกที่เจอ ต่อให้เธอบอกไปว่าถูกจ้างวานชายหนุ่มก็คงไม่งอแง“แต่ยังไงผมก็อยากทำให้ครับ นะครับ ให้ผมทำเถอะ” ไหนแพรไหมว่าไม่ดื้อไง...ที่เธอเจออยู่ตอนนี้ นี่ ดื้อตาใสชัด ๆ“ต่อให้น้าโดนจ้างมาดูแลผม ผมก็อยากทำให้น้าอยู่ดี” “แล้วจะให้น้าบอกแม่เธอว่าอะไร” “แม่เขาไม่ได้หวังให้น้าดูแลผมเหมือนเด็กหรอกครับ แม่แค่อยากให้มีคนอยู่เป็นเพ
ตอนที่ 9นภัทรกำลังกลัว....ปกติเขาเป็นคนไม่ค่อยกลัวอะไรมากเท่าไร แต่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก ก็เกิดเป็นบาดและความกลัวหยั่งรากลึกในจิตใจบรรยากาศในยามค่ำคืนของลานหน้าคณะบริหารธุรกิจดูวังเวงลงไปถนัดตาเมื่อไร้ทั้งแสงทินกรและเหล่านักศึกษาที่มักจะรวมกลุ่มรวมตัวกันนั่งทำกิจกรรมในยามค่ำในยามปกติทั่วทั้งลานหน้าคณะนี่จะเต็มไปด้วยนักศึกษาที่จับกลุ่มรวมตัวนั่งทำงานด้วยกันจนค่ำมืดพร้อมแสงไฟสลัว ๆ ของไฟริงทางที่ทางมหาวิทยาลัยจัดตั้งไว้แต่เหมือนโชคของนภัทรในวันนี้จะไม่ดีนักเพราะนอกจากจะไร้ซึ่งเหล่าเพื่อนร่วมคณะแล้วไฟทางริมถนนก็เกิดช็อตติดดับ ๆ ตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นคือตัวเขาที่สะเพร่าลืมขอคอนแทกต์ปีย์วราน้าสาวคนสวยของตนเอาไว้ ครั้นจะติดต่อมารดาก็กลัวว่าฝ่ายนั้นจะโทรไปโวยวายคุณคนสวยจนเขาต้องกลับบ้านไปอยู่กับสาวใช้และพ่อบ้านที่ชอบทำหน้าตายก้มตัวให้เขาตลอดเวลาคนพวกนั้นไม่มีทางใส่ใจเขาเหมือนปีย์วราและแพรไหมและไม่มีทางรักเขาผู้ที่ทำให้นายหญิงคนแรกของบ้านต้องตายคนนี้ได้ลงเหมือนธนิน...การตายของมารดาผู้ให้กำเนิดเป็นเรื่องสะเทือนใจของใครหลายคนไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาที่
ตอนที่ 10ร่างเพรียวของนักเขียนสาวเดินไปเดินมาอยู่ในห้องครัว จากเตาร้อนไปเขียง จากเขียงไปเตาร้อน สลับไปมา ก่อนจะออกมาเป็นเมนูง่าย ๆ อย่างแกงจืดไข่น้ำ ใส่สาหร่าย หมูเปรี้ยวหวานสูตรของเธอ และ ผัดผัก เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยปริมก็จัดวางทุกอย่างลงบนโต๊ะข้าวสวยร้อน ๆ ตักใส่จานเปล่าสองใบ ก่อนจะถูกยกไปไว้บนโต๊ะทานข้าว ร่างเพรียวของคนรังสรรค์อาหารค่ำในวันนี้เดินถอยหลังมาดูความเรียบร้อยก่อนจะรีบหันกลับไปทำลายความวุ่นวายที่เธอละเลงไว้เมื่อครู่จนสะอาดกริบ กันไม่ให้คนรักความสะอาดอีกคนในบ้านออกมาเจอโดยไม่รู้เลยว่านภัทรแอบยืนดูจากห้องนอนตั้งแต่ต้น ชายหนุ่มที่ออกมาหวังจะทำอาหารเย็นรอคุณน้าคนสวยก็ต้องมาเจอกับภาพความวุ่นวายที่ร่างเพรียวละเลงไว้ตอนแรกเขาจะเข้าไปช่วยแต่ถือเป็นการลงโทษกลาย ๆ จากการที่ลืมไปรับเขาวันนี้ ชายหนุ่มเลยเลือกที่จะยืนดูเฉย ๆเขาไม่โกรธแล้วน่ะใช่ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังอยากเอาคืนคนขี้ลืมอยู่บ้าง เหมือนที่เคยแกล้งแม่บุญธรรมตนเองผ่านบิดา ทำเอาหญิงสาวที่บ้างานเหมือนคุณน้าคนสวยคนนี้ไม่ได้ไปทำงานอยู่หลายวัน...ในใจเขาก็อยากทำแบบนั้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้ เพราะสถานะของเขากับปริมไม่เหมือนขอ
ตอนที่ 11เปลือกตาสีมุกลืมขึ้นในความมืด ลูกแก๊สใสสีน้ำตาลเข้มสดสวยไหวระริกสอดรับกับอัตราการเต้นของหัวใจที่ดังจนในหูของเธออื้ออึงไปด้วยเสียงตุบ ๆร่างเพรียวยันตัวลุกขึ้นนั่งเหม่อมองหน้าต่างในห้องนอนของตนเอง นิ้วเรียวยกขึ้นลูบริมฝีปากที่โดนฉกชิมไปเมื่อครู่อย่างเหม่อลอยความจริงคือตื่นตั้งแต่นภัทรอุ้มเธอขึ้นจากโซฟา แต่ที่ไม่ลืมตามาเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะตกใจจนปล่อยเธอลง เหมือนที่เคยเผลอปล่อยมีดหั่นสเต๊กในร้านโปรดของเธอวันก่อนก็เท่านั้นแต่เธอไม่คิดว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากการพาเธอมาส่งเข้านอน จะเป็นจูบที่หวานล้นเฉกเช่นเมื่อครู่“เฮ้อออ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบา ๆ จากความมืด ด้วยตั้งแต่นภัทรออกไปจนถึงตอนนี้ เธอพยายามใช้ความคิดเค้นตรรกะ และเหตุผลทุกอย่างออกมาจากการแก้ต่างการกระทำเมื่อครู่ของนภัทร แต่ก็ไม่มีอะไรให้เหตุผลได้ดีไปกว่าข้อที่ว่า...นภัทรแอบชอบเธอปริมไม่รู้ว่าชายหนุ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดและตอนไหน แต่จากอากัปกิริยาก็คงนานพอดู...ที่น่าแปลกคือ เธอเพิ่งเจอเขาได้ไม่ถึงสามวันแต่เจ้าตัวกลับมาชอบพอเธอได้มันไม่มีเหตุผลอื่นนอกเสียจากว่าเธอและเขาเคยเจอกันมาก่อน อาจจะเคยมีโมเมน
ตอนที่ 12แท็บเล็ตเครื่องหรูถูกหยิบออกมาจากห้อง ก่อนที่มือเรียวจะกดเข้าโพรแกรมแชตสีเขียวอ่อนเพื่อกดโทรออกผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเสียงรอสายประจำโพรแกรมดังขึ้นอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่ปลาสายจะกดรับ“ยัยแพร ว่ามาเลยฉันพร้อมแล้ว” [ครับ?] น้ำเสียงนุ่มที่คล้ายกับชายหนุ่มร่วมห้องของเธอดังขึ้นมาจากปลายสาย ทำเอาคนที่หั่นสเต๊กทานอยู่เกือบจะพ่นออกมา ถ้าไม่ติดว่ามันราคาแพงเท่าราคาหนังสือเธอ 1 เล่ม“แคก ๆ คุณ...คุณธนิน...” [สวัสดีครับ คุณปริม ผมได้ยินเรื่องคุณจากแพรไหมมาเยอะเลย – เดี๋ยวสิคะพี่ พี่มารับโทรศัพท์แพรแบบนี้ถ้าแพรซ่อนกิ๊กไว้ แพรไม่โดนลงโทษเหรอคะ] ซ่อนกิ๊ก? ...อ่าคงเป็นมุกตลกของยัยแพรละมั่ง...[หื้ม เธอบอกว่าจะซ่อนกิ๊กต่อหน้าพี่แบบนี้ไม่อยากคุยกับเพื่อนดี ๆ แล้วแหละ ป่ะ กลับห้อง] [ตอนนี้เราก็อยู่ห้องนะคะ แต่หยุดค่ะ ขอแพรคุยธุระก่อน – ครับ คนสวย มีอะไรเรียกนะ พี่อยู่ห้องข้าง ๆ] [ ค่าา โทษนะจ๊ะปริม พี่ธนินน่ะ เราไปอาบน้ำแล้วฝากเขารับโทรศัพท์น่ะ เผื่อเธอหรือคู่ค้าโทรมาก็ให้เขารับได้เลย เอ...ก่อนหน้านี้เราคุยกันถึงไหนนะ...] “เรื่องนภัทรจ้ะ” [อ่าใช่ คือปริมเรื่องมันเป็นแบ
บทนำกระเป๋าเดินทางสองใบถูกหยิบยกออกมาวางไว้บนเตียงนอน พร้อมร่างเพรียวระหงที่เดินเข้าออกตู้เสื้อผ้าขนาดเท่าห้องน้ำห้างไปมา หญิงสาวบรรจงเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่จำเป็นสำหรับร่วมงานพบปะธุรกิจต่าง ๆ อย่างรีบเร่งด้วยอีกไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดีเธอต้องไปขึ้นเครื่องบินตามไฟลต์ที่จองไว้ทุกการเคลื่อนไหวถูกสายตาจับจ้องอย่างเพลิดเพลินแต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดเธอให้จับเรียงเสื้อผ้าได้ “พี่ว่าพี่เรียกคนมาช่วยเก็บดีกว่า”“ไม่ต้อง-”“ไม่เอาน่า เดี๋ยวน้องต้องไปคุยเรื่องฝากเจ้าภัทรกับเพื่อนอีกไม่ใช่เหรอ มาเถอะ มาพักก่อนเสื้อผ้าเดี๋ยวให้เลขาน้องมาช่วยเก็บ”แพรไหมมองเสื้อผ้าและข้าวของที่เธอต้องนำไปอย่างอาลัยอาวรณ์ด้วยเธออยากเป็นคนจัดการเก็บของพวกนี้เองมากกว่าให้เลขาหรือเมดคู่กายมาเก็บให้เนตรกลมหันไปส่งสายตาออดอ้อนสามีผู้เป็นทีรักอีกครั้งก่อนจะตัดใจเมื่อได้รับแววตาดุ ๆ กลับมา ก็ต้องจำใจวางของทุกอย่างลงแล้วเดินไปควงแขนแล้วพากันเดินลงไปที่ห้องนั่งเล่นที่ชั้นล่างของบ้านสองร่างอิงแอบแนบชิดมองดูข่าวภาคค่ำด้วยความรื่นรมย์แตกต่างจากคนใช้ในบ้านที่วิ่งวุ่นเพราะต้องเก็บของให้เจ้านายไปทำงานต่างประเทศนานเกือบครึ่งป
ตอนที่ 12แท็บเล็ตเครื่องหรูถูกหยิบออกมาจากห้อง ก่อนที่มือเรียวจะกดเข้าโพรแกรมแชตสีเขียวอ่อนเพื่อกดโทรออกผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเสียงรอสายประจำโพรแกรมดังขึ้นอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่ปลาสายจะกดรับ“ยัยแพร ว่ามาเลยฉันพร้อมแล้ว” [ครับ?] น้ำเสียงนุ่มที่คล้ายกับชายหนุ่มร่วมห้องของเธอดังขึ้นมาจากปลายสาย ทำเอาคนที่หั่นสเต๊กทานอยู่เกือบจะพ่นออกมา ถ้าไม่ติดว่ามันราคาแพงเท่าราคาหนังสือเธอ 1 เล่ม“แคก ๆ คุณ...คุณธนิน...” [สวัสดีครับ คุณปริม ผมได้ยินเรื่องคุณจากแพรไหมมาเยอะเลย – เดี๋ยวสิคะพี่ พี่มารับโทรศัพท์แพรแบบนี้ถ้าแพรซ่อนกิ๊กไว้ แพรไม่โดนลงโทษเหรอคะ] ซ่อนกิ๊ก? ...อ่าคงเป็นมุกตลกของยัยแพรละมั่ง...[หื้ม เธอบอกว่าจะซ่อนกิ๊กต่อหน้าพี่แบบนี้ไม่อยากคุยกับเพื่อนดี ๆ แล้วแหละ ป่ะ กลับห้อง] [ตอนนี้เราก็อยู่ห้องนะคะ แต่หยุดค่ะ ขอแพรคุยธุระก่อน – ครับ คนสวย มีอะไรเรียกนะ พี่อยู่ห้องข้าง ๆ] [ ค่าา โทษนะจ๊ะปริม พี่ธนินน่ะ เราไปอาบน้ำแล้วฝากเขารับโทรศัพท์น่ะ เผื่อเธอหรือคู่ค้าโทรมาก็ให้เขารับได้เลย เอ...ก่อนหน้านี้เราคุยกันถึงไหนนะ...] “เรื่องนภัทรจ้ะ” [อ่าใช่ คือปริมเรื่องมันเป็นแบ
ตอนที่ 11เปลือกตาสีมุกลืมขึ้นในความมืด ลูกแก๊สใสสีน้ำตาลเข้มสดสวยไหวระริกสอดรับกับอัตราการเต้นของหัวใจที่ดังจนในหูของเธออื้ออึงไปด้วยเสียงตุบ ๆร่างเพรียวยันตัวลุกขึ้นนั่งเหม่อมองหน้าต่างในห้องนอนของตนเอง นิ้วเรียวยกขึ้นลูบริมฝีปากที่โดนฉกชิมไปเมื่อครู่อย่างเหม่อลอยความจริงคือตื่นตั้งแต่นภัทรอุ้มเธอขึ้นจากโซฟา แต่ที่ไม่ลืมตามาเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะตกใจจนปล่อยเธอลง เหมือนที่เคยเผลอปล่อยมีดหั่นสเต๊กในร้านโปรดของเธอวันก่อนก็เท่านั้นแต่เธอไม่คิดว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากการพาเธอมาส่งเข้านอน จะเป็นจูบที่หวานล้นเฉกเช่นเมื่อครู่“เฮ้อออ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบา ๆ จากความมืด ด้วยตั้งแต่นภัทรออกไปจนถึงตอนนี้ เธอพยายามใช้ความคิดเค้นตรรกะ และเหตุผลทุกอย่างออกมาจากการแก้ต่างการกระทำเมื่อครู่ของนภัทร แต่ก็ไม่มีอะไรให้เหตุผลได้ดีไปกว่าข้อที่ว่า...นภัทรแอบชอบเธอปริมไม่รู้ว่าชายหนุ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดและตอนไหน แต่จากอากัปกิริยาก็คงนานพอดู...ที่น่าแปลกคือ เธอเพิ่งเจอเขาได้ไม่ถึงสามวันแต่เจ้าตัวกลับมาชอบพอเธอได้มันไม่มีเหตุผลอื่นนอกเสียจากว่าเธอและเขาเคยเจอกันมาก่อน อาจจะเคยมีโมเมน
ตอนที่ 10ร่างเพรียวของนักเขียนสาวเดินไปเดินมาอยู่ในห้องครัว จากเตาร้อนไปเขียง จากเขียงไปเตาร้อน สลับไปมา ก่อนจะออกมาเป็นเมนูง่าย ๆ อย่างแกงจืดไข่น้ำ ใส่สาหร่าย หมูเปรี้ยวหวานสูตรของเธอ และ ผัดผัก เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยปริมก็จัดวางทุกอย่างลงบนโต๊ะข้าวสวยร้อน ๆ ตักใส่จานเปล่าสองใบ ก่อนจะถูกยกไปไว้บนโต๊ะทานข้าว ร่างเพรียวของคนรังสรรค์อาหารค่ำในวันนี้เดินถอยหลังมาดูความเรียบร้อยก่อนจะรีบหันกลับไปทำลายความวุ่นวายที่เธอละเลงไว้เมื่อครู่จนสะอาดกริบ กันไม่ให้คนรักความสะอาดอีกคนในบ้านออกมาเจอโดยไม่รู้เลยว่านภัทรแอบยืนดูจากห้องนอนตั้งแต่ต้น ชายหนุ่มที่ออกมาหวังจะทำอาหารเย็นรอคุณน้าคนสวยก็ต้องมาเจอกับภาพความวุ่นวายที่ร่างเพรียวละเลงไว้ตอนแรกเขาจะเข้าไปช่วยแต่ถือเป็นการลงโทษกลาย ๆ จากการที่ลืมไปรับเขาวันนี้ ชายหนุ่มเลยเลือกที่จะยืนดูเฉย ๆเขาไม่โกรธแล้วน่ะใช่ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังอยากเอาคืนคนขี้ลืมอยู่บ้าง เหมือนที่เคยแกล้งแม่บุญธรรมตนเองผ่านบิดา ทำเอาหญิงสาวที่บ้างานเหมือนคุณน้าคนสวยคนนี้ไม่ได้ไปทำงานอยู่หลายวัน...ในใจเขาก็อยากทำแบบนั้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้ เพราะสถานะของเขากับปริมไม่เหมือนขอ
ตอนที่ 9นภัทรกำลังกลัว....ปกติเขาเป็นคนไม่ค่อยกลัวอะไรมากเท่าไร แต่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก ก็เกิดเป็นบาดและความกลัวหยั่งรากลึกในจิตใจบรรยากาศในยามค่ำคืนของลานหน้าคณะบริหารธุรกิจดูวังเวงลงไปถนัดตาเมื่อไร้ทั้งแสงทินกรและเหล่านักศึกษาที่มักจะรวมกลุ่มรวมตัวกันนั่งทำกิจกรรมในยามค่ำในยามปกติทั่วทั้งลานหน้าคณะนี่จะเต็มไปด้วยนักศึกษาที่จับกลุ่มรวมตัวนั่งทำงานด้วยกันจนค่ำมืดพร้อมแสงไฟสลัว ๆ ของไฟริงทางที่ทางมหาวิทยาลัยจัดตั้งไว้แต่เหมือนโชคของนภัทรในวันนี้จะไม่ดีนักเพราะนอกจากจะไร้ซึ่งเหล่าเพื่อนร่วมคณะแล้วไฟทางริมถนนก็เกิดช็อตติดดับ ๆ ตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นคือตัวเขาที่สะเพร่าลืมขอคอนแทกต์ปีย์วราน้าสาวคนสวยของตนเอาไว้ ครั้นจะติดต่อมารดาก็กลัวว่าฝ่ายนั้นจะโทรไปโวยวายคุณคนสวยจนเขาต้องกลับบ้านไปอยู่กับสาวใช้และพ่อบ้านที่ชอบทำหน้าตายก้มตัวให้เขาตลอดเวลาคนพวกนั้นไม่มีทางใส่ใจเขาเหมือนปีย์วราและแพรไหมและไม่มีทางรักเขาผู้ที่ทำให้นายหญิงคนแรกของบ้านต้องตายคนนี้ได้ลงเหมือนธนิน...การตายของมารดาผู้ให้กำเนิดเป็นเรื่องสะเทือนใจของใครหลายคนไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาที่
ตอนที่ 8หลังทานอาหารด้วยกันเสร็จเรียบร้อยปริมก็รวบจานชามเตรียมจะไปล้างทำความสะอาดตอบแทนคนที่ลงมือทำอาหารวันนี้ให้เธอแต่กลับถูกนภัทรเอ่ยห้ามไว้ก่อน“เดี๋ยวผมล้างเองครับ” “ไม่เป็นไร เธอเป็นคนทำอาหารแล้วนี่ ให้น้าทำเถอะ” เจ้าของมือหนาไม่ฟังคำค้านพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงเอาจานชามที่ทานเสร็จแล้วออกจากมือบางแต่ปริมไม่ยอมปล่อยทั้งยังขืนแรงของชายหนุ่มไว้จนเส้นเลือดขึ้นที่หลังมือขาว“น้าครับ” “ขอร้องให้น้าทำเถอะ น้าต้องเป็นคนดูแลเราสิ ไม่ใช่เราดูแลน้า อีกอย่างแม่เราจ้างน้ามาดูแลเรานะ ควรเป็นน้าไหมที่ต้องเลี้ยงเราไม่ใช่เรามาเลี้ยงน้าแบบนี้” ปริมเอ่ยบอกร่างสูงไปตามเพราะตอนนี้เธอรู้แล้วว่าต่อให้เธอบอกว่าโดนจ้างนภัทรก็ไม่มีทางไปแน่นอน ด้วยท่าทีที่ดูติดเธอตั้งแต่วันแรกที่เจอ ต่อให้เธอบอกไปว่าถูกจ้างวานชายหนุ่มก็คงไม่งอแง“แต่ยังไงผมก็อยากทำให้ครับ นะครับ ให้ผมทำเถอะ” ไหนแพรไหมว่าไม่ดื้อไง...ที่เธอเจออยู่ตอนนี้ นี่ ดื้อตาใสชัด ๆ“ต่อให้น้าโดนจ้างมาดูแลผม ผมก็อยากทำให้น้าอยู่ดี” “แล้วจะให้น้าบอกแม่เธอว่าอะไร” “แม่เขาไม่ได้หวังให้น้าดูแลผมเหมือนเด็กหรอกครับ แม่แค่อยากให้มีคนอยู่เป็นเพ
ตอนที่ 7หลังจากปลอบให้ใจตนเองสงบได้แล้วปริมก็หอบเอาผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้านวมสีน้ำเงินเข้มที่นภัทรเลือกซื้อมาใหม่ไปอบฆ่าเชื้อที่เครื่องอบผ้าเพราะหากซักตอนนี้กว่าจะได้ปูก็คงเป็นช่วงค่ำและอาจทำให้ชายหนุ่มไม่มีที่นอนได้หากฝนตก เธอจึงตัดสินใจซักแห้งและฆ่าเชื้อเครื่องนอนของร่างสูงเท่านั้นมือเรียวดึงเครื่องนอนครบชุดออกมาจากเครื่องอบแล้วยัดเอาผ้านวมผืนนิ่มเข้าไปอบต่ออย่าไม่รีรอ ก่อนหอบเอาเครื่องนอนที่อบเสร็จแล้วขึ้นมาแนบอกแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนของชายหนุ่มปริมจัดแจงโยนเครื่องนอนในอ้อมแขนลงที่โซฟาเบดในห้องแล้วเลือกหยิบเอาผ้าปูที่นอนขึ้นสะบัด เพื่อที่จะให้มันปูได้ง่ายขึ้นแต่ในขณะที่กำลังจะจับมุมผ้าอยู่นั้น กลิ่นโคโลญจน์อันแสนคุ้นเคยก็ลอยฟุ้งกระทบกับโสตประสาทพร้อมกับฝ่ามือหนาที่พาดผ่านมากุมทับมือเธอจากทางด้านหลังความใกล้ชิดที่มากเกินไปจนไม่เหมาะสมกับสถานะของเธอ รวมทั้งศีลธรรมในใจเรียกร้องให้ปริมผินหน้าไปหวังจะต่อว่าคนที่ทำรุ่มร่ามกับเธอให้เข็ดหลาบทว่าปลายจมูกที่สัมผัสกับแก้มเนียนของนภัทรพาให้เจ้าของร่างเพรียวตกใจจนเสียหลักล้มลงกับเตียง แต่ปฏิกิริยาของคนจะล้มที่มักจะดึงเอาคนใกล้ตัวลงมา
ตอนที่ 6เสียงประกาศตามสายไม่สามารถหยุดปริมและนภัทรที่กำลังถกเถียงเรื่องขนมและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้พวกเขาเถียงกันมานานตั้งแต่เริ่มเข้ามาซื้อของเพราะทันทีที่เข้ามาในร้านปริมก็เดินตรงไปหยิบคว้าขนม น้ำอัด และ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทันทีด้วยความเคยชิน เพราะทานแต่ของพวกนี้แต่นภัทรมาห้ามไว้ทั้งยังบอกว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพและหยิบคืนชั้นวางของโดยไม่สนใจคำห้ามของปริม“ภัทร...” “มันไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ” “งั้นแค่ขนมข้าวอบ กาแฟ กับลูกอม ได้ไหม” “กาแฟทานเยอะก็ทำลายสุขภาพนะครับ” “แต่มันเป็นกาแฟดำ...” ร่างสูงโปร่งที่เป็นคนคุมรถเข็นแทนคนที่ศักดิ์เป็นน้า หมุนกายกลับมามองแพ็กกาแฟในมือของหญิงสาวก่อนจะเลือกหยิบเอายี่ห้อเดียวกันแต่เป็นแบบที่มีเพียงเมล็ดกาแฟมาใส่รถเข็นแทน“แบบนี้มันถูกกว่า น้าทานได้ไหม” “อืม ได้ๆ งั้นไปเลือกของสดกัน” ร่างเพรียวพยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะเอาลูกอมและขนมข้าวอบที่เธอชอบใส่รถเข็นอย่างรวดเร็วไม่เปิดโอกาสให้นภัทรเอ่ยห้ามใด ๆ อีกชายหนุ่มที่เป็นคนเข็นรถเข็นส่ายหัวเบา ๆ แต่ก็ยอมแพ้ให้กับคนติดขนมอย่างปริม พลางคิดหาวิธีที่จะทำให้คุณน้าคนสวยของตนติดอย่างอื่นแทนขนมแน่นอนว่าติดเขาคือหนึ่
ตอนที่ 5 เสียงเปียโนและเสียงพูดคุยเบา ๆ ของแขกที่ดังขึ้นมาบนชั้นสองของร้านอาหารที่มีเมนคอร์สเป็นเนื้อสเต๊กชั้นดียังคงความเพลิดเพลินให้นักเขียนมีชื่ออย่างปีย์วราได้ไม่จบสิ้น เธอชอบบรรยากาศยามเที่ยงของร้านโปรดที่มักมีผู้คนแวะเวียนกันเข้ามาแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของกันและแบบนี้ หากเป็นยามปกติเธอคงหยิบสมุดขึ้นมาจดบรรยากาศพวกนี้เก็บไปใช้ในงานของเธออย่างที่ชอบทำ แต่เพราะเวลานี้เธอมีคนอื่นอยู่ด้วย การจะจมลงในงานที่ต้องใช้ทั้งเวลา แรงกาย และมันสมองเพื่อนรังสรรค์มันขึ้นมาเห็นทีจะไม่เหมาะ อีกอย่างคือเธอเกรงใจนภัทรที่กำลังทานอาหารไปเหลือบมองเธอไป สลับกับมองโทรศัพท์ไปพลางมาตั้งแต่อาหารจานหลักถูกยกขึ้นเสิร์ฟ ใช่ เธอรู้ตัวว่าถูกชายหนุ่มจดจ้องแต่ในเมื่อแววตาราวกับสุนัขมองเจ้าของของนภัทรไม่ได้ทำให้เธออึดอัดเช่นนั้นเธอจะปล่อยมันผ่านไปและปล่อยให้ชายหนุ่มในความดูแลเมียงมองเธอให้เปรมปรี่ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตงดงามมองพนักงานและแขกในร้านทานอาหารไปพูดกันไปอย่างเพลิดเพลินและเมื่อใบหน้าของบริกรประจำโต๊ะโผล่เข้ามาในครรลองสายตาคำถามที่เธอยังไม่ได้รับคำตอบก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง คำถามเกี่ยวกับประโยคที่ว่า
ตอนที่ 4Rrrr Rrrrแรงสั่นแจ้งเตือนหมดเวลาสามชั่วโมงของนาฬิกาปลุกที่เธอตั้งไว้เรียกสติปริมให้หลุดจากภวังค์ยามเขียนนิยามและกลับมายังโลกความจริงเป็นเรื่องปกติของเธอที่ต้องทำแบบนี้เพราะเคยเขียนจนภวังค์หลุดไปในงานจนลืมทานข้าวและพักผ่อน เธอเคยมาราธอนเขียนนานกว่า 6 ชั่วโมงโดยไม่พักทานน้ำและทานข้าววนเวียนจนจบปิดเล่ม สุดท้ายก็ไปจบที่ต้องนอนโรงพยาบาลทั้งเดือนและทั้งเดือนนั้นเธอเลยได้นอนโรงพยาบาล งานไม่ได้ทำ ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอดเวลาเพราะร่างกายอ่อนแอมากจนเกือบไม่รอดเพื่อนของเธอที่เป็นหมอเลยแนะนำว่าให้เธอตั้งเวลาปลุกเอาไว้ที่ 2-3 ชั่วโมงเพื่อเตือนให้ตัวเองพักและออกจากภวังค์บ้าง เพื่อให้สมองของเธอได้พักผ่อนและปล่อยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายลง หากกลัวพักเพลินให้ตั้งนาฬิกาเอาไว้ที่ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง แล้วแต่ตัวเธอแต่ไม่ควรพักต่ำกว่า 20 นาทีเป็นเหตุให้เธอต้องตั้งนาฬิกาเอาไว้ตลอดเวลาและพักตามนั้นเป๊ะ ๆ เพื่อกันไม่ให้ตัวเองต้องนอนโรงพยาบาลนาน ๆ อีก“เฮ้อออ อย่างน้อยก็ได้ 2 ตอนตามเป้าก็ยังดี สปีดยังไม่ตกล่ะนะ” ร่างเพรียวลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาเบดจนเกิดเสียงดับต