เราไปถึงสถานีตำรวจ และความวิตกกังวลของฉันก็พุ่งสูงขึ้น ฉันรู้สึกเหมือนเป็นซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยความประหม่า ฉันไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองอยากจะฟังสิ่งที่ไบรอันจะพูดจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเธอเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการพยายามฆ่าฉันล่ะ ฉันควรทำอย่างไรดี?แน่นอนว่าเราไม่ค่อยถูกกัน แต่ฉันรู้จักเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก เราเติบโตมาด้วยกัน สำหรับฉัน เธอคือพี่สาว เราอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันจนกระทั่งเธอจบการศึกษาและย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัย“ไหวไหม?” โรแวนถามด้วยความกังวลที่ฉายชัดบนใบหน้า “ก็แค่กังวลนิดหน่อย”เขาจับมือฉันก่อนจะจูบเบา ๆ ฉันไม่ได้ปฏิเสธ เพราะฉันต้องการสิ่งนี้ ฉันต้องการเขา“ทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่ต้องเครียด” เขาปลอบใจหลังจากถอนจูบออกฉันพยักหน้าและเราก็ลงจากรถ มือของฉันยังอยู่ในมือเขา เราเดินไปยังสถานีตำรวจและเข้าไปข้างใน คนอื่น ตามมาหลังจากนั้นไม่นาน และเราก็ถูกพาไปยังห้องทำงานของหัวหน้าตำรวจ“ขอบคุณที่มานะครับ” เขากล่าวทักทาย พร้อมชี้ไปที่เก้าอี้สองตัว แม่กับฉันนั่งลง ขณะที่ผู้ชายยืนอยู่ด้านหลังเรา“นายบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกกับเรา” โรแวนถามเสียงจริงจัง“ขอเวลาเดี๋ยว” เขาชูนิ้วข
เมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับ และมันแสดงออกมาทางรูปลักษณ์ของฉันในเช้าวันนี้ ฉันเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ โรแวนกับฉันไม่ได้เข้านอนในเตียงเดียวกันเลยตั้งแต่คืนที่เราไปออกเดตกัน และนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่นั้นมาที่ฉันรู้สึกอยากชวนเขา หลังจากกลับจากสถานีตำรวจฉันเดินไปที่ครัวช้า ๆ ตอนนี้ยังเช้ามาก และฉันอาจเป็นคนเดียวที่ตื่นอยู่ ฉันต้องการกาแฟโดยด่วนเพราะวันนี้ฉันต้องพากันเนอร์กลับไป คาลวินบอกว่าเขาจะยุ่งและอาจมารับไม่ได้ ฉันจึงอาสาไปส่งเองฉันหาวจนปากอ้ากว้าง ฉันเดินเข้ามาในครัว แต่ก็ต้องชะงักทันที โรแวนนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์พร้อมถ้วยกาแฟร้อนในมือเขาหันมามองเมื่อได้ยินเสียง และสายตาเราก็ประสานกัน“นอนไม่หลับเหรอ?” เขาถามพลางลุกขึ้นยืนฉันพยักหน้าเบา ๆ มองเขาเปิดตู้หยิบแก้วอีกใบ โดยที่ฉันยังไม่ได้เอ่ยปาก เขาก็รินกาแฟจากกาให้ฉัน“ฉันนึกว่าฉันตื่นอยู่คนเดียว” ฉันพึมพำขณะนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ“ไม่ใช่หรอก”แม้แต่ตอนนี้ ความคิดของฉันยังคงวนเวียนอยู่กับสิ่งที่ไบรอันบอกเรา หลักฐานนั้นชัดเจนและกล่าวหาเอมม่าอย่างหนักแน่น ไม่มีทางที่จะพิสูจน์เป็นอย่างอื่นได้ ไบรอันบอกเราว่าจะเริ่มการพิจารณาคด
“ฉันไม่มั่นใจ แต่เชื่อฉันเถอะ” ในที่สุดฉันก็ตอบเขา “สัญชาตญาณของฉันไม่เคยผิด”เขาดูไม่แน่ใจในตอนแรก จนกระทั่งเขาปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบนิ่ง และปัดความสงสัยออกไปจากใบหน้า เขายืนขึ้นและเดินมาข้าง ๆ ฉัน ก่อนที่ฉันจะเข้าใจว่าเขาจะทำอะไร เขาก็จูบฉันเบา ๆ แล้วดึงตัวกลับทันที“ก็ได้” เขาเริ่มพูด “ผมเชื่อคุณ แต่ถ้ามันกลายเป็นแบบตรงกันข้าม ผมจะให้เธอชดใช้กับสิ่งที่เธอทำกับคุณ”น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเด็ดขาดและอันตรายอย่างชัดเจนฉันยอมรับข้อตกลง “ตกลง แต่คุณจะเห็นเองว่าสัญชาตญาณเรื่องนี้ฉันถูก”เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่จูบหน้าผากฉันแล้วกลับไปนั่งดื่มกาแฟ เราคุยกันต่ออีกหน่อย ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร แต่ความรู้สึกมันดีมากการได้พูดคุยกับเขาและอยู่ใกล้ ๆ เขา มันให้ความรู้สึกเหมือนกลับบ้านหลังจากวันที่เหนื่อยล้า ฉันรักโรแวน และตอนนี้ฉันกำลังได้สิ่งที่ฉันเคยอธิษฐานขอมาโดยตลอด แล้วฉันจะปล่อยเขาไปได้ยังไง? ฉันจะปฏิเสธโอกาสนี้ได้ยังไง?ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสครั้งที่สองในความรัก ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะได้เห็นสามีที่เคยหลงผิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาทำให้ฉันเจ็บ แต่ฉันต้องปล่อยอดีตไปเสีย ฉันคิดว่า ณ จ
"สวัสดีค่ะ" ฉันทักพลางยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องครัวกันเนอร์รีบวิ่งไปกอดพ่อของเขาพร้อมเล่าเรื่องช่วงเวลาที่แสนสนุกที่เขาและโนอาใช้เวลาด้วยกันที่บ้านของเรา“สวัสดีครับ เอวา”ฉันหัวเราะเบา ๆ เขากำลังพยายามทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ทั้งฟังลูกชาย เลี้ยงดูฉัน และยังพยายามทำงานให้เสร็จ"นี่ฉันมารบกวนแต่เช้าหรือเปล่า?" ฉันถาม "ฉันพากันเนอร์กลับไปก่อนได้นะ เพื่อที่คุณจะได้ทำงานต่อโดยไม่ถูกรบกวน""ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ ผมเกือบจะเสร็จงานแล้ว" เขาตอบ "อีกอย่างวันนี้วันอาทิตย์ และเรามีกิจกรรมวันอาทิตย์กันด้วย"ฉันยิ้มและพยักหน้า ก่อนจะเตรียมตัวจะขอตัวกลับ แต่แล้วบ้านหลังข้าง ๆ ก็สะดุดสายตาฉันอีกครั้ง ครัวของคาลวินมองเห็นไปยังสนามหลังบ้านของบ้านหลังนั้นพอดี"คาลวินคะ?" ฉันเรียกเขา และเขาเงยหน้าขึ้นมามอง“ครับ?”"บ้านหลังนั้นเป็นของใครเหรอ? ไม่เข้าใจว่าทำไมมันดึงสะดุดตาจัง”"เขาหันหน้ามองตามที่ฉันชี้ไป จากนั้นก็หันกลับมามองหน้าฉันอีกครั้ง"อ้อ นั่นบ้านคุณเองครับ เอวา"ฉันยืนตัวแข็งทื่อ บ้านของฉัน? มันเป็นไปได้ยังไง? แต่พอนึกดูอีกที โรแวนไม่ได้บอกฉันเหรอว่าเราห่างกันไปสักพัก? ถ้าเป็นแบบนั้น บางท
โรแวนผมจ้องมองหน้าจอแล็ปท็อปว่างเปล่า ไม่มีอารมณ์ทำงานเลย โนอากำลังเล่นวิดีโอเกม ส่วนไอริสกำลังหลับ เอวาออกไปส่งกันเนอร์ได้สักพักแล้ว เธอน่าจะกลับมาได้แล้วตั้งแต่เหตุการณ์ยิงกัน ผมก็เป็นห่วงเธอไม่หยุด ความกลัวกัดกินใจทุกครั้งที่เธออยู่นอกบ้าน ผมไม่สามารถสลัดความหวาดกลัวที่จะสูญเสียเธอไปได้ ผมเกือบเสียเธอไปครั้งหนึ่งแล้ว และนั่นก็ทิ้งรอยแผลไว้ในใจผมผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเธอปลอดภัย รวมถึงการส่งคนที่ทำร้ายเธอไปยังที่ซึ่งจะไม่มีทางทำร้ายเอวาได้อีกผมถอนหายใจและลุกขึ้น สิ่งที่รบกวนจิตใจอีกอย่างคือคำพูดของเอวาในวันนี้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมและอย่างไรเธอถึงเชื่อว่าเอมม่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมรู้ตัวช้าไป แต่เอมม่าเริ่มจ้องเล่นงานเอวาตั้งแต่เธอรู้ว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเอวาเปลี่ยนไปอย่างที่บอก ผมยืนยันได้ว่าเอมม่าที่ผมรักในวัยรุ่นเป็นคนดี แต่เอมม่าในวันนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป หลายสิ่งหลายอย่างชี้ชัดว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วลองคิดดูสิ เธอปฏิเสธเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ซ่อนกันเนอร์และปิดบังความจริงว่าเธอเป็นแม่ของเขา ใช้ชีวิตต่อไปเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตน ถ้าเธอทำได้ถึงขนาดนี้ คุณคิดจ
ผมรู้สึกทั้งประหลาดใจและชื่นชมในเวลาเดียวกัน รีเปอร์พูดและผมสาบานได้ว่าได้ยินน้ำเสียงสนุกสนานจากเขา “ทุกคนพูดถึงว่านายรักเธอมากแค่ไหน ไม่คิดเลยว่านายเคยทำร้ายเธอ โดยเฉพาะกับเอวา”“คนอื่นจะไปรู้อะไร””ขณะที่ผมพูดคำนี้ ความจริงก็กระแทกเข้ามาในหัวใจ ผมไม่ได้รักเอมม่าอีกต่อไป ความรักนั้นตายไปแล้ว และบางทีมันอาจจะตายไปนานแล้วด้วย สิ่งที่ผมรู้สึกต่อเอวาแข็งแกร่งกว่ามองย้อนกลับไป ผมหลงใหลในตัวเอมม่าและในแนวคิดของความรักมากกว่า อีกทั้งทุกคนเคยพูดว่าเราคู่กันดี ว่าเราสมบูรณ์แบบเมื่ออยู่ด้วยกัน ผมคิดว่าสิ่งนั้นฝังหัวผมมาตลอด ผมได้ยินเรื่องนี้มากมายตอนที่ยังเด็กจนมันล้างสมองผมให้คิดว่ามันคือความจริงทุกคนอยากให้เราคู่กัน รวมถึงแม่ของเราที่คอยผลักดันให้เราอยู่ใกล้ชิดกันเสมอ ถ้าเกิดสิ่งที่ผมรู้สึกมาตลอดมันไม่ใช่ความรัก แต่เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความปราถนาของพวกแม่ ๆ ล่ะ? ความคิดบ้าบอพวกนั้นมันไม่ควรมีอิทธิพลกับเรามาขนาดนี้แต่ถ้าไม่ใช่เพราะการผลักดันนั้น เราจะได้ลงเอยกันไหม? เราจะเริ่มคบกันหรือเปล่า? คำตอบคงเป็น ไม่ “โรแวน ยังอยู่ไหม?”ผมสะบัดหัวเพื่อตื่นจากความคิด ไม่มีอะไรสำคัญ
เอวาความทรงจำของฉันกลับมาแล้ว และจะบอกว่าฉันโกรธก็คงไม่เพียงพอ ฉันไม่ได้แค่โกรธ ฉันเดือดดาลสุดขีด“คุณโกหกฉัน!” ฉันตะโกนใส่โรแวน มือของฉันฟาดไปที่หน้าอกของเขา มันเหมือนกับการตีเข้ากำแพงอิฐ แต่ฉันไม่สน “คุณโกหกฉัน คุณมันสารเลว นานเป็นเดือน เป็นเดือน ๆ เชียวนะ โรแวน!”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าความทรงจำของฉันกลับคืนมาแล้ว ตอนแรกฉันรู้สึกแปลกใจเพราะโรแวนไม่เคยแสดงความกลัวมาก่อน แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่าฉันยังโกรธเขาอยู่“ฉันต้องไปก่อน มีที่ที่ฉันต้องไป” ฉันพูดโดยไม่ได้มุ่งหมายพูดกับใครเป็นพิเศษฉันมองไปรอบห้อง และเมื่อเห็นกุญแจรถ ฉันก็หยิบมันขึ้นมา ฉันกำลังจะเดินออกไปเมื่อโรแวนคว้ามือฉันไว้“คุณไปไม่ได้ คุณต้องไปโรงพยาบาลนะเอวา คุณเป็นลม คุณต้องให้หมอตรวจดู” แววตาของเขาอ่อนโยนขณะที่อ้อนวอน “ปล่อยฉันนะ โรแวน” ฉันสั่งพยายามสะบัดมือออก แต่เขากลับจับแน่นขึ้น“ฉันจะไม่พูดซ้ำสองครั้งนะ โรแวน”“ได้โปรด” เขาขอร้อง แต่ฉันทนเขาไม่ไหวอีกต่อไปฉันบิดตัวแล้วใช้มือขวาต่อยหน้าเขาเต็มแรง ความสะใจที่บิดเบี้ยวพลันเกิดขึ้นในใจเมื่อได้ยินเสียงจมูกเขาหัก เพราะเขาไม่ทันตั้งตัวกับหม
“หมายความว่ายังไง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูดก่อนที่ฉันจะตอบ เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ไบรอันขอตัวแล้วเดินไปเปิดประตู ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นโรแวนเดินเข้ามาในห้อง“มาทันเวลาพอดี โรแวน” ไบรอันพูดกับเขา “เอวากำลังจะบอกว่าใครเป็นคนยิงเธอ เธอเชื่อว่าไม่ใช่เอมม่า ทั้ง ๆ ที่หลักฐานจะชัดเจนก็ตาม”โรแวนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หันมามองฉัน ฉันตอบด้วยสายตาขุ่นเคือง ความโกรธยังคงคุกรุ่นอยู่ แต่เริ่มจางหายไปทีละน้อย“ฟังนะ” ฉันเริ่มพูด “นี่ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ แต่เป็นเรื่องของหลักฐาน ฉันเห็นคนที่ยิงฉัน และมันไม่ใช่เอมม่า แท้จริงแล้ว ฉันเชื่อว่าเธอกำลังใช้เอมม่าเป็นแพะรับบาป”โรแวนจ้องมองฉันก่อนจะพูด “คุณจำอะไรบางอย่างได้ใช่ไหม” เขาพูดเหมือนกับว่าเป็นคำยืนยันมากกว่าคำถามฉันพยักหน้า ความรู้สึกบางอย่างแปลก ๆ ในใจ ทำไมเขาถึงอ่านใจฉันได้ขนาดนี้? ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เขาก็รู้“ใคร?” โรแวนถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความวิงวอน“คริสติน” ฉันพูดเบา ๆ พยายามทำใจยอมรับกับความจริง “ก่อนที่ฉันจะหมดสติ เธอเลื่อนหน้ากากลงเล็กน้อย รอยยิ้มที่เยาะเย้ยแล
ฉันหยุดหายใจเเพราะความตกใจ และผละออกจากเขา ในขณะที่ร่างเล็ก ๆ กระโดดขึ้นมาบนตัวเรา"สุขสันต์วันคริสต์มาส!" เขาตะโกนอย่างมีความสุขด้วยเสียงร้องเพลง“หัวจะปวด” ทั้งกาเบรียลและฉันครางอย่างหงุดหงิดจะมาช้ากว่านี้สักชั่วโมงไม่ได้หรืออย่างไร? ถ้ามีใครสักคนในครอบครัวนี้ที่ชอบขัดจังหวะเรา มันก็ต้องเป็นลูกคนที่สอง แอนดรูว์ คนนี้แน่นอน เราเรียกเขาว่าดรูว์เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวขัดจังหวะแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญยังไงเขาก็ทำอยู่ดี"ตื่นครับ! ตื่น!" เขาตะโกนเสียงดัง จนชั่วขณะหนึ่งฉันไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงก้องของเจ้าลูกชาย"ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ดรูว์" เกเบรียลบ่น "พ่อแม่ได้ยินชัดเจนโดยที่หนูไม่ต้องทำให้แก้วหูพ่อแม่แตกก็ได้"ดูเหมือนดรูว์จะไม่ฟังเลย เขาเด้งขึ้นเด้งลงบนเตียง มีความสุขแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาเกเบรียลขยับตัวใต้ผ้าห่ม คงพยายามขยับทุกอย่างให้เข้าที ฉันขยับร่างกายขึ้นและพิงหัวเตียง ก่อนจะคว้าลูกชายที่กระตือรือร้นและอยู่ไม่นิ่งมา สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือเขาทำร้ายพ่อของเขาด้วยการเผลอเหยียบเข้ากลางตัวเขาหรืออะไรทำนองนั้น"หนูพยายามห้ามเลียมแล้วนะคะ แต่แม่ก็รู้ว่าเขาเป็นยังไงเวลาต
ฮาร์เปอร์ฉันกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสีขาวนุ่มฟูแห่งการนอนหลับ ฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกสงบ และรู้สึกได้รับความรักฉันเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทีละน้อย เกเบรียลนอนอยู่ข้างหลังฉัน แขนโอบกอดฉันไว้ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่เรานอนหลับด้วยกัน เขากอดฉันไว้แน่นในอ้อมแขน ราวกับว่าเขากลัวว่าฉันจะหายไปหากไม่ทำเช่นนี้ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลุดออกจากอ้อมแขนของสามี ทว่าแทนที่จะปล่อยฉันไป เขากลับกระชับมือแน่นขึ้น ซึ่งดันฉันเข้าไปแนบชิดมากขึ้นฉันหยุดขยับเมื่อรู้สึกถึงเขา ฉันรู้สึกถึง น้องน้อยที่ตื่นมาเคารพธงชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ฮอร์โมนของฉันพลุ่งพล่าน และฉันก็ต้องการเขาขึ้นมาทันที ฉันอยากให้เขาสอดแทรกเข้ามาในร่างนี้เรื่องบนเตียงของเราสองช่างสมบูรณ์ แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องการมากกว่านี้ อาจเพราะมีลูกด้วยกันถึงสามคนแล้ว บางเวลามันก็ยากที่จะมีเวลาส่วนตัวที่ไม่ถูกรบกวนได้"อืม" เกเบรียลร้องครางเมื่อฉันถูบั้นท้ายกับเป้าของเขาเสียงนั้นเดินทางลงไปจนถึงจุดนั้นของฉัน ฉันถูอีกครั้ง กระตุ้นเสียงครางแสนเร้าอารมณ์จากเขาอีกเกเบรียลเริ่มประทับจูบตามหลัง ไหล่ และคอ มันผ่านมาสองสามวันแล้ว และฉันก็โหยหาเขา
"ใช่เลยครับ" เขาตอบรับรอยยิ้มของฉัน ขณะที่คิลเลียนเดินเข้ามาหาเรา"ผมมาขโมยภรรยาแสนสวยของผมคืนแล้วครับ" เสียงเขาแหบพร่า และฉันอดไม่ได้ที่จะละลายไปกับโทนเสียงนั้น มันเซ็กซี่สุด ๆ ไปเลย“เธอเป็นของคุณแล้วนะ” คาลวินปล่อยมือจากฉันและหลีกทาง ก่อนจะเดินจากไปคิลเลียนดึงฉันเข้าไปในอ้อมกอดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องว่างระหว่างเรา "เป็นยังไงบ้าง? ปวดหลังหรือเปล่า? ขาเป็นยังไง?"เห็นไหม ฉันบอกแล้วไง เขาเป็นเสือร้ายในคราบทนายความ แต่ดูแลเอาใจใส่และรักใคร่ในฐานะคู่ครอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีสเปคแบบไหน จนกระทั่งฉันได้พบเขา"สบายดีค่ะ ที่รัก ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นก็ได้" ฉันหัวเราะเบา ๆ ดันตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้น"ผมเคยบอกว่าผมรักคุณแล้วหรือยัง?" เขาถามฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่เขย่งปลายเท้าและกระซิบชิดริมฝีปากของเขา "ประมาณพันครั้งแล้วค่ะวันนี้ แต่ฉันไม่ได้บ่นอะไรนะ""คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยนะครับ เอมม่า ผมนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงหากไม่มีคุณ ผมรู้ว่าเราได้กล่าวคำสาบานกันไปแล้ว แต่ผมสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมคุณเสมอ เพราะคุณคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมา ผมสัญญา
มอลลี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว เช่นเดียวกับเอวา คอนนี่ เล็ตตี้ ฮาร์เปอร์ และคินลีย์ พวกเธอเป็นเพื่อนสาวกันมาสี่ปีแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุวันนั้น แน่นอนว่าฉันไม่มีวันหาใครมาแทนมอลลี่ได้ เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่มีพวกเธออยู่เช่นกันอีกอย่างเมื่อวานนี้มอลลี่บอกฉันว่าเธอกำลังคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันตื่นเต้นมาก ฉันรักเธอ แต่เรายอมรับว่าเป็นเพื่อนระยะไกลกันมันรักษาความสัมพันธ์กันได้ยาก ฉันมีความสุขมากที่เธอจะย้ายมาอยู่ใกล้ ๆเสียงเพลงช้าลง และกันเนอร์ก็เดินเข้ามา ตัดบทสนทนาทั้งหมด“เต้นรำกันหน่อยไหมครับ แม่?”มีเสียง ว้าว ดังขึ้นเป็นระลอก และฉันสาบานได้ว่าหัวใจฉันละลายไปตรงนั้นเลย"แน่นอนสิจ๊ะ สุดหล่อของแม่" ฉันตอบก่อนจะจับมือเขาตอนนี้กันเนอร์อายุสิบสี่ เป็นวัยรุ่นแล้วเชื่อไหมล่ะ? เขาสูงเท่าฉันแล้ว และฉันมั่นใจว่าอีกไม่กี่ปีเขาจะสูงกว่าฉัน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็จะเป็นลูกชายตัวน้อยของฉันเสมอคาลวินและฉันตัดสินใจส่งเขาไปเข้ารับการบำบัดทันทีที่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราเข้าร่วมการบำบัดร่วมกันบ้าง และพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา และเกี่ยวกับวันที่เกิดอุบัติเหตุ
เอมม่าฉันเต้นรำกับมอลลี่ ปล่อยให้เสียงเพลงโอบล้อมตัวไว้ ฉันรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยแต่ก็ไม่สำคัญอะไรเลยเมื่อฉันมีความสุขสุด ๆ แบบนี้ชุดเดรสสะบัดไปมาขณะที่เราตะโกนเนื้อเพลง หน้าร้อนแสนสาหัส ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ออกมาสุดเสียง เอวาที่กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ก็เข้าร่วมกับเราด้วย ฉันหัวเราะเพราะเธอคิดว่าเธอกำลังเต้นอยู่เลยแต่เปล่าเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกสิ่งที่เธอกำลังทำว่าอะไรดีจำนวนครั้งที่ฉันเรียกว่าตนเองมีความสุขนั้นสามารถนับนิ้วได้เลย หนึ่งคือตอนที่ฉันสอบเนติบัณฑิตได้ สองคือตอนที่กันเนอร์เรียกฉันว่าแม่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน และสามคือวันนี้ งานแต่งของฉันคุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันแต่งงานแล้วและฉันมีความสุขอย่างที่สุดจำทนายหนุ่มน่ารักที่ฉันเล่าให้เอวาฟังในวันเกิดของเจมส์ได้ไหมคะ? จะว่าอย่างไรดี เขาไม่เคยละความพยายามเลยค่ะ ไม่ว่าฉันจะปฏิเสธเขากี่ครั้งก็ตาม เขาขอฉันคบหาอยู่เรื่อย ๆ และที่ฉันบอกว่าเรื่อย ๆ ก็คือเขาขอเกือบทุกวัน ฉันเบื่อที่จะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งฉันก็ตอบตกลง ปรากฏว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตนี้เลยฉันชะลอฝีเท้าลง ดวงตามองหาเจ้าบ
กันเนอร์มีน้องชายแล้ว งงกันอยู่ใช่ไหมคะ? เพราะเมื่อกี้ฉันกับเอวากำลังคุยเรื่องแฟนกันอยู่เลย เชสไม่ใช่ลูกชายของฉันค่ะ เขาเป็นลูกชายตัวน้อยของคาลวินและคินลีย์ พวกเขาแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้วแล้วมีเชสตัวน้อยน่ารักคนนี้เป็นลูกน้อยคาลวินและฉันสนิทกันมากขึ้นตั้งแต่อุบัติเหตุ เหมือนกับกันเนอร์ เขายกโทษให้ฉัน และพวกเราก็สามารถสร้างมิตรภาพที่สวยงามได้คินลีย์เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอเข้ากับพวกเราทุกคนได้ เธอใจดีและน่ารัก และที่สำคัญที่สุด เธอทำให้คาลวินมีความสุขและปฏิบัติต่อกันเนอร์เหมือนลูกชายของเธอเอง"ไม่จ้ะ ไม่เคยเกินจริงเลย" เอวาแก้ตัว "น้าแค่อยากให้แม่หนูเล่าเรื่องทนายความน่ารักที่ที่ทำงานให้ฟังมากกว่านี้""ผมขอจบตรงนี้นะครับ ไปดีกว่า" เขาพูด ดูเหมือนจะขยะแขยงเล็กน้อย "แม่ดูน้องได้ใช่ไหมครับ หรือผมควรจะพาน้องไปด้วย?"“แม่สบายมากจ้ะ…ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เถอะ”เขาพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งไปหาโนอาและคนอื่น ๆ คาลวินใจดีพอที่จะแก้ไขข้อตกลงเรื่องการดูแลบุตร ตอนนี้พวกเราดูแลกันเนอร์ร่วมกัน ลูกอยู่กับคาลวินวันธรรมดาและใช้วันหยุดสุดสัปดาห์กับฉัน"เอาล่ะ กลับมาเรื่องผู้ชายน่ารักคนนั้นก่อนนะ
สามปีต่อมาเอมม่า"จริงจังนะ เอมม่า เมื่อไหร่เธอจะหาแฟนสักที?" เอวาเอ่ยถามพร้อมนั่งลงข้าง ๆ ฉันฉันมองออกไปที่สวนหลังบ้านและยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของเจมส์ลูกชายของทราวิสและเล็ตตี้ ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อของพวกเราและเจมส์กำลังจะอายุครบหนึ่งขวบเล็ตตี้และทราวิสแต่งงานกันเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ทราวิสคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันทีที่ฉันได้สติขึ้นหลังจากอุบัติเหตุที่เกือบจะพรากชีวิตฉันไป คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขับรถคนนั้น เขาถูกจำคุกห้าปีในข้อหาขับรถโดยประมาท ฉันหวังว่าเขาจะได้รับบทเรียนนะกลับมาที่ทราวิสและเล็ตตี้ ฉันคิดว่าการเห็นฉันอยู่ในโรงพยาบาลทำให้เขารู้ว่าชีวิตสั้นแค่ไหน เขาขอเธอแต่งงานและเล็ตตี้ก็ตอบตกลง พวกเขาแต่งงานกันซึ่งเป็นงานแต่งงานฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามตอนนี้ัฉันได้กลายเป็นเพื่อนกับเอวาก็เลยถูกดึงเข้ามาในวงจรนี้ด้วย คอนนี่และรีเปอร์แต่งงานกันแบบงานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เป็นกันเองกับเพื่อนสนิทและครอบครัว สี่เดือนต่อมาทั้งสองก็อ้าแขนรับลูกสาวของพวกเขา เฮเวน ตอนนี้คอนนี่ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนฮาร์เปอร์และเกเบรียลก็กำลังจะมีลูกด้วยกันอีก
"ไม่ไหวแล้ว! ฉันต้องเบ่งเดี๋ยวนี้" ฉันคำรามพร้อมจับเสื้อเกเบรียลไว้ฉันรู้สึกบ้าไปแล้ว เหมือนฉันเสียสติไปแล้ว ความเจ็บปวดกำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้วจริง ๆโชคดีที่พวกเราไปถึงห้องคลอดก่อนที่ฉันจะคลอดลูกตรงทางเดินของโรงพยาบาล ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินไปถึงห้องคลอด และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเตรียมพร้อมให้ฉันเอวาอยู่ในห้องเรียบร้อย ฉันรู้สึกขอบคุณที่มีคนเข้าใจความรู้สึกตอนที่ช่องคลอดฉีกออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เด็กตัวน้อย ๆ ออกมาดูโลก"ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันกัดฟันพูด ก่อนที่จะยกตัวขึ้นและเบ่งสุดแรงฉันสาบานว่าฉันรู้สึกเหมือนก้นจะแตกและมันก็เพิ่มความเจ็บปวดให้ฉันมากขึ้น"ความผิดคุณเลย!" ฉันกรีดร้องใส่เกเบรียลขณะที่จับมือเขาไว้แน่นฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ลมหายใจถี่กระชั้น และรูจมูกบานออกเพื่อพยายามสูดอากาศเข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด"เตรียมนะ เธอ เบ่งเลย" เอวาเร่งเร้าฉันขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากให้ฉัน "เกเบรียลไม่สำคัญแล้วตอนนี้""อ้าว ใจร้ายนะ เอวา" เกเบรียลพึมพำพร้อมจ้องเขม็งไปยังเอวา เธอจ้องเขม็งกลับราวกับจะบอกให้เขาหุบปากและทำตามน้ำไปฉันบีบมือพวกเขาเมื่อมดลูกหดตัวอีกครั้ง และฉันก็ออ
"สบายมากจ้ะ หมีน้อยลิลลี่ แม่กำลังจะคลอดลูก... จำที่แม่บอกหนูได้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนถึงเวลาแบบนี้?"เธอพยักหน้า "ค่ะ แม่บอกว่าแม่จะเจ็บท้อง แต่หนูไม่ต้องห่วง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้น้องเกิดมาค่ะ""ดีมากจ้ะ" ฉันเบ้หน้าเมื่อการหดเกร็งตัวจู่โจมฉันอีกครั้ง "นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นอย่ากลัวไปนะจ๊ะ"เกเบรียลจับมือและช่วยให้ฉันเดินออกจากห้อง ฉันหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก แต่พูดตามตรงมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย"หนูแค่ไม่เข้าใจน่ะค่ะ ทำไมแม่ต้องเจ็บด้วย? ทำไมเด็กถึงออกมาจากท้องแม่ไม่ได้โดยไม่ทำให้แม่เจ็บล่ะคะ?"สิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุดคือทำให้ลูกสาวหวาดกลัวโดยต้องอธิบายให้เธอฟังว่าความเจ็บปวดนั้นจำเป็นสำหรับการออกแรงเบ่งเด็กออกมาจากร่างกายฉัน เธอจะอยากรู้ว่าทำไมต้องเบ่งลูกออกมาด้วย และฉันจะต้องอธิบายว่าเพราะลูกตัวใหญ่และทางออกเล็กกว่า ดังนั้นการหดเกร็งตัวเหล่านั้นจึงจำเป็นสำหรับการเบ่งลูกออกมา จากนั้นเธอจะอยากรู้ว่าทางออกนั้นคืออะไร และฉันจะต้องบอกเธอว่าลูกออกมาทางนั้นอย่างไรเล่าอย่างที่คุณเห็น นั่นไม่ใช่บทสนทนาที่เธอเตรียมใจรับได้นัก เธอจะตกใจกลัวเมื่อรู้ว