“ก็เหมือนที่ฉันถูกบอกในหลาย ๆ ครั้ง ว่าเธอไม่ใช่ครอบครัวของฉัน ดังนั้นเขาก็ไม่ใช่พ่อของฉัน แม้ว่าความเป็นจริงผู้ชายคนนั้นปฏิบัติต่อฉันเหมือนสิ่งที่น่าขยะแขยงก็ตาม แต่ฉันไม่เคยหวังให้เขามีอันตรายใด ๆ และนอกจากนี้เขาก็น่าจะสืบก่อนจะที่จะทำสัญญากับพวกนั้นสิ”“ดังนั้นเธอจะบอกว่ามันเป็นความผิดของเขาที่เขาตายงั้นเหรอ?” ทราวิสถามระหว่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันฉันยักไหล่ “นายคาดหวังบ้าอะไรล่ะ นายคงไม่ได้ทรยศองค์กรอาชญากรรมและคาดหวังว่าจะเดินจากไปอย่างมีความสุขหรอกนะ”“แม่ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกจะพูดแบบนั้น” แม่กระซิบ พลางกลั้นน้ำตาไว้“แล้วฉันก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าพวกคุณมาอยู่ที่นี่ คุณมาทำอะไรที่นี่กัน ฉันคงคาดหวังว่าคุณทั้งสามกำลังภาวนาถึงความตายที่เจ็บปวดของฉันมากกว่า” ฉันโต้กลับด้วยความขมขื่นในโทนเสียงของฉันฉันประหลาดใจกับคำพูดที่ออกมาจากปากของฉัน นี่ไม่ใช่ฉันเลยจริง ๆ มันเหมือนกับคนอื่นได้ควบคุมร่างกายของฉันไว้ทั้งหมด ฉันไม่สามารถหยุดคำพูดร้ายกาจที่จะออกมาจากปากของฉันได้เลยเอมม่าลุกขึ้นด้วยความโกรธเล็กน้อย เนื่องจากหงุดหงิดและหาทางออกไม่เจอ “ฉันบอกแล้ว ฉันพยายามเตือนแล้วไง เธอยังคงเป็น
เป็นเวลาสองสามชั่วโมงแล้วที่โนอาโกรธเคืองใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสามคน ตอนนี้พวกเขาอยู่ข้างนอกในสวนด้านหลัง เพลิดเพลินกับแสงแดด โนอาดูเหมือนจะสงบลงแล้ว แต่ฉันรู้จักเขาดี เขาเฉียบแหลม สายตาของเขายังคงจับจ้องที่พวกเขาอยู่ พลางพินิจพิเคราะห์ ราวกับว่าเขากำลังรอดูว่าพวกเขาจะทำอะไรผิดพลาดอีกตอนนี้ไอริสกำลังหลับอยู่ในห้องของเธอ และฉันอยู่ในห้องครัวพยายามหยุดพักขอหายใจก่อน แม่กับทราวิสพยายามที่จะอุ้มไอริส แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างหัวใจของฉันไม่เห็นด้วยกับสิ่งนั้นเลยนั่นไม่ใช่เรื่องหลักที่รบกวนฉันด้วยซ้ำ แต่เป็นการไม่คำนึงถึงของเอมม่าที่มีต่อฉันและความรู้สึกของฉัน การดูหมิ่นโดยสิ้นเชิงของเธอในบ้านของตัวฉันเองฉันเข้าใจนะว่าฉันทำผิดตอนที่ฉันนอนกับโรแวน แต่ตอนนี้โรแวนเป็นสามีของฉัน มันไม่ควรรบกวนฉันที่เธอพยายามเข้าใกล้เขา โดยมอบรอยยิ้มที่เขินอายและยั่วยวนให้เขา กวัดแกว่งสะโพกตอนที่เธอเดินผ่านเขา สัมผัสเขาเบา ๆ ตอนที่เธออยู่ใกล้เขา ฉันไม่อยากหึงหวง แต่ฉันหึงฉันโกรธและโมโหกับพฤติกรรมที่โจ่งแจ้งของเธอมาก แน่นอน โรแวนจ้องเธอเขม็งและเดินจากไปเมื่อเขาสังเกตเห็นพฤติกรรมของเธอ แต่ฉันอดคิดไม่ได้ว่าม
“แล้วไงล่ะ?”เขาคว้าแขนเธอไว้แน่นแล้วเขย่าเบา ๆ “แล้วไงเหรอ?” เขาคำรามด้วยความโกรธ “เอวาเป็นภรรยาผมไง ภรรยาของผม และตอนนี้คุณก็เอาแต่ทำตัวหยาบคายไร้มารยาทใส่เธอมาตลอด”“โรแวน” ทราวิสพยายามเข้ามาขัด แต่แม่ก็เข้ามาขวางเอาไว้ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าแม่ทำแบบนั้นด้วยเหตุใด เพราะโดยปกติแม่มักเข้าข้างเอมม่าอยู่เสมอ ความรู้สึกของฉันจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เอมม่ามาก่อนสิ่งอื่นใด ไม่ว่าเธอต้องการอะไรก็ต้องหามาให้“ภรรยาคุณเหรอ?” เอมม่าเย้ยหยัน “มันก็แค่ผู้หญิงไร้ค่าทำตัวอ้อนวอนแย่งคุณไปจากฉันก็เท่านั้น แต่เหมือนว่ามันยังเลวร้ายไม่สาแก่ใจ มันยังหลอกล่อคุณตอนที่ตั้งท้องด้วย คุณเป็นของฉันนะคะ โรแวน ฉันเป็นคนที่คุณรักไม่ใช่เหรอคะ?”ฉันไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไรต่อ เพราะฉันเดินออกจากครัวเสียก่อน ฉันทนไม่ไหวอีกแล้ว และฉันก็ไม่อยากได้ยินอะไรอีกต่อไป โดยเฉพาะะหากคำพูดนั้นเป็นประโยคที่บอกว่าเขารักเธอราวกับว่าไม่มีใครรู้ว่าเขารักเธออย่างนั้น แน่นอนตอนนี้เขาดูใส่ใจฉัน เขายังจูบฉันสองสามครั้ง แต่หัวใจยังคงเป็นของเอมม่าอยู่ดี เธอพูดถูก โรแวนเป็นของเธอทั้งใจ ทั้งความคิด และจิตวิญญาณเมื่อมาถึงห้องนอนใหญ่ ฉั
เอมม่าฉันเกลียดทุกวินาทีที่ต้องอยู่ในบ้านของโรแวน ฉันเกลียดที่เห็นเอวาทำตัวราวกับโรแวนยังเป็นสามีตนเองเอาจริงสิ ความจำเสื่อมเนี่ยนะ? ตลกกันไปใหญ่แล้วแต่สิ่งที่น่าเดือดดาลที่สุดคือการที่โรแวนดูแลเอาใจใส่เอวา เขาเป็นของฉันและยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ ฉันจะไม่มีวันปล่อยเขาไปเด็ดขาดโรแวนตะคอกใส่หลังจากที่ฉันจูบเขา นั่นทำให้ฉันตกใจจนแทบล้ม โรแวนไม่เคยขึ้นเสียงใส่ฉันมาก่อน มันทำให้ฉันสงสัยว่าเขาตัดใจจากฉันไปแล้วจริง ๆ หรือเปล่า และทำให้ฉันเริ่มคิดว่าเขาอาจตกหลุมรักเอวาเข้าแล้วฉันส่ายหน้าเพื่อปัดความคิดนั้นออกไป มันไม่มีทางเป็นไปได้ ทุกคนต่างบอกฉันว่าเขาเกลียดเธอ ตลอดเก้าปีที่ผ่านมา เขาเอาแต่ทำร้ายเธอเพราะเธอทำให้เราต้องแยกจากกัน แล้วจู่ ๆ เขาจะไปรักเธอได้อย่างไร? มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย“คุณครับ?” คนขับรถเอ่ยถามฉันเงยหน้ามองเขาแล้วเพิ่งรู้ตัวว่ามาถึงบ้านแล้ว ทั้งแม่กับทราวิสก็ลงจากรถไปนานแล้วไม่อยากสาธยายเลยว่าฉันนั้นรู้สึกโกรธทั้งสองคนมากขนาดไหน…ทั้งแม่และทราวิสทำตัวเหมือนลูกหมาที่ขาดความรักเมื่ออยู่ต่อหน้าเอวา พวกเขาเอาแต่โอ๋เธอ ไม่พอยังอยากอุ้มนังเด็กเหลือขอนั่นอีก อย่าให้พูด
“เผื่อแกจะไม่แหกตาดูอะไรเลยนะ โรแวนไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนแกเลย” แม่พูด “แกไม่มีวันเข้าไปขัดขวางแผนการเอาชนะใจเอวาได้หรอก และนี่ก็ถือว่าเป็นการเตือนนะ เราน่ะเอาแต่โอ๋แกจนไม่รู้เลยว่าได้เลี้ยงดูแกจนเสียผู้เสียคนขนาดนี้ แต่วันนี้ก็พอกันซะที แกสามสิบแล้วนะช่วยรู้จักโตบ้างเถอะ”ทั้งทราวิสและฉันต่างมองแม่อย่างตกตะลึง แม่ไม่เคยพูดจาไม่ดีใส่มาก่อนเลยไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวเมื่อพูดจบ เธอก็เดินออกจากห้อง เราได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอขณะขึ้นบันได ก่อนจะมีเสียงปิดประตูดังลั่นจากระยะไกลฉันหันหน้าไปหาทราวิส เขาเป็นพี่ชายคนโปรด และคอยสนับสนุนฉันในการขัดขวางเอวามาโดยตลอด“บอกฉันมาหน่อยสิว่าไม่ได้คิดเหมือนกันกับแม่น่ะ” ฉันอ้อนวอนด้วยน้ำตาเขาไม่อาจหันหลังให้ฉันได้ ทราวิสเป็นเหมือนเสาหลักใหญ่คอยค้ำจุนความเข้มแข็งของฉันเสมอ ฉันไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรหากเขาหันไปอยู่ฝั่งตรงข้าม“ขอโทษด้วยเอมม่า แต่แม่พูดถูก เธอน่ะโตแล้วนะ มีลูกแล้วก็มีความรับผิดชอบมากมายที่ต้องค่อยแบกรับ แต่ตอนนี้กลับเอาแต่วิ่งไล่ตามผู้ชายที่เขาไม่ได้ต้องการอีกต่อไปแล้ว เธอยังจมปลักอยู่กับอดีต ไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองว่าคนอื่นเขาเดินหน้า
คาลวินผมเหนื่อยแทบบ้า เอาจริง ๆ ต้องขอยกย่องคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคนเลย การเป็นพ่อแม่คนเดียวมันไม่ง่ายเลยสักนิดผมทิ้งตัวลงบนโซฟาพร้อมรู้สึกหมดพลัง มันเป็นเช้าที่วุ่นวายสุด ๆ ไหนจะต้องทำงานบ้านทุกอย่างอีก แม้กันเนอร์จะช่วยบ้าง แต่วันนี้ผมต้องพาเขาไปซ้อมฟุตบอลกันเนอร์ไม่อยากไป แล้วลูกชายก็บอกชัดเจน ไม่ใช่ว่าผมบังคับเขาให้เล่นกีฬาที่เขาไม่ชอบนะ แต่เขารู้ว่าวันนี้โนอาจะไม่อยู่เหมือนทุกครั้งผมอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทำไม เอวาฟื้นคืนสติแล้วแน่นอนว่าโนอาย่อมอยากอยู่กับผู้เป็นแม่ ผมมั่นใจว่ามันคงเป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก เจ้าหนูโนอาคงจะเลิกอ้อนจนกว่าจะมั่นใจว่าเอวาจะไม่ไปไหนกันเนอร์เข้าใจในที่สุดและก็ยอมไปซ้อม แต่มีข้อแม้ว่าผมต้องสัญญาว่าเราต้องหาเวลาไปเยี่ยมน้าเอวาเร็ว ๆ นี้เจ้าลูกชายรู้สึกเศร้าสร้อยเมื่อรู้ว่าเอวา โนอา และไอริสจะไม่กลับมาอยู่ที่บ้านข้าง ๆ เราอีกแล้วความคิดของผมลอยไปถึงเอวา ผมรู้สึกแย่ชะมัดที่ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกัน ผมเดินหนีเธอไป เพียงเพราะผมรู้สึกเจ็บปวดที่เธอบอกปฏิเสธมา หากคิดดูดี ๆ แล้ว ผมเข้าใจเธอดี หลังจากที่โรแวนทำกับเธอแบบนั้น มันก็คงเป็นเรื่องโง่เง่าหากเธอจะเ
“นายจะหยุดทำไหม?” เธอจ้องมองผมด้วยคำถามมากมายราวกับว่าเธอยังไม่เข้าใจ“นี่คุณยังกล้าตั้งคำถามกับผมอีกอย่างนั้นเหรอ?” ผมตะโกนลั่น รู้สึกหมดอารมณ์กับพฤติกรรมของเธอแล้ว “ออกไป”“ไม่ ฉันไม่ออก จนกว่านายจะบอกว่าฉันทำอะไรลงไป”บ้าเอ๊ย คิดเองบ้างไม่เป็นเลยหรือไง หรือแค่แกล้งโง่เท่านั้น? ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอยังมีหน้ามาถามผมเช่นนั้นอีก เธอไม่สังเกตเห็นจริง ๆ เหรอว่าสิ่งที่เธอทำอยู่มันผิดปกติ? หรือการที่เธอหลอกใช้ผมไม่ผิดปกติ?“คาลวิน” เธอร้องเรียกและเข้ามาจับมือผมเอาไว้ ผมก้าวถอยหลังและจ้องมองเธอผมรู้สึกสมเพชตนเองยิ่งนัก ทำใจเชื่อไม่ลงเลยจริง ๆ ว่าผมจะยอมให้เธอปฏิบัติกับตนเองและกันเนอร์เป็นขยะเช่นนี้อยู่หลายปี“บอกผมมาหน่อยสิ” ผมสูดหายใจเข้าลึก “คุณรักผมไหม?”เธอจ้องมองผมเพียงเสี้ยววิก่อนหันหน้าหนีไป มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บปวดมาก แต่ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนให้กับคำถามผมได้ดี“นอกจากความรู้สึกอยากมาก แล้วเคยรู้สึกอะไรอย่างอื่นอีกบ้างไหม?” น้ำเสียงของผมดูเคร่งขรึมและกระด้าง แม้แต่ผมเองยังสัมผัสได้ผมไม่เคยคิดจะตั้งคำถามแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเอ่ยถามตรง ๆ ว่าเธอเคยใส่ใจผมบ้างหรือไม่ ผม
เอวาฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ฉันตกใจ อาจจะเป็นความฝัน หรือบางทีอาจเป็นความทรงจำ ฉันไม่แน่ใจ ภาพนั้นพร่ามัวและไม่ชัดเจนฉันค่อย ๆ แกะตัวเองออกจากโรแวนแล้วลุกขึ้นนั่ง มีชื่อหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในหัวฉันตลอดเวลาอีธานเขาเป็นคนที่ฉันรู้จักหรือเปล่า? หรือเป็นคนที่ควรรู้จักใช่ไหม? เขาสำคัญกับฉันอย่างไร? คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาไม่หยุดในขณะที่ฉันพยายามค้นหาคำตอบว่าเขาคือใครกันแน่แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องนอนของเรา มันให้บรรยากาศที่ชวนขนลุก โดยเฉพาะเมื่อฉันเพิ่งตื่นมาด้วยความหวาดผวาจากบางสิ่งในหัว ฉันเปิดไฟเพื่อไล่ความหนาวเย็นและความรู้สึกแปลกประหลาดออกไป“เอวา เป็นอะไรไป?” เสียงงัวเงียของเขาทำให้ฉันหันไปมองเขาดูเย้ายวนเหลือเกิน ดวงตายังดูง่วงงุน ผมยุ่งเหยิง และหน้าอกเปลือยเปล่าทำให้ฉันกลืนน้ำลายลงคอไม่หยุด โรแวนช่างดูเหมือนงานศิลป์ชิ้นเอกที่ทั้งเร่าร้อนและหล่อเหลา ไม่มีที่ติใด ๆ เลย“เอวา?” เขาร้องเรียก นั่นทำให้ฉันผละกลับมาจากห้วงความคิดฉันควรจะบอกเขาดีไหม? นี่ก็เข้าวันที่สองสามแล้วนับตั้งแต่ฟื้นคืนสติ ฉันยังรู้สึกว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างจากฉันอยู่
“สวัสดี” ไม่รู้เพราะอะไร ฉันถึงพูดออกมาเสียงแปลก ๆการได้เจอกับเอวาตัวต่อตัวแบบนี้ มันเหมือนกับการได้เจอคนที่เราแอบชอบมาตลอด จู่ ๆ ฉันก็เหงื่อซึมและรู้สึกประหม่าเธอไม่ตอบอะไรแต่กลับดึงฉันเข้าไปกอดแน่น กอดนั้นอบอุ่น ราวกับได้กอดตุ๊กตาหมีนุ่ม ๆ“ยินดีที่ได้เจออย่างเป็นทางการนะ ฮาร์เปอร์ ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเราจ๊ะ” เธอกระซิบก่อนจะผละออกไปเกเบรียลพาฉันเดินไปยังพื้นที่จัดเลี้ยงกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายบนโต๊ะ เขาจัดที่นั่งให้ฉันนั่งอยู่ข้าง ๆเขาจะรู้ไหมว่าฉันมีเหตุผลที่ไม่อยากอยู่ใกล้เขา?ไม่กี่วินาทีต่อมา ทุกคนก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารกัน“แล้วนี่ฮาร์เปอร์ หนูทำงานอะไรล่ะ?” แม่ของเกเบรียลถามฉันกลืนน้ำลายเมื่อทุกสายตาหันมาที่ฉัน ฉันไม่ชอบเลยเวลาที่คนสนใจฉันแบบนี้“นักออกแบบภายในค่ะ” ฉันตอบโดยพยายามไม่หลบตาถ้ามีสิ่งหนึ่งที่แม่ฉันสอนฉันก็คือการสบตาสำคัญมาก โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในโลกแบบเรา คนรวยและมีอิทธิพลมองว่าการหลบสายตาเป็นสัญญาณของความอ่อนแอ แม่ปลูกฝังให้พวกเราไม่มีวันแสดงความอ่อนแอนั้นออกมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม“พอดีเลย” เอวาพูดเสริม “ฉันอยากปรับเปลี่ยน
“เขาแต่งงานกับเอวาเหรอ?” ฉันถามด้วยความตกใจ“ก็ใช่น่ะสิ” เกเบรียลตอบก่อนจะหรี่ตาใส่ฉัน “ทำไมคุณถึงดูตกใจกับเรื่องนี้ขนาดนั้น?”ฉันยักไหล่พร้อมตอบ “ก็คงเพราะฉันตกใจจริง ๆ”และฉันตกใจจริง ๆ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ไม่เคยแม้แต่นิดเดียว จากที่ฉันจำได้ โรแวนเกลียดเอวามาก แล้วเขาลงเอยกับเธอได้ยังไง? อะไรทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากขนาดนี้จนเขามีความสุขสุด ๆ แบบนี้?โรแวนที่ฉันจำได้เป็นคนอารมณ์ร้าย ขมขื่น และเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขามีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา และแทบไม่ยิ้มเลย ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเขานอนกับเอวาและเลิกกับเอมม่าโรแวนคนใหม่ที่ฉันเห็นนี้ทำให้ฉันนึกถึงตอนที่เขาอยู่กับเอมม่า ตอนนั้นใบหน้าของเขาจะสดใสขึ้นทันทีที่เห็นเธอหรืออยู่ใกล้เธอ เขายิ้มอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับว่าแค่การมีเอมม่าอยู่ในชีวิตก็ทำให้เขามีความสุขด้วยเหตุนี้ คุณคงเข้าใจว่าทำไมฉันถึงสงสัยว่าเอวาเป็นคนที่ทำให้เขามีความสุขขนาดนี้ เว้นแต่มีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปในช่วงที่ฉันไม่อยู่ หรือพวกเขาแค่ตัดสินใจอยู่ด้วยกันเพราะเห็นแก่ความสุขลูก ๆ“ไม่ดีเลยนะที่ไปตัดสินคนอื่นแบบนั้น” เสียงของเกเบรียลดึงฉันอ
โรแวนดูมีความสุขในตอนนี้ ซึ่งทำให้ฉันคิดว่าเขาคงกลับไปคบกับเอมม่าอีกครั้ง นั่นน่าจะเป็นคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ จากที่เกเบรียลเคยเล่าให้ฟัง โรแวนเคยเกลียดเอวาแบบสุดใจ เช่นเดียวกับที่เกเบรียลเคยเกลียดฉันสายตาของฉันเลื่อนไปที่เด็กผู้หญิงตัวน้อย เธอดูคุ้น ๆ แต่ฉันนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเธอที่ไหน บางทีเธออาจเป็นลูกสาวของโรแวนกับเอมม่าก็ได้ ถึงแม้เธอจะดูไม่เหมือนเอมม่าที่ฉันจำได้เลยก็ตาม บางทีอาจเป็นเพราะพันธุกรรมที่แปลกประหลาด“แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นล่ะ?” ฉันถาม“ชื่อไอริส” เกเบรียลตอบ พร้อมกับยืนใกล้ฉันจนทำให้รู้สึกแปลก ๆฉันขยับถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่างฉันมองไอริสต่อ เธอเหมือนพลังงานน้อย ๆ ที่สดใส ดวงตาสีฟ้าสวยส่องประกายจนฉันมองเห็นได้ชัดเจนแม้จากที่ที่ฉันยืนอยู่ เธอไม่เหมือนเอมม่าเลย แต่ถ้าจำไม่ผิด เอมม่ามีดวงตาสีฟ้า ดังนั้นไอริสน่าจะได้มาจากแม่“งั้นโรแวนก็กลับไปคบกับเอมม่าแล้วใช่ไหม” ฉันพูดเบา ๆ “พวกเขากลับไปคบกันตอนไหน แล้วเอวารับมือกับมันยังไง?”ฉันไม่เคยคิดว่าเอมม่าจะเป็นคนไม่ดี เราทุกคนเคยเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน เธออายุมากกว่า ในขณะที่เอวากับฉันรุ่นเดียวกันเอมม่าต่
ฉันไม่สามารถหยุดขยับตัวอย่างกระวนกระวายได้เลย ขณะที่ฉันและเกเบรียลเดินตามพ่อแม่ของเขาเข้าไปข้างใน หากพูดตรง ๆ การพูดคุยในออฟฟิศนั้นดีกว่าที่ฉันคาดไว้มาก ฉันไม่แน่ใจว่าฉันคาดหวังอะไร แต่ฉันไม่ได้คาดว่าจะเจอความสงบแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะมา?ฉันยังไม่เข้าใจว่าทำไมเกเบรียลไม่บอกพวกเขาว่าเราเคยแต่งงานกันมาก่อน แม้การแต่งงานของเราจะจบลงอย่างเลวร้าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุด ฉันไม่ชอบที่เขาปิดบังเรื่องนี้“ไหวไหม?” เสียงของเขาดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา และพบว่าสายตาเขาจ้องมาที่ฉันอย่างแน่วแน่ มันช่างลึกซึ้งเหมือนว่าเขากำลังอ่านฉันจนถึงจิตวิญญาณ ฉันดึงสายตาจากเขาแล้วมองไปข้างหน้าแทน“ไหว แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน” ฉันตอบตามตรงส่วนที่ยากที่สุดผ่านไปแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงรู้สึกกระวนกระวายอยู่ บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ฉันต้องใช้เวลาทั้งวันอยู่กับครอบครัวของเขา บางทีอาจเป็นเพราะฉันยังคงรู้สึกถึงลมหายใจของเขาบนผิวของฉันเมื่อตอนที่เขาเกือบจะจูบฉัน หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขายอมรับความผิดทั้งหมดในความล้มเหลวของความสัม
ขอบคุณพี่ชายของเธอที่ทำให้ผมรู้ว่าเธอต้องการผม และมันก็กลายเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการต่อต้านเธอ ผมอยากทำร้ายเธอ อยากทำลายเธอและทำให้เธอเจ็บปวดเพราะเธอพรากอิสระไปจากผม ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็รู้ได้ทันทีว่าการนอกใจจะทำให้เธอเจ็บปวด ผมเลยทำ และผมก็ทำให้เธอรู้ด้วย ผมอยากให้เธอเสียใจที่คิดจะวางกับดักผมและมันได้ผล ทุกครั้งที่ผมเห็นเธอ ผมเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของเธอ ผมรู้ว่ามันทำให้ผมเป็นคนเลว แต่การเห็นความเจ็บปวดในตาเธอมันทำให้ผมพอใจ“เวลาผ่านไปก็นานแล้วนะ แล้วลูกไปเจอเธออีกครั้งได้ยังไง?” แม่ถามต่อเมื่อผมไม่ตอบอะไรเกี่ยวกับข้อสังเกตของพ่อ“ผมออกตามหาเธอครับ” ผมยักไหล่ “พวกกรรมการบริหารนั่นอยากให้ผมแต่งงานเป็นหลักเป็นแหล่งสักที ผมเลยทำแบบนี้”สายตาของแม่หันไปทางฮาร์เปอร์ “แล้วเธอยอมแต่งงานกับเขา ทั้งที่เขาปฏิบัติกับเธออย่างเลวร้ายขนาดนั้นเหรอ?”ผมสะดุ้งกับคำพูดของแม่ ผมเกลียดที่ทำให้แม่ผิดหวัง แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกับผม ฮาร์เปอร์ยักไหล่ตอบ “เขามีสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันก็เลยตอบตกลงค่ะ”พ่อกับแม่หันมามองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับมาทางเรา“หมายถึงอะไร?” พ่อถามด้วยสายตาที่จ้องจับผิด“บริษั
ผมรู้ว่าปฏิกิริยาของพวกเขาจะต้องรุนแรงแน่ ๆ ใครล่ะจะไม่ตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกบอกว่ามีลูกสะใภ้กับหลานสาวที่ไม่เคยรู้มาก่อนพ่อเริ่มเดินไปเดินมา และผมก็รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร พ่อพร่ำสอนผมกับโรแวนเสมอ เรารู้เสมอว่าเขาคิดอะไรอยู่เพราะเราเองก็คิดแบบเดียวกันเขาน่าจะกำลังสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง สงสัยว่าผมตรวจดีเอ็นเอแล้วหรือยังว่าลิลลี่เป็นลูกสาวของผมจริง หรือเปล่า และเขาคงสงสัยด้วยว่าฮาร์เปอร์หลอกล่อหรือวางกับดักอะไรผมหรือเปล่า เขากำลังพยายามคิดถึงทุกแง่มุม“แล้ว…มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ไปมีเมียมีลูกตอนไหนยังไง?” แม่เอ่ยถามอย่างตะกุกตะกักใบหน้าของเธอยังเต็มไปด้วยความตกตะลึง ดวงตาเลื่อนจากผมไปที่ฮาร์เปอร์ ซึ่งกำลังก้มหน้ามองพื้นอย่างเงียบ ๆ เธอดูประหม่าและตื่นตระหนกน ผมรู้สึกอยากจะโอบกอดเธอ อยากปลอบโยนเธอด้วยสัมผัสของผมความรู้สึกที่รุนแรงต่อเธอนั้นทำให้ผมงุนงง มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนตอนที่เรายังแต่งงานกัน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ ๆ ผมถึงอยากทำในสิ่งที่ผมไม่เคยอยากทำมาก่อน?“ตอบแม่สิ เกบ” เสียงเข้มของพ่อทำให้ผมหลุดจากความคิด“เราเคยมีความสัมพันธ์กันเมื่อหลายปีก่อน” ผมเริ่มพู
เกเบรียล“แม่ครับ!” ผมตะโกนเรียกพลางรีบวิ่งไปหาเธอแม่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไม่ต้องมีใครบอก ผมก็รู้ว่าที่เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะช็อกตอนเห็นลิลลี่ เหมือนตอนที่ผมเจอครั้งแรก เธอแค่เห็นตาสีเทาคู่นั้นครั้งเดียวก็รู้ทันทีว่าลิลลี่เป็นหนึ่งในสายเลือดของตระกูลวู้ดผมค่อย ๆ ตบแก้มของแม่เบา ๆ แต่เธอก็ยังไม่ฟื้น ผมจึงค่อย ๆ สอดแขนข้างหนึ่งใต้บ่า และอีกข้างหนึ่งใต้หัวเข่าของแม่ แล้วยกเธอขึ้นมาวางบนโซฟาที่ใกล้ที่สุด“พ่อ! โรแวน!” ผมตะโกนเรียกอย่างร้อนรน เพราะไม่อยากทิ้งแม่ไว้คนเดียว“คุณย่าจะเป็นอะไรไหมคะ?” ลิลลี่ถามเสียงแผ่วเบาและเปราะบาง “หนูทำอะไรผิดหรือเปล่า? หรือที่คุณย่าเป็นแบบนี้เพราะหนูใช่ไหมคะ?”น้ำตาที่เอ่ออยู่ในดวงตาของเธอทำให้ผมใจอ่อน ในเวลาไม่นาน ลิลลี่ก็กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตผม การเห็นเธอร้องไห้ทำให้ผมเจ็บปวด ผมคิดว่าในชีวิตนี้ผมไม่เคยรักใครมากเท่าที่ผมรักลิลลี่ แม้แต่โรแวน ฝาแฝดของผมเอง ก็ยังไม่อาจเทียบได้ก่อนที่ผมจะตอบคำถามของเธอ ฮาร์เปอร์ก็พูดแทรกขึ้นมา“ไม่หรอกจ้ะ ลูกรัก” ฮาร์เปอร์ตอบพร้อมวางผ้าชุบน้ำเย็นลงบนหน้าผากแม่ ผมไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอไปเอาผ้ามาเมื่อไหร่“
เสียงโทรศัพท์ของเกเบรียลทำให้ฉันลุกขึ้นจากที่เดิมที่ลิลลี่ทิ้งฉันไว้ ฉันยังไม่อยากเชื่อว่าเธอจะพูดแบบนั้นกับฉันได้ ตอนที่เลียมยังมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยกังวลที่ไม่มีพี่น้อง เธอไม่เคยขอมีพี่น้องด้วยซ้ำ ฉันเลยสงสัยว่าอะไรทำให้เธอเปลี่ยนไปแบบนี้กะทันหันฉันรู้ว่าตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าทำไมฉันกับเลียมถึงไม่มีลูก ทั้งที่แต่งงานกันมานานขนาดนั้น เรื่องจริงก็คือ เราพยายามแล้ว เลียมอยากมีครอบครัว อยากมีลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง ฉันรู้ว่าเขารักลิลลี่เหมือนลูกแท้ ๆ ของเขา แต่เขาก็อยากมีลูกที่เป็นสายเลือดของตัวเองด้วยฉันเองก็อยากจะให้เขามีสิ่งนั้น ฉันอยากขอบคุณเขาที่อยู่เคียงข้างฉันในตอนที่ฉันไม่มีใคร ที่แต่งงานกับฉันและมอบครอบครัวให้กับลิลลี่ การมีลูกให้เขาสักคนไม่ได้เป็นสิ่งที่มากเกินไป และฉันก็ไม่เห็นปัญหาอะไรอย่างที่บอก เราพยายามแล้ว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งหนึ่งปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาถึงยอมไปตรวจสุขภาพ ผลปรากฏว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจสลาย เราได้รู้ว่าเขาไม่สามารถมีลูกได้ วันที่เราอยู่ที่คลินิก ฉันเห็นแสงบางอย่างในตัวเขาดับลงไป การรู้ว่าเขาไม่สามารถเป็นพ่อได้เหมือนทำลา
ลิลลี่มองพวกเราสลับไปมาระหว่างฉันกับพ่อเธอ ฉันเห็นคำถามมากมายในสายตาเธอ ความสงสัยเกี่ยวกับฉันและเกเบรียลอย่างที่ฉันพูดไปแล้วว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ฉันไม่ควรจะรู้สึกดึงดูดใจต่อเกเบรียลอีกหลังจากที่ห่างกันไปหลายปี ฉันเคยคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาจะจบลงไปแล้ว การปฏิบัติที่เขาเคยทำกับฉันเมื่อหลายปีก่อนควรจะฆ่าความรู้สึกทั้งหมดที่ฉันเคยมีต่อเขาแต่ฉันคิดผิด เพราะตอนนี้ฉันกลับมายืนอยู่ตรงนี้ เกือบจะจูบเขา ฉันรู้สึกแย่มากที่ปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอเพียงชั่วขณะ และปล่อยให้ร่างกายพาฉันหลงใหลในตัวเขา“สองคนจะจูบกันเหรอคะ?” ลิลลี่ถามอย่างไร้เดียงสา ฉันอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกจิตใจฉันวุ่นวาย ฉันไม่รู้จะตอบเธออย่างไร ควรจะบอกความจริงเธอไหม? แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็โกหกไม่ได้เมื่อเธอเห็นเต็มสองตา“เอ่อ…เอ่อ...” ฉันพยายามหาคำพูดที่เหมาะสมจะตอบในหัวของฉันยังคิดถึงเรื่องเลียม เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ลิลลี่เคยเห็นฉันจูบ ผู้ชายคนเดียวที่เคยอยู่ในชีวิตของเรา ฉันกลัวว่าถ้าฉันบอกว่า ‘ใช่’ เธอจะเข้าใจผิด ฉันรู้ว่าเกเบรียลพยายามสร้างความสัมพันธ์กับเธอ แต่ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา เลียมคือพ่อของเธอ