ฉันก้าวลงมาจากรถพร้อมเดินมุ่งไปยังคฤหาสน์ตรงหน้า มือสั่นสะท้านและเหงื่อชุ่มร่างกายฉันเองยังทำใจเชื่อไม่ได้เลยว่าความสัมพันธ์เดินมาถึงจุดจบ ทำใจไม่ได้ว่าท้ายที่สุดฉันก็หย่าร้างกับเขา กระเป๋าข้างกายมีหลักฐานยืนยันการหย่าครั้งนี้ ฉันเดินทางมาที่นี่เพื่อนำเอกสารฉบับนี้มามอบให้เขาและรับโนอากลับขณะเดินเข้าไป ฉันเดินตามเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ไปและยั้งฝีเท้าไว้เมื่อเข้าใกล้ห้องครัวตอนนี้เองฉันได้ยินเสียงนั้นถนัดหูและเนื้อความนั้นได้กระชากฉันลงไปสู่ห้วงเหวอันเย็นเยียบ“ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ พ่ออยู่กับผมกับแม่ไม่ได้หรือครับ?” เจ้าหนูโนอาเอ่ยถามผู้เป็นพ่อฉันยกสั่นเทากุมหน้าอก หัวใจทลายลงเพราะเสียงแสนเศร้าของเด็กน้อย ไม่ว่าเป็นสิ่งใดฉันพร้อมจะทำให้เขาเสมอ แต่การหย่าร้างนี้กลับหลีกเลี่ยงไม่ได้การแต่งงานครั้งนี้เป็นสิ่งผิดพลาด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเป็นสิ่งที่ผิดพลาดทั้งหมด เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ฉันได้ตาสว่างพร้อมเห็นความจริง“โนอา ลูกน่าจะรู้อยู่แล้ว แม่กับพ่อไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว” เสียงนุ่มของชายคนนั้นเอ่ยออกมาช่างน่าแปลกเสียจริง ตลอดช่วงเวลาที่เราครองคู่กัน เขาไม่เคยแม้แต่พูดจา
“ฉันต้องไปแล้ว รบกวนคุณช่วยอยู่กับโนอาก่อนได้ไหม? เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนานแค่ไหน” ฉันเอ่ยประโยคเหล่านี้ออกไป มือพลางคว้ากระเป๋าข้างกายอย่างใจลอย“ได้ ผมขอไปรับแม่มาดูแลโนอาแทนก่อน แล้วจะรีบตามไป” โรแวนตอบรับ เพียงแต่รู้สึกราวกับเป็นเสียงกระซิบซึ่งดังแว่วเข้ามาในหูที่อึ้ออึงของฉันเท่านั้นฉันจำอะไรที่เหลือนอกเหนือจากการบอกลาลูกชายตัวน้อยไม่ได้ ฉันรีบดันตนเองขึ้นรถยนต์และขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลพร้อมความคิดที่ล่องลอยกระหวัดถึงความทรงจำตอนที่เติบโตขึ้นมา ใคร ๆ ก็ต่างพากันพูดว่าฉันเป็นพวกขาดความอบอุ่น ตอนเป็นเด็กทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่ได้ใส่ใจฉันมากเท่าที่ควร ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อคงเป็นพี่สาว เอมม่า พ่อเคยเรียกเธอว่าสาวน้อยของพ่อด้วยซ้ำ ส่วนแม่ก็ประคบประหงมพี่ชาย ทราวิส พ่อรูปหล่อของแม่เสียยังกับอะไรดี ส่วนฉันก็เป็นแค่ เอวา ที่ไม่มีใครรักฉันรู้สึกเหมือนไม่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ ไม่มีใครต้อนรับ ไม่ว่าจะกับพ่อแม่รวมถึงพี่น้องท้องเดียวกัน ไม่ว่าจะพิสูจน์ตนเองเท่าใด มีผลการเรียนระดับแนวหน้า กีฬาเด่น หรือกิจกรรมดีเพียงใด สถานที่เดียวซึ่งเหมาะกับฉันคืออยู่ข
ฉันเอนกายอยู่บนเก้าอี้โรงพยาบาลแสนเย็นเฉียบพลางกำหนดลมหายใจเข้าออก น้ำตาของแม่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย คำปลอบประโลมไหน ๆ คงส่งไปไม่ถึงจิตใจเธอ ฉันเจ็บปวดแทนแม่ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดีว่าการสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อยเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่น่าตระหนก ฉันเผื่อใจเอาไว้ว่าพ่อจะหายดีแต่กลับกลายเป็นหายไปจากโลกแทนเสียนี่ ฉันเลยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีความคิดเห็นของเราไม่เคยลงรอยกันและพ่อก็คงจะเกลียดฉันแต่ฉันก็รักเขา เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด ฉันจะไม่รักเขาได้อย่างไรกัน?“ไหวไหม?” โรแวนเอ่ยถามพลางนั่งลงข้างฉันชายหนุ่มเดินทางมาถึงได้ประมาณชั่วโมงกว่า และคำถามเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับฉันนับตั้งแต่มาถึง ฉันรับมือกับความกังวลของเขาไม่ถูก อย่างไรเสียเขาคนนี้ไม่เคยเก็บเอาความรู้สึกของฉันไปใส่ใจมาก่อน“ไหวค่ะ” ฉันฝืนตอบกลับตั้งแต่ที่รู้ข่าวฉันก็ยังไม่ได้หลั่งน้ำตาแม้เลยสักหยด อาจเพราะยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหรือน้ำตาของฉันที่มีให้พ่อนั้นเหือดแห้งไปหมดแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันควรทำมากที่สุดคือประคองสติตนเองให้ไหวแทนทุกคนที่สติแตกไปแล้วเท้าคู่
คุณทั้งหลายเคยรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นหรือเปล่า? ฉันกำลังรู้สึกเช่นนั้นอยู่เมื่อมองพวกเขา ราวกับมีใครเดินเข้ามากระชากดวงใจออกจากอกก็มิปานหากฉันเป็นคนกระชากก้อนเนื้อไร้ค่านี้และปาทิ้งไปให้พ้นตาเองได้สาบานว่าจะทำเสียตอนนี้ เพราะมันช่างเจ็บจนไร้คำบรรยายใด ๆ มาเปรียบได้ฉันต้องการหนีไปให้พ้นแต่กลับทำไม่ได้ สายตาของฉันจับจ้องทั้งสอง ไม่ว่าสมองจะสั่งให้หลีกหนีจากภาพตรงหน้าเท่าใด แต่ฉันก็ไม่อาจละสายตาไปจากฉากรักหวานชื่นเสียดแทงนัยน์ตานี้ได้ฉันเฝ้ามองทั้งสองผละอ้อมกอดจากกัน โรแวนแววตาอ่อนโยนเมื่อมองหญิงในดวงใจ ฉันมองฝ่ามือที่กำลังบรรจงประคองแก้มของเอมม่า ชายหนุ่มดึงร่างของหญิงผู้เป็นที่รักเข้าใกล้เล็กน้อย เขาไม่ได้จูบเธอเพียงแต่เอาหน้าผากแนบชิดกันเขาดูสงบสุขราวกับเดินทางมาเจอที่พักผ่อนของตนเสียที ในที่สุดเขาก็รู้สึกเติมเต็ม‘ผมคิดถึงคุณ’ ฉันอ่านการขยับปากเรียวบางนั้นออกฉันไม่อยากคิดว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นตอนนี้หากทั้งสองไม่ได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ หากทั้งสองพบกันตอนที่ฉันและเขาแต่งงานกันอยู่ โรแวนจะนอกใจไปหาเอมม่าเลยหรือเปล่า?ส่วนศีลธรรมของฉันรีบโต้แย้งว่าไม่เป็นเช่นนั้นแน่แต่กลับไม
ไร้วี่แววของเหตุร้ายใด ๆ ในวันนี้ แสงแดดทอประกายตลอดเส้นทางที่คุ้นตา ดูเหมือนทุกสิ่งจะดำเนินไปได้ด้วยดีเมื่อเดินทางไปถึง โบถส์ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทุกคนต่างพากันมาเคารพพ่อเป็นครั้งสุดท้ายฉันเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยของสถานที่จัดงานด้วยความพอใจเมื่อเห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควร คนอื่นแทบไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยในช่วงการจัดเตรียมงานศพ เรียกได้ว่าฉันเป็นแม่งานผู้รับผิดชอบทุกสิ่งในงานนี้ฉันไม่ได้บ่นอะไรทั้งนั้น คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณผู้เป็นพ่อที่ให้กำเนิดฉันมา ยังไงเสียเขาก็ป้อนข้าวป้อนน้ำ ซื้อเสื้อผ้าและให้ที่ซุกหัวนอนแก่ฉันช่วงพิธีการกำลังจะเริ่มและผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เข้านั่งประจำที่นั่ง ฉันตัดสินใจหลบไปนั่งอยู่อีกมุมเพราะรู้สึกผิดที่ผิดทางหากต้องไปนั่งรวมกับครอบครัวนั้น โดยเฉพาะหากต้องไปนั่งข้างเอมม่า“แม่ครับ เรามานั่งตรงนี้กันทำไมครับ… เราไม่ควรไปนั่งข้าง ๆ คุณยายหรือ?” โนอาตัวน้อยเอ่ยถามพร้อมกับชี้นิ้วไปในทิศทางที่คนอื่นนั่งอยู่แน่นอนว่าเราย่อมได้รับสายตาแปลก ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะยังไงการที่ฉันเป็นแกะดำที่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากครอบค
โรแวนความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านห้วงความคิดของคุณไป ยามที่คุณเห็นร่างของภรรยาเก่า ผู้เป็นแม่ของลูกโดนยิงและมีเลือดนองเต็มพื้นสุสานอันเยือกเย็น เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมีให้เอวาเมื่อผมเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หันกระบอกปืนเข้าใส่เรา ผมไม่ทันได้คิดอะไร ผมรู้ว่าโนอาปลอดภัยอย่างแน่นอนเพราะอยู่กับคุณปู่คุณย่า ดังนั้นสามัญสำนึกสั่งการให้ร่างกายกระโจนเข้าไปปกป้องเอมม่าทันที ผมเต็มใจตายเพื่อเธอและผมก็พร้อมจะทำเช่นนั้นผมรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นพวกมือปืนหนีไปเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ กระนั้นความโล่งใจก่อนหน้ากลับมลายสิ้นทันทีที่ได้ยินเจ้าหน้าที่เรียกหารถพยาบาล ความฉงนกระตุ้นให้ผมหันไปเพื่อหาคำตอบว่าใครกันที่เคราะห์ร้าย เข่าผมแทบทรุดลงกับพื้นเพราะคาดไม่ถึงว่าผู้เคราะห์ร้ายต้องเจ็บเจียนตายคือเอวาจากนั้นสถานการณ์ที่สับสนอลหม่านจึงเริ่มขึ้น รถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุและเจ้าหน้าที่ตำรวจสวมเสื้อกันกระสุนคนนั้นกันท่าไม่ยอมห่างจากเอวาจนกว่าจะแน่ใจว่าเธอจะปลอดภัยเมื่อถึงมือแพทย์ผมรู้สึกขุ่นเคืองที่เขาไม่ยอมห่างเอวาเพราะเธอเป็นภรรยาของผม แม้ว่าจะเป็นอดีตก็ตาม แต่ที่มากกว่านั้นก็คือผม
เอวาฉันลืมตาตื่นพร้อมความปวดร้าวบริเวณหลังและแขนแล่นผ่านไปทั่วร่าง โนอานอนหลับอยู่กับฉันเพราะเมื่อคืนหลังจากดูโทรทัศน์ด้วยกัน เจ้าตัวน้อยงอแงไม่ยอมไปนอนคนเดียว รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าทันทีที่ความทรงจำเมื่อคืนผุดขึ้น เด็กน้อยยืนยันว่าจะทำหน้าที่ดูแลฉันอย่างแข็งขันตลอดทั้งคืนขณะนี้ราวแปดโมงเช้าได้ อาหารเช้าควรพร้อมรับประทานก่อนลูกชายจะตื่นนอน ฉันก้าวลงจากเตียงโดยที่ไม่ปลุกเขาเข้าแม้ว่าจะลำบากเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันยามเช้าเรียบร้อย ฉันจึงเดินลงไปด้านล่าง หยุดฝีเท้าก่อนจะก้าวเข้าห้องครัวพลางสงสัยกับตนเองว่าจะทำอาหารออกมาด้วยแขนเพียงข้างเดียวได้อย่างไรขณะที่เดินไปหยิบวัตถุดิบมาเตรียมทำแพนเค้ก ความทรงจำเมื่อวานพลันแล่นเข้ามาในห้วงความคิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็นภาพลวงจนฉันสงสัยว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากไม่มีผ้าพันแผลบริเวณไหล่กับแขนที่อยู่ในสายคล้องช่วยย้ำเตือนถึงความจริง ฉันคงคิดว่าเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลหลังจากหมดสติไป ฉันก็ตื่นกลัวไม่น้อย บรรดาแพทย์และพยาบาลต่างพากันรีบเข้ามาสงบสติฉันและยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พยาบาลบอกฉัน
โรแวนผมเห็นจังหวะที่อารมณ์ของเอวาเปลี่ยนเป็นเฉยชา วินาทีที่แสงแห่งความอบอุ่นก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บทำให้ผมรู้สึกสะท้านถึงขั้วหัวใจ“คุณมาทำอะไรที่นี่?” น้ำเสียงของเธอปราศจากซึ่งอารมณ์ใด ขณะที่ผมฝืนแทรกตัวเข้าไปด้านในบ้านราวกับว่าเอวากำลังสนทนากับชายแปลกหน้าอยู่ ราวกับว่าผมเป็นแค่ฝุ่นผงไร้ค่าสำหรับเธอไปเสียแล้ว ผมจ้องมองใบหน้านั้นโดยอ่านสิ่งใดไม่ออก ผมอยู่กับผู้หญิงคนนี้มาเกือบสิบปีแต่ตอนนี้กลับหาคำดี ๆ เพียงสักคำพูดกับเธอยังไม่ได้ผมมองแขนของเธอที่ยังคล้องอยู่บนสายห้อย จุดประสงค์วันนี้คือมาตรวจดูอาการของเธอและรับโนอา เพราะนี่เป็นช่วงสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาของผมกับลูกชายภาพของชายหนุ่มก่อนหน้าที่เห็นว่าเดินออกไปผุดขึ้นมา ผมก็คิ้วกระตุก ต้องเป็นชายคนนี้แน่ที่เอวามอบรอยยิ้มให้ เมื่อตระหนักได้ดังนี้ ผมอดไม่ได้ที่กัดฟันกรอด“ผู้ชายคนนั้นมาทำอะไรที่นี่?” ผมเอ่ยถามแทนที่จะตอบเธอพร้อมทั้งเก็บซ่อนอารมณ์เดือดดาลที่หาเหตุผลที่มาไม่ได้เอาไว้ผมรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและยังเป็นคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเอวาเอาไว้ แต่เขาก็ล้ำเส้นเกินไป ผมไม่ชอบผู้ชายคนนั้นและไม่ต้องการใ
"อาหารพร้อมหรือยังคะ?" ฉันถามแม่บ้านเมื่อก้าวเข้าไปในครัวเธอตอบด้วยรอยยิ้มใจดี "ยังไม่พร้อมดีค่ะ แต่จะพร้อมในอีกไม่กี่นาที"“ค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันขอไปจัดโต๊ะก่อนแล้วกัน”เธอจะคัดค้าน แต่ฉันก็หยุดการโต้เถียงนั้นอย่างรวดเร็ว ฉันอยากจะช่วย ในเมื่อเธอทำอาหาร นี่เป็นสิ่งเล็กน้อยที่ฉันทำได้“ให้ช่วยไหมลูก?”ฉันเงยหน้าขึ้นและพบว่าแม่ของเกเบรียลอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร ฉันวางจานที่ถือลงและยิ้มให้เธอ"แน่นอนค่ะ แต่ฉันใกล้เสร็จแล้ว"เธอเดินมาหาฉันและเริ่มช่วยจัดแก้วและช้อน"หนูฮาร์เปอร์ ลูกชายแม่ปฏิบัติกับหนูเป็นอย่างไรบ้างจ้ะ?" เธอถามขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยฉันไม่ได้ตอบทันที ฉันใช้เวลาไตร่ตรองคำถามของเธอ ไม่ใช่เพราะฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่เป็นเพราะน้ำเสียงของเธอ เธอไม่ได้ถามเพียงเพื่อสนทนา แต่เธอต้องการรู้จริง ๆ ว่าเกเบรียลปฏิบัติต่อฉันอย่างไรฉันคงใช้เวลาคิดนานเกินไป เพราะเธอหยุดสิ่งที่กำลังทำและพูดเสริม"อย่าเข้าใจผิดนะ แม่ไม่ได้ยุ่งเรื่องส่วนตัว แต่ด้วยวิธีที่ลูกชายแม่ปฏิบัติกับหนูเมื่อก่อนนี้ แม่แค่อยากแน่ใจว่าเขาปฏิบัติต่อหนูอย่างเหมาะสมหรือเปล่า"ความกังวลปรากฏชัดในน้ำเสีย
“แล้วทำไมฉันถึงต้องยอมให้ทั้งสองคนหลอกล่อด้วยนะ?” ฉันเอ่ยถามด้วยความรู้สึกหงุดหงิดขณะจ้องมองเกเบรียลและลิลลี่ “เราจะสายกันแล้วนะ”ทั้งสองไม่ได้ดูรู้สึกผิดกันเลย ลิลลี่เผยยิ้มออกมา ดวงตาเปล่งประกายด้วยความสุขขณะเกเบรียลก็เผยยิ้มเช่นกัน ทั้งคู่ดูมีความสุขกันมากฉันถอนหายใจอย่างยอมแพ้และนึกสงสัยว่าฉันจะทำอย่างไรกับสองคนนี้ ฉันมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าสองพ่อลูกร่วมมือกันหลอกล่อฉันและรุมฉันได้เสมอเลยฉันจ้องลิลลี่ด้วยสายตาหยอกล้อ “นี่ลูก ไหนบอกว่าอยู่ข้างแม่ไง?”“แม่ต้องเปิดใจยอมรับมันเป็นเรื่องสนุกก่อน ถูกไหมคะ? เธอเอ่ยถามแทนพร้อมวางมือไว้ที่มือฉันและเกเบรียลที่นั่งอยู่เธอดูมีความสุขมากเลย ความจริงเธอดูมีความสุขมากขึ้นตั้งแต่เรากลับมาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าเดิมเราก็มีความสุขกันอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่สุขขนาดนี้ลิลลี่เติบโตขึ้นมาพร้อมเลียม แต่ก็ไม่มีอะไรเหมือนกันกับตอนที่เธออยู่กับเกเบรียลเลย อาจเพราะเขาเป็นพ่อแท้ ๆ ก็เป็นได้ หรืออาจเพราะทั้งสองมีหลายอย่างเหมือนกันก็ได้เช่นกัน ฉันไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร สิ่งที่รู้จริง ๆ ก็คือทั้งสองสามารถปรับตัวเข้าหากันได้ง่ายดาย ไม่เหมือนกับตอนของเลียม
ฉันหมุนตัวไปรอบ ๆ แค่ซึมซับสิ่งต่าง ๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปหาเกเบรียลซึ่งมีสีหน้าคาดหวัง"หลังใหญ่มากเลยนะคะ เกเบรียล" ฉันบอกได้ว่ายังมีห้องอีก แต่ฉันจะสำรวจมันในภายหลัง "มีห้องนอนกี่ห้องเหรอ?"เขาเดินเข้ามาหาฉัน "ห้องนอนแปดห้องและห้องรับแขกสองห้องครับ"ฉันตกตะลึงจนพูดไม่ออกขณะที่จ้องมองเขา แน่นอนว่าตอนเด็ก ๆ เรามีบ้านหลังใหญ่ แต่เป็นบ้านห้าห้องนอนแค่นั้นก็เกินพอแล้ว"สิบห้องนอนมันมากเกินไปนะ เกเบรียล" ฉันหัวเราะอย่างประหม่า เราจะทำอะไรกับห้องที่เหลือล่ะ?เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันก่อนที่แขนจะโอบรอบเอวเอาไว้พร้อมดึงฉันเข้ามาหาเขา ฉันวางมือบนอกสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจภายใต้มือคู่นี้“ตอนผมบอกว่าอยากมีลูกกับคุณอีก ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ฮาร์เปอร์” ดวงตาเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของฉัน "ผมวางแผนเอาไว้หมดแล้ว""อ้าว! หนูจะมีพี่น้องแล้วเหรอ?" ลิลลี่ร้องออกมาขัดจังหวะบรรยากาศที่ใกล้ชิดเราทั้งคู่หันไปมองเธอ แม้ว่าเกเบรียลจะไม่ได้ปล่อยฉันก็ตาม ดวงตาของเธอเป็นประกายขณะที่เธอมองมาที่เราอย่างคาดหวัง"ยังไม่ถึงเวลา แต่หวังว่าในเร็ว ๆ นี้นะลูก" เกเบรียลตอบพร้อมรอยยิ้มและความมั่นใจที่ทำให้ฉันกลัวแทบตาย โดย
ฉันจ้องมองเขาด้วยความงุนงง ฉันพยายามพูดแต่ไม่มีอะไรออกมาจากปาก ขณะที่ดวงตายังคงเลื่อนจากเกเบรียลไปมองบ้านหลังนี้"บ้านหลังนี้สวยมากค่ะ" ลิลลี่ร้องออกมา ความตื่นเต้นปรากฏชัดขณะที่เธอกระโดดสลับเท้าไปมา ราวกับว่าเธออยากทิ้งเราไปสำรวจบ้านแทบตาย "เราจะอยู่ที่นี่กันเหรอคะ? นี่คือบ้านใหม่ของเราใช่ไหม?"ดวงตาของเกเบรียลละจากฉันและเลื่อนไปที่ลูกสาวของเราซึ่งกำลังยิ้มกว้าง "ถ้าแม่ชอบ ก็ตามนั้นแหละลูก นี่จะเป็นบ้านใหม่ของเรา"ดวงตาของฉันกลับไปมองที่บ้าน ฉันจ้องมองมันด้วยความทึ่งเล็กน้อยคฤหาสน์ตั้งตระหง่านอยู่บนฉากหลังของเนินเขาที่ทอดยาว ความยิ่งใหญ่ปรากฏชัดจากทุกมุม เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างองค์ประกอบคลาสสิกและทันสมัย ภายนอกเป็นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องประกายระยิบระยับในแสงแดด งานหินที่ซับซ้อนประดับประดามุมและซุ้มโค้ง เพิ่มสัมผัสแห่งความสง่างามเหนือกาลเวลาทางเข้าถูกครอบด้วยประตูไม้สูงตระหง่านคู่หนึ่ง แกะสลักด้วยลวดลายประดับและขนาบข้างด้วยเสาที่มีร่อง เหนือประตู หน้าต่างโค้งที่สง่างามพร้อมลูกกรงเหล็กดัดประดับช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในห้องโถงใหญ่สวนเขียวชอุ่มได้รับการดูแลอย่างดี
ฉันส่ายหัวไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป "แม่ก็ไม่รู้จ้ะ พ่อเขาบอกว่าเป็นเซอร์ไพรส์""หนูชอบเซอร์ไพรส์!" เธอร้อง“แค่ลูกคนเดียวแหละจ้ะ” ฉันพึมพำ "ไปกันเถอะ"ลิลลี่วางหนังสือลงอย่างระมัดระวังก่อนที่จะกระโดดลงจากเตียง เธอจับมือฉันแล้วดึงออกจากห้องของเธอ เราพบเกเบรียลรอเราอยู่ที่ประตู ยืนเอาขาไขว้กันรอขณะที่เอามือกอดอกเขาสวมเสื้อยืดคอวีสีดำที่รัดรูปจนเหมือนผิวหนังชั้นที่สอง ต้นขาหนาถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงยีนส์ของคาลวินไคลน์มีบางอย่างเกี่ยวกับท่าทางของเขาที่ทำให้เขาดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น"ถูกใจล่ะสิ?" เกเบรียลล้อเลียนพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ คำพูดของเขาดึงฉันออกจากห้วงความคิด“ค่ะ” ฉันพึมพำ ลิลลี่ทำเสียงจุ๊ปากเตือนฉันว่าเธออยู่ตรงนี้ด้วย "หนูรู้ว่าคุณพ่อหล่อค่ะ แต่พ่อกับแม่ไม่น่าดูเอาซะเลย""รอจนกว่าลูกโตขึ้นและได้พบกับผู้ชายที่ทำให้หัวใจเต้นแรงก่อนเถอะจ้ะ" ฉันล้อเธอพร้อมกับหยิกแก้มเบา ๆ "ทุกครั้งที่หนูจ้องมองผู้ชายคนนั้นจนเคลิ้ม แม่จะพูดอย่างเดียวกับวันนี้เลยแหละ"บรรยากาศรอบตัวเราเปลี่ยนไป“ลูกจะคบหากับใครไม่ได้จนกว่าจะอายุสิบแปดเท่านั้น” เกเบรียลคำราม ร่องรอยของความสนุกกับการหยอกล้อเมื่อ
ฮาร์เปอร์“ผมอยากให้คุณกับลิลลี่ไปที่หนึ่งด้วยกันหน่อยครับ” เกเบรียลประกาศออกมาฉันอยู่ในห้องนอนของเรา กำลังพับเสื้อผ้าที่ซักสะอาดอยู่ แน่นอนว่าเรามีแม่บ้านแต่ฉันไม่ชินกับการนั่งเฉย ๆ มันรู้สึกแปลกที่ฉันเคยชินกับการทำทุกอย่างด้วยตัวเองและตอนนี้มีคนอื่นมาทำสิ่งเหล่านั้นให้ฉัน ฉันชอบทำอะไรให้ยุ่ง ๆ ไว้ตลอด ฉันไม่สามารถใช้เวลาทั้งสุดสัปดาห์โดยไม่ทำอะไรเลยได้“พ่อแม่คุณมาทานข้าวเย็นที่บ้านนะคะ เกเบรียล ลืมไปแล้วเหรอ?” ฉันเอ่ยถามฉันหอบเสื้อผ้าที่พับแล้วบางส่วนเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวแบบวอล์กอิน ซึ่งฉันนำไปใส่ในลิ้นชักอย่างเป็นระเบียบ เกเบรียลก็เหมือนกับฉัน เราเป็นคนที่มีระเบียบมาก แต่เลียมไม่เป็นแบบนั้นและมันเคยทำให้ฉันหงุดหงิดจนแทบบ้าตอนที่ฉันกับเลียมแต่งงานกันก็ต้องหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกันโดยยอมรับข้อบกพร่องของกันและกันให้ได้ มันไม่ง่ายเสมอไป แต่เราก็พบวิธีที่จะประนีประนอมกันได้ฉันเดินออกมาจากห้องแต่งตัวและพบว่าเขานั่งอยู่บนเตียง เขากำลังพับเสื้อผ้าบางส่วนที่วางอยู่บนเตียง"เปล่า ผมไม่ได้ลืม" เขาเอ่ยตอบพร้อมวางผ้าที่พับแล้วทับบนกองอื่น ๆ "แต่พ่อแม่กว่ามาถึงก็เย็นแล้ว เรายังมีเวลาอี
ฮาร์เปอร์นี่ก็เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่ที่เกเบรียลสัญญากับฉันว่าจะยกเลิกทุกข้อตกลง และฉันก็ยอมให้โอกาสครั้งที่สองกับเขาฉันสาบานว่าไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีความสุขได้ขนาดนี้ชีวิตของฉันตอนที่อยู่กับเลียมก็ดีนะ แต่กับเกเบรียลมันดีกว่า อาจเป็นเพราะเกเบรียลคือผู้ชายที่ฉันรักก็ได้ ผู้ชายที่หัวใจใฝ่หามาเกือบสิบปีฉันคงโกหกถ้าบอกว่าฉันไม่กลัว ยังคงมีบางเศษเสี้ยวของฉันที่คาดหวังว่าเรื่องร้าย ๆ จะตามมา ยังไงซะมันคงไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันถูกพรากคนรักไปแล้วฉันยังมีความกลัวเพราะว่าทุกอย่างมันดูง่ายเกินไป อารมณ์ประมาณว่ามันควรยากลำบากกว่านี้ไหม? ยากกว่านี้อีกนิด ท้าทายกว่านี้หน่อย... หรือนั่นเป็นแค่ความคิดที่ฉันทึกทักเอาเองว่ามันต้องเลวร้ายตลอดกันแน่?บางทีฉันอาจเคยชินกับการที่สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่ฉันต้องการ ซึ่งทำให้ฉันตั้งคำถามเมื่อมันราบรื่น"กำลังทำอะไรอยู่ครับ?" เกเบรียลโผล่มาจากไหนไม่รู้ ทำให้ฉันตกใจแทบตายฉันเอามือทาบอก พยายามทำให้หัวใจที่เต้นแรงสงบลง "อย่าโผล่เข้ามาเงียบ ๆ แบบนี้ได้ไหมคะ""ผมเปล่านะ" เขาเอ่ยพร้อมดวงตาเป็นประกายขบขัน "ผมเรียกคุณนานเป็นนาทีแล้ว
เอวาหันไปมองรถยนต์ของตนเองอีกครั้งก่อนเดินเข้ามาด้านใน จากนั้นเธอก็หยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งขณะที่สายตากวาดมองไปทั่วน่าจะหลายปีแล้วที่เธอมาเหยียบบ้านหลังนี้ ครั้งสุดท้ายฉันคิดว่าอาจเป็นตอนที่เธอโดนยิงในงานศพของพ่อดวงตาของเธอแสดงความหวาดกลัวออกมา ฉันสามารถเห็นความมืดมนผ่านดวงตาคู่นั้นไปได้ มันบ่งบอกถึงความทรงจำแสนทรมานที่เธอแบกรับจากบ้านหลังนี้รวมถึงคนที่นี่ กันเนอร์จะต้องแบกรับความมืดมนแบบเดียวกันนี้เพราะฉันด้วยไหมนะ? เพราะสิ่งที่ฉันทำลงไปใช่ไหม?ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยฉันไม่ได้กลับมาที่บ้านเท่าไรนักหลังจากที่เธอกับโรแวนแต่งงาน แต่ฉันก็อยู่ด้วยตอนที่เรายังเป็นเด็ก ฉันไม่ได้รู้สึกภาคภูมิที่จะบอกว่าฉันเองก็เหมือนกับคนอื่น ฉันไม่ได้สนใจอะไรเธอเลย เราควรเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แต่ฉันปฏิบัติกับเธอราวกับว่าเธอไม่คู่ควร เหมือนอย่างที่ทุกคนก็ทำกับเธอเมื่อมองเธอในตอนนี้ ฉันเห็นสิ่งที่คุณหมอมีอาเคยพูดให้ฟัง อดีตยังคงหลอกหลอนเอวาอยู่ มันยังคงทำให้เธอหวาดกลัวจากการที่ถูกปฏิบัติแบบนั้นตอนเป็นเด็ก เธอไม่สมควรเจอเรื่องแบบนั้น“ฉันขอโทษนะ” ฉันกล่าวแผ่วเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายสายตาท
คำพูดของคุณหมอมีอายังคงดังก้องอยู่ในหัวขณะที่ฉันเดินมุ่งหน้าไปที่รถ ความจริงนั้นโหดร้าย การกลืนความขมขื่นลงไปไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ฉันต้องกลืนมันลงไปแทนที่ฉันจะขับออกจากลานจอดรถเหมือนที่ฉันทำเป็นประจำ ฉันนั่งอยู่ในรถอย่างนั้นและปล่อยให้น้ำตาไหลพราก ฉันไม่สามารถหยุดมันได้แม้ว่าฉันต้องการ เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่ว เสียงสะอื้นดังออกมาจากข้างในลึก ๆ เพราะสิ่งที่ทำมาโดยตลอดกำลังตอกย้ำฉันอยู่ฉันซบหน้าลงกับพวงมาลัยเพราะฉันไม่สามารถยกมันขึ้นได้อีกแล้ว ฉันโอบกอดความอัปยศเหมือนเป็นมิตรแท้ มันฝังลึกไม่ต่างกับรอยบากฉันปล่อยให้มันเป็นขนาดนี้ได้ยังไง? ทำไมฉันถึงทำร้ายเขาแบบนั้น? ทำไมฉันถึงปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวทำให้ความผูกพันที่ฉันอาจมีกับกันเนอร์พังทลาย?ทำไม ทำไม ทำไมกันนะ?ถ้าฉันรู้ว่าวันหนึ่งตนเองปรารถนาที่จะกอดกันเนอร์ไว้ในอ้อมแขน เพื่อให้ได้อยู่ในชีวิตของเขา เพื่อให้เขาเรียกฉันว่าแม่ ฉันคงจะยึดติดกับเขาเหมือนเขาเป็นลมหายใจในชีวิต... แต่นั่นมันก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว มันแย่มากริมฝีปากฉันสั่นเครือขณะสะอื้นไห้ ความรู้สึกผิดกัดกินร่างกาย ทำให้ฉันสะดุ้งราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ฉันอยากจะกรีดร้อง ฉันอยา