"ฉันรู้ว่าหนูกำลังสับสนอยู่ แต่เหตุผลที่ฉันเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เพราะฉันอยากให้หนูให้โอกาสเกเบรียลนะ ฉันรู้ว่าเขาทำผิดพลาด แต่เมื่อมองเขาในตอนนี้ ฉันบอกได้ว่าเขารักหนู ลูกชายของฉันสืบทอดความโง่เขลาจากพ่อมาตอนพูดถึงเรื่องผู้หญิงที่พวกเขารัก แม้ว่าส่วนหนึ่งของความโง่เขลาของโรแวนจะเป็นเพราะพวกเรา ในฐานะพ่อแม่ ทั้งฉัน แอนโทนี และพ่อแม่ของเอมม่า เราทำให้เขาเสียคนกันเอง"“คุณซาร่าคะ…” ฉันเริ่มพูด แต่เธอขัดจังหวะเสียก่อน“ดูเหมือนว่ามันจะสืบทอดในตระกูลมาเรื่อย ๆ เลยนะ ขอเดาเลยนะว่าที่เขาชอบพูดกันว่า ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ เนี่ยมันเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน เพราะลูกชายทั้งสองคนก็ต่างพากันทำให้ผู้หญิงที่รักต้องเจ็บปวดกันทั้งคู่ แบบเดียวกับพ่อของพวกเขาทำกับฉันเลย สิ่งที่อยากถามมากที่สุดเลยคือหนูจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้งได้ไหม เพราะไอ้ที่เขาชอบพูดกันเนี่ยก็สามารถมองเป็นเรื่องดีได้เหมือนกัน ตอนที่ผู้ชายตระกูลวู้ดมีความรัก พวกเขาจะทุ่มหมดหัวใจและรักแรงด้วย ถ้าหนูยอมให้โอกาสเกเบรียลสักครั้ง เขาจะรักหนูอย่างไม่มีผู้ชายคนไหนรักได้เท่าเลย”ฉันยิ้มอย่างเป็นสุขเพราะเธอพยายามให้ฉันยอมยกโทษให้ลูกชาย“คุณซาร
เอมม่าฉันเดินเข้าไปในห้องทำงานของคุณหมอมีอาเพื่อเข้ารับการบำบัดอีกครั้ง เหมือนกับทุกครั้งที่เข้ารับการบำบัด ฉันถอดรองเท้าก่อนที่จะนั่งลง"สวัสดีค่ะ เอมม่า" คุณหมอมีอาเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มนี้ชวนให้เข้าหาและอบอุ่น มันทำให้คุณสงบและผ่อนคลาย“สวัสดีค่ะ คุณหมอมีอา”"เอาล่ะ คุณรู้ว่าเราต้องทำอะไรก่อนใช่ไหม"เธอเอ่ยถามและฉันก็พยักหน้าตอบรับฉันหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะหลับตา ฉันเรียบเรียงความคิดของตัวเอง ฉันไม่ได้ยึดติดกับมันนานหรือจมอยู่กับมัน แต่ฉันปล่อยมันไปโดยไม่พยายามที่จะเจาะลึกลงไปฉันขจัดความคิดเกี่ยวกับคาลวิน กันเนอร์ พี่ชาย แม่ และเอวาออกไป ฉันปล่อยให้ความคิดไหลออกจนไม่มีอะไรเลย จนกระทั่งมันว่างเปล่าและเริ่มสงบเมื่อทำเสร็จแล้ว ฉันก็ลืมตาขึ้น"พร้อมจะเริ่มแล้วหรือยังคะ?" คุณหมอมีอามองหน้าและเอ่ยถามฉันพยักหน้า "ค่ะ"“ครั้งที่แล้วที่เราคุยกัน คุณบอกฉันว่าพร้อมที่จะทำให้ชีวิตกลับมาเข้าที่เข้าทางแล้ว มันเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้?"ฉันหายใจเข้าลึก ๆ และจดจ่อกับเธออย่างเต็มที่ และปล่อยให้คำถามของเธอสะท้อนอยู่ในหัวขณะที่ฉันพยายามที่จะนิยามสิ่งที่ฉันรู้สึกออกมา
เอมม่าฉันรู้สึกประหม่า รู้สึกประหม่ามาก ๆ หัวใจเต้นแรงและแทบหายใจไม่ออก ฉันกำพวงมาลัยแน่นขณะพยายามสงบสติอารมณ์ความตื่นตระหนกที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในตัวฉันถ้าพูดตามตรง ฉันจะยอมรับว่าฉันสงสัยมาตั้งแต่คุยกับเอวา คำพูดโอ้อวดจอมปลอมจากผู้หญิงที่ในขณะนั้นมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ หลังจากเอวาออกไป การโอ้อวดจอมปลอมนั้นก็จางหายไป ความมั่นใจที่ฉันมีลดลงและฉันก็เริ่มสงสัยในการตัดสินใจที่ฉันทำฉันกระอักกระอ่วนและนึกสงสัยว่าฉันกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ฉันสงสัยในการกระทำที่ฉันต้องการทำ ไม่มั่นใจว่าผลลัพธ์มันออกมาเป็นเช่นไร หรือว่าฉันจะทำให้เรื่องแย่ลงโดยการผลักดันตัวเองเข้าไปหาพวกเขาในที่สุด ฉันก็ตัดสินใจที่จะเลื่อนแผนการออกไป มันทำให้ฉันประหลาดใจจริง ๆ ฉันไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ฉันไม่เคยสงสัยตัวเองหรือการตัดสินใจของตัวเอง ถ้าฉันต้องการอะไร ฉันก็จะไล่ตามมันอย่างเต็มที่เมื่อวานหลังจากที่ฉันคุยกับคุณหมอมีอา มันทำให้ฉันตาสว่าง เธอถามฉันว่าฉันแน่ใจเกี่ยวกับการแก้ไขสิ่งต่างๆ หรือไม่ ฉันแน่ใจ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองคำถามหนึ่งขณะกลับบ้าน ถ้าการอยู่ในชีวิตของ
ฉันรู้สึกอิจฉา อิจฉาที่เอวามีสิ่งนี้กับโนอาได้ แถมเธอยังมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกันเนอร์ด้วย ทำไมฉันถึงไม่ลืมตาตื่นจากความฝันโง่เง่านั่นก่อนที่มันสายเกินไปนะ? ความปรารถนาเดียวที่มีตอนนี้คือแม้ว่ากันเนอร์กับฉันจะไม่ได้สนิทกันมากเท่ากับที่โนอาสนิทกับเอวาก็ตาม แต่ก็ขอให้เราอยู่ในจุดที่เขาไม่เกลียดความตั้งใจของฉันก็พอ“ไม่แน่นอน ฉันสัญญาเลยจ้ะ” ฉันเอ่ยอย่างแผ่วเบาแม้ว่าน้ำเสียงจะติดขัดก็ตามเขาจ้องมองฉันด้วยสายตาเดือนดาลก่อนหันกลับไป“โนอา” ฉันเรียกก่อนเขาเดินจากไป แผ่นหลังแขาแข็งทื่อก่อนหันมามองข้ามไหล่ “ฉันขอโทษสำหรับเรื่องที่ปฏิบัติกับแม่ของเธอไม่ดี แถมยังเข้ามาคั่นกลางระหว่างพ่อกับแม่ของเธอด้วย ขอโทษจริง ๆ นะ”ฉันไม่ได้คาดหวังให้เขาตอบสิ่งใดกลับมาและเขาก็ไม่ตอบ เขาหันหลังกลับไปแทนและปล่อยให้ฉันยืนอยู่ตรงหน้าประตูคนเดียวฉันถอนหายใจพลางนึกสงสัยว่าฉันควรเข้าไปหรือยืนรอเอวาออกมาต้อนรับฉันดีนะ คำสอนของแม่ยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวแม้ผ่านมาหลายปี ฉันจะไม่เข้าไปในบ้านของใครโดยไม่ได้รับเชิญไม่กี่วินาทีต่อมา เอวาก็เดินมาหาฉัน เรียกว่าโซเซมากกว่า หน้าท้องของเธอเด่นชัดขึ้นทุกครั้งที่เราเจอกัน
“เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉันหยอกล้อพร้อมดันไหล่เธอ “ฉันแก่กว่าแท้ ๆ ก็ควรฉลาดกว่าสิ”“ประสบการณ์จะสอนให้เราเป็นผู้ใหญ่เองไง” เธอยักไหล่พร้อมส่งยิ้มให้ “ความรักมันผลักดันให้เราทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกเสมอ ดังนั้นตราบใดที่มีความรักนำพา มันก็นำสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ลูก ๆ เสมอและเราก็จะยึดสิ่งนั้นเป็นที่ตั้งได้ด้วย”เราต่างเงียบใส่กันครู่หนึ่ง และฉันก็กำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธอพูด มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนผิดพลาดน้อยลงเมื่อรู้ว่าแม้แต่เอวาเองก็ยังนึกสงสัยบ้าง ทั้ง ๆ ที่สำหรับฉันแล้ว เอวาเป็นคุณแม่ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ“แล้วไอริสอยู่ไหนล่ะ?” ฉันเอ่ยถามพร้อมมองไปรอบ ๆ สังเกตว่าฉันไม่เห็นแม่ตัวน้อยตั้งแต่มาถึง“อยู่ในห้องกับโรแวนน่ะสิ กำลังเล่นดื่มชากันอยู่” คำตอบของเธอมาพร้อมรอยยิ้มฉันอดระเบิดเสียงหัวเราะไม่ได้ “โรแวนน่ะเหรอ? เล่นดื่มชา?”มันฟังดูแปลกพิลึก ดูไม่ปกติสักนิดเดียว ฟังดูเหมือนว่าเรากำลังพูดถึงคนอื่นอยู่ เป็นโรแวนที่แปลกไปตอนนี้ฉันจินตนาการถึงภาพเขาแต่งหน้า ทาเล็บ พอกผิว เมื่อคิดอย่างนั้นอยู่คนเดียว ฉันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและเอวาก็ร่วมด้วยอีกอย่างหนึ่งฉ
ฉันไม่รู้หรอก แต่ไม่มั่นใจว่าเพราะเหตุใด เมื่อได้รับคำขอโทษจากเขาถึงได้เหมือนได้ปล่อยวางบางสิ่ง“มันไม่ใช่ความผิดคุณหรอกค่ะ แล้วก็ไม่ต้องขออภัยอะไรด้วย ฉันควรรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเราไม่ได้เกิดมาคู่กัน ความรักของเราตอนนั้นมันเป็นความฉาบฉวย และไม่ได้ยั่งยืนอะไรเลย ฉันบอกเลยว่าถ้าไม่ได้พ่อแม่เราพูดยุกัน เราก็คงไม่ได้คบกันหรอกโรแวนหัวเราะออกมาก่อนส่งยิ้มให้ “นี่คุณก็รู็สึกเหมือนกันเหรอว่าเพราะพ่อแม่ เราถึงได้คบกันน่ะ? พ่อแม่เราเอาแต่พูดกันนะว่าเราเป็นคู่ที่เหมาะสมกันขนาดไหนแล้วเรื่องอื่น ๆ อีกเป็นกอง พอเราได้ฟังแบบนั้นบ่อย ๆ เข้าเราก็เริ่มคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ”“ใช่เลยค่ะ ฉันคิดเลยว่าถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ เราก็ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก ไม่ว่าเราจะหันไปทางไหนก็เจอแต่คนบอกว่าคู่เรามันกิ่งทองใบหยก เว้นเอวาไว้คนหนึ่งนะ” ฉันยิ้มเมื่อจำได้ว่าเธอเป็นคนเดียวที่ไม่ชอบเรื่องที่โรแวนกับฉันคบหากัน“ผมคิดว่าเธอคงเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นน่ะสิ” โรแวนเอามือลูบใบหน้าและพูด “อาจถึงขั้นเป็นญาณหยั่งรู้เลยก็ได้ เธอถึงได้รู้ว่าเราไม่ได้เกิดมาคู่กัน”สิ่งที่เขาพูดมานั้นมันจริงแท้แน่นอน เอวาอาจเป็นคนเดียวที
ฉันหยิบกล่องใบสุดท้ายขึ้นมาและมองไปรอบ ๆ ห้อง ห้องนี้เป็นที่หลบภัยของฉันในช่วงสองปีที่ผ่านมาห้องนี้เป็นห้องของฉันตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันได้เปลี่ยนแปลงมันเมื่อฉันเติบโตเป็นหญิงสาว การตกแต่ง สีและเฟอร์นิเจอร์ ฉันเปลี่ยนทุกอย่างให้เข้ากับผู้หญิงที่ฉันอยากเป็นฉันร้องไห้ในห้องนี้ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าโรแวนนอนกับเอวา... หลายปีต่อมา ในห้องเดิมนี้ฉันบรรเทาแผลใจหลังจากตระหนักถึงความเจ็บปวดและความเจ็บช้ำทั้งหมดที่ฉันก่อขึ้นมันกลายเป็นที่ที่ฉันสบายใจที่จะอยู่ที่สุด สถานที่เดียวที่ฉันสามารถวิ่งหนีและซ่อนตัวได้ สถานที่เดียวที่ฉันสามารถพังทลายโดยไม่มีใครเห็นว่าฉันแตกสลายขนาดไหน หากกำแพงพูดได้ คงบอกว่าพวกมันเห็นอะไรมาบ้าง ความลับที่ฉันซ่อนไว้ ความคิดแสนน่ากลัวเเรื่องจบชีวิตตนเองแต่ตอนนี้ฉันคงต้องบอกล่ามันเสียแล้ว ฉันรู้ว่าฉันจะยังคงนอนที่นี่ตอนที่กลับมาพักค้างคืนที่บ้าน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันรู้สึกเหมือนฉันต้องบอกลาแล้ว มันให้ความรู้สึกถึงจุดจบบางสิ่ง ราวกับว่าในที่สุดฉันก็ปล่อยความทรงจำจากสองปีที่ผ่านมา มันรู้สึกเหมือนเดินทางมาถึงตอนสุดท้าย“พร้อมหรือยัง
ฉันจ้องมองพี่ชายไม่วางตา ทันใดนั้นฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันหลงทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตมากจนลืมมองคนที่อยู่ข้าง ๆ ไปเสียสนิทนั่นแหละคือปัญหาของโรคซึมเศร้า คุณมองไม่เห็นความทุกข์ทรมานของคนอื่นเพราะคุณมัวแต่จดจ่ออยู่กับตัวเองมากเกินไป ฉันปล่อยให้ชีวิตไหลผ่านไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมกับคนรอบข้าง อันที่จริงฉันดึงความสนใจของทุกคนมาที่ตัวเอง เพราะพวกเขากังวลเรื่องสุขภาพจิตของฉันมากฉันไม่ได้หยุดมองเลยว่าแม่กำลังเผชิญกับความรู้สึกผิดของแม่เองอย่างไร ไม่ได้หยุดมองทราวิสที่ต้องแบกรับน้ำหนักบาปของตัวเองรวมถึงบริษัทขนาดไหน ฉันไม่ได้หันกลับมามองใครเลยนอกจากตนเองฉันรู้สึกแย่มากเมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่ฉันทำให้พวกเขาต้องเจอ ความกังวล ความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวด ฉันรู้ว่าตนเองไม่อยากเห็นพวกเขาอยู่ในสภาพที่ฉันเคยเป็น มันคงเจ็บปวดที่รู้ว่าฉันช่วยพวกเขาไม่ได้จริง ๆ เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความช่วยเหลือ ฉันเข้าใจสิ่งนั้น ดังนั้นฉันจึงเข้าใจว่ามันก็เหมือนที่ฉันต้องรับมือกับตัวเอง."ขอโทษนะคะ" ฉันกระซิบ เอามือลูบผมฉันต้องเข้าร้านทำผมแล้วจริง ๆ จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฉันตัดผ
ฉันหยุดหายใจเเพราะความตกใจ และผละออกจากเขา ในขณะที่ร่างเล็ก ๆ กระโดดขึ้นมาบนตัวเรา"สุขสันต์วันคริสต์มาส!" เขาตะโกนอย่างมีความสุขด้วยเสียงร้องเพลง“หัวจะปวด” ทั้งกาเบรียลและฉันครางอย่างหงุดหงิดจะมาช้ากว่านี้สักชั่วโมงไม่ได้หรืออย่างไร? ถ้ามีใครสักคนในครอบครัวนี้ที่ชอบขัดจังหวะเรา มันก็ต้องเป็นลูกคนที่สอง แอนดรูว์ คนนี้แน่นอน เราเรียกเขาว่าดรูว์เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวขัดจังหวะแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญยังไงเขาก็ทำอยู่ดี"ตื่นครับ! ตื่น!" เขาตะโกนเสียงดัง จนชั่วขณะหนึ่งฉันไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงก้องของเจ้าลูกชาย"ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ดรูว์" เกเบรียลบ่น "พ่อแม่ได้ยินชัดเจนโดยที่หนูไม่ต้องทำให้แก้วหูพ่อแม่แตกก็ได้"ดูเหมือนดรูว์จะไม่ฟังเลย เขาเด้งขึ้นเด้งลงบนเตียง มีความสุขแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาเกเบรียลขยับตัวใต้ผ้าห่ม คงพยายามขยับทุกอย่างให้เข้าที ฉันขยับร่างกายขึ้นและพิงหัวเตียง ก่อนจะคว้าลูกชายที่กระตือรือร้นและอยู่ไม่นิ่งมา สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือเขาทำร้ายพ่อของเขาด้วยการเผลอเหยียบเข้ากลางตัวเขาหรืออะไรทำนองนั้น"หนูพยายามห้ามเลียมแล้วนะคะ แต่แม่ก็รู้ว่าเขาเป็นยังไงเวลาต
ฮาร์เปอร์ฉันกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสีขาวนุ่มฟูแห่งการนอนหลับ ฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกสงบ และรู้สึกได้รับความรักฉันเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทีละน้อย เกเบรียลนอนอยู่ข้างหลังฉัน แขนโอบกอดฉันไว้ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่เรานอนหลับด้วยกัน เขากอดฉันไว้แน่นในอ้อมแขน ราวกับว่าเขากลัวว่าฉันจะหายไปหากไม่ทำเช่นนี้ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลุดออกจากอ้อมแขนของสามี ทว่าแทนที่จะปล่อยฉันไป เขากลับกระชับมือแน่นขึ้น ซึ่งดันฉันเข้าไปแนบชิดมากขึ้นฉันหยุดขยับเมื่อรู้สึกถึงเขา ฉันรู้สึกถึง น้องน้อยที่ตื่นมาเคารพธงชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ฮอร์โมนของฉันพลุ่งพล่าน และฉันก็ต้องการเขาขึ้นมาทันที ฉันอยากให้เขาสอดแทรกเข้ามาในร่างนี้เรื่องบนเตียงของเราสองช่างสมบูรณ์ แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องการมากกว่านี้ อาจเพราะมีลูกด้วยกันถึงสามคนแล้ว บางเวลามันก็ยากที่จะมีเวลาส่วนตัวที่ไม่ถูกรบกวนได้"อืม" เกเบรียลร้องครางเมื่อฉันถูบั้นท้ายกับเป้าของเขาเสียงนั้นเดินทางลงไปจนถึงจุดนั้นของฉัน ฉันถูอีกครั้ง กระตุ้นเสียงครางแสนเร้าอารมณ์จากเขาอีกเกเบรียลเริ่มประทับจูบตามหลัง ไหล่ และคอ มันผ่านมาสองสามวันแล้ว และฉันก็โหยหาเขา
"ใช่เลยครับ" เขาตอบรับรอยยิ้มของฉัน ขณะที่คิลเลียนเดินเข้ามาหาเรา"ผมมาขโมยภรรยาแสนสวยของผมคืนแล้วครับ" เสียงเขาแหบพร่า และฉันอดไม่ได้ที่จะละลายไปกับโทนเสียงนั้น มันเซ็กซี่สุด ๆ ไปเลย“เธอเป็นของคุณแล้วนะ” คาลวินปล่อยมือจากฉันและหลีกทาง ก่อนจะเดินจากไปคิลเลียนดึงฉันเข้าไปในอ้อมกอดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องว่างระหว่างเรา "เป็นยังไงบ้าง? ปวดหลังหรือเปล่า? ขาเป็นยังไง?"เห็นไหม ฉันบอกแล้วไง เขาเป็นเสือร้ายในคราบทนายความ แต่ดูแลเอาใจใส่และรักใคร่ในฐานะคู่ครอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีสเปคแบบไหน จนกระทั่งฉันได้พบเขา"สบายดีค่ะ ที่รัก ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นก็ได้" ฉันหัวเราะเบา ๆ ดันตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้น"ผมเคยบอกว่าผมรักคุณแล้วหรือยัง?" เขาถามฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่เขย่งปลายเท้าและกระซิบชิดริมฝีปากของเขา "ประมาณพันครั้งแล้วค่ะวันนี้ แต่ฉันไม่ได้บ่นอะไรนะ""คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยนะครับ เอมม่า ผมนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงหากไม่มีคุณ ผมรู้ว่าเราได้กล่าวคำสาบานกันไปแล้ว แต่ผมสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมคุณเสมอ เพราะคุณคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมา ผมสัญญา
มอลลี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว เช่นเดียวกับเอวา คอนนี่ เล็ตตี้ ฮาร์เปอร์ และคินลีย์ พวกเธอเป็นเพื่อนสาวกันมาสี่ปีแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุวันนั้น แน่นอนว่าฉันไม่มีวันหาใครมาแทนมอลลี่ได้ เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่มีพวกเธออยู่เช่นกันอีกอย่างเมื่อวานนี้มอลลี่บอกฉันว่าเธอกำลังคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันตื่นเต้นมาก ฉันรักเธอ แต่เรายอมรับว่าเป็นเพื่อนระยะไกลกันมันรักษาความสัมพันธ์กันได้ยาก ฉันมีความสุขมากที่เธอจะย้ายมาอยู่ใกล้ ๆเสียงเพลงช้าลง และกันเนอร์ก็เดินเข้ามา ตัดบทสนทนาทั้งหมด“เต้นรำกันหน่อยไหมครับ แม่?”มีเสียง ว้าว ดังขึ้นเป็นระลอก และฉันสาบานได้ว่าหัวใจฉันละลายไปตรงนั้นเลย"แน่นอนสิจ๊ะ สุดหล่อของแม่" ฉันตอบก่อนจะจับมือเขาตอนนี้กันเนอร์อายุสิบสี่ เป็นวัยรุ่นแล้วเชื่อไหมล่ะ? เขาสูงเท่าฉันแล้ว และฉันมั่นใจว่าอีกไม่กี่ปีเขาจะสูงกว่าฉัน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็จะเป็นลูกชายตัวน้อยของฉันเสมอคาลวินและฉันตัดสินใจส่งเขาไปเข้ารับการบำบัดทันทีที่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราเข้าร่วมการบำบัดร่วมกันบ้าง และพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา และเกี่ยวกับวันที่เกิดอุบัติเหตุ
เอมม่าฉันเต้นรำกับมอลลี่ ปล่อยให้เสียงเพลงโอบล้อมตัวไว้ ฉันรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยแต่ก็ไม่สำคัญอะไรเลยเมื่อฉันมีความสุขสุด ๆ แบบนี้ชุดเดรสสะบัดไปมาขณะที่เราตะโกนเนื้อเพลง หน้าร้อนแสนสาหัส ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ออกมาสุดเสียง เอวาที่กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ก็เข้าร่วมกับเราด้วย ฉันหัวเราะเพราะเธอคิดว่าเธอกำลังเต้นอยู่เลยแต่เปล่าเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกสิ่งที่เธอกำลังทำว่าอะไรดีจำนวนครั้งที่ฉันเรียกว่าตนเองมีความสุขนั้นสามารถนับนิ้วได้เลย หนึ่งคือตอนที่ฉันสอบเนติบัณฑิตได้ สองคือตอนที่กันเนอร์เรียกฉันว่าแม่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน และสามคือวันนี้ งานแต่งของฉันคุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันแต่งงานแล้วและฉันมีความสุขอย่างที่สุดจำทนายหนุ่มน่ารักที่ฉันเล่าให้เอวาฟังในวันเกิดของเจมส์ได้ไหมคะ? จะว่าอย่างไรดี เขาไม่เคยละความพยายามเลยค่ะ ไม่ว่าฉันจะปฏิเสธเขากี่ครั้งก็ตาม เขาขอฉันคบหาอยู่เรื่อย ๆ และที่ฉันบอกว่าเรื่อย ๆ ก็คือเขาขอเกือบทุกวัน ฉันเบื่อที่จะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งฉันก็ตอบตกลง ปรากฏว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตนี้เลยฉันชะลอฝีเท้าลง ดวงตามองหาเจ้าบ
กันเนอร์มีน้องชายแล้ว งงกันอยู่ใช่ไหมคะ? เพราะเมื่อกี้ฉันกับเอวากำลังคุยเรื่องแฟนกันอยู่เลย เชสไม่ใช่ลูกชายของฉันค่ะ เขาเป็นลูกชายตัวน้อยของคาลวินและคินลีย์ พวกเขาแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้วแล้วมีเชสตัวน้อยน่ารักคนนี้เป็นลูกน้อยคาลวินและฉันสนิทกันมากขึ้นตั้งแต่อุบัติเหตุ เหมือนกับกันเนอร์ เขายกโทษให้ฉัน และพวกเราก็สามารถสร้างมิตรภาพที่สวยงามได้คินลีย์เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอเข้ากับพวกเราทุกคนได้ เธอใจดีและน่ารัก และที่สำคัญที่สุด เธอทำให้คาลวินมีความสุขและปฏิบัติต่อกันเนอร์เหมือนลูกชายของเธอเอง"ไม่จ้ะ ไม่เคยเกินจริงเลย" เอวาแก้ตัว "น้าแค่อยากให้แม่หนูเล่าเรื่องทนายความน่ารักที่ที่ทำงานให้ฟังมากกว่านี้""ผมขอจบตรงนี้นะครับ ไปดีกว่า" เขาพูด ดูเหมือนจะขยะแขยงเล็กน้อย "แม่ดูน้องได้ใช่ไหมครับ หรือผมควรจะพาน้องไปด้วย?"“แม่สบายมากจ้ะ…ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เถอะ”เขาพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งไปหาโนอาและคนอื่น ๆ คาลวินใจดีพอที่จะแก้ไขข้อตกลงเรื่องการดูแลบุตร ตอนนี้พวกเราดูแลกันเนอร์ร่วมกัน ลูกอยู่กับคาลวินวันธรรมดาและใช้วันหยุดสุดสัปดาห์กับฉัน"เอาล่ะ กลับมาเรื่องผู้ชายน่ารักคนนั้นก่อนนะ
สามปีต่อมาเอมม่า"จริงจังนะ เอมม่า เมื่อไหร่เธอจะหาแฟนสักที?" เอวาเอ่ยถามพร้อมนั่งลงข้าง ๆ ฉันฉันมองออกไปที่สวนหลังบ้านและยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของเจมส์ลูกชายของทราวิสและเล็ตตี้ ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อของพวกเราและเจมส์กำลังจะอายุครบหนึ่งขวบเล็ตตี้และทราวิสแต่งงานกันเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ทราวิสคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันทีที่ฉันได้สติขึ้นหลังจากอุบัติเหตุที่เกือบจะพรากชีวิตฉันไป คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขับรถคนนั้น เขาถูกจำคุกห้าปีในข้อหาขับรถโดยประมาท ฉันหวังว่าเขาจะได้รับบทเรียนนะกลับมาที่ทราวิสและเล็ตตี้ ฉันคิดว่าการเห็นฉันอยู่ในโรงพยาบาลทำให้เขารู้ว่าชีวิตสั้นแค่ไหน เขาขอเธอแต่งงานและเล็ตตี้ก็ตอบตกลง พวกเขาแต่งงานกันซึ่งเป็นงานแต่งงานฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามตอนนี้ัฉันได้กลายเป็นเพื่อนกับเอวาก็เลยถูกดึงเข้ามาในวงจรนี้ด้วย คอนนี่และรีเปอร์แต่งงานกันแบบงานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เป็นกันเองกับเพื่อนสนิทและครอบครัว สี่เดือนต่อมาทั้งสองก็อ้าแขนรับลูกสาวของพวกเขา เฮเวน ตอนนี้คอนนี่ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนฮาร์เปอร์และเกเบรียลก็กำลังจะมีลูกด้วยกันอีก
"ไม่ไหวแล้ว! ฉันต้องเบ่งเดี๋ยวนี้" ฉันคำรามพร้อมจับเสื้อเกเบรียลไว้ฉันรู้สึกบ้าไปแล้ว เหมือนฉันเสียสติไปแล้ว ความเจ็บปวดกำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้วจริง ๆโชคดีที่พวกเราไปถึงห้องคลอดก่อนที่ฉันจะคลอดลูกตรงทางเดินของโรงพยาบาล ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินไปถึงห้องคลอด และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเตรียมพร้อมให้ฉันเอวาอยู่ในห้องเรียบร้อย ฉันรู้สึกขอบคุณที่มีคนเข้าใจความรู้สึกตอนที่ช่องคลอดฉีกออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เด็กตัวน้อย ๆ ออกมาดูโลก"ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันกัดฟันพูด ก่อนที่จะยกตัวขึ้นและเบ่งสุดแรงฉันสาบานว่าฉันรู้สึกเหมือนก้นจะแตกและมันก็เพิ่มความเจ็บปวดให้ฉันมากขึ้น"ความผิดคุณเลย!" ฉันกรีดร้องใส่เกเบรียลขณะที่จับมือเขาไว้แน่นฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ลมหายใจถี่กระชั้น และรูจมูกบานออกเพื่อพยายามสูดอากาศเข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด"เตรียมนะ เธอ เบ่งเลย" เอวาเร่งเร้าฉันขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากให้ฉัน "เกเบรียลไม่สำคัญแล้วตอนนี้""อ้าว ใจร้ายนะ เอวา" เกเบรียลพึมพำพร้อมจ้องเขม็งไปยังเอวา เธอจ้องเขม็งกลับราวกับจะบอกให้เขาหุบปากและทำตามน้ำไปฉันบีบมือพวกเขาเมื่อมดลูกหดตัวอีกครั้ง และฉันก็ออ
"สบายมากจ้ะ หมีน้อยลิลลี่ แม่กำลังจะคลอดลูก... จำที่แม่บอกหนูได้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนถึงเวลาแบบนี้?"เธอพยักหน้า "ค่ะ แม่บอกว่าแม่จะเจ็บท้อง แต่หนูไม่ต้องห่วง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้น้องเกิดมาค่ะ""ดีมากจ้ะ" ฉันเบ้หน้าเมื่อการหดเกร็งตัวจู่โจมฉันอีกครั้ง "นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นอย่ากลัวไปนะจ๊ะ"เกเบรียลจับมือและช่วยให้ฉันเดินออกจากห้อง ฉันหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก แต่พูดตามตรงมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย"หนูแค่ไม่เข้าใจน่ะค่ะ ทำไมแม่ต้องเจ็บด้วย? ทำไมเด็กถึงออกมาจากท้องแม่ไม่ได้โดยไม่ทำให้แม่เจ็บล่ะคะ?"สิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุดคือทำให้ลูกสาวหวาดกลัวโดยต้องอธิบายให้เธอฟังว่าความเจ็บปวดนั้นจำเป็นสำหรับการออกแรงเบ่งเด็กออกมาจากร่างกายฉัน เธอจะอยากรู้ว่าทำไมต้องเบ่งลูกออกมาด้วย และฉันจะต้องอธิบายว่าเพราะลูกตัวใหญ่และทางออกเล็กกว่า ดังนั้นการหดเกร็งตัวเหล่านั้นจึงจำเป็นสำหรับการเบ่งลูกออกมา จากนั้นเธอจะอยากรู้ว่าทางออกนั้นคืออะไร และฉันจะต้องบอกเธอว่าลูกออกมาทางนั้นอย่างไรเล่าอย่างที่คุณเห็น นั่นไม่ใช่บทสนทนาที่เธอเตรียมใจรับได้นัก เธอจะตกใจกลัวเมื่อรู้ว