"สวัสดีค่ะ" ฉันทักพลางยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องครัวกันเนอร์รีบวิ่งไปกอดพ่อของเขาพร้อมเล่าเรื่องช่วงเวลาที่แสนสนุกที่เขาและโนอาใช้เวลาด้วยกันที่บ้านของเรา“สวัสดีครับ เอวา”ฉันหัวเราะเบา ๆ เขากำลังพยายามทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ทั้งฟังลูกชาย เลี้ยงดูฉัน และยังพยายามทำงานให้เสร็จ"นี่ฉันมารบกวนแต่เช้าหรือเปล่า?" ฉันถาม "ฉันพากันเนอร์กลับไปก่อนได้นะ เพื่อที่คุณจะได้ทำงานต่อโดยไม่ถูกรบกวน""ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ ผมเกือบจะเสร็จงานแล้ว" เขาตอบ "อีกอย่างวันนี้วันอาทิตย์ และเรามีกิจกรรมวันอาทิตย์กันด้วย"ฉันยิ้มและพยักหน้า ก่อนจะเตรียมตัวจะขอตัวกลับ แต่แล้วบ้านหลังข้าง ๆ ก็สะดุดสายตาฉันอีกครั้ง ครัวของคาลวินมองเห็นไปยังสนามหลังบ้านของบ้านหลังนั้นพอดี"คาลวินคะ?" ฉันเรียกเขา และเขาเงยหน้าขึ้นมามอง“ครับ?”"บ้านหลังนั้นเป็นของใครเหรอ? ไม่เข้าใจว่าทำไมมันดึงสะดุดตาจัง”"เขาหันหน้ามองตามที่ฉันชี้ไป จากนั้นก็หันกลับมามองหน้าฉันอีกครั้ง"อ้อ นั่นบ้านคุณเองครับ เอวา"ฉันยืนตัวแข็งทื่อ บ้านของฉัน? มันเป็นไปได้ยังไง? แต่พอนึกดูอีกที โรแวนไม่ได้บอกฉันเหรอว่าเราห่างกันไปสักพัก? ถ้าเป็นแบบนั้น บางท
โรแวนผมจ้องมองหน้าจอแล็ปท็อปว่างเปล่า ไม่มีอารมณ์ทำงานเลย โนอากำลังเล่นวิดีโอเกม ส่วนไอริสกำลังหลับ เอวาออกไปส่งกันเนอร์ได้สักพักแล้ว เธอน่าจะกลับมาได้แล้วตั้งแต่เหตุการณ์ยิงกัน ผมก็เป็นห่วงเธอไม่หยุด ความกลัวกัดกินใจทุกครั้งที่เธออยู่นอกบ้าน ผมไม่สามารถสลัดความหวาดกลัวที่จะสูญเสียเธอไปได้ ผมเกือบเสียเธอไปครั้งหนึ่งแล้ว และนั่นก็ทิ้งรอยแผลไว้ในใจผมผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเธอปลอดภัย รวมถึงการส่งคนที่ทำร้ายเธอไปยังที่ซึ่งจะไม่มีทางทำร้ายเอวาได้อีกผมถอนหายใจและลุกขึ้น สิ่งที่รบกวนจิตใจอีกอย่างคือคำพูดของเอวาในวันนี้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมและอย่างไรเธอถึงเชื่อว่าเอมม่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมรู้ตัวช้าไป แต่เอมม่าเริ่มจ้องเล่นงานเอวาตั้งแต่เธอรู้ว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเอวาเปลี่ยนไปอย่างที่บอก ผมยืนยันได้ว่าเอมม่าที่ผมรักในวัยรุ่นเป็นคนดี แต่เอมม่าในวันนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป หลายสิ่งหลายอย่างชี้ชัดว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วลองคิดดูสิ เธอปฏิเสธเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ซ่อนกันเนอร์และปิดบังความจริงว่าเธอเป็นแม่ของเขา ใช้ชีวิตต่อไปเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตน ถ้าเธอทำได้ถึงขนาดนี้ คุณคิดจ
ผมรู้สึกทั้งประหลาดใจและชื่นชมในเวลาเดียวกัน รีเปอร์พูดและผมสาบานได้ว่าได้ยินน้ำเสียงสนุกสนานจากเขา “ทุกคนพูดถึงว่านายรักเธอมากแค่ไหน ไม่คิดเลยว่านายเคยทำร้ายเธอ โดยเฉพาะกับเอวา”“คนอื่นจะไปรู้อะไร””ขณะที่ผมพูดคำนี้ ความจริงก็กระแทกเข้ามาในหัวใจ ผมไม่ได้รักเอมม่าอีกต่อไป ความรักนั้นตายไปแล้ว และบางทีมันอาจจะตายไปนานแล้วด้วย สิ่งที่ผมรู้สึกต่อเอวาแข็งแกร่งกว่ามองย้อนกลับไป ผมหลงใหลในตัวเอมม่าและในแนวคิดของความรักมากกว่า อีกทั้งทุกคนเคยพูดว่าเราคู่กันดี ว่าเราสมบูรณ์แบบเมื่ออยู่ด้วยกัน ผมคิดว่าสิ่งนั้นฝังหัวผมมาตลอด ผมได้ยินเรื่องนี้มากมายตอนที่ยังเด็กจนมันล้างสมองผมให้คิดว่ามันคือความจริงทุกคนอยากให้เราคู่กัน รวมถึงแม่ของเราที่คอยผลักดันให้เราอยู่ใกล้ชิดกันเสมอ ถ้าเกิดสิ่งที่ผมรู้สึกมาตลอดมันไม่ใช่ความรัก แต่เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความปราถนาของพวกแม่ ๆ ล่ะ? ความคิดบ้าบอพวกนั้นมันไม่ควรมีอิทธิพลกับเรามาขนาดนี้แต่ถ้าไม่ใช่เพราะการผลักดันนั้น เราจะได้ลงเอยกันไหม? เราจะเริ่มคบกันหรือเปล่า? คำตอบคงเป็น ไม่ “โรแวน ยังอยู่ไหม?”ผมสะบัดหัวเพื่อตื่นจากความคิด ไม่มีอะไรสำคัญ
เอวาความทรงจำของฉันกลับมาแล้ว และจะบอกว่าฉันโกรธก็คงไม่เพียงพอ ฉันไม่ได้แค่โกรธ ฉันเดือดดาลสุดขีด“คุณโกหกฉัน!” ฉันตะโกนใส่โรแวน มือของฉันฟาดไปที่หน้าอกของเขา มันเหมือนกับการตีเข้ากำแพงอิฐ แต่ฉันไม่สน “คุณโกหกฉัน คุณมันสารเลว นานเป็นเดือน เป็นเดือน ๆ เชียวนะ โรแวน!”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าความทรงจำของฉันกลับคืนมาแล้ว ตอนแรกฉันรู้สึกแปลกใจเพราะโรแวนไม่เคยแสดงความกลัวมาก่อน แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่าฉันยังโกรธเขาอยู่“ฉันต้องไปก่อน มีที่ที่ฉันต้องไป” ฉันพูดโดยไม่ได้มุ่งหมายพูดกับใครเป็นพิเศษฉันมองไปรอบห้อง และเมื่อเห็นกุญแจรถ ฉันก็หยิบมันขึ้นมา ฉันกำลังจะเดินออกไปเมื่อโรแวนคว้ามือฉันไว้“คุณไปไม่ได้ คุณต้องไปโรงพยาบาลนะเอวา คุณเป็นลม คุณต้องให้หมอตรวจดู” แววตาของเขาอ่อนโยนขณะที่อ้อนวอน “ปล่อยฉันนะ โรแวน” ฉันสั่งพยายามสะบัดมือออก แต่เขากลับจับแน่นขึ้น“ฉันจะไม่พูดซ้ำสองครั้งนะ โรแวน”“ได้โปรด” เขาขอร้อง แต่ฉันทนเขาไม่ไหวอีกต่อไปฉันบิดตัวแล้วใช้มือขวาต่อยหน้าเขาเต็มแรง ความสะใจที่บิดเบี้ยวพลันเกิดขึ้นในใจเมื่อได้ยินเสียงจมูกเขาหัก เพราะเขาไม่ทันตั้งตัวกับหม
“หมายความว่ายังไง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูดก่อนที่ฉันจะตอบ เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ไบรอันขอตัวแล้วเดินไปเปิดประตู ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นโรแวนเดินเข้ามาในห้อง“มาทันเวลาพอดี โรแวน” ไบรอันพูดกับเขา “เอวากำลังจะบอกว่าใครเป็นคนยิงเธอ เธอเชื่อว่าไม่ใช่เอมม่า ทั้ง ๆ ที่หลักฐานจะชัดเจนก็ตาม”โรแวนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หันมามองฉัน ฉันตอบด้วยสายตาขุ่นเคือง ความโกรธยังคงคุกรุ่นอยู่ แต่เริ่มจางหายไปทีละน้อย“ฟังนะ” ฉันเริ่มพูด “นี่ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ แต่เป็นเรื่องของหลักฐาน ฉันเห็นคนที่ยิงฉัน และมันไม่ใช่เอมม่า แท้จริงแล้ว ฉันเชื่อว่าเธอกำลังใช้เอมม่าเป็นแพะรับบาป”โรแวนจ้องมองฉันก่อนจะพูด “คุณจำอะไรบางอย่างได้ใช่ไหม” เขาพูดเหมือนกับว่าเป็นคำยืนยันมากกว่าคำถามฉันพยักหน้า ความรู้สึกบางอย่างแปลก ๆ ในใจ ทำไมเขาถึงอ่านใจฉันได้ขนาดนี้? ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เขาก็รู้“ใคร?” โรแวนถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความวิงวอน“คริสติน” ฉันพูดเบา ๆ พยายามทำใจยอมรับกับความจริง “ก่อนที่ฉันจะหมดสติ เธอเลื่อนหน้ากากลงเล็กน้อย รอยยิ้มที่เยาะเย้ยแล
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเอมม่าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนอื่นคิด หัวฉันปวดเหมือนจะระเบิด และตอนนี้ฉันต้องการเพียงแค่การนอนพักผ่อนเท่านั้น“เสร็จหรือยังคะ?” ฉันถามไบรอัน “ฉันไปได้แล้วใช่ไหม? แล้วเอมม่าจะถูกปล่อยตัวได้เลยไหม?”“ครับ สำหรับเอมม่า เธออาจต้องรออีกสักพักเพื่อให้เราจัดการเอกสารปล่อยตัว แต่คุณไปได้เลย ผมดูออกว่าคุณเหนื่อยมาก”เขาไม่รู้เลยว่าที่พูดมานั้นถูกต้องแค่ไหน ฉันรู้สึกเหมือนหัวตัวเองกำลังจะแตกและกระเด็นไปทุกที่“ไปเถอะ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาลก่อน” โรแวนลุกขึ้นและยื่นมือมาให้ฉันตอนแรกฉันลังเล แต่สุดท้ายก็วางมือไว้ในมือเขา “ฉันไม่อยากไปโรงพยาบาล โรแวน ฉันอยากกลับบ้านและพักผ่อน”เขากำลังจะโต้เถียง แต่เอมม่าก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา ซึ่งไม่เหมือนตัวเธอเลย การเปลี่ยนแปลงในตัวเอมม่ายังคงทำให้ฉันประหลาดใจเสมอ เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนเดิมที่หนีจากความเจ็บปวดเมื่อหลายปีก่อน และก็ไม่ใช่ผู้หญิงคนเดิมที่กลับมาในภายหลัง ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะหมดหวังและหลงทาง“ฉันขอคุยกับเอวาเป็นการส่วนตัวได้ไหม?” เธอถามในที่สุดโรแวนหันมามองฉันและฉันก็พยักหน้า ฉันอยากรู้ว่า
ผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่วันที่ฉันบอกให้โรแวนให้เวลาแก่ฉัน เขาพยายามรักษาระยะห่าง แต่มันไม่ง่ายเลยสำหรับเราทั้งคู่ฉันจะไม่โกหก ฉันคิดถึงเขามาก คิดถึงการอยู่ใกล้เขา คิดถึงบทสนทนาของเรา คิดถึงทุกอย่างที่เป็นเขา มันยากที่จะปรับตัวให้เข้ากับโรแวนที่ฉันเคยรู้จัก กับโรแวนที่ฉันตื่นมาพบหลังจากออกจากอาการโคม่าไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็รู้ว่าเขารักฉัน แต่คำถามคือนั่นเพียงพอไหม? ส่วนหนึ่งของฉันอยากให้อภัยเขาและก้าวไปข้างหน้า แต่อีกส่วนหนึ่งกลัวว่าความทรงจำในอดีตจะเป็นหนามที่ทิ่มแทงความสัมพันธ์ของเรา ฉันหมายถึง เราจะมีความสุขได้อย่างไรในเมื่อฉันยังปล่อยวางอดีตไม่ได้?มันเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่สำหรับโนอาและไอริสเช่นกัน พวกเขาแสดงออกชัดเจนว่าคิดถึงโรแวน โนอาพูดถึงเขาตลอดเวลา และถามว่าเมื่อไหร่เราจะกลับไปอยู่กับพ่อของเขา ไอริสหงุดหงิดง่ายตั้งแต่เราออกมาเธอร้องไห้บ่อยและกระสับกระส่าย มีเพียงตอนที่โรแวนโทรมาและเธอได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นที่เธอสงบลง สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ แม้ว่าโรแวนจะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของเธอ มันทำให้ฉันประหลาดใจและฉันก็ไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรฉันอาจจะกลับไปเพื่อเห็นแก่ล
"ซาราห์..." ฉันพยายามพูด แต่เธอกลับตัดบทฉันทันที"พวกเราผิดเอวา เราผิดและฉันเชื่อว่าเหตุผลที่ทุกคนยึดติดกับสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ระหว่างโรแวนกับเอมม่าทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันเห็นมันชัดเจนมาก ตอนนั้นพวกเธอยังเป็นแค่เด็ก ถ้าพวกเราปล่อยวาง พวกเขาก็คงทำตาม แต่เพราะเรายึดติดกับอดีตแน่นเกินไป พวกเขาเลยทำตาม ส่งผลให้โรแวนทำร้ายเธออย่างที่เขาทำ" เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ"ฉันไม่ได้แก้ตัวในสิ่งที่เขาทำ แต่ฉันอยากให้เธอเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำอาจเป็นผลโดยตรงจากพฤติกรรมของเราที่เป็นพ่อแม่"ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอพูด แต่นั่นไม่ได้อธิบายการกระทำของเขาในเวลาต่อมา ใช่ เราแต่งงานกันตอนยังเด็ก แต่เราก็เติบโตขึ้นมาแล้ว การกระทำและความโหดร้ายของเขายังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาเก้าปี นั่นคือสิ่งที่ฉันไม่สามารถก้าวข้ามไปได้"ฉันรู้ว่าฉันกำลังขอร้องให้เธอทำในสิ่งที่ยาก แต่โปรดให้โอกาสเขาสักครั้ง ฉันรู้จักลูกชายของฉันดี และฉันรู้ว่าถ้าเขารักใครสักคน เขาจะรักอย่างลึกซึ้ง เขาจะใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลือเพื่อรักเธอและดูแลเธออย่างที่เธอสมควรได้รับ ถ้าเธอให้โอกาสเขา เขาจะทำทุกวิถี
“ตัดสินใจแล้วค่ะ ตอนนี้เซียร่ากับหนูเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว” ลิลลี่พูดขึ้นขณะเดินเข้ามาในครัวที่ฉันนั่งดื่มกาแฟอยู่ในตอนที่พ่อครัวกำลังเตรียมอาหารเช้าวันนี้เป็นวันเสาร์ วันหยุดของฉันและเธอก็ไม่มีเรียน วันนี้เราสามารถพักผ่อน นอนเล่น และผ่อนคลายได้ หลังจากที่ต้องเจอความยุ่งวุ่นวายจากการทำงานมาตลอดสัปดาห์ ฉันต้องการเวลาพักผ่อนจริง ๆ“ชอบเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉันจิบกาแฟพลางพยายามซ่อนยิ้ม“แน่นอนค่ะ” เธอปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้บาร์ก่อนหยิบกล้วยขึ้นมาลูกหนึ่ง “พวกเรามีอะไรเหมือนกันเยอะเลย เธอชอบการผจญภัยแล้วก็อ่านหนังสือเหมือนหนูเลยค่ะ”ตอนที่ลิลลี่เล่าเรื่องเซียร่าให้ฟังครั้งแรก ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพวกเธอจะกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉันควรจะมองเห็นสัญญาณนี้ตั้งแต่ที่ลิลลี่พูดถึงเธอทุกวันตอนมื้อเย็นลูกรักของฉันไม่เคยมีเพื่อนสนิทมาก่อน อย่างที่บอกไปว่าเธอค่อนข้างหลีกเลี่ยงการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเด็กคนอื่น ๆ ที่โรงเรียนเก่าฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะเธอสนใจการเรียนมากกว่าการเล่น หรือเพราะเธอไม่รู้สึกสนิทใจกับคนอื่น หรือเธอคิดว่าตนเองโตเกินไปและเด็กคนอื่นยังดูไร้เดียงสาเกินไปสำหรับเธอ ไ
น้ำเสียงของเขาไม่เปิดช่องว่างให้มีการโต้เถียงได้ สิ่งเดียวที่คุณสามารถเลือกได้มีเพียงทำตามเท่านั้น“ค่ะ คุณวู้ด” เธอพูดอย่างติดขัดด้วยความกลัวที่สลักอยู่บนใบหน้าเพราะคำข่มขู่นั้น“ตอนนี้ก็เชิญกลับไปทำงานของคุณได้แล้ว เราไม่ได้จ่ายเงินให้คุณมาทำงานเพื่อหาเพื่อนแล้วจะได้เป็นที่ชื่นชอบอะไรทั้งนั้น”หน้าเธอแดงก่ำเพราะความอับอายก่อนเธอจะหันหลังรีบซอยเท้าออกไปอย่างไว ส่วนที่ผู้คนที่เหลือก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นว่าเธอโดนด่าซ้ำเมื่อเรื่องจบ เขาก็ผายมือให้ฉันเข้าไปในลิฟต์ เมื่อประตูปิดลง ฉันก็หันไปหาเขา“คุณกับน้องชายนี่หากอยากทำตัวน่ากลัวก็ร้ายไม่เบานะคะ” ฉันเอ่ยกับโรแวนอย่างตรงไปตรงมาฉันได้ยินเรื่องของทั้งสองมาก่อน เรื่องของคู่หูพี่น้องวู้ด เมื่อก่อนนั้นแม้แต่พ่อแม่ของฉันยังหวาดหวั่นเลย ตอนนั้นอายุทั้งสองยังไม่ยี่สิบสามเลยด้วยซ้ำ พวกเขาสามารถกดข่มได้ทุกคน ใครก็ตามที่กล้ากระดุกหนวดเสือ ผู้นั้นย่อมไม่มีวันได้ใช้ชีวิตเป็นสุข อย่างที่เอวากับฉันก็นับได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีว่าชีวิตจะโดนพวกเขาทำลายได้อย่างไรบ้างเขายักไหล่ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย “มันก็เป็นเรื่องของปลาใหญ่กินปลาเล็กล่ะนะ
“ช่วยอะไรหน่อย” คริสโตเฟอร์ตอบ “ช่วยไปเก็บรายงานประจำสัปดาห์จากแต่ละแผนกหน่อยได้ไหม? เพราะเรื่องวุ่นวายเมื่อวานทำให้ผมไม่ได้จัดการเรื่องนี้เลย”“ได้เลย ไม่มีปัญหาค่ะ ขอเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องทำงานก่อน แล้วฉันจะไปจัดการให้”หลังจากเขาพยักหน้า ฉันก็เดินตรงไปที่ห้องทำงาน รีบวางของให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปที่แผนกอื่น ๆเมื่อฉันไปถึงแผนกแรก บรรยากาศตึงเครียดทันทีที่ฉันก้าวเข้าไป ทุกคน และฉันหมายถึงทุกคนจริง ๆ หันมามองฉันเป็นตาเดียว ฉันเกลียดความสนใจแบบนี้และอยากให้พวกเขาสนใจงานของตัวเองแทน ฉันพยายามเมินเฉยและจัดการสิ่งที่ฉันต้องทำให้เสร็จ ก่อนจะรีบออกมาฉันไม่เคยมีโอกาสได้สร้างมิตรภาพกับใคร เพราะมิลลี่เคยปล่อยข่าวลือว่าฉันเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่นอนกับเกเบรียล แค่นั้นก็เพียงพอให้คนอื่นตัดสินและตีตัวออกห่างจากฉันฉันถอนหายใจโล่งอกเมื่อมาถึงแผนกสุดท้าย บางคนยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้ข่าวเรื่องฉันกับเกเบรียลแพร่ออกไปแล้ว พวกเขาเลยพยายามทำดีด้วย ฉันรู้ดีว่ามีคนที่เข้าหาคุณเพียงเพราะหวังจะได้ประโยชน์จากคุณ“ไง ฮาร์เปอร์” เสียงของรีเบคก้า หนึ่งในลิ่วล้อของมิลลี่ดังข
ฮาร์เปอร์เช้าวันรุ่งขึ้น เกเบรียลไม่อยู่ให้เห็นเลยตอนที่ฉันทานอาหารเช้าและเตรียมตัวออกไปทำงาน จนกระทั่งตอนที่ขึ้นรถและถามคนขับว่าเกเบรียลอยู่ที่ไหน ถึงได้รู้ว่าเขาออกไปทำงานก่อนแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เราต่างคนต่างไปทำงานตั้งแต่ฉันเริ่มทำงานให้เขา ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารู้สึกโล่งใจหรือไม่ในเมื่อเขาไม่อยู่ ฉันเลยตัดสินใจไปส่งลิลลี่ที่โรงเรียนก่อน ความตื่นเต้นของเธอยังไม่จางหาย ตลอดทางเธอพูดถึงแต่เซียร่า ฉันรู้จักลูกสาวของตัวเองดี และรู้ว่าเธอไม่เคยตื่นเต้นหรือมีความสุขกับเด็กผู้หญิงคนไหนมาก่อนแบบนี้แน่นอนว่าเธอมีเพื่อนที่บ้านเก่าที่เราเคยอยู่ แต่ก็ไม่มีใครที่เธอพูดถึงมากขนาดนี้ ฉันคิดว่าเด็กพวกนั้นน่าจะเป็นแค่คนรู้จักมากกว่าเพื่อนของลูกสาวฉันเธอไม่เคยชวนใครมาค้างบ้าน และถ้าใครเชิญเธอไป เธอก็มักจะหาข้ออ้างว่าไปไม่ได้ เธอไม่เคยพูดถึงเพื่อนพวกนั้นมากมายเหมือนที่พูดถึงซีเอร์รา ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียวแต่ไม่ว่าอะไรที่ทำให้เธอมีความสุข ฉันก็มีความสุขด้วย ถ้าเซียร่าทำให้ลิลลี่กลายเป็นเด็กหญิงที่กรี๊ดกร๊าดและหัวเราะคิกคักได้ แล้วฉันจะมีเหตุผลอะไรไปขัดขวาง?ครั้งแรกเลยที่ฉ
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไม่สนใจพวกเขา ผมลุกขึ้นอีกครั้ง คว้าเสื้อโค้ทแล้วออกจากห้องทำงาน ผมรู้ดีว่าคงไม่มีสมาธิทำงานได้ แล้วจะเสียเวลาไปทำไมกันล่ะ?ผมส่งข้อความหาคนขับรถเพื่อให้เตรียมรถไว้ก่อนจะก้าวขึ้นลิฟต์ ไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็อยู่ในลานจอดรถใต้ดิน“คุณวู้ดครับ” เขาก้มศีรษะเล็กน้อยขณะเปิดประตูรถให้ผมผมพยักหน้ารับก่อนจะเข้าไปในรถ เขาก็ขึ้นรถและเริ่มขับออกไปผมตัดสินใจเปิดดูข่าวซุบซิบต่าง ๆ เป็นการฆ่าเวลาเกเบรียล วู้ดเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ประกาศลั่นอย่างเป็นทางการ ข่าวจากวงในวู้ด คอร์เปอร์เรชั่นเกเบรียล วู้ด หนุ่มเนื้อหอมตัวท๊อปของเมืองสละโสดขวัญใจมหาชน เกเบรียล วู้ดลั่นระฆังวิวาห์ปิดประมูลความโสดของหนุ่มฮอต เกเบรียล วู้ดสาวคนไหนกันที่เกเบรียล วู้ด สวมแหวนแต่งงานให้กันนะ?เรื่องแล้วเรื่องเล่า บทความพวกนี้มีแต่เรื่องไร้สาระ บางอันก็ดูโง่เง่า บางอันก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเมื่อเดินทางถึงบ้าน ผมปิดโทรศัพท์ก่อนลงจากรถ หลังจากกล่าวลาคนขับแล้ว ผมก็เดินตรงไปยังบ้านของตัวเองผมแปลกใจที่เจอฮาร์เปอร์นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น“กลับมาบ้านได้สักทีนะคะ” เธอพูดอย่างเหม่อลอย “เห็นข่าวซุบซิบพว
เกเบรียลผมนั่งมองเอกสารตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า อารมณ์ยังคงเดือดพล่าน โกรธจัด โกรธจนแทบบ้า มิลลี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้กล้าพูดจาหยาบคายใส่ฮาร์เปอร์แบบนั้น?เพราะสมาธิที่เตลิดไปจนหมด ผมลุกขึ้นยืนและเริ่มเดินวนไปมา สมองผมทำงานเร็วราวกับกำลังวิ่งไปด้วยความเร็วพันไมล์ต่อวินาที ผมพยายามคิดหาวิธีที่แตกต่างไปซึ่งจะทำให้ชีวิตของมิลลี่เป็นนรกบนดินนายโกรธอะไรนักหนา? ตอนที่แต่งงานกับฮาร์เปอร์เมื่อหลายปีก่อน นายเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ามิลลี่เลยเสียงในหัวเยาะหยันผม แต่ผมไม่อยากฟัง เพราะมันพูดถูกจนน่าหงุดหงิด ตอนนั้นผมไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของเธอเลย ผมทำให้เธอเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วอะไรล่ะที่เปลี่ยนไป?ตอนที่ผมลากฮาร์เปอร์มายืนกลางห้องและขู่ทุกคนที่กล้าทำร้ายเธอ ผมเห็นความตกใจและประหลาดใจในดวงตาเธอตอนอยู่ในห้องทำงานของผม เธอมองผมเหมือนกับว่าไม่รู้จักผมอีกต่อไป เหมือนเธอไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเลือกอยู่ข้างเธอ มันชัดเจนว่าเธอคิดไม่ออกว่าจะคิดกับผมหรือการกระทำของผมอย่างไรผมยกมือลูบหน้าพร้อมถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ผมจะโทษเธอได้อย่างไรล่ะกับปฏิกิริยานั้น ในเมื่ออดีตผมเคยปฏิบัติกับเธออย่างเลว
จากนั้น เขาจับมือฉันพาเดินออกจากห้องไป ก่อนที่ประตูจะปิด ฉันมองเห็นความหวาดกลัวในตาของมิลลี่ ความกลัวนั้นบอกทุกอย่างที่ฉันต้องการรู้ และแน่นอนว่าผลการสอบสวนของเธอคงไม่พูดถึงเธอในทางดีแน่เราขึ้นลิฟต์ไปเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไร จนเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เกเบรียลพาฉันไปที่ห้องทำงานของเขา"คุณเป็นอะไรไหม?" เขาถามเมื่อเราเข้าไปในห้อง "ผมส่งเรื่องให้ทีมสื่อข่าวสารประกาศเรื่องการแต่งงานของเราแล้ว ผมอยากลงไปหาเพื่อบอกคุณเรื่องนี้ แต่กลับไม่เจอคุณที่ห้องทำงานตัวเอง ผมก็เลยได้เห็นฉากน่ารังเกียจนั้นกับตา"ฉันดึงมือออกจากมือของเขาแล้วจ้องมองกลับไป "ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องห่วง""แน่ใจนะ?""แน่ใจค่ะ"เรานั่งอยู่ในความเงียบงันสักพัก ฉันเห็นว่าเขาคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนมีบางอย่างที่ยับยั้งเขาเอาไว้ สายตาที่เขาจ้องมาทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันคงกลับบ้านก่อนนะคะ ฉันรู้สึกกังวลมาตลอดทั้งวันเพราะเรื่องลิลลี่" ฉันพูดเบา ๆ ไม่กล้ามองตาเขา"ได้ งานเสร็จเมื่อไหร่ ผมก็จะกลับบ้านเลยเหมือนกัน"ฉันพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ไม่ใช่ว่าฉันไม่ขอบคุณในสิ่งที่เขาทำให้ แต่การกระทำของเข
"ภรรยาเหรอ?" มิลลี่ทวนคำพูดราวกับว่าเธอไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้"ผมพูดไม่ชัดหรือไง?" เกเบรียลถามเสียงเรียบแต่แฝงความคมกริบทั้งห้องเงียบกริบทันที คนที่เคยพึมพำและชี้นิ้วมาที่ฉันตอนนี้ต่างก้มหน้าลงไม่กล้ามองขึ้นมาฉันไม่ได้ต้องการให้เกเบรียลมาสู้แทนฉันเลย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขี้กลัวและไม่มีความมั่นใจเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ฉันเปลี่ยนไปมาก แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าฉันชอบที่เขาออกมาปกป้องฉันมิลลี่ตัวสั่นเทิ้ม เธอทั้งตัวแข็งทื่อและความกลัวปรากฏชัดบนใบหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฉันทำงานที่นี่ที่เธอไม่ได้ดูเหมือนผู้หญิงเย่อหยิ่งที่ฉันคุ้นเคยด้วยท่าทางของเธอ คุณอาจคิดว่าเธอเป็นเจ้าของบริษัทนี้ เธอชอบสั่งคนอื่น ทั้งหยาบคายและร้ายกาจ โดยเฉพาะกับผู้หญิง เธอปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนพวกเขาต่ำต้อยกว่าฉันแทบไม่เคยลงไปที่ชั้นอื่น ๆ แต่ถ้าฉันจำเป็นต้องไป มิลลี่จะอยู่ที่นั่นเสมอเพื่อพูดจาไร้สาระและปฏิบัติต่อฉันเหมือนขยะ"ดิฉันขอโทษค่ะเกเบรียล ดิฉันไม่ทราบว่าเธอเป็นภรรยาของคุณ" เธอกระซิบ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยการขอร้องความกดดันรอบตัวเกเบรียลยิ่งหนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก ผู้ห
ฉันเพิ่งจะก้าวลงจากรถ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็คว้ามือฉันไว้และกระชากมันอย่างแรง ฉันตกใจกับการกระทำนั้น จึงเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน แล้วก็เจอสายตาที่ลุกวาวของเขา“แหวนอยู่ไหน?” เขาพ่นคำถามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด สายตาจ้องมองฉันเขม็งให้ตายเถอะ! อะไรกันเนี่ย?ฉันค่อย ๆ ละสายตาจากเขาไปที่นิ้วมือว่างเปล่าของตัวเอง คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่สับสนไหม? แบบที่คุณรู้ว่าคนถามอะไร คุณรู้คำตอบ แต่ก็ยังสับสนอยู่ดี? นั่นแหละ ตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้“ฮาร์เปอร์ แหวนคุณอยู่ที่ไหน?” เขาเค้นเสียงถามขณะที่ก้าวลงจากรถฉันมองร่างของเขาที่ลุกออกจากรถ แล้วตอนนี้เขาก็ยืนตระหง่านค้ำหัวฉัน ความน่าเกรงขามของเขาทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออกเขาเขย่าตัวฉันเล็กน้อยดึงฉันกลับมาอยู่กับปัจจุบัน“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น” ฉันพึมพำออกมา ยังคงไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้สีหน้าของเขามืดครึ้มขึ้นไปอีก เหมือนคำตอบของฉันไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวเขาเข้า“เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือคุณไม่ได้ใส่แหวนที่ผมเป็นคนให้ และผมก็อยากรู้ด้วยว่าทำไม” เขาคำรามออกมา ใบหน้าเคร่งเครียดฉันตอบกลับไปแบบโง