ฉันก้าวลงมาจากรถพร้อมเดินมุ่งไปยังคฤหาสน์ตรงหน้า มือสั่นสะท้านและเหงื่อชุ่มร่างกายฉันเองยังทำใจเชื่อไม่ได้เลยว่าความสัมพันธ์เดินมาถึงจุดจบ ทำใจไม่ได้ว่าท้ายที่สุดฉันก็หย่าร้างกับเขา กระเป๋าข้างกายมีหลักฐานยืนยันการหย่าครั้งนี้ ฉันเดินทางมาที่นี่เพื่อนำเอกสารฉบับนี้มามอบให้เขาและรับโนอากลับขณะเดินเข้าไป ฉันเดินตามเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ไปและยั้งฝีเท้าไว้เมื่อเข้าใกล้ห้องครัวตอนนี้เองฉันได้ยินเสียงนั้นถนัดหูและเนื้อความนั้นได้กระชากฉันลงไปสู่ห้วงเหวอันเย็นเยียบ“ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ พ่ออยู่กับผมกับแม่ไม่ได้หรือครับ?” เจ้าหนูโนอาเอ่ยถามผู้เป็นพ่อฉันยกสั่นเทากุมหน้าอก หัวใจทลายลงเพราะเสียงแสนเศร้าของเด็กน้อย ไม่ว่าเป็นสิ่งใดฉันพร้อมจะทำให้เขาเสมอ แต่การหย่าร้างนี้กลับหลีกเลี่ยงไม่ได้การแต่งงานครั้งนี้เป็นสิ่งผิดพลาด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเป็นสิ่งที่ผิดพลาดทั้งหมด เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ฉันได้ตาสว่างพร้อมเห็นความจริง“โนอา ลูกน่าจะรู้อยู่แล้ว แม่กับพ่อไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว” เสียงนุ่มของชายคนนั้นเอ่ยออกมาช่างน่าแปลกเสียจริง ตลอดช่วงเวลาที่เราครองคู่กัน เขาไม่เคยแม้แต่พูดจา
“ฉันต้องไปแล้ว รบกวนคุณช่วยอยู่กับโนอาก่อนได้ไหม? เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนานแค่ไหน” ฉันเอ่ยประโยคเหล่านี้ออกไป มือพลางคว้ากระเป๋าข้างกายอย่างใจลอย“ได้ ผมขอไปรับแม่มาดูแลโนอาแทนก่อน แล้วจะรีบตามไป” โรแวนตอบรับ เพียงแต่รู้สึกราวกับเป็นเสียงกระซิบซึ่งดังแว่วเข้ามาในหูที่อึ้ออึงของฉันเท่านั้นฉันจำอะไรที่เหลือนอกเหนือจากการบอกลาลูกชายตัวน้อยไม่ได้ ฉันรีบดันตนเองขึ้นรถยนต์และขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลพร้อมความคิดที่ล่องลอยกระหวัดถึงความทรงจำตอนที่เติบโตขึ้นมา ใคร ๆ ก็ต่างพากันพูดว่าฉันเป็นพวกขาดความอบอุ่น ตอนเป็นเด็กทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่ได้ใส่ใจฉันมากเท่าที่ควร ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อคงเป็นพี่สาว เอมม่า พ่อเคยเรียกเธอว่าสาวน้อยของพ่อด้วยซ้ำ ส่วนแม่ก็ประคบประหงมพี่ชาย ทราวิส พ่อรูปหล่อของแม่เสียยังกับอะไรดี ส่วนฉันก็เป็นแค่ เอวา ที่ไม่มีใครรักฉันรู้สึกเหมือนไม่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ ไม่มีใครต้อนรับ ไม่ว่าจะกับพ่อแม่รวมถึงพี่น้องท้องเดียวกัน ไม่ว่าจะพิสูจน์ตนเองเท่าใด มีผลการเรียนระดับแนวหน้า กีฬาเด่น หรือกิจกรรมดีเพียงใด สถานที่เดียวซึ่งเหมาะกับฉันคืออยู่ข
ฉันเอนกายอยู่บนเก้าอี้โรงพยาบาลแสนเย็นเฉียบพลางกำหนดลมหายใจเข้าออก น้ำตาของแม่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย คำปลอบประโลมไหน ๆ คงส่งไปไม่ถึงจิตใจเธอ ฉันเจ็บปวดแทนแม่ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดีว่าการสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อยเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่น่าตระหนก ฉันเผื่อใจเอาไว้ว่าพ่อจะหายดีแต่กลับกลายเป็นหายไปจากโลกแทนเสียนี่ ฉันเลยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีความคิดเห็นของเราไม่เคยลงรอยกันและพ่อก็คงจะเกลียดฉันแต่ฉันก็รักเขา เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด ฉันจะไม่รักเขาได้อย่างไรกัน?“ไหวไหม?” โรแวนเอ่ยถามพลางนั่งลงข้างฉันชายหนุ่มเดินทางมาถึงได้ประมาณชั่วโมงกว่า และคำถามเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับฉันนับตั้งแต่มาถึง ฉันรับมือกับความกังวลของเขาไม่ถูก อย่างไรเสียเขาคนนี้ไม่เคยเก็บเอาความรู้สึกของฉันไปใส่ใจมาก่อน“ไหวค่ะ” ฉันฝืนตอบกลับตั้งแต่ที่รู้ข่าวฉันก็ยังไม่ได้หลั่งน้ำตาแม้เลยสักหยด อาจเพราะยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหรือน้ำตาของฉันที่มีให้พ่อนั้นเหือดแห้งไปหมดแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันควรทำมากที่สุดคือประคองสติตนเองให้ไหวแทนทุกคนที่สติแตกไปแล้วเท้าคู่
คุณทั้งหลายเคยรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นหรือเปล่า? ฉันกำลังรู้สึกเช่นนั้นอยู่เมื่อมองพวกเขา ราวกับมีใครเดินเข้ามากระชากดวงใจออกจากอกก็มิปานหากฉันเป็นคนกระชากก้อนเนื้อไร้ค่านี้และปาทิ้งไปให้พ้นตาเองได้สาบานว่าจะทำเสียตอนนี้ เพราะมันช่างเจ็บจนไร้คำบรรยายใด ๆ มาเปรียบได้ฉันต้องการหนีไปให้พ้นแต่กลับทำไม่ได้ สายตาของฉันจับจ้องทั้งสอง ไม่ว่าสมองจะสั่งให้หลีกหนีจากภาพตรงหน้าเท่าใด แต่ฉันก็ไม่อาจละสายตาไปจากฉากรักหวานชื่นเสียดแทงนัยน์ตานี้ได้ฉันเฝ้ามองทั้งสองผละอ้อมกอดจากกัน โรแวนแววตาอ่อนโยนเมื่อมองหญิงในดวงใจ ฉันมองฝ่ามือที่กำลังบรรจงประคองแก้มของเอมม่า ชายหนุ่มดึงร่างของหญิงผู้เป็นที่รักเข้าใกล้เล็กน้อย เขาไม่ได้จูบเธอเพียงแต่เอาหน้าผากแนบชิดกันเขาดูสงบสุขราวกับเดินทางมาเจอที่พักผ่อนของตนเสียที ในที่สุดเขาก็รู้สึกเติมเต็ม‘ผมคิดถึงคุณ’ ฉันอ่านการขยับปากเรียวบางนั้นออกฉันไม่อยากคิดว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นตอนนี้หากทั้งสองไม่ได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ หากทั้งสองพบกันตอนที่ฉันและเขาแต่งงานกันอยู่ โรแวนจะนอกใจไปหาเอมม่าเลยหรือเปล่า?ส่วนศีลธรรมของฉันรีบโต้แย้งว่าไม่เป็นเช่นนั้นแน่แต่กลับไม
ไร้วี่แววของเหตุร้ายใด ๆ ในวันนี้ แสงแดดทอประกายตลอดเส้นทางที่คุ้นตา ดูเหมือนทุกสิ่งจะดำเนินไปได้ด้วยดีเมื่อเดินทางไปถึง โบถส์ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทุกคนต่างพากันมาเคารพพ่อเป็นครั้งสุดท้ายฉันเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยของสถานที่จัดงานด้วยความพอใจเมื่อเห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควร คนอื่นแทบไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยในช่วงการจัดเตรียมงานศพ เรียกได้ว่าฉันเป็นแม่งานผู้รับผิดชอบทุกสิ่งในงานนี้ฉันไม่ได้บ่นอะไรทั้งนั้น คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณผู้เป็นพ่อที่ให้กำเนิดฉันมา ยังไงเสียเขาก็ป้อนข้าวป้อนน้ำ ซื้อเสื้อผ้าและให้ที่ซุกหัวนอนแก่ฉันช่วงพิธีการกำลังจะเริ่มและผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เข้านั่งประจำที่นั่ง ฉันตัดสินใจหลบไปนั่งอยู่อีกมุมเพราะรู้สึกผิดที่ผิดทางหากต้องไปนั่งรวมกับครอบครัวนั้น โดยเฉพาะหากต้องไปนั่งข้างเอมม่า“แม่ครับ เรามานั่งตรงนี้กันทำไมครับ… เราไม่ควรไปนั่งข้าง ๆ คุณยายหรือ?” โนอาตัวน้อยเอ่ยถามพร้อมกับชี้นิ้วไปในทิศทางที่คนอื่นนั่งอยู่แน่นอนว่าเราย่อมได้รับสายตาแปลก ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะยังไงการที่ฉันเป็นแกะดำที่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากครอบค
โรแวนความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านห้วงความคิดของคุณไป ยามที่คุณเห็นร่างของภรรยาเก่า ผู้เป็นแม่ของลูกโดนยิงและมีเลือดนองเต็มพื้นสุสานอันเยือกเย็น เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมีให้เอวาเมื่อผมเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หันกระบอกปืนเข้าใส่เรา ผมไม่ทันได้คิดอะไร ผมรู้ว่าโนอาปลอดภัยอย่างแน่นอนเพราะอยู่กับคุณปู่คุณย่า ดังนั้นสามัญสำนึกสั่งการให้ร่างกายกระโจนเข้าไปปกป้องเอมม่าทันที ผมเต็มใจตายเพื่อเธอและผมก็พร้อมจะทำเช่นนั้นผมรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นพวกมือปืนหนีไปเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ กระนั้นความโล่งใจก่อนหน้ากลับมลายสิ้นทันทีที่ได้ยินเจ้าหน้าที่เรียกหารถพยาบาล ความฉงนกระตุ้นให้ผมหันไปเพื่อหาคำตอบว่าใครกันที่เคราะห์ร้าย เข่าผมแทบทรุดลงกับพื้นเพราะคาดไม่ถึงว่าผู้เคราะห์ร้ายต้องเจ็บเจียนตายคือเอวาจากนั้นสถานการณ์ที่สับสนอลหม่านจึงเริ่มขึ้น รถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุและเจ้าหน้าที่ตำรวจสวมเสื้อกันกระสุนคนนั้นกันท่าไม่ยอมห่างจากเอวาจนกว่าจะแน่ใจว่าเธอจะปลอดภัยเมื่อถึงมือแพทย์ผมรู้สึกขุ่นเคืองที่เขาไม่ยอมห่างเอวาเพราะเธอเป็นภรรยาของผม แม้ว่าจะเป็นอดีตก็ตาม แต่ที่มากกว่านั้นก็คือผม
เอวาฉันลืมตาตื่นพร้อมความปวดร้าวบริเวณหลังและแขนแล่นผ่านไปทั่วร่าง โนอานอนหลับอยู่กับฉันเพราะเมื่อคืนหลังจากดูโทรทัศน์ด้วยกัน เจ้าตัวน้อยงอแงไม่ยอมไปนอนคนเดียว รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าทันทีที่ความทรงจำเมื่อคืนผุดขึ้น เด็กน้อยยืนยันว่าจะทำหน้าที่ดูแลฉันอย่างแข็งขันตลอดทั้งคืนขณะนี้ราวแปดโมงเช้าได้ อาหารเช้าควรพร้อมรับประทานก่อนลูกชายจะตื่นนอน ฉันก้าวลงจากเตียงโดยที่ไม่ปลุกเขาเข้าแม้ว่าจะลำบากเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันยามเช้าเรียบร้อย ฉันจึงเดินลงไปด้านล่าง หยุดฝีเท้าก่อนจะก้าวเข้าห้องครัวพลางสงสัยกับตนเองว่าจะทำอาหารออกมาด้วยแขนเพียงข้างเดียวได้อย่างไรขณะที่เดินไปหยิบวัตถุดิบมาเตรียมทำแพนเค้ก ความทรงจำเมื่อวานพลันแล่นเข้ามาในห้วงความคิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็นภาพลวงจนฉันสงสัยว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากไม่มีผ้าพันแผลบริเวณไหล่กับแขนที่อยู่ในสายคล้องช่วยย้ำเตือนถึงความจริง ฉันคงคิดว่าเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลหลังจากหมดสติไป ฉันก็ตื่นกลัวไม่น้อย บรรดาแพทย์และพยาบาลต่างพากันรีบเข้ามาสงบสติฉันและยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พยาบาลบอกฉัน
โรแวนผมเห็นจังหวะที่อารมณ์ของเอวาเปลี่ยนเป็นเฉยชา วินาทีที่แสงแห่งความอบอุ่นก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บทำให้ผมรู้สึกสะท้านถึงขั้วหัวใจ“คุณมาทำอะไรที่นี่?” น้ำเสียงของเธอปราศจากซึ่งอารมณ์ใด ขณะที่ผมฝืนแทรกตัวเข้าไปด้านในบ้านราวกับว่าเอวากำลังสนทนากับชายแปลกหน้าอยู่ ราวกับว่าผมเป็นแค่ฝุ่นผงไร้ค่าสำหรับเธอไปเสียแล้ว ผมจ้องมองใบหน้านั้นโดยอ่านสิ่งใดไม่ออก ผมอยู่กับผู้หญิงคนนี้มาเกือบสิบปีแต่ตอนนี้กลับหาคำดี ๆ เพียงสักคำพูดกับเธอยังไม่ได้ผมมองแขนของเธอที่ยังคล้องอยู่บนสายห้อย จุดประสงค์วันนี้คือมาตรวจดูอาการของเธอและรับโนอา เพราะนี่เป็นช่วงสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาของผมกับลูกชายภาพของชายหนุ่มก่อนหน้าที่เห็นว่าเดินออกไปผุดขึ้นมา ผมก็คิ้วกระตุก ต้องเป็นชายคนนี้แน่ที่เอวามอบรอยยิ้มให้ เมื่อตระหนักได้ดังนี้ ผมอดไม่ได้ที่กัดฟันกรอด“ผู้ชายคนนั้นมาทำอะไรที่นี่?” ผมเอ่ยถามแทนที่จะตอบเธอพร้อมทั้งเก็บซ่อนอารมณ์เดือดดาลที่หาเหตุผลที่มาไม่ได้เอาไว้ผมรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและยังเป็นคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเอวาเอาไว้ แต่เขาก็ล้ำเส้นเกินไป ผมไม่ชอบผู้ชายคนนั้นและไม่ต้องการใ
อย่างที่ฉันบอก ฉันให้อภัยเกเบรียลแล้ว แต่ทำไมฉันยังคงยึดติดกับอดีตอีก? ทำไมฉันยังคงเปรียบเทียบเขากับตัวตนที่เขาเคยเป็น? เห็นได้ชัดว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่สมองยังคงสงสัยเขาคุณรู้จักคำกล่าวที่ว่า 'ถ้าเขาอยากทำ เขาคงทำไปแล้ว?' นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกเบรียลในตอนนี้ ในตอนนั้นเขาไม่อยากทำ เขาไม่อยากรักฉัน เขาไม่อยากสนใจฉัน ให้ตายสิ เขาแค่ไม่อยากได้ฉันด้วยซ้ำ... และเพราะเขาไม่อยากได้ฉัน เขาเลยปฏิบัติกับฉันเหมือนไม่สำคัญอะไรลึกลงไปฉันเข้าใจเขาดี ถ้าฉันคิดไม่ผิด เขาแต่งงานกับฉันหนึ่งปีครึ่งหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นหักอกเขา หากพี่แอนดรูว์รู้ พี่คงจะแบล็กเมล์เขาหรืออะไรบางอย่างเพื่อให้เกเบรียลแต่งงานกับฉันแน่ฉันไม่ได้คิดถึงมันตอนที่เราแต่งงานกัน อันที่จริงฉันไม่อยากคิดถึงมันเพราะมันจะทำลายภาพลวงตาที่ฉันสร้างว่าเขาแต่งงานกับฉันเพราะเขารู้สึกอะไรบางอย่างกับฉัน หลายปีต่อมาฉันยอมรับว่าเกเบรียลแต่งงานกับฉันเพราะเขาถูกบังคับให้ทำ ไม่ใช่เพราะเขาต้องการฉันทำได้แค่จินตนาการว่าเขารู้สึกอย่างไร เขาอาจจะยังไม่หายอกหักจากแฟนเก่า เขาโกรธและขมขื่น และอาจจะคิดว่าผู้หญิงทุกคนก็เหมือนกัน จากนั้นเขาถูกบังค
"ใช่เลย! เขาไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว" เธอเปล่งประกายความสุขและความตื่นเต้นแพร่กระจายไปทั่ว "เขาถึงกับขอแต่งงานอย่างไม่เป็นทางการแล้วด้วยนะ""หมายความว่ายังไงก่อนเรื่องขอแต่งงานแบบไม่เป็นทางการ?" ฉันถามด้วยความงงงวยเมื่อมองจากท่าทีของคนอื่น พวกเธอก็สับสนเช่นกัน ปกติก็มีแค่ขอกับไม่ได้ขอแต่งงาน ถูกขอแต่งงานอย่างไม่เป็นทางการมันคืออะไรกัน"คืองี้ตอนที่ฉันบอกเขาว่าท้องน่ะ เขาบอกว่าเขาตั้งใจจะขอแต่งงาน แต่ด้วยเจ้าตัวน้อยนี่มาเซอร์ไพรส์เราก่อน เขาเลยจะเลื่อนการขอแต่งงานขึ้นมาเพื่อให้เราแต่งงานกันก่อนที่ลูกจะเกิดไง" เธอตอบ ดวงตายังคงเปล่งประกายด้วยความปิติและความสุขอย่างแท้จริงนั่นสมเหตุสมผล ฉันเข้าใจว่าทำไมเธอถึงเรียกคำพูดนั้นว่าเป็นการขอแต่งงานอย่างไม่เป็นทางการมีเสียงกรีดร้องด้วยความยินดีดังขึ้นขณะที่เรากอดเธอและแสดงความยินดีอีกครั้ง การที่ผู้ชายของเธอกลับมามีผลกระทบอย่างมาก ตอนนี้เธอดูเหมือนเป็นอิสระ ภาระที่เธอแบกไว้เมื่อครั้งที่เราเจอกันไม่มีอีกต่อไป เธอเปล่งประกายหลังจากที่รีเปอร์กลับมาอยู่กับเธอ"แล้วเธอล่ะ เล็ตตี้?" ฉันหันไปหาเธอ "เธอคบกับทราวิสมานานแล้วนะ ทำไมเขายังไม่ขอแ
ฉันถอนหายใจและพยายามควบคุมลมหัวใจ นี่คือบทสนทนาหนึ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้คุยกับลิลลี่ในวัยนี้ สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกขอบคุณคือเธอไม่ได้ถามว่าเด็กทารกมาจากที่ไหนกันแน่ นั่นคงจะเป็นบทสนทนาที่ยากมาก“เดี๋ยวแม่ขอกลับไปห้องก่อนแล้วค่อยออกไปนะ” ฉันบอกพวกเขาและเพิกเฉยต่อการพูดคุยเกี่ยวกับเด็กทารกไปเลย“ยังไม่ได้บอกผมเลยว่าจะไปไหน” เกเบรียลถามย้ำฉันคงจะบอกเขาไปแล้วถ้าไม่ได้มัวแต่นึกปัดป้องตนเองอยู่ แต่เขาทำให้ฉันไขว้เขวไปหมด“ฉันจะออกไปกินข้าวกลางวันกับพวกเอวาค่ะ”ฉันรู้สึกอยากจะยกเลิกนัดกับพวกเธอแล้วนอนพักผ่อน แต่ฉันตัดสินใจไม่ทำแบบนั้น เอวาโทรมาสองสามวันก่อนที่เราจะออกจากโตเกียว เธอเอ่ยถามว่าฉันจะไปร่วมทานอาหารกลางวันกับพวกเธอในวันเสาร์ได้ไหม ฉันตอบตกลงทันทีโดยไม่ได้คิดว่าฉันจะเหนื่อยแค่ไหนหลังจากเที่ยวบินสิบสามชั่วโมงรอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของเขา "ดีใจจริง ๆ ที่เห็นว่าคุณมีเพื่อน"“ค่ะพวกเธอเจ๋งมากเลย”"พูดถึงเพื่อน" ลิลลี่พูดแทรก "คืนนี้เซียร่ามานอนค้างที่บ้านเรานะคะ"“แม่จำได้จ้ะ ลูกรัก” ฉันเอ่ยตอบ “หนูมีอะไรฝากมาแม่ซื้อเตรียมตัวสำหรับคืนนี้บ้างไหมลูก?”เธอส่ายหัว “หนูขอขนมกับน
ฮาร์เปอร์ฉันมองตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ฉันสวมกางเกงยีนส์เอวสูงและเสื้อผ้าไหม ผมมวยขึ้นเป็นมวยยุ่ง ๆ และนอกจากมาสคาร่าและคอนซีลเลอร์ ฉันไม่ได้แต่งหน้ามากนักเรากลับถึงบ้านประมาณสามทุ่มได้ ลิลลี่หลับไปแล้ว ดังนั้นเราจึงเข้านอนทันทีที่ถึงบ้านฉันหยิบกระเป๋าออกมาจากห้องขณะมองดูเวลา ฉันมีเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ฉันจะต้องไปที่ร้านอาหาร"จะไปไหนครับ?" เกเบรียลถามทันทีที่ฉันก้าวเข้าไปในห้องครัวให้ตายสิ ผู้ชายคนนี้ดูดีมากฉันรักเกเบรียลที่สวมใส่ชุดสูท เขาดูร้อนแรงมากในชุดสูทเสมอ แต่มันก็มีบางอย่างเวลาที่เขาแค่เท้าเปล่าพร้อมสวมเสื้อยืดรัดรูปและกางเกงวอร์ม แล้วก็เวลาที่เขาไม่ได้ใส่เสื้อแต่ใส่แค่กางเกงวอร์มเอวหลวม ๆ ด้วยไม่ว่าจะภาพลักษณ์แบบไหน ฉันก็เห็นมาทั้งหมดแล้ว และฉันยังตัดสินใจไม่ได้ว่าภาพลักษณ์ไหนที่ฉันชอบที่สุด ไม่แน่อาจเป็นตอนที่เขาไม่ใส่อะไรเลยก็ได้นะ "ฮาร์เปอร์?" เสียงขบขันของเขาดังขึ้น "น้ำลายไหลเยิ้มหมดแล้ว"ฉันหัวเราะเบา ๆ พยายามซ่อนความเขินอายไว้ "เยิ้มที่ไหนล่ะ"วันนี้เขาอยู่ในเสื้อยืดรัดรูปและกางเกงวอร์มตัวหนึ่งและเขาดูน่าอร่อยมาก ฉันอยากจะใช้ลิ้นตนเองทดสอ
คอนนี่ฉันแทบจะยืนไม่อยู่ขณะที่ขึ้นลิฟต์ไปที่เพนท์เฮาส์ของฉัน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวันผ่านไป ที่ฉันทำงานล่วงเวลาจนเป็นเรื่องปกติเพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ต้องกลับมาเจอกับห้องนอนที่ว่างเปล่าฉันคิดถึงรีเปอร์มากจริง ๆตอนที่ฉันได้เห็นเขาครั้งแรกที่โรงพยาบาลหลังจากที่เอวาถูกยิงครั้งนั้น ฉันไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับแรงดึงดูดที่ฉันรู้สึกต่อเขา แน่นอนว่าแรงดึงดูดนั้นเกิดขึ้นทันที และฉันแค่รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณตนเองรู้จักเขา แต่เขาคือรีเปอร์เชียวนะ ชายคนเดียวกับที่เคยลักพาตัวเพื่อนสนิทของฉันไปถ้าพูดกันตามตรง ฉันไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหนเหมือนที่ฉันรู้สึกกับรีเปอร์ในครั้งแรกนั้นเลย ฉันไม่เคยรู้สึกดึงดูดกับผู้ชายตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเห็นพวกเขา มันเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเมื่อฉันได้รู้จักพวกเขามากขึ้น ทว่ากับรีเปอร์มันแตกต่างออกไป และนั่นทำให้ฉันกลัวแทบตายฉันคิดว่าการพบกันครั้งแรกนั้นจบแล้ว ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เจอเขา และในไม่ช้าแรงดึงดูดก็จะจากหายไป และนั่นคือความตั้งใจที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเขาปรากฏตัวที่หน้าห้องฉันในคืนหนึ่งฉันควรจะรู้สึกอับอายที่จะบอกว่าฉันยอมนอนกับเขาในคืนนั้
“เกเบรียล”เมื่อเห็นแล้วว่าช่องทางขยายมากขึ้นและแน่ใจว่าฉันพร้อมดีแล้ว เขาก็เพิ่มนิ้วอีกนิ้ว ทั้งสองนิ้วกระแทกเข้าออกฉัน ชนและขูดกับจุดตรงนั้นของฉัน ไม่นานก็สัมผัสได้ว่าฉันใกล้ถึงจุดสุดยอดสายตาของเกเบรียลที่หรี่ลงสบกับสายตาของฉัน ริมฝีปากของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อย ขณะที่เราหายใจร่วมกันเป็นฟองอากาศเล็ก ๆ สิ่งที่เขาเห็นบนใบหน้าของฉันทำให้เขายิ้มและนิ้วอีกนิ้วหมุนวนแน่นอยู่เหนือจุดนั้นของฉันฉันบดขยี้เขา ไล่ตามความรู้สึกจนทั่วร่างสั่นสะเทือนอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขายังคงกระแทก ดันฝ่ามือของเขากับจุดนั้นของฉัน ดึงมันออกมาจนกระทั่งฉันเสร็จอีกครั้ง เสียงหอบและร้องไห้ออกมาดังไปทั่วห้องเมื่อต้นขาหยุดสั่นและประกายแวววาวหายไปจากดวงตา ในที่สุดฉันก็เงยหน้าขึ้นไปหาเขา ขากรรไกรของเกเบรียลขบกันแน่น และเขายังคงมีความร้อนแรงในสายตามันทำให้ฉันรู้สึกดี และฉันคิดที่จะขออีกรอบ แต่ตัดสินใจว่าฉันต้องการดูแลเขาแทน ฉันต้องการมันฉันอยากลิ้มรสเขาเหลือเกินฉันดันหน้าอกของเขาและเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว ฉันเลื่อนลงไปตามร่างกายของเขาจนกระทั่งฉันคุกเข่าอยู่ระหว่างขาของเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเพียงเสี้
เหมือนกับเช้าวันก่อน ๆ ที่ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับมือของเกเบรียลวางอยู่บนหน้าอกของฉัน ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรแต่เขามักทำแบบนี้เสมอวันนี้เราจะเดินทางกลับบ้านและฉันไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น เมื่อวานนี้ฉันข้ามเส้นตอนที่เปิดทางให้เขาทำแบบนั้นด้วย ฉันรู้สึกว่าไม่มีทางย้อนกลับไปได้แล้วอย่าเข้าใจฉันผิดนะ ฉันรักทุกนาทีที่เราร่วมกิจกรรมกัน ฉันรักทุกวินาทีที่ใช้เวลากับเขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา... ทว่า ความกลัวว่าสิ่งเหล่านี้มันจะไม่ใช่เรื่องจริงมันเกิดขึ้น กลัวว่าฉันจะตื่นขึ้นในไม่ช้าและรู้ว่ามันไม่มีอะไรนอกจากเป็นความฝันเท่านั้นใจหนึ่งต้องการสิ่งนี้มากจนฉันเจ็บปวด แต่อีกใจหนึ่งก็นึกสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราราวกับเขารับรู้ได้ถึงความคิดของฉัน มือของเกเบรียลซึ่งอยู่รอบหน้าอกของฉันลดลงและโอบรอบเอวแทน เขาดึงฉันเข้ามาใกล้ จนฉันรู้สึกถึงความต้องการบนผิวกาย มันเหมือนกับว่าเขากำลังพยายามขจัดความสงสัยที่เริ่มแทรกซึมเข้ามาในความคิดของฉันออกไปฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกว่าความกังวลและความสงสัยทั้งหมดหายไป การอยู่ในอ้อมแขนของเกเบรียล ได้นอนหลับและตื่นขึ้นข้าง
เกเบรียลถอดกางเกงในของฉันออก และฉันรู้สึกว่ามือข้างหนึ่งลูบไล้ลงมาตามหน้าท้องของฉันและเลื่อนอยู่ระหว่างขา หัวใจแทบเต้นผิดจังหวะ แต่ฉันยังคงต้องการสัมผัสของเขาอย่างมาก ปากเริ่มเปิดรับจูบของเขา เสียงครางออกจากริมฝีปากของเขา ขณะที่ฉันยกสะโพกเข้าหาสัมผัสตรงนั้น อ้อนวอนให้เขาอย่าหยุด นิ้วลูบไล้บนผิวที่ลื่น บรรจงคลึงจุดนั้นของฉันและปั่นทุกสัมผัสประสาทไปหมดฉันกำลังจะเสร็จอยู่แล้ว ขาเริ่มสั่นอยู่บนเตียง ศีรษะเอนไปข้างหลังบนที่นอน เกเบรียลร้องครางกับผิวของฉันด้วยความพอใจ ขาแยกออกกว้าง เผยทุกมุมมองให้เขาเล้าโลมลงไปทั่วร่างกายของฉัน ดวงตาลืมขึ้น สายตาแสนร้อนแรงของเขาอยู่ตรงหน้าใบหน้านี้“โคตรยั่วเลย” เขาขยับจากจุดนั้นของฉันไปสอดใส่ภายในพร้อมกับถูไถตรงนั้นไปทั่วร่างกายกระตุก เสียงครางหลุดออกจากลำคอของฉัน เกเบรียลส่งยิ้มลงมาที่ฉัน กระแทกนิ้วเข้าไปในตัวฉันก่อนเพิ่มนิ้วที่สองและร้องครางให้กับความแน่นตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านและสะโพกกระแทกกับมือของเขา พยายามคว้าจุดสุดยอดที่รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมในที่สุดเขาก็ให้ฉันปลดปล่อยออกมา ขยับไปถูจุดนั้นของฉันอีกครั้งเป็นวงกลมแน่น เพิ่มแรงกดที่เหมาะ
ริมฝีปากของเกเบรียลทาบลงมาทันทีที่ประตูห้องปิดลงข้างหลังเรา จูบช่างหนักแน่นราวกับการลงทัณฑ์"ไม่มีใครแตะต้องของของผมได้ และจำไว้ให้ดีว่าคุณคือของของผม ฮาร์เปอร์" เขาคำราม เสียงเต็มไปด้วยความโกรธ"ฉันแค่เต้นอยู่ดี ๆ เขาก็เข้ามา" ฉันแก้ตัว "ฉันพยายามหนีแล้วนะ แต่เขาก็จับฉันเอาไว้น่ะสิ"ความสัมพันธ์ระหว่างฉันและเกเบรียลตึงเครียดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา การที่ตึงเครียดนั้นไม่ใช่เพราะว่าเพราะสิ่งต่าง ๆ เลวร้าย แต่เพราะว่ามันดีมากเลยต่างหาก ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกหลังจากอาหารเย็นคืนนั้น เรารับประทาน ดื่ม และพูดคุยกัน แต่จูบนั้นเป็นไฮไลท์ของค่ำคืนรอยจูบอีกมากมายเกิดขึ้นระหว่างเราตั้งแต่นั้นมา จูบที่ทำให้ฉันต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ จูบของเขากลายเป็นเหมือนยาเสพติด มันบ้ามากฉันรู้ แตฉันอดไม่ได้ ทุกครั้งที่เขาสัมผัสริมฝีปากของฉัน ฉันก็แทบละลายเป็นเวลาสี่วันแล้วตั้งแต่มื้อค่ำวันนั้น ฉันเลิกวางหมอนกั้นระหว่างเราในคืนที่สาม มันไร้ประโยชน์เพราะสุดท้ายฉันก็อยู่ในอ้อมแขนของเขาอยู่ดี"ไม่สำคัญหรอก" เสียงของเขาดึงฉันกลับสู่ความเป็นจริง "ไม่มีผู้ชายคนไหนได้รับอนุญาตให้แตะต้องคุณทั้งนั้น""อย่างนั้นเหร